พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. ทรงทราบพรหมโลก
.
วาเสฏฐะ ! บุรุษผู้ที่เกิดแล้วและเจริญแล้วในบ้านมนสากตคามนี้ เมื่อถูกถามถึงหนทางของบ้านมนสากตคาม บางคราวอาการอึกอักตอบได้ช้า หรือ ตอบไม่รู้เรื่อง ; ก็ยังมีได้บ้าง ; ส่วนเรา, เมื่อถูกใครถามถึงพรหมโลก หรือ ปฏิปทาเครื่องทำผู้ปฏิบัติให้ถึงพรหมโลก ก็ไม่มีอาการอึกอัก หรือตอบไม่ได้เรื่องเช่นนั้นเลย.
วาเสฏฐะ ! เรารู้จักพวกพรหม รู้จักพรหมโลก และรู้จักปฏิปทาทำบุคคลผู้ปฏิบัติตาม ให้เข้าถึงพรหมโลกนั้น.
"ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วว่า พระสมณโคดม แสดงหนทางเพื่อความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพวกพรหม ท. ได้. ดังข้าพเจ้าขอโอกาส, ขอพระโคดมผู้เจริญจงแสดงทางเพื่อความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพวกพรหม ท. นั้น. ขอพระโคดมผู้เจริญจงช่วยยกฐานะชนชาติพราหมณ์" วาเสฏฐมาณพ ทูลขอ.
วาเสฏฐะ ! ถ้าเช่นนั้น ท่านจงฟัง จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.
วาเสฏฐะ ! ตถาคตเกิดขึ้นในโลก เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ฯลฯ .. แสดงธรรมไพเราะใน .. - เบื้องต้น - ท่ามกลาง - เบื้องปลาย, ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถะพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง. คฤหบดี หรือบุตรคฤหบดี ฯลฯ .. ได้ฟังธรรมนั้นแล้ว ฯลฯ .. - ออกจากเรือนบวชเป็นคนไม่มีเรือน ฯลฯ - ถึงพร้อมด้วยศีล ฯลฯ .. - มีทวารอันสำรวมแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย ฯลฯ .. - มีสติสัมปชัญญะ ฯลฯ .. - เป็นผู้สันโดษ ฯลฯ .. - เสพเสนาสนะอันสงัด .. - ละนิวรณ์ .. - เมื่อเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ทั้งห้าอันตนละได้แล้วในตน ก็เกิดปราโมทย์, - เมื่อปราโมทย์ย่อมเกิดปีติ, - เมื่อใจปีติ กายก็สงบ, - ผู้มีกายสงบ ย่อมเสวยสุขเวทนา, - ผู้เสวยสุขเวทนา ย่อมยังจิตให้ตั้งมั่นได้ - เธอนั้นด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยเมตตา ย่อมแผ่ไปสู่ทิศ(ที่) หนึ่ง และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น, - เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบนเบื้องต่ำและเบื้องขวาง ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยเมตตา เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง ประกอบด้วยคุณอันใหญ่หลวงไม่มีขีดจำกัดแล้วแลอยู่
(หมายเหตุ จขบ ..
นิวรณ์ทั้งห้าคือ 1.กามฉันท์ .. ความพอใจในกามคุณ 2.พยาบาท .. คิดร้ายผู้อื่น 3.ถีนมิทธะ .. ความหดหู่ ความซึมเซา 4.อุทธัจจกุกกุจจะ .. ความฟุ้งซ่าน และรำคาญ,เดือดร้อนใจ 5.วิจิกิจฉา .. ความลังเลสงสัย ; ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์กับนิวรณ์ ๕ คือ สมาธิ
นี่คือลำดับของการที่คนคนหนึ่ง .. เริ่มสนใจธรรม ปฏิบัติธรรม และได้ผลจากการปฏิบัติธรรมในที่สุด .. ลองพิจารณาให้ดีว่า .. ตั้งแต่ ..
ฟังธรรม -> ออกจากเรือนเพื่อบวช -> .. -> จนถึง -> จิตอันเป็นไปกับด้วยเมตตา เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง ประกอบด้วยคุณอันใหญ่หลวงไม่มีขีดจำกัด (จิตอรหันต์) .. เกิดขึ้นในชีวิตเดียวนี้หรือไม่ ?
ต้องรอสะสมบุญ (บริจาคให้วัดมากๆ .. เอารถแพงๆให้หลวงพ่อนั่ง .. เอาอาหารดีๆให้หลวงพ่อฉัน .. เอาจีวรเนื้อเนียนนุ่มให้หลวงพ่อห่ม .. ฯลฯ) .. เพื่อภพภูมิหลังการตายเข้าโลง แล้ววิญญาณ (เที่ยง เป็น อมตะแบบอุปนิษัทของพราหมณ์) ล่องลอย แล้วเกิดใหม่จากท้องแม่ - ที่ไหนกันเล่า ?
มันเป็นเรื่องที่คนทุกคนสามารถเข้าถึง เข้าใจได้ .. สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนเป็นธรรมที่เป็นธรรมชาติและมุ่งหมายให้คนปฏิบัติได้ในชีวิตปัจจุบัน .. เพื่อตัวตนนั้นๆจะได้มีเมตตาต่อผู้อื่น และสังคมส่วนรวมจะเต็มไปด้วยเมตตาบุคคลในที่สุด .. สังคมก็สงบสุข
ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนลึกซึ้งถึงขนาดจะต้องสะสมบุญบารมี ข้ามภพข้ามชาติ ที่พิสูจน์ไม่ได้ อย่างที่ลัทธิธรรมกายคอยพูดกรอกหูเหล่า "บัวใต้น้ำ" ที่การใช้ความใคร่ครวญอ่อนด้อย .. แต่อย่างใด)
วาเสฏฐะ ! คนเป่าสังข์ที่แข็งแรง อาจเป่าสังข์ให้ได้ยินได้ทั้งสี่ทิศโดยไม่ยาก ฉันใด; ในเมตตาเจโตวิมุตติ ที่เจริญแล้วอย่าง(ข้างบน) นี้ กรรมชนิดที่ทำอย่างมีขีดจำกัด ย่อมไม่มีเหลืออยู่ ไม่ตั้งอยู่ใน (เมตตาเจโตวิมุตติอันเป็นกรรมที่ไม่มีขีดจำกัด) นั้น, ก็ฉันนั้น.
วาเสฏฐะ ! นี้แล เป็นทางเพื่อความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพรหม ท.
( หมายเหตุ - จขบ .. เมตตาเจโตวิมุตติ คืออัปปนาสมาธิ ที่ประกอบด้วยเมตตา ..
ข้อความนี้ .."กรรมชนิดที่ทำอย่างมีขีดจำกัด".. อาจเข้าใจได้ยากอยู่สักหน่อย .. จึงต้องพิจารณาต่อเนื่องมาจากข้อความด้านบน ที่ว่า..
.. (เมตตาเจโตวิมุตติ นั้น) เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบนเบื้องต่ำและเบื้องขวาง ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยเมตตา เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง ประกอบด้วยคุณอันใหญ่หลวงไม่มีขีดจำกัด
เมตตาที่แผ่ออกไปอย่างไม่มีขีดจำกัด .. แปลว่า ไปพ้นจากความเป็นตัวตนของตนเอง .. เพราะเหตุว่าขีดจำกัดของคนทั้งหลายคือความเป็นตัวตน - อัตตา
ดังนั้นคำว่า "กรรมชนิดที่ทำอย่างมีขีดจำกัด" ย่อมหมายถึง การกระทำกอปรด้วยเจตนาที่ยังถูกจำกัดด้วยความเป็นตัวตนของผู้กระทำ .. คือยังอยู่ในกรอบของอัตตา
แปลต่อไปว่า .. เมตตาเจโตวิมุมตินั้น .. เกิดได้จากจิตที่"ว่าง"จากตัวตนแล้วเท่านั้น .. คือ จิตพระอรหันต์ .. นั่นเอง )
(ต่อไปนี้ ทรงแสดง ข้อ กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา, อีก โดยเนื้อความอย่างเดียวกัน. ทุก ๆข้อเป็นหนทางเหมือนกัน โดยพระบาลีว่า แม้นี้ ๆ ก็เป็นหนทางเพื่อความอยู่ร่วมกับพรหม ท.) . . . บาลี สี. ที. ๙/๓๐๙/๓๘๒. ตรัสแก่วาเสฏฐะมาณพ ที่บ้านมนสากตคาม
ที่ละ ฯลฯ เช่นนี้ คือมีเนื้อความพิสดารกว่านี้ แต่ได้ตัดมาแต่พอสมควร เพราะไม่ใช่ตอนสำคัญของในที่นี้.
ผู้ปรารถนาดูพิสดาร ดูได้ในสามัญญผลสูตร, หนังสือพิมพ์พุทธสาสนเล่ม ๑ ปีที่๑. ภาคส่งเสริม (บุรพภาคของการตามรอยพระอรหันต์)
Create Date : 20 กรกฎาคม 2555 |
Last Update : 20 กรกฎาคม 2555 10:02:45 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1258 Pageviews. |
|
|
|
|
|