ถ้าจะนับที่เที่ยวที่ไม่ไกลกรุงเทพฯ และมีความหลากหลายด้านการท่องเที่ยว ต้องไม่พลาด “ฉะเชิงเทรา” เมืองที่เปี่ยมเสน่ห์ริมแม่น้ำบางปะกง เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความสนุก มีสถานที่สุดชิลล์มากมาย นั่งรับลมเย็นๆริมแม่น้ำบางปะกง ไปไหว้พระขอพร ให้สำราญบานใจ ด้วยทริปสั้นๆแค่ 1 วัน ก็เที่ยวได้ตั้งหลายอย่าง ที่จริงเราออกจากกรุงเทพฯก็ 11 โมงแล้ว แต่ยังเที่ยวได้เต็มอิ่ม และกลับถึงกรุงเทพฯราว 3 ทุ่ม เรียกว่าเดินทางไปฉะเชิงเทราใช้เวลาเพียงชั่วโมงนิดๆเท่านั้นเองค่ะ
วันนี้ขอพาไปแวะ 5 สถานที่เช็คอินที่ไม่ควรพลาด หากมีเวลาเที่ยวฉะเชิงเทราไม่มากนักเริ่มต้นที่ 1 วัดโสธรวรารามวรวิหาร หรือ วัดหลวงพ่อโสธร วัดคู่บ้านคู่เมืองฉะเชิงเทราและยังเป็นวัดที่ชาวฉะเชิงเทราและชาวไทยให้ความเคารพสักการะ มาถึงเมืองแปดริ้วแล้วสิ่งที่ไม่ควรพลาดคือการมากราบไหว้ขอพรหลวงพ่อโสธรเพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ชีวิต
ใครๆ ต่างก็รับรู้ถึงบารมีและความศักดิ์สิทธิ์ในแง่ของการกราบขอพรองค์ท่าน แต่ละวันจะมีผู้มากราบไหว้ขอพร นำไข่ต้มมาถวายจำนวนมาก วิหารขนาดใหญ่สวยงามอลังการตั้งเด่นสง่าอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง บรรยากาศภายในบริเวณวัดสงบ ร่มเย็น และมีสายลมพัดตลอดทั้งวัน ไม่ว่าใครที่ได้ไปเยือนต่างก็สัมผัสได้ถึงความขลังและร่มเย็นแบบสุดๆ
ในอดีตมีประวัติเล่าขานกันมาว่า เมื่อปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา มีพระพุทธรูปลอยน้ำมา 3 องค์ที่แม่น้ำบางปะกง ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นมาบนฝั่งได้ ไม่ว่าจะทำวิธีใดก็ตาม ใช้เชือกเส้นใหญ่ก็ขาด อีกทั้งยังเกิดกระแสน้ำปั่นป่วนเป็นที่น่าอัศจรรย์ ทำให้พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ จมหายไป ชาวบ้านต่างกราบไหว้ปาฏิหาริย์ในครั้งนั้น
กระทั่งต่อมาพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ได้ผุดขึ้นในบริเวณต่างๆ กัน โดยองค์แรก ลอยไปผุดขึ้นที่คลองวัดบางพลี จึงอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดบางพลี จ.สมุทรปราการเป็น
“หลวงพ่อโตบางพลี” องค์ที่สองลอยไปที่บ้านแหลม จ.สมุทรสงคราม ชาวบ้านได้จึงอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดบ้านแหลม เป็น
“หลวงพ่อวัดบ้านแหลม” ส่วนองค์สุดท้าย ผุดขึ้นที่แม่น้ำบางปะกง จึงทำพิธีอัญเชิญขึ้นประดิษฐานที่วัดเสาธงทอนหรือวัดโสธรในปัจจุบัน และได้ชื่อว่า
“หลวงพ่อโสธร”หลวงพ่อโสธรประดิษฐานอยู่ที่พระอุโบสถ วัดโสธรวรารามวรวิหาร ซึ่งมีพระอุโบสถ 2 หลัง คือ พระอุโบสถหลังใหม่ ประดิษฐานหลวงพ่อโสธรองค์จริง และพระอุโบสถที่อยู่ข้างๆ เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโสธรจำลอง โดยสามารถเข้ากราบไหว้หลวงพ่อโสธรได้ทั้งสองพระอุโบสถ
ทั้งนี้โดยนิยมนำของไปบนบานหลวงพ่อ ได้แก่ ไข่ต้ม 99 ฟอง และพวงมาลัย 9 พวง
และบุญบารมีของหลวงพ่อก็ได้ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพให้คนฉะเชิงเทราด้วย
หนึ่งในนั้นคือการต้มไข่ขายที่หน้าวัดค่ะ และก็มีขนม อาหาร และอีกหลายสิ่ง ขายอยู่หน้าวัดด้วยนะคะ
2 วัดสมานรัตนาราม หรือ วัดพระพิฆเนศ ซึ่งตัววัดตั้งอยู่บนตำแหน่งฮวงจุ้ยที่เป็นมงคลคือตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ภายในวัดมีองค์เทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ และที่พลาดไม่ได้คือ
พระพิฆเนศปางนอนเสวยสุข ผิวสีชมพูที่มีความสูงถึง 16 เมตรและยาว 22 เมตร มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ปางนอนเสวยสุขนั้นมีความหมายว่า เป็นปางที่ประทานความมีกินมีใช้ เงินทองไม่ขาดมือ อยู่อย่างสุขสบาย อิ่มหนำสำราญ ขจัดปัญหา ไม่มีเรื่องให้วุ่นวายใจ เนื้อองค์มีสีชมพู พร้อมทั้งยังเดินทางมาแก้ปีชงวันปีใหม่เนื่องจากต้องแก้โชคร้ายให้กลายเป็นดี หรือผ่อนหนักให้เป็นเบา
นอกจากนี้ยังมีพระพิฆเนศปางปาฏิหารย์ 108 กร องค์ท้าวมหาพรหม พระราหู
เจ้าแม่กวนอิม ปางประทานบุตร เป็นองค์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หากมาไหว้ขอพร จะนำมาซึ่งโชคลาภดังปรารถนา
มีพระราหู ตามความเชื่อในการขอพร ไหว้ด้วยของดำบูชาพระราหู จะทำให้เกิดโชคลาภ และความสำเร็จ
อีกทั้งยังมีชื่อเสียงในเรื่องของการแก้ปีชงอีกด้วย
ชมกระทงยักษ์กลางแม่น้ำบางปะกง ใช้กลีบกระทงสีสันสวยงามถึง 555 กลีบ บนยอดกระทงสร้างเป็นมณฑป บรรจุพระบรมสารีริกธาตุองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสาวก เพื่อให้ประชาชนสักการะ
ภายในวัดมีรูปปั้นพญานาคขนาดใหญ่รูปทรงและสีสันต่างๆ มากมาย เป็นมุมถ่ายรูปยอดนิยมที่ใครต่อใครมักมาถ่ายรูปพญานาค
ภายในวัดมีหลวงพ่อโตเก่าแก่ อายุ 143 ปีในอุโบสถหลังเก่าอีกด้วย รอบๆ ทางเข้าวัดยังมีของอร่อยๆ ให้เลือกซื้อกลับไปเป็นของฝากอีกเพียบ
3 ศาลหลักเมืองและศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ไม่ไกลจากวัดหลวงพ่อโสธร คือศาลหลักเมือง ฉะเชิงเทรา เป็นศาลที่สร้างขึ้นใหม่ตั้งอยู่ถนนหน้าเมือง เป็นอาคารสถาปัตยกรรมไทยหลังคาทรงจตุรมุข ส่วนบนเป็นยอดปรางค์ ภายในศาลมีเสาหลักเมือง 2 เสา เสาหนึ่งเป็นเสาหลักเมืองเก่าสร้างเมื่อ พ.ศ. 2377 อีกเสาหนึ่งเป็นเสาหลักเมืองปัจจุบันสร้างเมื่อ พ.ศ. 2438
สักการะเสาหลักเมืองของจังหวัดฉะเชิงเทราสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2377 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่สถิตของจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และเพื่อคุ้มครองบ้านเมืองกับประชาชนให้พ้นจากภัยสงครามและภัยอันตรายทั้งปวง ในสมัยนั้นได้เกิดข้อพิพาทไทย-ญวน และฉะเชิงเทราก็เป็นเมืองหน้าด่านสำคัญในการปกป้องราชธานีจากการรุกรานของญวน จึงมีการสร้างป้อมกำแพงเมืองขึ้นพร้อม ๆ กับการสร้างเสาหลักเมืองแห่งนี้ ซึ่งต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสาหลักเมืองนี้ได้เกิดการชำรุดจึงมีการนำไม้มะค่ามาแทนเสาหลักเมืองเดิมพร้อมประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลและสมโภชน์ในการยกเสาหลักเมือง และต่อมามีพิธีสมโภชศาลหลักเมือง เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2542
นอกจากนั้นยังมีศาลเจ้าพ่อหลักเมืองอยู่ในบริเวณเดียวกัน ซึ่งมีศิลปะเป็นแบบจีนที่มีความงดงามมาก ถือว่าเป็นสถานที่ห้ามพลาดหากใครมาเยือนเมืองแปดริ้ว
4 ล่องเรือชมแม่น้ำบางปะกง ใครหลายคนมาเที่ยวฉะเชิงเทราบ่อยๆ แต่ไม่ค่อยมีโอกาสล่องเรือในแม่น้ำบางปะกง ซึ่งเป็นอีกรูปแบบการท่องเที่ยวที่ขอแนะนำค่ะ
แม่น้ำบางปะกง เป็นแม่น้ำสายสำคัญของจังหวัด และเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านกลางใจเมืองฉะเชิงเทรา และไหลออกสู่ทะเลอ่าวไทยที่บริเวณอำเภอบางปะกง
แม่น้ำบางปะกงเป็นแม่น้ำที่มีความพิเศษกว่าแม่น้ำสายอื่นคือมีทั้งน้ำจืดและน้ำกร่อย ขึ้นอยู่กับในแต่ละเดือนที่มีน้ำทะเลหนุน
การได้ล่องเรือ ชมวิวสองฝั่งแม่น้ำ ที่ขอบอกว่าเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ที่เรายังเห็นป่าจาก และป่าโกงกางอยู่เต็มไปหมด อากาศเย็นสบาย สัมผัสวิถีชีวิตริมแม่น้ำบางปะกงได้แบบสโลว์ไลฟ์ ผ่านวัดโสธร วัด
ไชยภูมิธาราม หรือวัดท่าอิฐ(ชมหลวงพ่อสมปรารถนา พระองค์ใหญ่ริมน้ำ) ผ่านบ้านเรือนและร้านอาหารริมน้ำต่างๆ วิวดีสุดๆโดยเฉพาะช่วงพระอาทิตย์ตกดิน
นั่งบนเรือทานอะไรรองท้องไปด้วย ได้วิวแสนเพลิน อิ่มอร่อยด้วยค่ะ
5 ร้านเอกเขนก ร้านอาหารริมแม่น้ำบางปะกงที่แสนชิลมาก ที่ถ้าหากพูดถึงร้านอร่อยในฉะเชิงเทราแล้ว เอกเขนกอยู่ในแถวหน้าอย่างแน่นอน บรรยากาศดี วิวดีงาม
ภายในร้านมีที่นั่งให้เลือกหลากหลายโซน ทั้งโซนห้องแอร์ ห้องคาราโอเกะ ห้องจัดเลี้ยง โซนโอเพ่นแอร์ และโซนริมแม่น้ำ
ไม่ว่าจะนั่งมุมไหนก็ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศของสายน้ำบางปะกง ทั้งส่วนอินดอร์ เอ้าดอร์ รวมกว่า 100 โต๊ะ
มีท่าลงเรือ และมีพื้นที่จอดรถสะดวกสบาย
ที่ร้านมีอาหารไทย ซีฟู้ด โดยมี Signature คือ
กุ้งแม่น้ำยักษ์เผา
ปูทะเลขุด (เขาบอกว่าเป็นปูทะเลที่ขุดมาเนื้อจะแน่นอร่อยมากค่ะ) และอาหารทะเลสดๆ ขอบอกว่ากุ้งแม่น้ำเผาที่นี่ตัวใหญ่จริงๆจัง และยังมีกุ้งแม่น้ำทอดกระเทียม
เนื้อปูก้อนผัดพริกขี้หนู
ยำสามไข่
แกงส้มปูทะเลหน่อไม้ดอง
ผัดวุ้นเส้นชะอม
หอยนางรมทรงเครื่อง
น้ำพริกผักสด และเมนูอีกมากมาย
หนึ่งในนั้นคือปลาช่อนทรงเครื่อง ที่ทอดกรอบพร้อมปรุงรสจัดจ้านมาในแบบลาบ และเลยได้รู้ที่มาว่า การที่เรียกเมืองแปดริ้ว เพราะปลาอุดมสมบูรณ์และตัวใหญ่ สามารถหั่นปลาได้เป็นริ้วๆถึง 8 ริ้วนั่นเอง
คุณนก - อุมากร ชลาฤทธิ์จินดา เจ้าของร้านเล่าว่า ร้านอาหารเอกเขนก เปิดมา 13 ปีแล้ว เริ่มต้นจากการเช่าที่เล็กๆ มีโต๊ะประมาณ 10 กว่าตัว จนปัจจุบันได้ซื้อที่ดิน และขยายจนมีพื้นที่มากกว่า 3 ไร่อยู่ติดแม่น้ำบางปะกงในตัวเมืองฉะเชิงเทรา มีท่าลงเรือ ที่สามารถล่องเรือชมวิว หรือล่องเรือทานอาหารได้ มีจุดบริการเจตสกี ซื้อขายซ่อมบำรุงครบวงจร ในชื่อของ “เอกเขนกพาวเวอร์สปอร์ต“
ร้านตั้งอยู่บริเวณถนนมหาจักรพรรดิ์ตรงมาเรื่อยๆ ข้ามสะพานกลับรถ ร้านอยู่ใต้สะพานริมแม่น้ำบางปะกง ตรงเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา ที่จริงเราก็ล่องเรือของร้านนี่ล่ะค่ะไปเที่ยวชมแม่น้ำบางปะกง เรือของร้านเป็นขนาดนั่งดินเนอร์ได้ 10 กว่าคน
วันที่เราไป
คุณฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไปด้วยกัน สนุกสนานกับการชมวิว เรือนั่งสบายเลยทีเดียวค่ะ ร้านเปิดเวลา 10.30-23.00 น. โทรสอบถามได้ที่ 081-949-1394
Facebook: ร้านอาหารเอกเขนก – แปดริ้ว
เรื่องและรูปโดย Travelista นักเดินทางลายน้ำของภาพโดย Ghost Writer Ta