อริยสัจจากพระโอษฐ์ .. ถ้าไม่รู้เบญจขันธ์โดยนัยอริยสัจสี่ก็ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า
.
ภิกษุ ท. ! ตลอดกาลเพียงใด, เรายังไม่ได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่งอุปาทานขันธ์ทั้งห้าเหล่านี้ โดยปริวัฏฏ์สี่ ตรงตามที่เป็นจริง; เราก็ยังไม่ปฏิญญาอยู่เพียงนั้นว่า เป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะแล้ว ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก, ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์.
ภิกษุ ท. ! เมื่อใดแล, เราได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่งอุปาทานขันธ์ทั้งห้าเหล่านี้ โดยปริวัฏฏ์สี่ ตรงตามที่เป็นจริง; เมื่อนั้นแหละ, เราจึงปฏิญญาได้ว่าเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะแล้ว ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก, ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์.
ภิกษุ ท. ! ปริวัฏฏ์สี่นั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
ปริวัฎฎ์สี่นั้นคือ .. (๑) - เราได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่ง รูป, - ได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่งความก่อขึ้นของรูป, - ได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่งความดับไม่เหลือของรูป, - ได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่งทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของรูป.
(๒) - เราได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่ง เวทนา, - ได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่งความก่อขึ้นของเวทนา, - ได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่งความดับไม่เหลือของเวทนา, - ได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่งทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของเวทนา.
(๓) - เราได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่ง สัญญา, - ได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่งความก่อขึ้นของสัญญา, - ได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่งความไม่เหลือของสัญญา, - ได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่งทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของสัญญา.
(๔) - เราได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่ง สังขาร ทั้งหลาย, - ได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้วซึ่งความก่อขึ้นของสังขารทั้งหลาย, - ได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่งความดับไม่เหลือของสังขารทั้งหลาย, - ได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่งทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของสังขารทั้งหลาย.
(๕) - เราได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่ง วิญญาณ, - ได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่งความก่อขึ้นของวิญญาณ, - ได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่งความดับไม่เหลือของวิญญาณ, - ได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่งทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของวิญญาณ.
ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แหละ ชื่อว่า ปริวัฏฏ์สี่อย่างนั้น.
(ข้อความที่ละเอียดยิ่งไปกว่านี้ ตลอดถึงผลของการรู้ จนทำให้เป็นเกพลี หาดูได้จากหนังสือปฏิจจ. โอ. หน้า.๓๓๘ ตั้งแต่คำว่า ..
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ก็รูปเป็นอย่างไรเล่า ?
เป็นต้นไป จึงถึงหน้า ๓๔๒ จบลงที่คำว่า
"วัฏฏ์ย่อมไม่มี เพื่อจะบัญญัติ แก่บุคคลเหล่านั้น".). . . . ขนฺธ. สํ. ๑๗/๗๒-๗๕/๑๑๒-๑๑๗.
หมายเหตุ .. จขบ
สำหรับสาวก วิสุทธิมรรค ที่ไม่อาจหลุดพ้นจากระบบ วิญญาณ เวียนเกิดดับในวัฏฏะสงสาร .. ขอให้พิจารณาข้อความในข้อที่ (๕) บรรทัดที่ 3,4 ให้ถ่องแท้ ..
- ได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่งความดับไม่เหลือของวิญญาณ, - ได้รู้ชัดแจ้งยิ่งแล้ว ซึ่งทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของวิญญาณ
ว่า .. มันเป็นเรื่องของ วิญญาณ ที่เกิดจากการรับรู้เรื่องราวจากสัมผัสทั้ง 6 ทาง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เท่านั้น ..
และวิญญาณนี้เกิดดับตาม"สติสัมปชัญญะ" เท่านั้น คือ"ดับ"เมื่อควบคุมสติสัมปชัญญะให้จดจ่อกับเหตุผลของเรื่องราวตามความเป็นจริงได้ หรือ "เกิด"เมื่อพลั้งเผลอขาดสติกำกับ
ดังนั้น วิญญาณ ชนิดนี้ที่เราต้องจัดการ จนถึงซึ่งความดับไม่เหลือของวิญญาณ .. ไม่ต้องรอหลังตายเข้าโลง ..
และวิญญาณ ตัวนี้เอง เมื่อดับลงได้แล้ว .. "วัฏฏ์ย่อมไม่มี เพื่อจะบัญญัติ แก่บุคคลเหล่านั้น"
ดังนั้น หากเข้าใจเรื่องวิญญาณได้ถูกต้อง .. ก็จะสามารถเข้าใจเรื่องวัฏฏะ ได้ถูกต้องด้วย .. คือสองสิ่งนี้ เมื่อมีก็จะมีด้วยกัน .. และดับด้วยกัน ..
และภาวะที่ วิญญาณ ดับสนิท จะทำให้สังขารคือ อำนาจการปรุงแต่งในจิต ดับลงสิ้นเชิง .. อวิชชาก็จะดับตามกันมา .. คือ ..
.. ถอนอาสวะได้สิ้นจากจิต .. สัมผัสวิมุติภาวะ .. บรรลุอรหันต์
ล้วนแต่เรื่องเดียวกันทั้งสิ้น
ส่วนวิญญาณ ล่องลอยหลังการตายเข้าโลงนั้นเป็น วิญญาณของศาสนาพราหมณ์ ที่เบ่งบานขึ้นมาอีกครั้งในยุคอุปนิษัท .. แล้วพระพุทธโฆษา เอามาใส่อธิบายแทนวิญญาณ 6 ใน วิสุทธิมรรค จนเชื่อกันมาเป็นพันๆปี
วิญญาณแบบนั้นพระพุทธเจ้าไม่เคยสอน .. อย่าสับสนเอามาปนกัน .. ไม่งั้นจะไปต่อไม่ได้ เพราะมันขัดแย้งกัน
โดยเฉพาะสาวก ธรรมกาย จะหลงอยู่กับแนวคิดนี้เอาหนักหนา ที่แต่ล้วนเป็นมิจฉาทิฏฐิ ..
และด้วยทิฏฐิที่ตั้งไว้ผิดทางแบบนี้ .. จักนั่งเพ่งดวงแก้วจนตายเปล่าไปทั้งสิ้น
เหมือนเรื่องของ .. ->ภิกษุสาติ เกวัฏฏะบุตร<- ลองคลิกไปอ่านดู
Create Date : 31 มกราคม 2556 |
|
0 comments |
Last Update : 31 มกราคม 2556 22:45:42 น. |
Counter : 1542 Pageviews. |
|
|
|