อริยสัจจากพระโอษฐ์ .. อย่าคิดเรื่องโลก แต่จงคิดเรื่องอริยสัจ.
.
ภิกษุ ท. ! มีเรื่องราวในกาลก่อน : บุรุษผู้หนึ่ง ตั้งใจว่าจะคิด ซึ่งความคิดเรื่องโลก, จึงออกจากนครราชคฤห์ไปสู่สระบัวชื่อ สุมาคธา แล้วนั่งคิดอยู่ที่ริมฝั่งสระ.
บุรุษนั้นได้เห็นแล้ว ซึ่งหมู่เสนาประกอบด้วยองค์สี่ (คือช้าง ม้า รถ พลเดินเท้า) ที่ฝั่งสระสุมาคธานั้น เข้าไปอยู่ ๆ สู่เหง้ารากบัว. ครั้นเขาเห็นแล้ว เกิดความไม่เชื่อตัวเองว่า "เรานี้บ้าแล้ว เรานี้วิกลจริตแล้ว, สิ่งใดไม่มีในโลกเราได้เห็นสิ่งนั้นแล้ว" ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! บุรุษนั้นกลับเข้าไปสู่นครแล้ว ป่าวร้องแก่มหาชน ว่า ..
"ท่านผู้เจริญ ! ข้าพเจ้าเป็นบ้าแล้ว ข้าพเจ้าวิกลจริตแล้ว, เพราะว่าสิ่งใดไม่มีอยู่ในโลก ข้าพเจ้ามาเห็นแล้วซึ่งสิ่งนั้น" ดังนี้.
มีเสียงถามว่า เห็นอะไรมา ?
เขาบอกแล้วตามที่เห็นทุกประการ. มีเสียงรับรองว่า .. "ถูกแล้ว, ท่านผู้เจริญเอ๋ย ! .. ท่านเป็นบ้าแล้ว ท่านวิกลจริตแล้ว".
ภิกษุ ท.! แต่ว่าบุรุษนั้น ได้เห็นสิ่งที่มีจริง เป็นจริง หาใช่เห็นสิ่งไม่มีจริง ไม่เป็นจริงไม่.
ภิกษุ ท. ! ในกาลก่อนดึกดำบรรพ์ : สงครามระหว่างพวกเทพกับอสูรได้ตั้งประชิดกันแล้ว. ในสงครามครั้งนั้น พวกเทพเป็นฝ่ายชนะ อสูรเป็นฝ่ายแพ้. พวกอสูรกลัว แล้วแอบหนีไปสู่ภพแห่งอสูรโดยผ่านทางเหง้ารากบัว หลอกพวกเทพให้หลงค้นอยู่. (เรื่องของโลกย่อมพิสดารไม่สิ้นสุดถึงเพียงนี้).
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอทั้งหลาย จงอย่าคิดเรื่องโลก โดยนัยว่า .. - โลกเที่ยงหรือ? - โลกไม่เที่ยงหรือ? - โลกมีที่สุดหรือ? - โลกไม่มีที่สุดหรือ? - ชีพก็ดวงนั้น ร่างกายก็ร่างนั้นหรือ? - ชีพก็ดวงอื่น ร่างกายก็ร่างอื่นหรือ? - ตถาคตตายแล้วย่อมเป็นอย่างที่เป็นมาแล้วนั้น อีกหรือ? - ตถาคตตายไปแล้ว ไม่เป็นอย่างที่เป็นมาแล้วนั้น อีกหรือ? - ตถาคตตายไปแล้ว เป็นอย่างที่เป็นมาแล้วอีกก็มี ไม่เป็นก็มี หรือ? - ตถาคตตายไปแล้ว เป็นอย่างที่เป็นมาแล้วอีกก็ไม่เชิง ไม่เป็นก็ไม่เชิง หรือ ?
(หมายเหตุ จขบ
คำว่า "ชีพก็ดวงนั้น - ชีพก็ดวงอื่น" จากข้อความด้านบน .. พระพุทธองค์ทรงหมายถึง "มนัส หรือ ดวงวิญญาณ ตามแบบคติของพราหมณ์" นั่นเอง ..
ซึ่งก็คือดวงวิญญาณล่องลอยเวียนเกิดเวียนดับ ที่ไม่มีใครสามารถรู้ได้ด้วยตนเอง หรือ แม้ผู้มีคุณวิเศษในตนที่อาจรู้ได้ ก็ไม่สามารถแสดงให้ผู้ไม่มีคุณวิเศษรู้เห็นตามได้ .. จึงไม่เป็นประโยชน์ที่จะไปหมกมุ่นครุ่นคิด
อีกทั้งยังเป็นต้นเหตุแห่งการหลอกลวงคนโง่เขลาให้เชื่อตามอย่างงมงาย และเสียเวลาเปล่า ..
พระองค์จึงบอกว่า .. อย่าไปเที่ยวคิดให้เสียเวลา เพราะจะไม่มีคำตอบจากใครที่สามารถทำให้หายติดใจสงสัยได้ .. )
เพราะเหตุไรจึงไม่ควรคิดเล่า ?
ภิกษุ ท. ! เพราะความคิดนั้น .. - ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ - ไม่เป็นเงื่อนต้นแห่งพรหมจรรย์ - ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่ายทุกข์ ความคลายกำหนัด ความดับ ความรำงับความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน เลย.
ภิกษุ ท. ! เมื่อพวกเธอจะคิด จงคิดว่า .. - เช่นนี้ ๆ เป็นทุกข์, - เช่นนี้ ๆ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์, - เช่นนี้ ๆ เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์, - และเช่นนี้ ๆ เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์: ดังนี้
เพราะเหตุไรจึงควรคิดเล่า ?
เพราะความคิดนี้ ย่อม .. - ประกอบด้วยประโยชน์ - เป็นเงื่อนต้นของพรหมจรรย์ - เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่ายทุกข์ ความคลายกำหนัด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน.
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทำความเพียร เพื่อให้รู้ตามเป็นจริง ว่า .. - นี้เป็นทุกข์, - นี้เป็นเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์, - นี้เป็นความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, - นี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์" ดังนี้เถิด. . . . มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๕๘ - ๕๕๙/๑๗๒๕ - ๑๗๒๗.n/
Create Date : 12 มกราคม 2556 |
|
0 comments |
Last Update : 12 มกราคม 2556 9:46:43 น. |
Counter : 1164 Pageviews. |
|
|
|