พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. การตรัสเรื่อง "มหาภูต" ไม่หยั่งลงในที่ไหน
.
เกวัฏฏะ ! เรื่องเคยมีมาแล้ว : ภิกษุรูปหนึ่ง ในหมู่ภิกษุนี้เอง เกิดความสงสัยขึ้นในใจว่า .. "มหาภูตสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหล่านี้ ย่อมดับสนิทไม่มีเศษเหลือ ในที่ไหนหนอ" ดังนี้.
(ความว่า ภิกษุรูปนั้นได้เข้าสมาธิ อันอาจนำไปสู่เทวโลก ได้นำเอาปัญหาข้อที่ตนสงสัยนั้นไปเที่ยวถาม .. - เทวดาพวกจาตุมมหาราชิกา, เมื่อไม่มีใครตอบได้ ก็เลยไปถาม .. - เทวดาในชั้นดาวดึงส์, เทวดาชั้นนั้นโยนให้ไปถาม .. - ท้าวสักกะ, - ท้าวสุยามะ, - ท้าวสันตุสิตะ, - ท้าวสุนิมมิตะ, - ท้าวปรนิมมิตวสวัตตี, - ถามเทพพวกพรหมกายิกา, - กระทั่งท้าวมหาพรหมในที่สุด, ท้าวมหาพรหมพยายามหลีกเลี่ยงเบี่ยงบ่ายที่จะไม่ตอบอยู่พักหนึ่ง แล้วในที่สุดได้สารภาพว่าพวกเทวดาทั้งหลายพากันคิดว่าท้าวมหาพรหมเอง เป็นผู้รู้เห็นไปทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ที่จริงไม่รู้ในปัญหาที่ว่ามหาภูตรูปจักดับไปในที่ไหนนั้นเลย.
มันเป็นความผิดของภิกษุนั้นเองที่ไม่ไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า ในที่สุดก็ต้องย้อนกลับมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า).
เกวัฏฏะ ! ภิกษุนั้นได้กลับมาอภิวาทเรา นั่ง ณ ที่ควร แล้วถามเราว่า ..
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มหาภูตสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหล่านี้ ย่อมดับสนิทไม่มีเศษเหลือ ในที่ไหน ? " ดังนี้.
เกวัฏฏะ ! เมื่อเธอถามขึ้นอย่างนี้ เราได้กล่าวกะภิกษุนั้นว่า ..
แน่ะภิกษุ ! เรื่องเก่าแก่มีอยู่ว่า พวกค้าทางทะเล ได้พานกสำหรับค้นหาฝั่งไปกับเรือค้าด้วย. เมื่อเรือหลงทิศในทะเล และแลไม่เห็นฝั่ง พวกเขาปล่อยนกสำหรับค้นหาฝั่งนั้นไป.
นกนั้นบินไปทางทิศตะวันออกบ้าง ทิศใต้บ้าง ทิศตะวันตกบ้าง ทิศเหนือบ้าง ทิศเบื้องบนบ้าง ทิศน้อย ๆ บ้าง. เมื่อมันเห็นฝั่งทางทิศใดแล้วมันก็จะบินตรงไปยังทิศนั้น, แต่ถ้าไม่เห็น ก็จักบินกลับมาสู่เรือตามเดิม.
ภิกษุ ! เช่นเดียวกับเธอนั้นแหละ ได้เที่ยวหาคำตอบของปัญหานี้ มาจนจบทั่วกระทั่งถึงพรหมโลกแล้ว ในที่สุดก็ยังต้องย้อนมาหาเราอีก.
ภิกษุ ! ในปัญหาของเธอนั้น เธอไม่ควรตั้งคำถามขึ้นว่า "มหาภูตสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลมเหล่านี้ ย่อมดับสนิทไม่มีเศษเหลือในที่ไหน ?" ดังนี้เลย,
อันที่จริง เธอควรจะตั้งคำถามขึ้นอย่างนี้ว่า: .. - ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน ? - ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน? - นามรูป ย่อมดับสนิทไม่มีเศษเหลือในที่ไหน ? ดังนี้ต่างหาก.
ภิกษุ ! ในปัญหานั้น คำตอบมีดังนี้:
"สิ่ง" สิ่งหนึ่ง ซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ไม่มีที่สุด แต่มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ, นั้นมีอยู่.
- ใน "สิ่ง" นั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลมไม่หยั่งลงได้. - ใน "สิ่ง"นั้นแหละความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งามไม่หยั่งลงได้. - ใน "สิ่ง" นั้นแหละ นามรูปย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ นามรูป ดับสนิทใน"สิ่ง" นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ, ดังนี้"
(หมายเหตุ จขบ
"สิ่ง"ที่พระพุทธองค์พูดถึง .. อาจดูเหมือนจะเข้าใจยากอยู่สักหน่อยว่าหมายถึงอะไร .. แต่เมื่อมาถึงข้อสุดท้ายที่ว่า ..
ใน"สิ่ง"นั้นแหละ นามรูปย่อมดับสนิท เพราะการดับสนิทของวิญญาณ ..
ก็แจ่มแจ้งชัดเจน .. ว่า .. เมื่อนามรูปดับ .. ย่อมเป็นปัจจัยให้วิญญาณดับ .. เมื่อวิญญาณดับ .. ย่อมเป็นปัจจัยให้สังขารดับ .. เมื่อสังขารดับ .. ย่อมเป็นปัจจัยให้อวิชชาดับ ..
ตามห่วงโซ่ของ ปฏิจจสมุปบาท .. สายดับลง
เมื่ออวิชชาดับลง .. คือการแจ้งในวิชชา .. คือการถอนอาสวะสิ้นจากใจ .. คือภาวะวิมุติในจิต .. คือการบรรลุนิพพานของจิต) . . . บาลี เกวัฏฏสูตร สี. ที. ๙/๒๗๗/๓๔๓. ตรัสแก่เกวัฏฏะคหบดี ที่ปาวาริกัมพวัน เมืองนาลันทา
Create Date : 03 ธันวาคม 2555 |
Last Update : 3 ธันวาคม 2555 6:57:26 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1064 Pageviews. |
|
|
|
|
|