พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. พอดวงตะวันขึ้น หิ่งห้อยก็อับแสง
.
เป็นอย่างนั้น อานนท์ ! เป็นอย่างนั้น อานนท์ ! ตลอดเวลาที่ตถาคตผู้เป็นอรหันต์ตรัสรู้ชอบเอง ยังไม่เกิดขึ้นในโลกอยู่เพียงใด, เหล่าปริพพาชกผู้เป็นเดียรถีย์อื่น ๑ ก็ยังเป็นที่สักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม และยังมีลาภด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานเภสัช อยู่ตลอดเวลาเพียงนั้น.
อานนท์ ! ในกาลใด ตถาคตผู้เป็นอรหันต์ตรัสรู้ชอบเองเกิดขึ้นในโลก, เมื่อนั้น เหล่าปริพพาชกผู้เป็นเดียรถีย์อื่น ก็หมดความเป็นที่สักการะเคารพนับถือบูชานอบน้อม และไม่มีลาภด้วยจีวรบิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานเภสัช. และในบัดนี้ ตถาคตเป็นที่สักการะเคารพนับถือบูชานอบน้อม และมีลาภด้วยจีวร บิณฑบาติ เสนาสนะ คิลานเภสัช, รวมทั้งภิกษุสงฆ์ นี้ด้วย.
พระผู้มีพระภาคทรงแจ่มแจ้งในความข้อนี้ ได้ทรงอุทานคำอุทานนี้ขึ้นว่า:-
"หิ่งห้อยนั้น ย่อมส่องแสงอยู่ได้ชั่วเวลาที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นมา .. ครั้นอาทิตย์ขึ้นมา หิ่งห้อยก็หมดแสงไม่มีสว่างอีก.
เดียรถีย์ทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น. โอกาสอยู่ได้ชั่วเวลาที่บุคคลผู้ตรัสรู้ชอบด้วยตนเองยังไม่เกิดขึ้นในโลก.
พวกที่ได้แต่นึก ๆ เอา (คือไม่ตรัสรู้) ย่อมบริสุทธิ์ไม่ได้. ถึงแม้สาวกของเขาก็เหมือนกัน. ผู้ที่มีความเห็นผิด จะไม่พ้นทุกข์ไปได้เลย". . . . บาลี ชัจจันธวรรค อุ. ขุ. ๒๕/๑๙๖/๑๔๖. ตรัสแก่พระอานนท์ ที่เชตวัน.
(หมายเหตุ .. จขบ
"พวกที่ได้แต่นึก ๆ เอา" .. คำนี้เองที่เราพบเจอมากในโลกนี้ .. ที่ไม่เฉพาะศาสนาพุทธในแนวบิดเบือนทั้งหลาย ..
แต่รวมทั้งศาสนาที่นับถือพระเจ้าทั้งหมด .. ล้วนเกิดจากการแค่นึก ๆ เอาทั้งนั้น และส่วนมากขาดเหตุผล จึงต้องใช้ "ความศักดิสิทธิ์" คอยปกป้องความเชื่อ คอยปกป้องปมด้อยจากความไร้เหตุผลที่น่าอับอาย เอาไว้.
เนื่องจาก"ความศรัทธา" นั้นเกิดได้ง่าย มีได้ง่าย ซึ่งแตกต่างกันมากกับ "ความเป็นผู้มีปัญญา" ที่ผู้ศึกษาพุทธธรรมจำต้องมี ..
เราสามารถพูดได้ง่ายๆว่า .. แม้ในศาสนาแห่งปัญญาอย่างพุทธเอง .. ชนผู้สามารถเข้าถึงและเข้าใจถ่องแท้ในระดับโลกุตรธรรมนั้น .. จำนวนยังน้อยกว่าเด็กนักเรียนที่ได้เกรด A ในห้องเรียนหนึ่งๆ .. เสียอีก .. นั่นคือกลุ่มที่สามารถเข้าใจธรรมด้วยกำลังแห่งปัญญาได้
ที่เหลือ คือ พวกที่หากทำข้อสอบก็ได้เกรด B, C, D, F .. ซึ่งย่อมมีปริมาณมากมาย .. นี่คือพวกที่ต้องมีศรัทธานำเสมอไป ยากที่จะเข้าใจธรรมในระดับโลกุตระได้ .. ยิ่งพวก D, F คือกลุ่มที่ยังเกลือกอยู่ด้วย ไสยศาสตร์ ด้วยแล้ว .. ไม่มีโอกาสแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว
ส่วนกลุ่ม B, C เปรียบได้กับพวกที่นับถือพระเจ้าทั้งหลาย .. รวมทั้งพุทธสายศรัทธา .. ใช้ความเชื่อความศรัทธาเป็นตัวนำจิตนำความคิดไปในทุกเรื่องราว .. ปัญญาญาณไม่มีกำลังมากนัก ..
การหลอกลวง ในประเด็น "อวดอุตริมนุสสธรรม" จึงจะพบเจอมากในกลุ่มชนพวกนี้ C, D, F จนเป็นเรื่องปกติ)
Create Date : 28 ตุลาคม 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 28 ตุลาคม 2555 5:37:41 น. |
Counter : 1074 Pageviews. |
|
|
|