Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2555
 
29 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. ทรงคิดค้นเรื่องเบญจขันธ์ ก่อนตรัสรู้

.




ภิกษุ ท. !
ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ความสงสัยได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ..
- อะไรหนอ เป็นรสอร่อยของรูป,
- อะไรเป็นโทษของรูป,
- อะไรเป็นอุบายเครื่องพ้นไปได้จากรูป ?
- อะไรหนอเป็นรสอร่อยของเวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ,
- อะไรเป็นโทษของเวทนา…สัญญา...สังขาร...วิญญาณ,
- อะไรเป็นอุบายเครื่องพ้นไปได้จากเวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ ?


(หมายเหตุ จขบ.
- อะไรหนอเป็นรสอร่อยของ .. วิญญาณ
- อะไรเป็นโทษของ .. วิญญาณ
- อะไรเป็นอุบายเครื่องพ้นไปได้จาก .. วิญญาณ

จับตัว วิญญาณ มาเน้นย้ำกันอีกทีว่า .. ต้องเข้าใจคำว่า .."วิญญาณ".. เสียใหม่ให้ถูกต้อง .. ที่ยกมาจะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องของนามธรรมในจิตล้วนๆ ทั้ง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ยกเว้นรูปที่เป็นรูปธรรมเพียงอย่างเดียว

หากไปเที่ยวแปลว่า มนัส หรือ จิต หรือ"สิ่งที่ล่องลอยออกจากร่างหลังตายแล้ว" .. ก็ลองเอาความหมายที่เข้าใจนั้นมาต่อเข้ากับคำถามที่พระพุทธองค์ทรงตั้งขึ้นดูว่าจะเข้ากันได้หรือไม่ ?

หรือหากแปล วิญญาณ ว่า "ตัวรับรู้ที่โง่เขลาที่แนบเนื่องอยู่กับทวารรับรู้ทั้ง 6"

อย่างไหนจะแปลแล้วได้เรื่องกว่ากัน )



ภิกษุ ท. !
ความรู้ข้อนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ..
- สุขโสมนัสใดๆ ที่อาศัยรูปแล้วเกิดขึ้น สุขและโสมนัสนั้นแลเป็น รสอร่อยของรูป;
- รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ทรมาน มีการแปรปรวนเป็นธรรมดา ด้วยอาการใด อาการนั้นเป็นโทษของรูป;
- การนำออกเสียได้ ซึ่งความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ การละความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ ในรูปเสียได้ นั้นเป็นอุบายเครื่องออกไปพ้นจากรูปได้.

(ในเวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ ก็นัยเดียวกัน).


ภิกษุ ท. !
ตลอดเวลาเพียงไร ที่เรายังไม่รู้จักรสอร่อยของอุปาทานขันธ์ทั้งห้าว่าเป็นรสอร่อย ไม่รู้จักโทษว่าเป็นโทษ ไม่รู้จักอุบายเครื่องออกว่าเป็นอุบายเครื่องออก ตามที่เป็นจริง, ตลอดเวลาเพียงนั้น เรายังไม่รู้สึกว่าได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกนี้พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา พร้อมทั้งมนุษย์.

ภิกษุ ท. !
เมื่อใดแล เรารู้จักรสอร่อยของอุปาทานขันธ์ทั้งห้าว่าเป็นรสอร่อย รู้จักโทษว่าเป็นโทษ รู้จักอุบายเครื่องออกว่าเป็นอุบายเครื่องออก ตามที่เป็นจริง, เมื่อนั้น เราก็รู้สึกว่าได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลกพร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาพร้อมทั้งมนุษย์.

ก็แหละญาณทัศนะเครื่องรู้เครื่องเห็น เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความหลุดพ้นของเราไม่กลับกำเริบ, ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย, บัดนี้ภพเป็นที่เกิดใหม่ มิได้มีอีก, ดังนี้.


( หมายเหตุ .. จขบ

ญาณ - ความรู้, ปรีชาหยั่งรู้, ปรีชากําหนดรู้หรือความเข้าใจตามความเป็นจริงของธรรม(ธรรมชาติ) หรือก็คือ ปัญญาที่เข้าใจอย่างถูกต้องแจ่มแจ้งแท้จริง ตามธรรมหรือธรรมชาติ

เมื่อ ญาณทัศนะ เกิดขึ้น แปลว่า จิตรับรู้สภาพธรรมรอบตัวแล้วเข้าใจได้เลยโดยถ่องแท้ ไม่มความคลุมเครือหรือสงสัยใดๆ ..

ภพ อันเป็นที่เกิดใหม่ "มิได้มีอีก" .. ตรงนี้เนื่องจากว่า ญาณทัศนะนั้นคือ วิชชา หรือ ภาวะที่อวิชชาหมดไปหรือดับไป .. แล้วทำให้สังขารดับ ตามสายปฏิจจสมุปบาทคือ ..

อวิชชาดับ -> สังขารดับ -> วิญญาณดับ -> นามรูปดับ -> สฬายตนะดับ(อายตนะนอก/ใน-ดับ) -> ผัสสะดับ -> เวทนาดับ -> ตัณหาดับ -> อุปาทานดับ -> ภพดับ -> ชาติดับ -> ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมมัส อุปายาส ดับ ..... คือจิตถอนอาสวะออกได้หมด .. คือ บรรลุอรหันต์

ภพ อันเป็นที่เกิดใหม่ "มิได้มีอีก" จึงทำให้ "ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย" .. เพราะเมื่อปราศจากอำนาจการปรุงแต่งของ "สังขาร" แล้ว ชาติย่อมมีใหม่ไม่ได้อีกต่อไป .. ตลอดกาล -> หมายถึงชาติในจิตนั่นเอง .. ไม่ใช่การเกิดจากท้องแม่แต่อย่างใด

จิตนั้นๆ จึงประสบกับภาวะที่เย็น สงบ ไม่ดิ้นรนเร่าร้อนอีกเลย

ดังนั้นธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสในวาระต่างๆนั้น หากพิจารณาให้ดี สามารถจับลงในสายปฏิสมุปบาทได้ทั้งสิ้น)



นอกจากการคิดค้นเรื่องเบญจขันธ์นี้แล้ว ยังมีการคิดค้นอีก ๓ เรื่อง ด้วยวิธีการณ์ที่บรรยายไว้เป็นคำพูดอย่างเดียวกันกับเรื่องนี้ ทุกระเบียบอักษร คือ
คิดค้น ..
- เรื่อง ธาตุสี่ (นิทาน.สํ. ๑๖/๒๐๓/๔๐๔),
- เรื่อง อายตนะภายในหก (สฬา.สํ.๑๘/๘/๑๓),
- เรื่อง อายตนะภายนอกหก (สฬา.สํ.๑๘/๙/๑๔). -- ผู้รวบรวม.

.
.
.
บาลี ปัญจมสูตร ภารวรรค ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๔/๕๙.




Create Date : 29 พฤษภาคม 2555
Last Update : 29 พฤษภาคม 2555 20:43:34 น. 0 comments
Counter : 1166 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.