Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2555
 
7 ตุลาคม 2555
 
All Blogs
 

พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. มหาเถระผู้มีสมาบัติและอภิญญาเทียมพระองค์

.





ภิกษุ ท. !
เราหวังเพียงใด ก็ย่อมสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้วเข้าถึงฌานที่ ๑ มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกแล้ว และอยู่ได้ตลอดกาลเพียงนั้น.

ภิกษุ ท. !
แม้กัสสปะ(ก็ดุจกัน) เธอหวังเพียงใดก็ย่อมสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย แล้วเข้าถึง ..
- ฌานที่ ๑ มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกแล้ว และอยู่ได้ ตลอดกาลเพียงนั้น.

ภิกษุ ท. !
เราหวังเพียงใด, ก็ย่อม...ฯลฯ...
- เข้าถึงฌานที่ ๒,...ฯลฯ
- ฌานที่ ๓,...ฯลฯ
- ฌานที่ ๔,...ฯลฯ
- อากาสานัญจายตนฌาน,...
- วิญญาณัญจายตนฌาน, ...
- อากิญจัญญายตนฌาน,
- เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน,...ฯลฯ
- สัญญาเวทยิตนิโรธ
แล้วแลอยู่ได้ตลอดกาลเพียงนั้น.

ภิกษุ ท. !
แม้กัสสปะ (ก็ดุจกัน) เธอหวังเพียงใด ก็ย่อม...ฯลฯ...
- เข้าถึงฌานที่ ๒ ...
- ที่ ๓ ..
- ที่ ๔ ...
- อากาสานัญจายตนฌาน ...
- วิญญาณัญจายตนฌาน ...
- อากิญจัญญายตนฌาน ...
- เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ...
- สัญญาเวทยิตนิโรธ ...
แล้วแลอยู่ได้ตลอดกาลเพียงนั้น.

(ต่อจากนี้ ตรัสอภิญญาหก คือ ..
- อิทธิวิธี
- ทิพพโสต
- เจโตปริยญาณ
- ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
- จุตูปปาตญาณ
- และอาสวักขยญาณ
ว่า พระมหากัสสป สามารถเท่าเทียมพระองค์โดยทำนองเดียวกันอีก.

ส่วนคำอธิบายของอภิญญาเหล่านี้ ค้นดูได้ตามชื่ออภิญญานั้น ๆ จากตอนว่าด้วยการตรัสรู้ในภาค ๒ ของเรื่องนี้ หรือจากกรรมวิภาคปริเฉท ๒, ในที่นี้ ไม่ต้องการกล่าวใจความส่วนนี้ นอกจากส่วนที่พระมหากัสสปมีสมาบัติ และอภิญญาเทียมกับพระองค์เท่านั้น)


(หมายเหตุ .. จขบ

อภิญญา ความรู้ยิ่ง, ความรู้เจาะตรงยวดยิ่ง, ความรู้ชั้นสูง มี ๖ อย่างคือ ..
1. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้
2. ทิพพโสต หูทิพย์
3. เจโตปริยญาณ ญาณที่ให้ทายใจคนอื่นได้
4. ปุพเพนิวาสานุสติญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้
5. จุตูปปาตญาณ หรือ ทิพพจักขุ ตาทิพย์
6. อาสวักขยญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป,

5 อย่างแรกเป็น "โลกียอภิญญา" ข้อสุดท้ายเป็น "โลกุตตรอภิญญา"

ทั้งหมดนี้เราเรียกว่า ฤทธิ์ทางใจ ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการฝึกฝนจิตอย่างเข้มงวดและอย่างถูกทาง .. เป็นเรื่องยาก ที่มิใช่ใครจะมีกันได้ง่ายๆ .. พระอรหันต์ผู้ถอนอาสวะได้แล้วหลังจากฝึกฝนทางจิตมายาวนานเราเรียกว่าท่านบรรลุอรหันต์แบบ "เจโตวิมุติ"

ส่วนพระอรหันต์ผู้ใช้การใคร่ครวญในธรรม ทำความแจ่มแจ้งจนเกิดความ หน่าย ละวางจากภาวะตัวตนได้ กระทั่งถอนอาสวะได้หมดสิ้นจากจิต เราเรียกว่าท่านบรรลุอรหันต์แบบ "ปัญญาวิมุติ" ซึ่งแบบนี้ท่านอาจไม่มีฤทธิ์ทางใจเป็นผลพลอยได้ก็ได้ .. คือท่านมีคุณในข้อ 6 ของอภิญญาหก เท่านั้นเองแต่เป็นข้อที่สำคัญที่สุดที่พาจิตไปเหนือโลกได้

ที่เกิดการหลอกลวงคนเขลาให้เชื่อจนงมงายนั้น คือ เรื่องฤทธิ์ทางใจนี่เอง .. ซึ่งเป็นเรื่องยากต่อการพิสูจน์ .. นอกเสียจากว่าเราลองเทียบเอากับการบำเพ็ญทุกรกิริยาของพระพุทธองค์ดูเท่านั้น ว่า คนที่อ้างว่าตนมีฤทธิ์ทางใจ 5 ข้อแรกในอภิญญาหก นั้น มีความใกล้เคียง หรือ มีความเป็นไปได้เพียงใด ..

ว่า .. คนที่อ้างว่ามีคุณวิเศษในตนนั้นๆ บุคคลิกแบบนั้น แววตาแบบนั้น คำพูดคำจาแบบนั้น จะฝึกฝนตนเองจนได้คุณวิเศษได้เชียวหรือ ?

คือต้องได้ ..

- ฌานที่ ๑ มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกแล้ว และอยู่ได้ ตลอดกาลเพียงนั้น.
- เข้าถึงฌานที่ ๒,...ฯลฯ
- ฌานที่ ๓,...ฯลฯ
- ฌานที่ ๔,...ฯลฯ
- อากาสานัญจายตนฌาน, ... -> จิตในระดับ อรูปพรหม ระดับแรก.
- วิญญาณัญจายตนฌาน, ... -> จิตในระดับอรูปพรหม ระดับที่สอง.
- อากิญจัญญายตนฌาน, ... -> จิตในระดับอรูปพรหม ระดับที่สาม .. อาฬารดาบสบรรลุถึง คือจิตระดับพระอนาคามี
- เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน, ... -> จิตในระดับอรูปพรหม ระดับที่สี่ .. อุทกดาบสบรรลุถึง คือจิตระดับพระอนาคามี.
- สัญญาเวทยิตนิโรธ

แล้วแลอยู่ได้ตลอดกาลเพียงนั้น.

-> คลิกดูความหมาย <-

อ่านแล้วลองใคร่ครวญดูว่า .. เป็นไปได้แค่ไหนที่คนที่อ้างตัวเองนั้นจะมีจิตในระดับ พระอนาคามี ? .. )


.
.
.
บาลี กัสสปสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๒๔๘/๔๙๗.
ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.




 

Create Date : 07 ตุลาคม 2555
1 comments
Last Update : 7 ตุลาคม 2555 7:05:54 น.
Counter : 1118 Pageviews.

 

แวะมาเยี่ยมในวันหยุด...สวัสดีครับ

 

โดย: **mp5** 7 ตุลาคม 2555 11:36:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.