๑๑. ชาติ เป็นปัจจัย จึงมี ชรา-มรณะ และอาสวะกิเลส
อุปาทานสังขารขันธ์ หรือสังขารูปาทานขันธ์ คือสังขารขันธ์ เช่น ความคิด, การกระทําทางกาย, การกระทําทางวาจา ล้วนเกิดขึ้นสืบเนื่องต่อจากอุปาทานสัญญา(สัญญูปาทานขันธ์)อันเกิดในชาติ ดังนั้นสัญญูปาทานขันธ์ความคิดความเข้าใจนั้นๆย่อมแฝงความยึดมั่นถือมั่นในกิเลสเพื่อความพึงพอใจแห่งตนนั้นแฝงอยู่ จึงรวมทั้งความเชื่อ(ทิฎฐุปาทาน - อันเป็น ๑ ในอุปาทาน ๔ อยู่แล้ว) แล้วจึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอุปาทานสังขารขันธ์หรือก็คือการกระทำต่างๆทั้งทาง กาย วาจา ใจ อันประกอบหรือถูกครอบงําด้วยอิทธิพลของอุปาทานตามสัญญูปาทานขันธ์ที่เกิดขึ้น ดังกระบวนธรรมที่แสดง
รูป + ตา -> วิญญาณ -> ผัสสะ -> เวทนา + ตัณหา -> อุปาทาน -> ภพ -> ชาติ การเกิดอันคืออุปาทานสัญญา(สัญญูปาทานขันธ์) -> อุปาทานสังขารขันธ์
จึงทําให้การกระทําใดๆที่เกิดสืบเนื่องต่อไปทั้งทางกาย วาจา ใจ ล้วนเป็นไปตามอิทธิพลของภพหรืออุปาทาน กล่าวคือ เกิดอุปาทานขันธ์ ๕ ขึ้นใหม่และดำเนินต่อไปอีกอย่างต่อเนื่องและแปรปรวน อย่างวนเวียน เป็นวงจรอยู่ในชรา ที่หมายถึง ความแปรปรวน ความถดถอย, ชรา อันเป็นองค์ธรรมที่กำลังเสพเสวยความทุกข์ชนิดอุปาทานทุกข์ อย่างเต็มรูปแบบ อันเร่าร้อนเผาลน และมักเกิดขึ้นยาวนานเพราะมีการฟุ้งซ่านปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา โดยไม่รู้ตัว
กล่าวคือ ความคิดนึกต่างๆโดยเฉพาะความคิดนึกปรุงแต่งหรือคิดฟุ้งซ่าน อันล้วนเป็นขันธ์ ๕ ที่จะเกิดต่อสืบเนื่องต่อไปอีกอันเป็นปกติวิสัยของปุถุชนนั้น ทุกๆความคิดเหล่านั้นจึงล้วนถูกครอบงํากลายเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์ด้วยทั้งสิ้นโดยไม่รู้ตัว ดังกระบวนธรรมการทํางานของอุปาทานขันธ์ทั้ง๕ ที่จักเกิดต่อสืบเนื่องในองค์ธรรมต่อไปคือชรา ก็จะเป็นไปดังต่อไปนี้
รูป + ตา -> วิญญาณ -> ผัสสะ -> เวทนา + ตัณหา -> อุปาทาน -> ภพ -> ชาติ - อุปาทานสัญญา(หมายรู้) -> อุปาทานสังขารขันธ์ เช่น ความคิด
ความคิดที่เกิดขึ้นข้างต้นนั้นเป็นอุปาทานสังขารแล้ว, หรือความคิดนึกปรุงแต่งฟุ้งซ่านที่เกิดใหม่ต่อเนื่องต่อไปอันย่อมมีอุปาทานแอบแฝง(ทั้งหมดเรียกอุปาทานรูป) + อุปาทานวิญญาณ + ใจ(สฬายตนะ) -> ผัสสะ ->อุปาทานสัญญา(จํา) -> อุปาทานเวทนา -> อุปาทานสัญญา(หมายรู้) -> อุปาทานสังขาร
อันล้วนแต่ถูกครอบงําโดยอุปาทานทั้งสิ้น หรือเขียนใหม่แสดงศัพท์เป็นแบบอุปาทานขันธ ์๕ ได้ดังนี้
รูปูปาทานขันธ์ + ใจ -> วิญญาณูปาทานขันธ์ -> สัญญูปาทานขันธ์(จํา) -> เวทนูปาทานขันธ์ -> สัญญูปาทานขันธ์ -> สังขารูปาทานขันธ์
อันจักทํางานต่อเนื่องแบบเกิดดับๆ...ดังภาพขยายวงจรของอุปาทานขันธ์ ๕ ด้านล่าง อันต้องการแสดงการทํางานของอุปาทานขันธ์ ๕ ข้างบนแต่เป็นแบบที่ต่อเนื่อง และแสดงแบบเกิดดับๆๆ...ต่อสืบเนื่องกันในชรา(ชรา-มรณะ)ที่เกิดขึ้นเพราะชาติเป็นปัจจัย กล่าวคือสังขารูปาทานขันธ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุปัจจัยหรือไปทำหน้าที่เป็นรูปูาทานขันธ์ จึงวนเวียนเป็นวงจรของอุปาทานทุกข์ อันแสนเร่าร้อนเผาลน ภายในชราของปฏิจจสมุปบาท
(ผู้เขียนจะตัดหรือละสัญญูปาทานขันธ์ชนิดความจําไว้ เพื่อให้คล้องจองกับหลักปฏิจจสมุปบาทอันไม่ได้แสดงสัญญาจําไว้ เพราะสัญญาส่วนจํานี้ได้แฝงอยู่ในส่วนของอาสวะกิเลสหรือสัญญาจําชนิดมีกิเลสนอนเนื่อง ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว)
ภาพขยายวงจรของอุปาทานขันธ์ ๕ที่จักเกิดใน ชรา อย่างค่อนข้างต่อเนื่อง, อันมีชาติเป็นปัจจัย
ชรา อันคือความแปรปรวน ตามที่ได้กล่าวข้างต้นแล้ว ชราอันเป็นองค์ธรรมที่กำลังเสวยอุปาทานทุกข์อย่างเต็มรูปแบบ คือเป็นทุกข์อุปาทานที่เร่าร้อนเผาลนและมักเกิดอย่างวนเวียนคือฟุ้งซ่านจึงยาวนาน แต่ถึงอย่างไรก็มรณะดับไปในที่สุด แต่ย่อมมีอาสวะกิเลสร่วมเกิดขึ้นทุกครั้งทุกทีไป อันมี โสกะ(ความโศก ความเศร้า), ปริเทวะ(ครํ่าครวญ รําพัน อาลัย), ทุกข์(ทุกข์ต่างๆทางกาย), โทมนัส(ความทุกข์อันเกิดแต่ใจ), อุปายาส(ความขุ่นข้อง คับแค้นใจ ขัดเคืองใจ) กล่าวคือ เมื่อทุกข์นั้นเริ่มเกิดขึ้นแล้ว(ชาติ) ก็จะเป็นไปตามกฎพระไตรลักษณ์(อนิจจัง,ทุกขัง,อนัตตา)เช่นกัน คือเกิดการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไป(ชราหรืออนิจจัง)ไปตามสภาวะความทุกข์นั้นๆ เป็นดังภาพขยายวงจรของอุปาทานขันธ์๕อันเป็นทุกข์ ที่แสดงข้างต้น คือเกิดอุปาทานขันธ์๕ที่ปรุงแต่งหลายๆครั้งที่เนื่องสัมพันธ์ในเรื่องนั้นๆ เกิดแล้วดับๆๆ....อย่างแปรปรวน สิ่งใดเป็นไปตามอุปาทานความพึงพอใจของตัวของตนก็จะรู้สึกเป็นสุข อุปาทานขันธ์๕ใดไม่เป็นไปตามความพึงพอใจของตัวของตนก็รู้สึกเป็นทุกข์ เกิดดับๆๆ..วนเวียนเร่าร้อนอยู่เป็นวงจรอยู่เยี่ยงนี้ จึงเป็นภาวะที่เป็นสุข หรือทุกข์ก็ได้ หรือทั้งสุขทั้งทุกข์คละเคล้ากันไปตามการคิดปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลานั่นเอง แต่ก็ล้วนแฝงความเร่าร้อนเผาลนด้วยไฟของกิเลสตัณหาอุปาทานเหมือนกัน แม้กระทั่งในความสุขทุกอย่าง และข้อสําคัญคือเป็นไปไม่รู้ตัวหรือรู้ตัวแต่ไม่สามารถออกจากอำนาจอันแข็งแกร่งของภพที่เกิดขึ้นแล้ว ตามอำนาจอุปาทานที่ครอบงำได้
ที่ชรานี้นี่เอง คือสภาวทุกข์ของสรรพสัตว์ ที่ได้ดำเนินกันเป็นอยู่ในชีวิตอยู่เนืองๆเป็นอเนก เกิดขึ้นและดำเนินเป็นไปอยู่ตลอดเวลา เป็นที่เกิดของอุปาทานขันธ์ ๕ ที่เกิดขึ้นอย่างวนเวียนเป็นวงจรดังข้างต้น จึงอยู่อย่างยาวนานและเป็นไปอย่างเผ็ดร้อนเผาลน เพียงแต่เป็นไปแบบโดยไม่รู้ตัว แม้ที่บางครั้งเป็นไปในรูปแบบของความสุข แต่ล้วนจะก่อทุกข์ในภาคหน้า เพราะเมื่อเกิดการมรณะหรือการดับแล้ว ย่อมเกิดปริเทวะคืออาการโหยไห้ อาลัยหา ให้ก่อทุกข์ขึ้นในภาคหน้าเป็นที่สุดนั่นเอง
มรณะ แต่ในที่สุดตามสภาวธรรม(ธรรมชาติ)นั่นเอง จึงต้องดับไป(มรณะหรือทุกขัง)ตามกฎพระไตรลักษณ์(ทุกขัง-ความคงทนอยู่ไม่ได้ ต้องดับไปเป็นอาการธรรมดา) แต่ถึงแม้ว่าทุกข์อุปาทานนั้นจะดับไปแล้ว แต่ก็จะเก็บสั่งสมเป็นสัญญาความจําชนิดที่แฝงกิเลสต่างๆ(สิ่งที่ทําให้จิตขุ่นมัวอันหมายรวมทั้งความสุขและความทุกข์ที่ได้ดับไปแล้ว)หรือที่พระองค์ท่านทรงเรียกว่าอาสวะกิเลส เก็บจำนอนเนื่องไว้ภายในจิตหรือใจ(เพียงรอวันที่จะกําเริบเกิดขึ้นใหม่อย่างแน่นอน) หรือก็คือเก็บไว้ในรูปสัญญา(ความจํา)ชนิดมีกิเลสแอบแฝงนอนเนื่องในจิตใต้สํานึกนั่นเอง อันถือว่าเป็นสิ่งที่ทําให้จิตขุ่นมัวเศร้าหมอง ที่ยังคงค้างคา นอนเนื่อง หมักหมม อยู่ในจิตต่อไปอีกนานแสนนาน รอเวลาที่จะคุกรุ่นเป็นสังขารหรือกิเลสอันยังให้เกิดทุกข์ขึ้นมาใหม่โดยไม่รู้ตัว เพราะความละเอียดลึกซึ้งของอาสวะกิเลสดังที่กล่าวมาแล้วแต่ข้างต้น
อาสวะกิเลส ที่เกิดการสั่งสมขึ้นเหล่านี้ ก็ไปเป็นเหตุปัจจัยหนุนให้วงจรปฏิจจสมุปบาทดำเนินหมุนเวียนต่อไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น จึงเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอยู่เช่นนี้ตลอดกาลนาน
Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2554 |
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2554 18:37:32 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1794 Pageviews. |
|
|
|
|
|