อริยสัจจากพระโอษฐ์ .. จิตเป็นสมาธิแล้วรู้อริยสัจได้แจ่มใส เหมือนเห็นของในน้ำอันใส
.
...ครั้นจิตตั้งมั่น บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยน ความแก่การงาน ตั้งอยู่ได้ ไม่หวั่นไหว เช่นนี้แล้ว, เธอก็น้อมจิตไปเฉพาะต่อ ญาณเป็นเครื่องสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย.เธอย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า .. - นี้เป็นทุกข์, - นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์, - นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์, - และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์;
- เหล่านี้เป็นอาสวะทั้งหลาย, - นี้เป็นเหตุให้เกิดอาสวะ, - นี้เป็นความดับไม่เหลือของอาสวะ, - และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของอาสวะ; ดังนี้.
เมื่อเธอรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้จิตก็พ้นแล้ว จาก อาสวะคือกาม อาสวะคือ ภพ อาสวะคืออวิชชา. ครั้นจิตพ้นแล้วก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่า "พ้นแล้ว" เธอรู้ชัดว่า "ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความหลุดพ้นอย่างนี้ มิได้มีอีก" ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนห้วงน้ำใส ที่ไหล่เขา ไม่ขุ่นมัว, คนมีจักษุ (ไม่บอด) ยืนอยู่บนฝั่ง ณ ที่นั้น : เขาจะเห็นหอยต่าง ๆ บ้าง กรวดและหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง อันหยุดอยู่และว่ายไปในห้วงน้ำนั้น. เขาจำจะสำนึกใจอย่างนี้ว่า ..
"ห้วงน้ำนี้ใสไม่ขุ่นมัวเลย : หอย ก้อนกรวด ปลาทั้งหลายเหล่านี้ หยุดอยู่บ้าง ว่ายไปบ้าง ในห้วงน้ำนั้น" : อุปมานี้เป็นฉันใด;
ภิกษุ ท. ! อุปไมยก็ฉันนั้นเหมือนกัน, ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง ว่า .. - นี้เป็นทุกข์, - นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์. - นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์, - และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์;
- เหล่านี้เป็นอาสวะทั้งหลาย, - นี้เป็นเหตุให้เกิดอาสวะ, - นี้เป็นความดับไม่เหลือของอาสวะ, - และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของอาสวะ;" ดังนี้.
เมื่อเธอรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตก็พ้นแล้ว จากอาสวะคือกาม อาสวะคือภพ อาสวะคืออวิชชา. ครั้นจิตพ้นแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ ว่า "พ้นแล้ว" เธอนั้นรู้ชัดว่า "ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความหลุดพ้นอย่างนี้ มิได้มีอีก" ดังนี้. . . . มู. ม. ๑๒/๕๐๙/๔๗๗
Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2556 |
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2556 7:24:08 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1096 Pageviews. |
|
|
|
|
|