Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2558
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
13 มิถุนายน 2558
 
All Blogs
 
อริยสัจจากพระโอษฐ์ .. อภิญญา ๖



"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
ผลเท่าใด อันบุคคลพึงบรรลุด้วยเสขญาณ ด้วยเสขวิชชา ผลนั้น ข้าพระองค์บรรลุแล้วลำดับ ; ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงแสดงธรรมที่ยิ่งขึ้นไปแก่ข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า !"

วัจฉะ !
ถ้าเช่นนั้นเธอจงเจริญธรรมทั้งสองให้ยิ่งขึ้นไปคือสมถะและวิปัสสนา,

วัจฉะ !
ธรรมทั้งสองคือ สมถะและวิปัสสนา เหล่านี้แลอันเธอเจริญให้ยิ่งขึ้นไปแล้ว จักเป็นไปเพื่อแทงตลอดซึ่งธาตุเป็นอเนก๑ (กล่าวคือ:-)

๑. วัจฉะ!
เธอจักมีได้โดยเฉพาะซึ่งอิทธิวิธี มีอย่างต่าง ๆ ตามที่เธอหวัง เช่น เธอหวังว่า ..
..เราผู้เดียวแปลงรูปเป็นหลายคน,
..หลายคนเป็นคนเดียว,
..ทำที่กำบังให้เป็นที่แจ้ง,
..ทำที่แจ้งให้เป็นที่กำบัง,
..ไปได้ไม่ขัดข้อง ผ่านทะลุฝาทะลุกำแพง ทะลุภูเขา ดุจไปในอากาศว่าง ๆ,
..ผุดขึ้นและดำ ลงในแผ่นดินได้เหมือนในน้ำ ,
..เดินได้เหนือน้ำ เหมือนเดินบนแผ่นดิน,
..ทั้งที่ยังนั่งขัดสมาธิคู้บัลลังก์ ก็ลอยไปได้ในอากาศเหมือนนกมีปีก,
..ลูบคลำดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ อันมีฤทธิ์อานุภาพมากอย่างนี้ได้ด้วยฝ่ามือ,
..และแสดงอำนาจทางกาย เป็นไปตลอดถึงพรหมโลกได้, ดังนี้.

ในอิทธิวิธิญาณธาตุ นั้น ๆ นั่นแหละเธอก็จักถึงความสามารถทำได้จนเป็นสักขีพยาน ในขณะที่อายตนะยังมีอยู่ ๆ.

๒. วัจนะ!
เธอจักมีได้ตามที่เธอหวัง คือ ..
..มีโสตธาตุอันเป็นทิพย์บริสุทธิ์หมดจดล่วงโสตแห่งสามัญมนุษย์ ได้ยินเสียงทั้งสองคือทั้งเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่ไกลและที่ใกล้ ดังนี้.

ในทิพพโสตญาณธาตุ นั้นๆ นั่นแหละเธอก็จักถึงความสามารถทำได้จนเป็นสักขีพยาน ในขณะที่อายตนะยังมีอยู่ ๆ.

๓. วัจฉะ !
เธอจักมีได้ตามที่เธอหวัง คือ กำหนดรู้ใจแห่งสัตว์อื่นบุคคลอื่นด้วยใจของตน คือ..
..กำหนดรู้จิตที่มีราคะว่ามีราคะ
..กำหนดรู้จิตที่ไม่มีราคะว่าไม่มีราคะ
..มีโทสะว่ามีโทสะ
..ไม่มีโทสะว่าไม่มีโทสะ
..มีโมหะว่ามีโมหะ
..ไม่มีโมหะว่าไม่มีโมหะ
..หดหู่ว่าหดหู่
..ฟุ้งซ่านว่าฟุ้งซ่าน
..ถึงซึ่งคุณอันใหญ่ว่าถึงซึ่งคุณอันใหญ่
..ไม่ถึงซึ่งคุณอันใหญ่ว่าไม่ถึงซึ่งคุณอันใหญ่
..มีจิตอื่นยิ่งกว่าว่ามีจิตอื่นยิ่งกว่า
..ไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่าว่าไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า
..ตั้งมั่นว่าตั้งมั่น
..ไม่ตั้งมั่นว่าไม่ตั้งมั่น
..หลุดพ้นว่าหลุดพ้น
..ไม่หลุดพ้นว่าไม่หลุดพ้น
ดังนี้.

ในเจโตปริยญาณธาตุ นั้น ๆ นั่นแหละ เธอก็จักถึงความสามารถทำได้จนเป็นสักขีพยาน ในขณะที่อายตนะยังมีอยู่ ๆ.

๔. วัจฉะ !
เธอจักมีได้ตามที่เธอหวัง คือ ระลึกได้ถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยในภพก่อน มีอย่างต่าง ๆ คือ..
..ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง
..สองชาติ สามชาติ สี่ชาติ ห้าชาติบ้าง,
..สิบชาติ ยี่สิบชาติ สามสิบชาติ สี่สิบชาติ ห้าสิบชาติบ้าง,
..ร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติบ้าง,
..ตลอดหลายสังวัฏฏกัปป์ หลายวิวัฏฏกัปป์ หลายสังวัฏฏกัปป์และวิวัฏฏกัปป์บ้าง,

ว่าเมื่อเราอยู่ในภพโน้น ..
..มีชื่อย่างนั้น
..มีโคตร มีวรรณะ มีอาหาร อย่างนั้น ๆ.
..เสวยสุขและทุกข์เช่นนั้น ๆ
..มีอายุสุดลงเท่านั้น ;
..ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้เกิดในภพโน้น มีชื่อโคตร วรรณะ อาหาร อย่างนั้น ๆ, ได้เสวยสุขและทุกข์เช่นนั้น ๆ มีอายุสุดลงเท่านั้น ;
..ครั้นจุติจากภพ นั้น ๆ ๆ ๆ แล้ว มาเกิดในภพนี้ ดังนี้ :
..ระลึกได้ถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยในภพก่อน มีอย่างต่าง ๆ พร้อมทั้งอาการและอุทเทส ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.

ใน ปุพเพนิวาสานุสสติญาณธาตุ นั้น ๆ นั่นแหละ เธอก็จักถึงความสามารถทำได้จนเป็นสักขีพยาน ในขณะทีอายตนะยังมีอยู่ ๆ.

๕. วัจฉะ !
เธอจักมีได้ตามที่เธอหวัง คือ มีจักษุอันเป็นทิพย์ บริสุทธิ์หมดจดล่วงจักษุของสามัญมนุษย์ เห็นสัตว์ทั้งหลายจุติอยู่ บังเกิดอยู่,เลวทรามประณีต, มีวรรณะดี มีวรรณะเลว, มีทุกข์ มีสุข. รู้แจ้งชัดหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมว่า

"ผู้เจริญทั้งหลาย! สัตว์เหล่านี้หนอ ประกอบกายทุจริตวจีทุจริต มโนทุจริต พูดติเตียนพระอริยเจ้าทั้งหลาย เป็นมิจฉาทิฏฐิ ประกอบการงานด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ, เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไป ย่อมพากันเข้าสู่อบายทุคติวินิบาตนรก.

ท่านผู้เจริญทั้งหลาย! ส่วนสัตว์เหล่านี้หนอ ประกอบกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพ ระอริยเจ้า, เป็นสัมมาทิฏฐิ ประกอบการงานด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ, เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไป ย่อมพากันเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์," ดังนี้;

มีจักษุทิพย์ บริสุทธิ์หมดจดล่วงจักษุสามัญมนุษย์ เห็นเหล่าสัตว์ผู้จุติอยู่ บังเกิดอยู่ เลวประณีต มีวรรณะดี วรรณะทราม มีทุกข์ มีสุข รู้ชัดหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมได้ดังนี้.

ใน จุตูปปาตญาณธาตุนั้น ๆ นั่นแหละ เธอก็จักถึงความสามารทำ ได้จนเป็นสักขีพยาน ในขณะที่อายตนะยังมีอยู่ ๆ

๖. วัจฉะ !
เธอจักได้ตามที่เธอหวัง คือ ..
..กระทำให้แจ้งได้ซึ่ง เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาวสะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้เข้าถึงแล้วแลอยู่ ดังนี้.

ในอาสวักขยญาณธาตุ นั้น ๆ นั่นแหละ เธอก็จักถึงความสามารถทำได้จนเป็นสักขีพยาน ในขณะที่อายนตนะยังมีอยู่ ๆ.
.
.
.
ม. ม. ๑๓/๒๕๗-๒๖๑/๒๖๑-๒๖๖.


Create Date : 13 มิถุนายน 2558
Last Update : 13 มิถุนายน 2558 6:41:03 น. 0 comments
Counter : 617 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.