|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
“พระพุทธรูป” ที่เป็นตัวอย่างพระพุทธรูปยุคทองของล้านนายุคปลายมีพระนามว่า “พระ
“พระพุทธรูป” ที่เป็นตัวอย่างพระพุทธรูปยุคทองของล้านนายุคปลายมีพระนามว่า “พระเจ้าเก้าตื้อ” และเป็นพระพุทธรูปที่อยู่ในสมัยของ “พระเจ้าเมืองแก้ว” (กษัตริย์แห่งราชวงศ์มังรายที่ครองอาณาจักรล้านนา
(ต่อจากฉบับวันเสาร์ที่แล้ว) “พระพุทธรูป” ที่เป็นตัวอย่างพระพุทธรูปยุคทองของล้านนายุคปลายมีพระนามว่า “พระเจ้าเก้าตื้อ” และเป็นพระพุทธรูปที่อยู่ในสมัยของ “พระเจ้าเมืองแก้ว” (กษัตริย์แห่งราชวงศ์มังรายที่ครองอาณาจักรล้านนาต่อจากพระเจ้าติโลกราช) หรืออีกพระนามคือ “พระเจ้าศิริธรรมจักรพรรดิราช” และ “พระเจ้าดิลกปนัดดาธิราช” โดยประวัติของพระพุทธรูปพระเจ้าเก้าตื้อองค์นี้ “พระเจ้าเมืองแก้ว” โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๘ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีชวด ฉอศก จุลศักราช ๘๖๖ ตรงกับพุทธศักราช ๒๐๔๗ เมื่อหล่อเสร็จแล้วช่างได้ทำการตกแต่งองค์พระให้มีความสวยงาม แต่เนื่องจากองค์พระมีขนาดใหญ่จึงใช้วิธีหล่อแยกชิ้นเป็น ๘ ชิ้น อีกทั้งมีน้ำหนักมากจึงไม่สามารถอัญเชิญเข้าเมืองเชียงใหม่ (นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่) ได้ “พระเจ้าเมืองแก้ว” จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานยังบริเวณใกล้กับสถานที่หล่อและตกแต่งองค์พระซึ่งอยู่ใกล้กับพระอาราม วัดบุปผาราม หรือ วัดสวนดอก ในปัจจุบันและโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีสมโภชอย่างยิ่งใหญ่ ครั้นถึง วันพุธ เดือน ๕ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีมะเส็ง เอกศก จุลศักราช ๘๗๐ ตรงกับ พุทธศักราช ๒๐๕๒ จึงได้อัญเชิญพระพุทธรูป “พระเจ้าเก้าตื้อ” ประดิษฐานเป็นพระพุทธปฏิมาประธานใน พระอุโบสถวัดสวนดอก ตราบปัจจุบัน อนึ่งเนื่องจากพระเจ้าเก้าตื้อองค์นี้มีขนาดหน้าตักกว้าง ๓ เมตร สูง ๕.๗๐ เมตร องค์พระมีน้ำหนักประมาณ ๑๓ ตัน แต่ประชาชนชาวล้านนาในสมัยนั้นเชื่อกันว่ามีน้ำหนัก ๙ ตัน จึงเรียกขานพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระเจ้าเก้าตื้อ” ซึ่งท่าน รองศาสตราจารย์ ศักดิ์ชัย สายสิงห์ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับศิลปะของพระเจ้าเก้าตื้อซึ่งเป็นศิลปะผสมในยุคทองของล้านนาไว้ดังนี้ “พระพุทธรูปสำคัญที่น่าจะใช้เป็นตัวแทนของพระพุทธรูปที่สร้างขึ้น ในสมัยพระเจ้าเมืองแก้วคือพระเจ้าเก้าตื้อในวิหารพระเจ้าเก้าตื้อวัดสวนดอกเมืองเชียงใหม่ ซึ่งพระเจ้าเมืองแก้วโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๐๔๗ และแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๐๕๓ (พระรัตนปัญญาเถระ ชินกาล มาลีปกรณ์ หน้า ๑๓๖) เป็นพระพุทธรูปสำริดล้านนาที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์และมีขนาดใหญ่มาก ส่วนลักษณะสำคัญเป็นพระพุทธรูปในกลุ่มที่มีอิทธิพลพระพุทธรูปหมวดใหญ่ ในศิลปะสุโขทัยประทับนั่งขัดสมาธิราบบนฐานหน้ากระดานเกลี้ยง พระพักตร์รูปไข่ พระรัศมีเป็นเปลว สังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่ยาวลงมาจรดพระนาภี เป็นลักษณะของอิทธิพลอยุธยาแล้ว (สันติ เล็กสุขุม ศิลปะภาคเหนือ : หริภุญชัย-ล้านนา หน้า ๒๑๙) ดังที่กล่าวแล้วว่าในช่วงกลางพระพุทธศตวรรษที่ ๒๑ นี้ถือเป็นยุคที่มีการสร้างพระพุทธรูปเป็นอย่างมาก และส่วนใหญ่นิยมบอกศักราชไว้ที่ฐาน งานส่วนหนึ่งได้พบว่ามีการสร้าง แพร่หลายไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ในล้านนาถ้ามีการศึกษาอย่างละเอียด จะพบว่าพระพุทธรูปในแต่ละเมืองนั้นจะมีลักษณะร่วมกันอยู่ แต่เป็นเพราะในแต่ละท้องถิ่นจะมีลักษณะเฉพาะของตัวเองเกิดขึ้นเช่นในกลุ่มสกุลช่าง เมืองเชียงราย เชียงแสน เชียงของ เมืองแพร่ เมืองน่าน เมืองฝาง และเมืองลำปาง เป็นต้น” (ศักดิ์ชัย สายสิงห์ ศิลปะเมืองเชียงแสน หน้า ๑๘๑) จะเห็นได้ว่าในยุคทองของล้านนานอกจากรับเอาอิทธิพลศิลปะ จากอาณาจักรเพื่อนบ้าน อย่างเช่น สุโขทัย และ อยุธยา แล้วยังมีวิวัฒนาการของศิลปะแบบผสมผสานเหล่านั้นมาเป็นศิลปะรูปแบบใหม่และได้รับความ นิยมกระจัดกระจายไปในวงกว้างตามหัวเมืองต่าง ๆ ของอาณาจักรล้านนากระทั่งเกิดเป็นลักษณะของการสร้างสรรค์งานศิลปะ ที่ถือเป็นช่วงปลายของยุคทองล้านนา ในหนังสือศิลปะเมืองเชียงแสน “วิเคราะห์งานศิลปกรรมร่วมกับหลักฐานทางโบราณคดีและเอกสารทางประวัติศาสตร์” อันเป็นผลงานการค้นคว้าวิจัยของ อาจารย์ศักดิ์ชัย ได้กล่าวถึง พระพุทธรูปหินทราย สกุลช่าง พะเยา ที่แปลกแตกต่างไปจากหัวเมืองอื่น ๆ ของอาณาจักรล้านนา ที่มีการสร้างพระพุทธรูปด้วยการหล่อด้วยโลหะสำริด แต่ที่เมืองพะเยากลับสร้างพระพุทธรูปด้วยหินทรายซึ่งจากการค้นคว้าวิจัยของ อาจารย์ศักดิ์ชัย ก็มีการยอมรับว่าสามารถจัดกลุ่มพระพุทธรูป ที่สร้างจากหินทรายในเมืองพะเยาเป็นอีกสกุลช่างหนึ่งในอาณาจักรล้านนา นอกจากมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว ยังมีความร่วมสมัยกับยุคทองของล้านนาดังนี้ “ที่เมืองพะเยาได้พบงานสร้างพระพุทธรูปที่มีลักษณะเฉพาะคือ สร้างด้วยหินทรายจึงสามารถจัดเป็นอีกสกุลช่างหนึ่งในล้านนา โดยเฉพาะกลุ่มที่พบมากที่สุดและแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสกุลช่างพะเยาอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ร่วมสมัยกับยุคทองของล้านนา” (ศักดิ์ชัย สายสิงห์ ศิลปะเมืองเชียงแสน หน้า ๑๘๓) ดังนั้นในอดีตเมืองพะเยาก็มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน มีการสร้างบ้านเมืองเป็นของตัวเองและมีเอกราชโดยสมบูรณ์มีราชวงศ์กษัตริย์ สืบราชสันติวงศ์เฉกเช่นอาณาจักรอื่น ๆ โดยในอดีตเมืองพะเยามีชื่อเรียกเฉพาะว่า เมืองภูกามยาว หรือ เมืองพยาว และในสมัยอาณาจักรสุโขทัยรุ่งเรืองเมืองพะเยาก็มีกษัตริย์ ผู้ทรงพระปรีชาสามารถหลายพระองค์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีคือ “พ่อขุนงำเมือง” ซึ่งเป็นพระสหายกับ “พ่อขุนเม็งรายมหาราช” และ “พ่อขุนรามคำแหงมหาราช” ดังนั้นเมืองพะเยาจึงมีความเข้มแข็งและมีวัฒนธรรม รวมทั้งศิลปะเป็นของตัวเอง จึงสามารถสร้างสรรค์งานศิลปะโดยเฉพาะศิลปะพระพุทธรูป เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองโดยรับอิทธิพลศิลปะมาจากเมืองอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ในสมัย กรุงศรีอยุธยา เป็นอาณาจักรยิ่งใหญ่เทียบได้กับ อาณาจักรล้านนา ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าอาณาจักรล้านนามี “พระเจ้าติโลกราช” ทรงมีพระบรม เดชานุภาพยิ่งใหญ่ อาณาจักรกรุงศรีอยุธยาก็มี “สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ” ก็มีพระบรมเดชานุภาพมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เนื่องจากทั้งสองพระองค์มีการสู้รบต่อกันอยู่เสมอ ๆ โดยหลังจาก “พระเจ้าติโลกราช” เสด็จขึ้นครองเมือง นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ (เมืองเชียงใหม่ในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. ๑๙๘๕-๒๐๒๕ ได้แผ่พระราชอำนาจลงมาทางตอนใต้ของอาณาจักรล้านนาทรงยกทัพเข้ายึดเมืองสองแคว (พิษณุโลก) เมืองเชลียง (สวรรคโลก) เมืองสุโขทัย ไปจนถึงเมืองกำแพงเพชร ให้อยู่ภายใต้พระราชอำนาจของพระองค์สำเร็จซึ่งในยุคนี้ เมืองพะเยาได้เสื่อมอำนาจลงเนื่องจากกษัตริย์อ่อนแอ ดังนั้นในปี พ.ศ. ๑๙๙๔-๒๐๓๐ “พระยายุพิศเจียง” ซึ่งเป็นเจ้าเมืองสองแควที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าติโลกราช ได้เสด็จมาครองเมืองพะเยาโปรดให้สร้างเจดีย์ วัดพระยาร่วง หรือปัจจุบันเรียกว่า “วัดบุญนาค” และโปรดให้สร้างพระพุทธรูป “พระพุทธบุญนาค” ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ที่ “พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ ๗ โปรดให้รับการทูลเกล้าฯ ถวายจากบรรดาเจ้านายฝ่ายเหนือเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในมณฑลพายัพเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๙ และต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้เป็นสมบัติของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร และได้พระราชทานถวายพระนามใหม่ว่า “หลวงพ่อนาค” นอกจากนี้พระยายุพิศเจียงยังได้โปรดให้สร้าง พระวิหารวัดป่าแดง และพระพุทธรูป หลวงพ่อดอนชัย อีกทั้งให้อัญเชิญ พระพุทธปฏิมาแก่นจันทร์แดง จาก วัดปทุมมาราม (วัดหนองบัว) ประดิษฐาน ณ วัดป่าแดง แต่ต่อมา พระเจ้าติโลกราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธปฏิมาแก่นจันทร์แดงไปประดิษฐาน ณ วัดอโศการาม หรือ วัดป่าแดงหลวง แห่งเมือง นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ ตามที่ได้กล่าวรายละเอียดไว้แล้วในตอนต้น และไม่แต่เท่านั้นพระยายุพิศเจียงยังได้นำช่างปั้นถ้วยชาม และเครื่องสังคโลกอันเป็นศิลปะของอาณาจักรสุโขทัยไปเผยแพร่การปั้นถ้วยชามและเครื่องสังคโลก ยังเมืองพะเยาอีกด้วยจึงเห็นได้ว่าในสมัยพระยายุพิศเจียง เมืองพะเยาหรือเมืองภูกามยาวหรือเมืองพยาว ก็ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนามาโดยตลอดเช่นกัน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๓๔ หลังจาก “พระเจ้าติโลกราช” เสด็จสวรรคต “พระเจ้ายอดเชียงราย” (พระโอรสของพระเจ้าติโลกราช) ก็เสด็จขึ้นครองราชย์สืบต่อเช่นกันกับ เมืองพะเยา ก็มีการเปลี่ยนผู้ครองนครเป็น “พระยาเมืองยี่” และในปี พ.ศ. ๒๐๓๙ ได้ปรากฏเหตุสำคัญขึ้นอีกเรื่องคือมีตายายสองผัวเมียมีจิตศรัทธาสร้างพระพุทธรูป “พระเจ้าตนหลวง” ขึ้นทางทิศเหนือของเมืองกว๊านพะเยาซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่ วัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา แต่ระหว่างเริ่มสร้างพระเจ้าตนหลวงได้เพียง ๕ วัน “พระยาเมืองยี่” ก็ถึงแก่พิราลัยเช่นกันกับ “พระเจ้ายอดเชียงราย” ก็เสด็จสวรรคตทั้งที่ทรงครองราชย์ได้เพียง ๕ ปีเท่านั้นจากนั้น “พระเจ้าเมืองแก้ว” พระโอรส “พระเจ้ายอดเชียงราย” เสด็จขึ้นครองราชย์สืบต่อและทรงประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ “พระเจ้าติโลกราช” สมเด็จพระปรมัยกาธิราช (สมเด็จปู่) และ “พระเจ้ายอดเชียงราย” พระราชบิดา ณ พระเมรุมาศ ภายในบริเวณวัดโพธารามมหาวิหารแล้วโปรดให้สร้างพระสถูปสำหรับบรรจุพระบรมอัฐิและพระบรมราชสรีรางคารของ “พระเจ้าติโลกราช” ไว้ที่ วัดโพธารามมหาวิหาร หรือ วัดเจ็ดยอด ดังปรากฏมาตราบปัจจุบัน ทางด้านเมืองพะเยา “พระยาหัวเคี่ยน” ได้ครองเมืองสืบต่อระหว่างนี้ในปี พ.ศ. ๒๐๖๗ ได้ดำเนินการสร้าง “พระเจ้าตนหลวง” สำเร็จบริบูรณ์รวมระยะเวลาการก่อสร้างนานถึง ๓๓ ปี ส่วนการสร้างพระพุทธรูปของเมืองพะเยาในยุคเริ่มแรก ก็มีการรับเอาอิทธิพลจากอาณาจักรเพื่อนบ้านอย่าง สุโขทัย ผสมผสานกับศิลปะอาณาจักรล้านนาและในยุคต่อ ๆ มาก็รับเอาอิทธิพลจากอาณาจักรอยุธยามาผสมผสานด้วย เนื่องจากต่อมาอาณาจักรอยุธยามีความเข้มแข็งขึ้นเป็นลำดับ จนสามารถต่อกรกับอาณาจักรล้านนาดังที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นการสร้างสรรค์ศิลปะพระพุทธรูปของเมืองพะเยา ที่มีวิวัฒนาการที่เด่นชัดก็อยู่ในสมัยของพระยายุพิศเจียงเท่านั้น (อ่านต่อฉบับหน้า).
'ศิลปะเชียงแสน' (ล้านนา)
“พระพุทธรูปล้านนาระยะหลัง” (ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๐๖๗-๒๑๐๑) และ (ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๑๐๑) หลังจาก “พระเจ้าติโลกราช” เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๓๐ “พระเจ้ายอดเชียงราย” ซึ่งเป็นพระราชนัดดา (หลาน) ก็ได้เสด็จขึ้นครองราชย์สืบแทนแต่ก็เป็นการครองราชย์เพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้นคือเมื่อถึง พ.ศ. ๒๐๓๘ เหล่าเสนาอำมาตย์และขุนนางได้ทำการ “ปลด” ออกจากการเป็นกษัตริย์ของอาณาจักรล้านนาด้วยข้ออ้างที่กล่าวหาว่า “พระเจ้ายอดเชียงราย” มิได้สร้างความเจริญให้กับอาณา จักรล้านนาพร้อมกับทำการสถาปนา “พระเจ้าเมืองแก้ว” พระโอรสขึ้นครองราชย์สืบแทนซึ่งต่อมา “พระเจ้าเมืองแก้ว” ก็ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับอาณาจักรล้านนาถึงขีดสุด เนื่องจากพระองค์ทรงครองอาณาจักรล้านนาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๐๓๘-๒๐๖๔ รวมระยะเวลาแห่งการครองราชย์ที่เมืองนพบุรีศรีนครพิงค์ (เชียงใหม่) นานถึง ๒๖ ปี โดยที่ชาวล้านนาเองต่างยอมรับและยกย่องว่าในรัชสมัยของ “พระเจ้าเมืองแก้ว” นี้ได้สร้างความเจริญให้กับอาณาจักร ล้านนาเป็นอย่างยิ่งแต่ก็บางแห่งยอมรับและยกย่อง “พระเจ้าติโลกราช” ว่าเป็นกษัตริย์ที่สร้างความเจริญจนถือเป็นยุคทองของอาณาจักรล้านนาก็ตาม แต่ผู้คนส่วนใหญ่จะแย้งว่าพระเจ้าติโลกราชอยู่ในยุคแห่งการบุกเบิกด้วยการก่อร่างสร้างฐานอาณาจักรล้านนาให้มั่นคงแข็งแรง จากนั้นในรัชสมัยของพระเจ้าเมืองแก้วก็คือยุคแห่งการต่อยอดให้เจริญยิ่งขึ้น เนื่องจากการสร้างสรรค์งานทางด้านศิลปกรรมมี ความเจริญอย่างถึงขีดสุดนั่นเอง และแม้ว่าในรัชสมัยของ พระเจ้าเมืองแก้ว จะมีการทำศึกสงครามกับ อาณาจักรอยุธยา อยู่หลายครั้งหลายหนและต่างก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะโดย อาณาจักรล้านนา ได้ทำการยกทัพไปตีเอา เมืองสุโขทัย รวมทั้ง เมืองเชลียง และ เมืองกำแพงเพชร ในช่วงปี พ.ศ. ๒๐๕๐ แต่ต่อมาอีก ๘ ปี (พ.ศ. ๒๐๕๘) อาณาจักรอยุธยา ก็ก่อเกิดพระมหากษัตริย์ที่ทรงเข้มแข็งและมีพระนามว่า “สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒” ได้ทรงยกกองทัพไปตี เมือง เขลางค์นคร (ลำปาง) อันเป็นหัวเมืองสำคัญของอาณาจักรล้านนาแต่ไม่สามารถยึดครองได้ เนื่องจากพระเจ้าเมืองแก้วได้ส่งกำลังจากเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ มาช่วยประกอบกับระยะทางจากอาณา จักรอยุธยาไปยัง เมืองเขลางค์นคร และ เมืองสุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก ซึ่งเป็นหัวเมืองสำคัญของอาณาจักรล้านนาก็เป็นระยะทางที่ห่างไกลกันมาก ย่อมเสียเปรียบต่อการส่งกำลังหนุน ไปช่วยสู้รบ ในที่สุดทั้งสองอาณาจักรจึงทำสัญญามีพระราช ไมตรีต่อกันเฉกเช่นในรัชสมัยของ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และ พระเจ้าติโลกราช ก็ทรงมีการทำสัญญามีพระราชไมตรีต่อกันมาแล้ว ที่มา นสพ เดลินิวส์
Create Date : 19 พฤษภาคม 2555 |
Last Update : 19 พฤษภาคม 2555 6:37:37 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2115 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
Upper Midwest United States
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 68 คน [?]
|
"ตลอดเวลาที่บาปยังไม่ส่งผล คนพาลสำคัญบาปเหมือนน้ำผึ้ง เมื่อใดบาปให้ผล คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น" ขุ.ธ. 25/15/24 เวลา 4.57PM :sat,Mar 29,2557
| | | |