พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. ทรงคิดค้นเรื่องเบญจขันธ์ ก่อนตรัสรู้
.
ภิกษุ ท. ! ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ความสงสัยได้เกิดขึ้นแก่เราว่า .. - อะไรหนอ เป็นรสอร่อยของรูป, - อะไรเป็นโทษของรูป, - อะไรเป็นอุบายเครื่องพ้นไปได้จากรูป ? - อะไรหนอเป็นรสอร่อยของเวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ, - อะไรเป็นโทษของเวทนา
สัญญา...สังขาร...วิญญาณ, - อะไรเป็นอุบายเครื่องพ้นไปได้จากเวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ ?
(หมายเหตุ จขบ. - อะไรหนอเป็นรสอร่อยของ .. วิญญาณ - อะไรเป็นโทษของ .. วิญญาณ - อะไรเป็นอุบายเครื่องพ้นไปได้จาก .. วิญญาณ
จับตัว วิญญาณ มาเน้นย้ำกันอีกทีว่า .. ต้องเข้าใจคำว่า .."วิญญาณ".. เสียใหม่ให้ถูกต้อง .. ที่ยกมาจะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องของนามธรรมในจิตล้วนๆ ทั้ง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ยกเว้นรูปที่เป็นรูปธรรมเพียงอย่างเดียว
หากไปเที่ยวแปลว่า มนัส หรือ จิต หรือ"สิ่งที่ล่องลอยออกจากร่างหลังตายแล้ว" .. ก็ลองเอาความหมายที่เข้าใจนั้นมาต่อเข้ากับคำถามที่พระพุทธองค์ทรงตั้งขึ้นดูว่าจะเข้ากันได้หรือไม่ ?
หรือหากแปล วิญญาณ ว่า "ตัวรับรู้ที่โง่เขลาที่แนบเนื่องอยู่กับทวารรับรู้ทั้ง 6"
อย่างไหนจะแปลแล้วได้เรื่องกว่ากัน )
ภิกษุ ท. ! ความรู้ข้อนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า .. - สุขโสมนัสใดๆ ที่อาศัยรูปแล้วเกิดขึ้น สุขและโสมนัสนั้นแลเป็น รสอร่อยของรูป; - รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ทรมาน มีการแปรปรวนเป็นธรรมดา ด้วยอาการใด อาการนั้นเป็นโทษของรูป; - การนำออกเสียได้ ซึ่งความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ การละความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ ในรูปเสียได้ นั้นเป็นอุบายเครื่องออกไปพ้นจากรูปได้.
(ในเวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ ก็นัยเดียวกัน).
ภิกษุ ท. ! ตลอดเวลาเพียงไร ที่เรายังไม่รู้จักรสอร่อยของอุปาทานขันธ์ทั้งห้าว่าเป็นรสอร่อย ไม่รู้จักโทษว่าเป็นโทษ ไม่รู้จักอุบายเครื่องออกว่าเป็นอุบายเครื่องออก ตามที่เป็นจริง, ตลอดเวลาเพียงนั้น เรายังไม่รู้สึกว่าได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกนี้พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา พร้อมทั้งมนุษย์.
ภิกษุ ท. ! เมื่อใดแล เรารู้จักรสอร่อยของอุปาทานขันธ์ทั้งห้าว่าเป็นรสอร่อย รู้จักโทษว่าเป็นโทษ รู้จักอุบายเครื่องออกว่าเป็นอุบายเครื่องออก ตามที่เป็นจริง, เมื่อนั้น เราก็รู้สึกว่าได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลกพร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาพร้อมทั้งมนุษย์.
ก็แหละญาณทัศนะเครื่องรู้เครื่องเห็น เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความหลุดพ้นของเราไม่กลับกำเริบ, ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย, บัดนี้ภพเป็นที่เกิดใหม่ มิได้มีอีก, ดังนี้.
( หมายเหตุ .. จขบ
ญาณ - ความรู้, ปรีชาหยั่งรู้, ปรีชากําหนดรู้หรือความเข้าใจตามความเป็นจริงของธรรม(ธรรมชาติ) หรือก็คือ ปัญญาที่เข้าใจอย่างถูกต้องแจ่มแจ้งแท้จริง ตามธรรมหรือธรรมชาติ
เมื่อ ญาณทัศนะ เกิดขึ้น แปลว่า จิตรับรู้สภาพธรรมรอบตัวแล้วเข้าใจได้เลยโดยถ่องแท้ ไม่มความคลุมเครือหรือสงสัยใดๆ ..
ภพ อันเป็นที่เกิดใหม่ "มิได้มีอีก" .. ตรงนี้เนื่องจากว่า ญาณทัศนะนั้นคือ วิชชา หรือ ภาวะที่อวิชชาหมดไปหรือดับไป .. แล้วทำให้สังขารดับ ตามสายปฏิจจสมุปบาทคือ ..
อวิชชาดับ -> สังขารดับ -> วิญญาณดับ -> นามรูปดับ -> สฬายตนะดับ(อายตนะนอก/ใน-ดับ) -> ผัสสะดับ -> เวทนาดับ -> ตัณหาดับ -> อุปาทานดับ -> ภพดับ -> ชาติดับ -> ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมมัส อุปายาส ดับ ..... คือจิตถอนอาสวะออกได้หมด .. คือ บรรลุอรหันต์
ภพ อันเป็นที่เกิดใหม่ "มิได้มีอีก" จึงทำให้ "ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย" .. เพราะเมื่อปราศจากอำนาจการปรุงแต่งของ "สังขาร" แล้ว ชาติย่อมมีใหม่ไม่ได้อีกต่อไป .. ตลอดกาล -> หมายถึงชาติในจิตนั่นเอง .. ไม่ใช่การเกิดจากท้องแม่แต่อย่างใด
จิตนั้นๆ จึงประสบกับภาวะที่เย็น สงบ ไม่ดิ้นรนเร่าร้อนอีกเลย
ดังนั้นธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสในวาระต่างๆนั้น หากพิจารณาให้ดี สามารถจับลงในสายปฏิสมุปบาทได้ทั้งสิ้น)
นอกจากการคิดค้นเรื่องเบญจขันธ์นี้แล้ว ยังมีการคิดค้นอีก ๓ เรื่อง ด้วยวิธีการณ์ที่บรรยายไว้เป็นคำพูดอย่างเดียวกันกับเรื่องนี้ ทุกระเบียบอักษร คือ คิดค้น .. - เรื่อง ธาตุสี่ (นิทาน.สํ. ๑๖/๒๐๓/๔๐๔), - เรื่อง อายตนะภายในหก (สฬา.สํ.๑๘/๘/๑๓), - เรื่อง อายตนะภายนอกหก (สฬา.สํ.๑๘/๙/๑๔). -- ผู้รวบรวม. . . . บาลี ปัญจมสูตร ภารวรรค ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๔/๕๙.
Create Date : 29 พฤษภาคม 2555 |
Last Update : 29 พฤษภาคม 2555 20:43:34 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1166 Pageviews. |
|
|
|
|
|