Group Blog
 
<<
มกราคม 2556
 
12 มกราคม 2556
 
All Blogs
 

อริยสัจจากพระโอษฐ์ .. อย่าคิดเรื่องโลก แต่จงคิดเรื่องอริยสัจ.

.




ภิกษุ ท. !
มีเรื่องราวในกาลก่อน : บุรุษผู้หนึ่ง ตั้งใจว่าจะคิด ซึ่งความคิดเรื่องโลก, จึงออกจากนครราชคฤห์ไปสู่สระบัวชื่อ สุมาคธา แล้วนั่งคิดอยู่ที่ริมฝั่งสระ.

บุรุษนั้นได้เห็นแล้ว ซึ่งหมู่เสนาประกอบด้วยองค์สี่ (คือช้าง ม้า รถ พลเดินเท้า) ที่ฝั่งสระสุมาคธานั้น เข้าไปอยู่ ๆ สู่เหง้ารากบัว. ครั้นเขาเห็นแล้ว เกิดความไม่เชื่อตัวเองว่า "เรานี้บ้าแล้ว เรานี้วิกลจริตแล้ว, สิ่งใดไม่มีในโลกเราได้เห็นสิ่งนั้นแล้ว" ดังนี้.

ภิกษุ ท. !
บุรุษนั้นกลับเข้าไปสู่นครแล้ว ป่าวร้องแก่มหาชน ว่า ..

"ท่านผู้เจริญ ! ข้าพเจ้าเป็นบ้าแล้ว ข้าพเจ้าวิกลจริตแล้ว, เพราะว่าสิ่งใดไม่มีอยู่ในโลก ข้าพเจ้ามาเห็นแล้วซึ่งสิ่งนั้น" ดังนี้.

มีเสียงถามว่า เห็นอะไรมา ?

เขาบอกแล้วตามที่เห็นทุกประการ. มีเสียงรับรองว่า ..
"ถูกแล้ว, ท่านผู้เจริญเอ๋ย ! .. ท่านเป็นบ้าแล้ว ท่านวิกลจริตแล้ว".

ภิกษุ ท.!
แต่ว่าบุรุษนั้น ได้เห็นสิ่งที่มีจริง เป็นจริง หาใช่เห็นสิ่งไม่มีจริง ไม่เป็นจริงไม่.

ภิกษุ ท. !
ในกาลก่อนดึกดำบรรพ์ : สงครามระหว่างพวกเทพกับอสูรได้ตั้งประชิดกันแล้ว. ในสงครามครั้งนั้น พวกเทพเป็นฝ่ายชนะ อสูรเป็นฝ่ายแพ้. พวกอสูรกลัว แล้วแอบหนีไปสู่ภพแห่งอสูรโดยผ่านทางเหง้ารากบัว หลอกพวกเทพให้หลงค้นอยู่. (เรื่องของโลกย่อมพิสดารไม่สิ้นสุดถึงเพียงนี้).

ภิกษุ ท. !
เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอทั้งหลาย จงอย่าคิดเรื่องโลก โดยนัยว่า ..
- โลกเที่ยงหรือ?
- โลกไม่เที่ยงหรือ?
- โลกมีที่สุดหรือ?
- โลกไม่มีที่สุดหรือ?
- ชีพก็ดวงนั้น ร่างกายก็ร่างนั้นหรือ?
- ชีพก็ดวงอื่น ร่างกายก็ร่างอื่นหรือ?
- ตถาคตตายแล้วย่อมเป็นอย่างที่เป็นมาแล้วนั้น อีกหรือ?
- ตถาคตตายไปแล้ว ไม่เป็นอย่างที่เป็นมาแล้วนั้น อีกหรือ?
- ตถาคตตายไปแล้ว เป็นอย่างที่เป็นมาแล้วอีกก็มี ไม่เป็นก็มี หรือ?
- ตถาคตตายไปแล้ว เป็นอย่างที่เป็นมาแล้วอีกก็ไม่เชิง ไม่เป็นก็ไม่เชิง หรือ ?


(หมายเหตุ จขบ

คำว่า "ชีพก็ดวงนั้น - ชีพก็ดวงอื่น" จากข้อความด้านบน .. พระพุทธองค์ทรงหมายถึง "มนัส หรือ ดวงวิญญาณ ตามแบบคติของพราหมณ์" นั่นเอง ..

ซึ่งก็คือดวงวิญญาณล่องลอยเวียนเกิดเวียนดับ ที่ไม่มีใครสามารถรู้ได้ด้วยตนเอง หรือ แม้ผู้มีคุณวิเศษในตนที่อาจรู้ได้ ก็ไม่สามารถแสดงให้ผู้ไม่มีคุณวิเศษรู้เห็นตามได้ .. จึงไม่เป็นประโยชน์ที่จะไปหมกมุ่นครุ่นคิด

อีกทั้งยังเป็นต้นเหตุแห่งการหลอกลวงคนโง่เขลาให้เชื่อตามอย่างงมงาย และเสียเวลาเปล่า ..

พระองค์จึงบอกว่า .. อย่าไปเที่ยวคิดให้เสียเวลา เพราะจะไม่มีคำตอบจากใครที่สามารถทำให้หายติดใจสงสัยได้ ..
)


เพราะเหตุไรจึงไม่ควรคิดเล่า ?

ภิกษุ ท. !
เพราะความคิดนั้น ..
- ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
- ไม่เป็นเงื่อนต้นแห่งพรหมจรรย์
- ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่ายทุกข์ ความคลายกำหนัด ความดับ ความรำงับความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน เลย.

ภิกษุ ท. !
เมื่อพวกเธอจะคิด จงคิดว่า ..
- เช่นนี้ ๆ เป็นทุกข์,
- เช่นนี้ ๆ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์,
- เช่นนี้ ๆ เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์,
- และเช่นนี้ ๆ เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์:
ดังนี้

เพราะเหตุไรจึงควรคิดเล่า ?

เพราะความคิดนี้ ย่อม ..
- ประกอบด้วยประโยชน์
- เป็นเงื่อนต้นของพรหมจรรย์
- เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่ายทุกข์ ความคลายกำหนัด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน.

ภิกษุ ท. !
เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทำความเพียร เพื่อให้รู้ตามเป็นจริง ว่า ..
- นี้เป็นทุกข์,
- นี้เป็นเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์,
- นี้เป็นความดับไม่เหลือแห่งทุกข์,
- นี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์" ดังนี้เถิด.
.
.
.
มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๕๘ - ๕๕๙/๑๗๒๕ - ๑๗๒๗.n/




 

Create Date : 12 มกราคม 2556
0 comments
Last Update : 12 มกราคม 2556 9:46:43 น.
Counter : 1164 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.