อริยสัจจากพระโอษฐ์ .. เปรียบเทียบพระเสขะ-อเสขะ
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! คำอันพระผู้มีพระภาคตรัสว่า "เสขะ เสขะ" ดังนี้ มีอยู่. บุคคล ชื่อว่าเสขะ ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร พระเจ้าข้า ?"
ภิกษุ ! บุคคลที่ศึกษานั่น แห ละ ชื่อว่า เสขะ, ศึกษาอะไรกันเล่า ? ศึกษาทั้งอธิศีล ทั้งอธิจิต ทั้งอธิปัญญา.
ภิกษุ ท.! เพราะเขาศึกษาเขาจึงชื่อว่าเสขะ ดังนี้.๑
(ต่อไปนี้ มีคำ ประพันธ์เป็นคาถาของพระสังคีติกาจารย์แสดงการเชื่อมต่อกันของพระเสขะและพระอเสขะว่า :-)
"เมื่อเสขบุคคล แล่นไปตามหนทางอันตรง ศึกษาอยู่ ขยาญาณย่อมเกิดขึ้นก่อน; ต่อแต่นั้น จึงเกิดอรหัตตผลญาณตามลำดับ ; ต่อจากนั้น ญาณในความสิ้นแห่งภวสังโยชน์ ย่อมเกิดแก่ท่านผู้หลุดพ้นด้วยอรหัตตผลญาณ แล้วเป็นผู้คงที่อยู่, ว่าวิมุตติของเราไม่กลับกำเริบ ดังนี้". . . . ติก. อํ. ๒๐/๒๙๗/๕๒๕.
๑ - คำอธิบายของคำว่า อเสขะ หาดูได้ที่หัวข้อว่า "พระอรหันต์คือผู้เป็นอเสขะ" ที่หน้า ๖๐๙ แห่งหนังสือเล่มนี้. . . ภิกษุ ท.! สิกขาบทร้อยห้าสิบสิกขาบทนี้ ย่อมมาสู่อุทเทส (การยกขึ้นแสดงในท่างกลางสงฆ์) ทุกกึ่งแห่งเดือนตามลำ ดับ อันกุลบุตรผู้ปรารถนาประโยชน์พากันศึกษาอยู่ในสิกขาบทเหล่านั้น.
ภิกษุ ท.! สิกขาสามอย่างเหล่านี้ มีอยู่ อันเป็นที่ประชุมลงของสิกขาบททั้งปวงนั้น. สิกขาสามอย่างนั้นเป็นอย่างไรเล่า ? คือ อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา.
ภิกษุ ท.! เหล่านี้แล สิกขาสามอย่าง อันเป็นที่ประชุมลงแห่งสิกขาบททั้งปวงนั้น.
ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ ทำ ให้บริบูรณ์ให้ศีล ทำพอประมาณในสมาธิ ทำพอประมาณในปัญญา. เธอยังล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้างและต้องออกจากอาบัติเล็กน้อยเหล่านั้นบ้า.
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ไม่มีผู้รู้ใด ๆ กล่าวความอาภัพต่อการบรรลุโลกุตตรธรรมจักเกิดขึ้นเพราะเหตุสักว่า การล่วงสิกขาบทเล็กน้อยและการต้องออกจากอาบัติเล็กน้อยเหล่านี้. ส่วน สิกขาบทเหล่าใด ที่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ที่เหมาะสมแก่พรหมจรรย์, เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน มีศีลมั่นคง ในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย.
ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสังโยชน์สาม เป็นโสดาบัน เป็นผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงต่อพระนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า. ....(ต่อไปนี้เป็นข้อความจาก บรรพ ๒๒๗ จนกระทั่งสิ้นข้อความเรื่องพระโสดาบัน :-)
ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสังโยชน์สาม เป็นผู้ สัตตักขัตตุปรมะ ยังต้องท่องเที่ยวไปในภพแห่งเทวดาและมนุษย์อีกเจ็ดครั้ง เป็นอย่างมาก แล้วย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.
(หรือว่า) ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์สามเป็นผู้ โกลังโกละ จักต้องท่องเที่ยวไปสู่สกุลสองหรือสามครั้ง แล้วย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.
(หรือว่า) ภิกษุนั้น . เพราะความสิ้นไป รอบแห่งสังโยชน์สามเป็นผู้เป็น เอกพีซี คือจักเกิดในภพแห่งมนุษย์หนเดียวเท่านั้น แล้วย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.
ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล ทำพอประมาณในสมาธิ ทำพอประมาณในปัญญา, เธอยังล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้างและต้องออกจากอาบัติเล็กน้อยเหล่านั้นบ้าง.
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ไม่มีผู้รู้ใด ๆ กล่าวความอาภัพต่อการบรรลุโลกุตตรธรรม จักเกิดขึ้นเพราะเหตุสักว่า การล่วงสิกขาบทเล็กน้อยและการต้องออกจากอาบัติเล็กน้อยเหล่านี้. ส่วน สิกขาบทเหล่าใด ที่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ทีเหมาะสมแก่พรหมจรรย์, เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน มีศีลมั่นคง ในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย.
ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสังโยชน์สาม และเพราะความที่ราคะ โทสะ โมหะ ก็เบาบางน้อยลง เป็น สกทาคามียังจะมาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น แล้วย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.
ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ ทำให้บริบูรณ์ในศีล ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ ทำพอประมาณในปัญญา. เธอยังล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง และต้องออกจากอาบัติเล็กน้อยเหล่านั้นบ้าง.
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ไม่มีผู้รู้ใด ๆ กล่าวความอาภัพต่อการบรรลุโลกุตตรธรรม จักเกิดขึ้น เพราะเหตุสักว่า การล่วงสิขาบทเล็กน้อย และการต้องออกจากอาบัติเล็กน้อยเหล่านี้. ส่วน สิกขาบทเหล่าใด ที่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่เหมาะสมแก่พรหมจรรย์, เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน มีศีลมั่นคง ในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย.
ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสังโยชน์เบื้องต่ำห้า เป็นโอปปาติกอนาคามี ผู้อุบัติขึ้นในทันที มีการปรินิพพานในภพนั้น ๆ ไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา. ....
(ต่อไปนี้เป็นข้อความจาก บรรพ๒๒๗ จนกระทั่งสิ้นข้อความเรื่องพระอนาคามี :_)
ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญ โญ ชน์เบื้องต่ำห้า เป็นอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ผู้มีกระแสในเบื้องบนไปถึงอกนิฏฐภพ.
(หรือว่า) ภิกษุนั้น. เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสังโยชน์เบื้องต่ำ ห้าเป็น สสังขารปรินิพพายี ผู้ปรินิพพานด้วยต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรง.
(หรือว่า) ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสังโยชน์เบื้องต่ำ ห้าเป็น อสังขารปรินิพพายี ผู้ปรินิพพานด้วยไม่ต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรง.
(หรือว่า) ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสังโยชน์เบื้องต่ำ ห้าเป็น อุปหัจจปรินิพพายี ผู้ปรินิพพานเมื่ออายุพ้นกึ่งแล้วจวนพึงที่สุด.
(หรือว่า) ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสังโยชน์เบื้องต่ำ ห้าเป็น อันตราปรินิพพายี ผู้ปรินิพพานในระหว่างอายุยังไม่ทันถึงกึ่ง.
ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ ทำให้บริบูรณ์ในศีล ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ ทำให้บริบูรณ์ในปัญญา. เธอยังล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง และต้องออกจากอาบัติเล็กน้อยเหล่านั้นบ้าง.
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ไม่มีผู้ใดๆ กล่าวอาภัพต่อการบรรลุโลกุตตรธรรม จักเกิดขึ้นเพราะเหตุสักว่า การล่วงสิกขาบทเล็กน้อยและการต้องออกจากอาบัติเล็กน้อยเหล่านี้. ส่วน สิกขาบทเหล่าใดที่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ที่เหมาะสมแก่พรหมจรรย์, เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน มีศีลมั่นคง ในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย.
ภิกษุนั้น ได้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วแลอยู่.
ภิกษุ ท.! ผู้กระทำ เพียงบางส่วน ย่อมทำ ให้สำ เร็จได้บางส่วน,ผู้กระทำ ให้บริบูรณ์ ก็ย่อมทำ ให้สำ เร็จได้บริบูรณ์ ; ดังนั้น เราจึงกล่าวว่าสิกขาบททั้งหลาย ย่อมไม่เป็นหมันเลย, ดังนี้ แล. . . . ติก. อํ. ๒๐/๒๙๗/๕๒๖.
Create Date : 07 สิงหาคม 2558 |
Last Update : 7 สิงหาคม 2558 7:53:29 น. |
|
0 comments
|
Counter : 890 Pageviews. |
|
|
|
|
|