พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. มหาเถระผู้มีสมาบัติและอภิญญาเทียมพระองค์
.
ภิกษุ ท. ! เราหวังเพียงใด ก็ย่อมสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้วเข้าถึงฌานที่ ๑ มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกแล้ว และอยู่ได้ตลอดกาลเพียงนั้น.
ภิกษุ ท. ! แม้กัสสปะ(ก็ดุจกัน) เธอหวังเพียงใดก็ย่อมสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย แล้วเข้าถึง .. - ฌานที่ ๑ มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกแล้ว และอยู่ได้ ตลอดกาลเพียงนั้น.
ภิกษุ ท. ! เราหวังเพียงใด, ก็ย่อม...ฯลฯ... - เข้าถึงฌานที่ ๒,...ฯลฯ - ฌานที่ ๓,...ฯลฯ - ฌานที่ ๔,...ฯลฯ - อากาสานัญจายตนฌาน,... - วิญญาณัญจายตนฌาน, ... - อากิญจัญญายตนฌาน, - เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน,...ฯลฯ - สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วแลอยู่ได้ตลอดกาลเพียงนั้น.
ภิกษุ ท. ! แม้กัสสปะ (ก็ดุจกัน) เธอหวังเพียงใด ก็ย่อม...ฯลฯ... - เข้าถึงฌานที่ ๒ ... - ที่ ๓ .. - ที่ ๔ ... - อากาสานัญจายตนฌาน ... - วิญญาณัญจายตนฌาน ... - อากิญจัญญายตนฌาน ... - เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ... - สัญญาเวทยิตนิโรธ ... แล้วแลอยู่ได้ตลอดกาลเพียงนั้น.
(ต่อจากนี้ ตรัสอภิญญาหก คือ .. - อิทธิวิธี - ทิพพโสต - เจโตปริยญาณ - ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ - จุตูปปาตญาณ - และอาสวักขยญาณ ว่า พระมหากัสสป สามารถเท่าเทียมพระองค์โดยทำนองเดียวกันอีก.
ส่วนคำอธิบายของอภิญญาเหล่านี้ ค้นดูได้ตามชื่ออภิญญานั้น ๆ จากตอนว่าด้วยการตรัสรู้ในภาค ๒ ของเรื่องนี้ หรือจากกรรมวิภาคปริเฉท ๒, ในที่นี้ ไม่ต้องการกล่าวใจความส่วนนี้ นอกจากส่วนที่พระมหากัสสปมีสมาบัติ และอภิญญาเทียมกับพระองค์เท่านั้น)
(หมายเหตุ .. จขบ
อภิญญา ความรู้ยิ่ง, ความรู้เจาะตรงยวดยิ่ง, ความรู้ชั้นสูง มี ๖ อย่างคือ .. 1. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ 2. ทิพพโสต หูทิพย์ 3. เจโตปริยญาณ ญาณที่ให้ทายใจคนอื่นได้ 4. ปุพเพนิวาสานุสติญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้ 5. จุตูปปาตญาณ หรือ ทิพพจักขุ ตาทิพย์ 6. อาสวักขยญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป,
5 อย่างแรกเป็น "โลกียอภิญญา" ข้อสุดท้ายเป็น "โลกุตตรอภิญญา"
ทั้งหมดนี้เราเรียกว่า ฤทธิ์ทางใจ ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการฝึกฝนจิตอย่างเข้มงวดและอย่างถูกทาง .. เป็นเรื่องยาก ที่มิใช่ใครจะมีกันได้ง่ายๆ .. พระอรหันต์ผู้ถอนอาสวะได้แล้วหลังจากฝึกฝนทางจิตมายาวนานเราเรียกว่าท่านบรรลุอรหันต์แบบ "เจโตวิมุติ"
ส่วนพระอรหันต์ผู้ใช้การใคร่ครวญในธรรม ทำความแจ่มแจ้งจนเกิดความ หน่าย ละวางจากภาวะตัวตนได้ กระทั่งถอนอาสวะได้หมดสิ้นจากจิต เราเรียกว่าท่านบรรลุอรหันต์แบบ "ปัญญาวิมุติ" ซึ่งแบบนี้ท่านอาจไม่มีฤทธิ์ทางใจเป็นผลพลอยได้ก็ได้ .. คือท่านมีคุณในข้อ 6 ของอภิญญาหก เท่านั้นเองแต่เป็นข้อที่สำคัญที่สุดที่พาจิตไปเหนือโลกได้
ที่เกิดการหลอกลวงคนเขลาให้เชื่อจนงมงายนั้น คือ เรื่องฤทธิ์ทางใจนี่เอง .. ซึ่งเป็นเรื่องยากต่อการพิสูจน์ .. นอกเสียจากว่าเราลองเทียบเอากับการบำเพ็ญทุกรกิริยาของพระพุทธองค์ดูเท่านั้น ว่า คนที่อ้างว่าตนมีฤทธิ์ทางใจ 5 ข้อแรกในอภิญญาหก นั้น มีความใกล้เคียง หรือ มีความเป็นไปได้เพียงใด ..
ว่า .. คนที่อ้างว่ามีคุณวิเศษในตนนั้นๆ บุคคลิกแบบนั้น แววตาแบบนั้น คำพูดคำจาแบบนั้น จะฝึกฝนตนเองจนได้คุณวิเศษได้เชียวหรือ ?
คือต้องได้ ..
- ฌานที่ ๑ มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกแล้ว และอยู่ได้ ตลอดกาลเพียงนั้น. - เข้าถึงฌานที่ ๒,...ฯลฯ - ฌานที่ ๓,...ฯลฯ - ฌานที่ ๔,...ฯลฯ - อากาสานัญจายตนฌาน, ... -> จิตในระดับ อรูปพรหม ระดับแรก. - วิญญาณัญจายตนฌาน, ... -> จิตในระดับอรูปพรหม ระดับที่สอง. - อากิญจัญญายตนฌาน, ... -> จิตในระดับอรูปพรหม ระดับที่สาม .. อาฬารดาบสบรรลุถึง คือจิตระดับพระอนาคามี - เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน, ... -> จิตในระดับอรูปพรหม ระดับที่สี่ .. อุทกดาบสบรรลุถึง คือจิตระดับพระอนาคามี. - สัญญาเวทยิตนิโรธ
แล้วแลอยู่ได้ตลอดกาลเพียงนั้น.
-> คลิกดูความหมาย <-
อ่านแล้วลองใคร่ครวญดูว่า .. เป็นไปได้แค่ไหนที่คนที่อ้างตัวเองนั้นจะมีจิตในระดับ พระอนาคามี ? .. )
. . . บาลี กัสสปสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๒๔๘/๔๙๗. ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
Create Date : 07 ตุลาคม 2555 |
|
1 comments |
Last Update : 7 ตุลาคม 2555 7:05:54 น. |
Counter : 1118 Pageviews. |
|
|
|