อริยสัจจากพระโอษฐ์ .. ความรู้สึกของบุถุชน ไขว้กันอยู่เสมอต่อหลักแห่งอริยสัจจ์
.
คหบดี ! หน้าตาของท่านแสดงว่าท่านกำลังไม่มีจิตไม่มีใจ, หน้าตาของท่านผิดปกติไปแล้ว.
"ท่านผู้เจริญ ! หน้าตาของข้าพเจ้าจะไม่ผิดปกติได้อย่างไรเล่า, เพราะว่า บุตรน้อยเป็นที่รักที่พอใจคนเดียว ของข้าพเจ้า ตายเสียแล้ว. เพราะการตายของบุตรน้อยนั้นการงานก็มืดมน ข้าวปลาอาหารก็มืดมน. ข้าพเจ้าเอาแต่ไปสู่ที่เผาลูก แล้วคร่ำครวญอยู่ว่าลูกน้อยคนเดียวอยู่ไหน ๆ".
มันเป็นอย่างนั้นแหละ ๆ คหบดี ! โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาสทั้งหลายนั้น เกิดจากของรัก มีของรักเป็นแดนเกิด.
"ท่านผู้เจริญ ! โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสและอุปายาสทั้งหลายนั้น เกิดจากของรัก มีของรักเป็นแดนเกิด ได้อย่างไรกัน ; เพราะว่า ความเพลิดเพลินและโสมนัสต่างหากที่เกิดแต่ของรัก มีของรักเป็นแดนเกิด."
คหบดีนั้น ไม่ยอมรับไม่คัดค้านคำของพระผู้มีพระภาคเจ้า ลุกจากอาสนะแล้วหลีกไปเสีย..
เขาได้เข้าไปหากลุ่มนักเลงสะกาที่เล่นสะกากันอยู่ ในที่ใกล้ ๆ กันนั้น; เล่าเรื่องให้ฟังแล้วก็ได้รับคำรับสมอ้างจากพวกนักเลงสะกาเหล่านั้นว่า ..
"ถูกแล้ว ๆ ท่านคหบดี ! ความเพลิดเพลินและโสมนัสเกิดแต่ของรัก มีของรักเป็นแดนเกิดอย่างแน่นอน" ดังนี้;
เขาก็พอใจว่าความคิดของเขาตรงกันกับความคิดของนักเลงสะกาทั้งหลาย ดังนี้แล้วก็หลีกไป . . . ม.ม. ๑๓/๔๘๙/๕๓๖.
(ข้อนี้แสดงว่า ความคิดของพวกปุถุชนย่อมตรงกันเสมอ แต่ไม่อาจจะลงรอยกันได้กับความจริงที่เป็นอริยสัจ).
หมายเหตุ จขบ.
ข้อความที่ยกมานี้ .. เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลที่แม้แต่พระพุทธองค์ยังต้องวางอุเบกขาต่อจิตวิญญาณมืดบอดเช่นนี้ ..
ภพชาติ ที่สืบเนื่องมา .. รวมทั้งการสะสมบุญให้มีขนาดและปริมาณ ตามปริมาณวัตถุธรรมที่บริจาค สละให้แก่วัดเจ้าของความคิด ย่อมมีเจตนารมย์เพื่อ ..
1. สร้างอัตตาเดิมเดียวในกาลภาคหน้าเพื่อรอรับ"ผล" ที่เชื่อด้วยมิจฉาศรัทธาว่า "มี" .. ตอบแทนสิ่งที่ทำในกาลปัจจุบันในลักษณะ "ต่างตอบแทน" .. เป็นมายาคติหลอกหลอนอันมืดบอดประการหนึ่งที่สืบทอดมาจากฤทธิ์เดชของแนวคิดแบบ สัสสตทิฐิ (ที่สืบทอดกันมาจาก อุปนิษัทของพราหมณ์) เป็นการสร้างวัฏฏะสงสารขึ้นในจิตให้ยึดมั่นถือมั่น - อุปาทาน .. โดยไม่มีใครสามารถบอกได้แน่ชัดถึง "ความจริง"
เป็นจิตวิญญาณที่ไม่สามารถค้นหาเหตุแห่งความจริงของสรรพสิ่ง .. จึงต้องวนเวียนเชื่อคนโน้น คนนี้ เรื่องโน้น เรื่องนี้ .. ตามกำลังของ สังขารโง่เขลา
2. ในด้านฝ่ายผู้เผยแผ่แนวคิด .. ย่อมมีเจตนารมย์ต่อ"วัตถุธรรม" เป็นหลักใหญ่ใจความ .. สำนักที่แนบแน่นด้วยแนวคิดเช่นนี้ย่อมไม่อาจเน้นข้อธรรมที่เป็นแก่นแกนตัวแท้ของพรหมจรรย์นี้ให้เหล่าสาวกได้ยินได้ฟังกันกี่มากน้อยเลย .. เพราะเหตุว่าหลักธรรมที่ยากต่อความเข้าใจ มีดังข้อความต่อไปนี้ ..
เมื่อครั้งที่พระอานนท์กล่าวต่อพระพุทธองค์ว่าท่านไม่เห็นว่าปัจจยาการ หรือ ปฏิจจสมุปบาท เป็นของยากเลย...พระพุทธองค์จึงตรัสว่า .. "ดูกรอานนท์ .. อย่าได้กล่าวเช่นนั้น .. ธรรมะสี่อย่าง คือ .. สัจจะ - หนึ่ง .. สัตตะ - หนึ่ง .. ปฏิสนธิ - หนึ่ง และ .. ปัจจยาการ (ปฏิจจสมุปบาท) - หนึ่ง เป็นธรรมอันลึกซึ้ง เป็นธรรมอันยาก อันสัตว์ทั้งหลายจักเข้าใจและเข้าถึงได้ยากนัก"
เมื่อ แก่นธรรม ไม่เอามาเน้นสอน .. และสอนกันแต่ เปลือกกระพี้ .. เราก็สามารถมองได้ว่า .. อาจเข้าใจไม่ได้ จึงเอามาสอนไม่ได้ .. หรืออีกมุมมองหนึ่งคือ หลักธรรมแท้ สอนเพื่อความลดละเลิก ..
อันลงกันไม่ได้กับการสอนให้ สะสม(บุญ) สร้าง(ชาติหน้ารอ) หวัง(สถานภาพที่ดีขึ้นทางวัตถุในภายภาคหน้า) .. แปลว่าสอนให้เวียนว่ายในวัฏฏะสงสารเรื่อยไป ..
จึงไม่เอามาสอนสิ่งที่ควรสอนที่สุด !
Create Date : 20 ธันวาคม 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 20 ธันวาคม 2555 10:33:35 น. |
Counter : 1076 Pageviews. |
|
|
|