ตอนนี้เบตง ยะลา กำลังฮอต ใครหลายๆคนอยากไปเที่ยว แถมยังมีข่าวเรื่องสนามบินเบตงอีก วันนี้เลยขอนำเรื่องราวของชุมชนเมืองเก่าเบตง ยะลา เที่ยวใต้สุดแดนสยาม ความงามสุดประทับใจ มาเล่าสู่กันฟังค่ะ
ท่ามกลางทะเลหมอกและอากาศเย็นสบายตลอดปีของภาคใต้ ต้องไปสัมผัสด้วยตัวเองที่
“อำเภอเบตง”จังหวัดยะลา เมืองใต้สุดแดนสยามที่ทอดตัวอยู่อย่างเงียบสงบใกล้ชายแดนไทย-มาเลเซีย ในเทือกเขาสันกาลาคีรีที่สลับซับซ้อน ปกคลุมด้วยป่าดิบเขียวชอุ่ม อากาศเย็นสบายน่าไปพักผ่อน
แม้เบตงจะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล จนกลายเป็นอำเภอเดียวในเมืองไทยที่มีทะเบียนรถ“เบตง”เป็นของตัวเอง ทว่าชุมชนเมืองเก่า ณ ที่นี้ก็มีเสน่ห์เย้ายวน จนผู้คนจากทั่วสารทิศเดินทางมาเที่ยวชมมิได้ขาด เพื่อสัมผัสธรรมชาติป่าเขา สายน้ำ อากาศเย็นฉ่ำหายใจได้โล่งปอด และชมสายหมอกขาวบางเบา ลอยลงห่มคลุมตัวเมืองเบตงไว้ทุกเช้าตรู่ แม้จะมีผู้คนหลากเชื้อชาติวัฒนธรรม แต่ก็อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ ทั้งพี่น้องชาวจีน มุสลิม และไทยพุทธ ทำให้ชุมชนเบตงให้น่าอยู่
ใจกลางอำเภอเบตงคือ เขตย่านเมืองเก่าที่มีอาคารบ้านเรือน และสถาปัตยกรรมแห่งอดีตให้ชื่นชม ทำให้รู้สึกเหมือนเดินทางย้อนเวลาหาอดีต เยือนยลตึกรามบ้านช่องที่มีเรื่องราว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเนิ่นนาน เติมด้วยการนำ
ศิลปะภาพวาด Street Art เข้ามาในย่านเมืองเก่า เพิ่มเสน่ห์น่าดึงดูดมากขึ้น ทั้งภาพการนั่งดื่มน้ำชาในสภากาแฟแบบปักษ์ใต้ ภาพติ่มซำ และภาพวิถีชีวิตต่างๆ
จุดห้ามพลาดชมในเขตเมืองเก่ามีหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น
“ตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย” ตั้งอยู่ตรงวงเวียนหอนาฬิกา ปัจจุบันยังเปิดใช้งานปกติ และเป็นจุดที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของเบตง
ติดๆ กันนั้นคือ
“หอนาฬิกาเบตง” ตั้งอยู่กลางวงเวียนที่มีรถราแล่นไปมาตลอดวัน เอกลักษณ์การสร้างงดงาม ด้วยสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ผสานกลิ่นอายแบบภาคใต้ ยามค่ำคืนมีไฟส่องประดับถ่ายภาพได้สวย
จากนั้นเดินต่อไปอีกไม่กี่ร้อยเมตร ก็ถึง
“อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์” อุโมงค์ถนนลอดภูเขาแห่งแรกของไทย ยาว 268 เมตร มีการประดับประดาด้วยไฟสีสดใส จนกลายเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของเมืองเก่าเบตงไปโดยปริยาย
เมืองเก่าเบตงเป็นแหล่งรวมอาหารอร่อย ทั้งสามมื้อในแต่ละวันจึงมีคุณค่าน่าลิ้มลอง เช้าๆ ออกไปนั่งในสภากาแฟแบบคนใต้ รับประทานติ่มซำหลากชนิดละลานตา คู่กับเครื่องดื่มร้อนๆ ต้อนรับวันใหม่ มื้อกลางวันต้องตามไปชิม
“ไก่เบตงแท้ๆ” เนื้อไก่เหนียวนุ่มละมุนลิ้น หนังบางสีเหลืองอ่อน เนื้อก็แน่น รับประทานคู่กับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวใส่ขิง รับรองอร่อยลืมไม่ลง
ส่วนมื้อเย็นต้องเข้าไปที่ร้านอาหารจีนในตัวเมือง สั่งเมนูเฉพาะหาชิมยากของเบตง อาทิ ผัดผักน้ำเบตง ปลาจีนนึ่งซีอิ๊ว และกบภูเขาทอดกระเทียม เป็นต้น
ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง เฉาก๊วย หรือวุ้นดำของเบตง เฉาก๊วยโบราณแท้ ๆ ที่ได้นำเอาหญ้าวุ้นดำจากประเทศจีนมาเป็นส่วนผสมสำคัญ ทำให้เฉาก๊วยมีสีดำขลับ เหนียว และนุ่ม
นักชิมหน้าเก่าและหน้าใหม่บอกตรงกันว่า สุดยอดจริงๆ และถ้าใครได้ไปเยือนเบตงในเดือนสิงหาคม จะได้ชิมหนึ่งในสุดยอดทุเรียนพันธุ์
“มูซังคิง” ราชาแห่งทุเรียนปักษ์ใต้ ที่ชาวสวนเบตงนำพันธุ์เข้ามาปลูกจากมาเลเซีย หากได้ชิมแล้ว ก็ยากที่จะกลับไปชิมทุเรียนแบบเดิมๆ ที่เราคุ้นเคย
แวะไหว้พระใหญ่หรือ
พระพุทธธรรมกายมงคลประยูรเกศานนท์สุพิธาน สำหรับคนที่มีเวลาเหลือ จะออกไปท่องเที่ยวใกล้ๆ นอกตัวเมืองเบตงก็ได้ เขามี Sky Walk ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง สวนพันธุ์ไม้เมืองหนาว บ่อน้ำร้อนเบตง สวนผักน้ำ ฟาร์มปลาจีน อุโมงค์ปิยะมิตร และอื่นๆ อีกมาก และมีสนามบินเบตง เพราะที่นี่คือ สุดยอดเมืองชายแดน เสน่ห์ที่จะตราตรึงอยู่ในหัวใจเราไปไม่รู้ลืม
กิจกรรมเด่น : เดินเที่ยวชมถ่ายภาพ Street Art ในตัวเมืองเก่า ถ่ายภาพคู่กับตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ชมแสงสียามค่ำคืนที่อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ ชมนกนางแอ่นนับพันตัวที่หอนาฬิกา ชมพิพิธภัณฑ์เบตง ชิม 5 เมนู ห้ามพลาดคือ ไก่เบตงแท้ วุ้นดำเบตง ผักน้ำเบตง ปลาจีนเบตง กบภูเขาทอดกระเทียม ชิมติ่มซำยามเช้า
สินค้าชุมชนเด่น : ผลไม้ตามฤดูกาล เช่น ทุเรียนพันธุ์มูซังคิง วุ้นดำเบตง ปลาจีน ผักน้ำ ไก่เบตง
เรื่องและภาพโดย Travelista นักเดินทาง