คนละฟากฟ้า - บทที่ 41
รุ่งขึ้นพราวพรายถือโอกาสตอนที่มารดาเข้าไปดูแลเรื่องอาหารเช้าอยู่ในครัว เข้าไปหาบิดาในห้องทำงาน คุณพนัสลดหนังสือพิมพ์ในมือที่กำลังอ่านอยู่ลง เมื่อเห็นบุตรีคนเล็กเดินเข้ามาในห้องแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้เขา


“เป็นไงบ้างล่ะลูก? หน้าซีดๆเหมือนอดนอน” เขาถามอย่างห่วงใย พราวพรายเป็นลูกที่มีหน้าตาถอดแบบมาจากเขามากกว่าลูกคนอื่นๆ

หญิงสาวยิ้มแห้งๆให้บิดา ลังเลอยู่เดี๋ยวหนึ่งก็ตัดสินใจพูดกับเขาตรงๆว่า “เมื่อคืนพราวนอนไม่ค่อยหลับ แม่พูดกับพราวเรื่องคุณเขตต์ คุณพ่อคงทราบเรื่องคุณเขตต์แล้วใช่ไหมคะ ที่..เอ้อ..ที่..”

คุณพนัสมองหน้าบุตรีอย่างเข้าใจความหมายของเธอ “แม่เขาชอบเขตต์มาก พ่อแม่เขตต์เขาก็ชอบพราว เมื่อคืนแม่เขาก็คุยกับแม่เขตต์อยู่ทั้งนานสองนาน พราวมีปัญหาอะไรหรือ?”

“พราวบอกแม่ไปแล้วว่าพราวยังไม่ได้ชอบคุณเขตต์แบบที่แม่คิด ตอนนี้เราแค่คบกันแบบเพื่อนเท่านั้น”

บิดาของพราวพรายมองหน้าบุตรสาวอย่างพิจารณา “งั้นหรือ? แล้วแม่เขาว่ายังไงล่ะ?”

“แม่คงไม่ค่อยเชื่อเท่าไร แต่ก็ตกลงจะให้เวลาพราวอีกพักหนึ่ง”
“ก็ดีแล้วนี่ ก็ลองดูเขาไปก่อน” คุณพนัสตอบแบบกลางๆ

“แต่พราวกลัวว่าแม่จะไปแอบตกลงกับทางโน้น ให้ส่งคนมาสู่ขอน่ะสิคะ”

คุณพนัสนิ่งคิดก่อนจะออกความเห็นว่า “ถ้าแม่เขาตกลงจะให้เวลาพราว เขาก็คงยังไม่ไปตกปากรับคำกับใครก่อนที่หนูจะตกลงละมัง”

พราวพรายอึกอัก ไม่กล้าบอกว่าเธอไม่ไว้ใจมารดา ได้แต่พูดเลี่ยงๆว่า “พราวอยากจะมาขอร้องคุณพ่อให้ช่วยพูดกับแม่หน่อย ว่าพราวยังไม่อยากแต่งงาน ยังไม่อยากผูกมัดตัวเองกับใคร พราวเพิ่งอายุแค่ยี่สิบสอง เท่านั้น ยังอยากเรียนรู้อะไรๆต่ออะไรอีกมากมาย คุณพ่อก็ทราบไม่ใช่หรือคะว่าพราวเป็นคนหัวแข็ง ชอบต่อต้านอยู่แล้ว ถ้าแม่ไม่มาทำเหมือนบีบบังคับพราว ปล่อยทุกอย่างให้มันพัฒนาไปเอง สักวันพราวอาจจะชอบคุณเขตต์มาก จนแต่งงานกับเขาอย่างที่แม่ต้องการก็ได้”


คุณพนัสมองหน้าบุตรสาวคนเล็กอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะพูดไปเรื่อยๆว่า “เท่าที่พ่อเห็น เขตต์เป็นคนดีมีอนาคต พ่อแม่เขาก็เป็นคนดี ครอบครัวเราก็คบหากันมานาน อีกอย่าง..หนูน่ะเป็นคนใจร้อนโผงผาง คนที่จะอยู่กับหนูได้ต้องเป็นผู้ใหญ่กว่าและใจเย็น เวลาจะเลือกใครสักคนมาเป็นคู่ชีวิตหนูควรจะคิดเรื่องนี้ด้วยนะลูก หรือเขตต์เขามีอะไรที่ไม่ถูกใจหนู”


พราวพรายนิ่งคิดแล้วตัดสินใจเล่าให้บิดาฟังว่า “เขาเป็นคนดีและน่ารักค่ะ คุณพ่อ แต่พราวยังไม่ได้รักเขา เรื่องแบบนี้คงต้องใช้เวลานะคะ ตอนนี้พราวกับเขาก็ตกลงศึกษาเรียนรู้กันไปเรื่อยๆก่อน เราไม่อยากรีบร้อน ขอเวลาสักห้าหกเดือนเท่านั้นแหละค่ะ”

บิดาของเธอทำท่าครุ่นคิดก่อนจะบอกเนิบๆว่า “เอาเถอะ ถ้าหนูต้องการอย่างนั้นพ่อก็จะคุยกับแม่ให้ แต่พ่อเชื่อว่าแม่เขาจะต้องปรึกษาพ่อก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรอย่างที่หนูว่า แล้วก็อย่าโกรธแม่เลยนะ เขาก้แค่รักลูกเป็นห่วงลูกเท่านั้นแหละ ยิ่งไปอยู่ไกลๆอย่างนั้น หนูจะห้ามไม่ให้เป็นห่วงไม่ได้หรอก”


หลังจากคุยกับบิดาพราวพรายก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก เธอรู้ว่าคุณพนัสจะไม่เพิกเฉยต่อคำขอร้องของเธอ หญิงสาวเดินทางกลับไปอุบลฯพร้อมเขตต์ในอีกสองวันต่อมา แม้จะรู้ว่าพ่อแม่เขาทำคล้ายๆมาทาบทามเธอให้เขตต์ เธอก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ เคยพูดจากับเขาอย่างเพื่อนในช่วงที่ผ่านมา เธอก็ยังทำเช่นนั้นอยู่ต่อไป ไม่เปิดโอกาสให้เขารุกคืบหน้าได้ ส่วนชายหนุ่มผู้นั้นก็ยังทำตัวกับเธอเหมือนเดิมตามเงื่อนไขที่ตกลงกันเอาไว้ ทำให้การนั่งรถไปกับเขาสองต่อสองนานหลายชั่วโมงเป็นไปอย่างราบรื่น


วันรุ่งขึ้นพราวพรายไปถึงที่ทำงานแต่เช้าก่อนใครเพื่อน ก่อนแม้แต่จอห์นด้วยซ้ำ พอมาถึงก็เปิดแอร์ ต้มกาแฟเตรียมไว้ให้จอห์นและต้มน้ำสำหรับเพื่อนร่วมงานและตัวเองไว้ชงกาแฟ หลังจากนั้นก็เดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เพื่อตรวจดูว่าจอห์นซึ่งรู้ว่าเธอจะกลับมาทำงานในวันนี้ วางงานด่วนไว้ให้เธอหรือเปล่า เมื่อพบงานสองสามชิ้นในแฟ้มที่เขาวางไว้ให้ ก็รีบลงมือแปลอย่างรีบด่วนเพราะเป็นห่วงว่าทิ้งงานไปหลายวัน

จอห์นมาถึงที่ทำงานเป็นคนที่สอง เมื่อเห็นเธอนั่งทำงานอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจก็ถามว่า “ทำไมวันนี้มาแต่เช้า กลับมาตั้งแต่เมื่อไร?”

พราวพรายเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา “ตั้งแต่เมื่อคืนตอนดึกแล้วละค่ะ”

จอห์นสั่งงานอีกสองสามคำก็เดินเลยเข้าไปในห้องทำงานด้านใน หญิงสาวรีบลุกจากโต๊ะทำงาน เข้าไปชงกาแฟแล้วเอาเข้าไปให้เขาในห้อง ถือโอกาสนั้นถามเขาว่า “นิคเป็นยังไงมั่งคะ ฟื้นหรือยัง?”

จอห์นยังมีสีหน้ากังวลอยู่เมื่อตอบเธอว่า “ยังไม่ฟื้นเลย”

หน้าที่ซีดเผือดลงไปทันควันของพราวพราย ทำให้ชายวัยกลางคนเริ่มรู้สึกสะดุดใจ ความจริงเขาเคยเห็นนิคกับหญิงสาวผู้นี้นั่งรถไปด้วยกันสองสามครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้นึกอะไรมากไปกว่าคนรู้จักกันตามธรรมดา

“ความจริงเขาน่าจะฟื้นได้แล้วไม่ใช่หรือคะ จอห์น นี่ก็หลายวันแล้ว” พราวพรายถามอย่างกังวล

“นั่นน่ะสิ ฉันก็กำลังเป็นห่วงอยู่นี่แหละ พ่อแม่เขาคงจะบินมาดูอาการเขาวันสองวันนี้”’

“หมอว่ายังไงบ้างคะ ฉันหมายถึงอาการบาดเจ็บทั่วๆไปน่ะค่ะ วันก่อนเห็นคุณบอกว่าเขาถูกยิงตรงที่สำคัญหลายจุด”

“คงดีขึ้นบ้างแล้วละ แต่ก็ยังไม่พ้นขีดอันตราย ยังต้องอยู่ในห้องไอซียู เพิ่งผ่าตัดครั้งที่สองไปเมื่อวานนี้เอง”

หน้าของพราวพรายสลดไป เธอเลียบเคียงถามว่า “ถ้าฉันจะไปเยี่ยมเขาบ้างทางโรงพยาบาลจะอนุญาตไหมคะ คือฉันหมายความว่าฉันไม่ได้เป็นญาติอะไรกับเขา เป็นแค่คนรู้จักกันธรรมดา โรงพยาบาลทหารมีกฏเกณฑ์พิเศษอะไรไหมคะ? เขาจำกัดคนเยี่ยมหรือเปล่า?”


จอห์นนิ่งคิดสักครู่ก่อนจะตอบว่า “ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ เพียงแต่ว่าเขายังอยู่ในห้องไอซียู ก็คงจะเยี่ยมเขาได้ผ่านทางกระจกเท่านั้น เธอไปเยี่ยมเขาบ้างก็ดีเหมือนกัน ถ้าวันนี้เธอจะไปฉันจะได้ฝากการ์ดเยี่ยมไข้ ที่พวกเพื่อนๆพวกลูกน้องเขาทางโน้นฝากมา ให้เธอเอาไปให้เขาด้วย ฉันจะได้ไม่ต้องไป”

“ได้ค่ะ ฉันจะเอาไปฝากพยาบาลไว้ให้เขา” เธอรับคำอย่างกระตือรือร้น

ชายวัยกลางคนหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลขนาด A4 จากลิ้นชักโต๊ะออกมาส่งให้พราวพราย “เธอคิดว่าจะไปตอนไหนล่ะ”

“คงตอนเที่ยงน่ะคะ”

แล้วเที่ยงวันนั้นพราวพรายก็ไปเยี่ยมนิคที่โรงพยาบาล เขายังนอนอยู่บนเตียงเดิม ยังมีสายระโยงระยางของอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่ออยู่ตามจุดต่างๆของร่างกาย เธอเฝ้ามองเขาผ่านกระจกใสที่กั้นอยู่ด้วยดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตา นึกสงสารเขาเป็นที่สุด เขาบาดเจ็บตรงจุดสำคัญที่อาจจะทำให้เสียชีวิตหรือพิการ ตรงไหนบ้างหรือเปล่า เธอไม่กล้าซักถามจอห์นหรือใคร เพราะกลัวคำตอบที่จะได้รับ

พราวพรายไปเยี่ยมนิคอีกหลายครั้ง แม้เขาจะยังอยู่ในห้องไอซียูเหมือนเดิม เขายังไม่ฟื้น จอห์นบอกเธอว่าหมอยังไม่แน่ใจว่าสมองของเขาจะได้รับความกระทบกระเทือนหรือเปล่า จากกระสุนปืนนัดหนึ่งที่เจาะเข้าเข้าไปใกล้จุดสำคัญตรงก้านคอ คงจะต้องรอดูอาการต่างๆต่อไปอีกพักหนึ่ง


แล้ววันหนึ่งจอห์นก็บอกเธอว่านิคออกจากห้องไอซียูแล้ว พราวพรายซึ่งรู้สึกดีใจมากรีบถามทันทีว่า “เขาฟื้นแล้วหรือคะ?"

”เจ้านายของเธอส่ายหน้าปฏิเสธ “ยังหรอก แต่อาการอื่นๆของเขาดีขึ้นมาก สมองก็โอเค หมอบอกว่าต้องให้เวลาเขาอีกสักพักหนึ่ง ร่างกายของเขาอาจจะยังไม่พร้อมเพราะเขาบอบช้ำมาก ถ้าพร้อมเมื่อไรเขาก็คงฟื้น ตอนนี้ร่างกายบางส่วนของเขาเริ่มเคลื่อนไหวบ้างแล้ว”


พราวพรายไปเยี่ยมนิคที่ห้องพักคนไข้อีกหลายครั้งหลังเลิกงาน เอาดอกไม้ไปเปลี่ยนให้ในแจกันบนโต๊ะข้างเตียงเขาแล้วนั่งอยู่ข้างเตียง เฝ้ามองดวงหน้าซูบผอมของเขาอย่างกังวลใจ ตอนนี้สายระโยงระยางตามตัวเขาถูกปลดออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงสายน้ำเกลือเท่านั้น ตามร่างกายก็ยังมีผ้าพันแผลอยู่อีกหลายแห่ง ความจริงในห้องที่นิคนอนป่วยอยู่มีเตียงคนไข้อีกสามเตียงแต่ไม่มีคนไข้ เธอจึงมีโอกาสได้อยู่กับเขาตามลำพังจนหมดเวลาเยี่ยมเกือบทุกวัน เธอแวะไปเยี่ยมเขาบ่อยๆจนคุ้นหน้ากับพยาบาลสองสามคน ที่ผลัดเปลี่ยนเวรกันมาดูแลคนเจ็บ


หญิงสาวพยายามหาเรื่องมาพูดมาเล่าให้นิคฟังทุกครั้งที่นั่งอยู่ข้างเตียง เขาจะรู้เรื่องหรือไม่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เธอเพียงแต่หวังลมๆแล้งๆว่าเผื่อเสียงคนรู้จักจะช่วยกระตุ้นเขา ให้ได้สติลืมตาตื่นขึ้นมา มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธออัดอั้นตันใจกับการนอนนิ่งเงียบเหมือนตายของเขา จนนึกว่าเขาคงจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว ความรู้สึกเหมือนสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิต ทำให้พราวพรายอ้อนวอนร้องขอพร้อมน้ำตาที่ไหลรินว่า


“นิค อย่าเป็นอะไรไปนะ คุณต้องไม่ตายนะ คุณต้องกลับมาหาฉัน ถ้าคุณเป็นอะไรไปฉันคงแย่ คุณไม่รู้หรอกหรือว่าฉันแคร์คุณมาก คิดถึงคุณมากด้วย” แล้วเธอก็ร้องไห้เบาๆ เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาตอบสนองจากมือของเขาที่เธอเกาะกุมเอาไว้


บางครั้งเธอก็บอกเขาว่า “นิค อย่าตายนะ ฟื้นเสียทีเถอะ คุณหลับนานเกินไปแล้ว ถ้าคุณฟื้นขึ้นมาแล้วยังต้องการฉันอยู่ ฉันก็จะแต่งงานกับคุณ ฉันจะไม่แคร์อะไรอีกต่อไปแล้ว”


พราวพรายพูดประโยคเหล่านี้กับเขาทุกวัน แล้ววันหนึ่งขณะที่เธอกำลังพูดอยู่ มือของเขาที่อยู่ในมือเธอก็เริ่มเคลื่อนไหว ตอนแรกมันเบามากจนเธอไม่รู้สึก ต่อมามันเริ่มแรงขึ้นทีละน้อยจนเธอสะดุ้งตกใจ เมื่อรู้สึกว่ามือนั้นบีบมือเธอ หญิงสาวรีบผงกหน้าขึ้นมองเขา แล้วก็เห็นนัยน์ตาครึ่งหลับครึ่งตื่นของนิคที่กำลังมองเธออยู่

“นิค! นิค! คุณฟื้นแล้วใช่ไหม? โอย..คุณกลับมาหาฉันแล้วใช่ไหม?”

ชายหนุ่มผู้นั้นพยายามยิ้มให้เธอแล้วก็หลับตาลงไปอีก เหมือนหมดแรงแม้แต่จะเบิกตาขึ้นมามองเธอ อีกครู่ต่อมาตาคู่ที่อิดโรยนั้นก็ลืมขึ้นมาใหม่ พราวพรายผลุนผลันลุกขึ้นยืน เนื้อตัวสั่นสะท้านด้วยความดีใจที่ประเมินปริมาณไม่ได้

“รอเดี๋ยวนะคะ นิค อย่าเพิ่งหลับ ฉันจะไปตามหมอ”


หลังจากแพทย์ที่เข้ามาตรวจอาการคนเจ็บ พูดคุยสอบถามและสั่งให้เขาพักผ่อนให้มากๆออกไปจากห้องแล้ว พราวพรายก็เดินเข้าไปนั่งลงตรงหน้าเตียงเหมือนเดิม ตอนแรกเธอคิดจะกลับเพื่อให้เขาได้พักผ่อน แต่นิคมองเธอเหมือนขอร้องให้เธออยู่กับเขาต่ออีกสักหน่อย

“ฉันควรจะกลับได้แล้ว คุณจะได้พักผ่อน”

“อย่าเพิ่งกลับได้ไหม?” เสียงของเขาเบา สีหน้าก็ยังอิดโรย คงเป็นเพราะเพิ่งฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ แต่แววตาของเขาเริ่มมีประกายของความมีชีวิตชีวาที่ค่อยๆผุดขึ้นมา

“งั้นฉันจะรอให้คุณหลับก่อนดีไหมคะ?”

นิคพยักหน้ารับ เมื่อเขายื่นมือออกมาให้เธอหญิงสาวก็กุมมือเขาเอาไว้ หัวใจเต็มตื้นเมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาจะไม่ตาย เขาจะหายป่วย ค่อยๆฟื้นตัวแล้วกลับมาเป็นผู้ชายคนเดิมที่สมบูรณ์แข็งแรง พราวพรายจับมือนิคเอาไว้อย่างนั้น จนแน่ใจว่าเขาหลับสนิทแล้ว หายใจสม่ำเสมอ เธอจึงกลับบ้าน


หลังจากวันนั้น พราวพรายก็ไปเยี่ยมนิคทุกเย็นหลังเลิกงาน เธอดีใจเมื่อเห็นอาการของเขาดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เขาทานอาหารอ่อนๆได้บ้างแล้ว หน้าตาก็เริ่มมีสีเลือด แต่เขายังไม่ค่อยพูดเท่าไร เธอต้องเป็นฝ่ายชวนเขาพูดคุย บางทีก็อ่านหนังสือพิมพ์ให้เขาฟัง ซึ่งเขาก็จะนอนฟังเงียบๆตาจับอยู่ที่หน้าเธอ


แล้ววันหนึ่งนิคก็บอกเธอว่า “คุณทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้วควรจะรีบกลับบ้านไปพักผ่อน ไม่ต้องมาเยี่ยมผมทุกวันก็ได้ ลำบากเปล่าๆ”

พราวพรายเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างสงสัย “เบื่อหน้าฉันแล้วหรือคะ ถึงไม่อยากให้มาเยี่ยม?”

ชายหนุ่มรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ตรงกันข้าม ผมอยากเห็นหน้าคุณตลอดเวลาที่ตื่นด้วยซ้ำ แต่สงสาร ไม่อยากให้คุณต้องลำบาก”

“ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนี่คะ ออฟฟิศฉันก็อยู่ใกล้ๆแค่นี้เอง เดินไม่กี่นาทีก็ถึงโรงพยาบาล”

นิคมองพราวพรายอย่างซาบซึ้งจนเธอต้องหลบตาเขา เสยกหนังสือพิมพ์ในมือขึ้นอ่านให้เขาฟังต่อ อ่านไปๆเรื่อยๆจนเห็นตาของเขาค่อยๆปรือหรี่ลงแล้วในที่สุดเขาก็หลับไป


หลังจากวันนั้นหญิงสาวก็เว้นการไปเยี่ยมนิคสองสามวัน เพราะคิดเอาเองว่าเขาอาจจะอยากอยู่คนเดียวเงียบๆบ้าง มีคนมาวุ่นวายชวนพูดชวนคุย อาจจะไม่ใช่สิ่งที่คนเงียบๆขรึมๆแบบเขาต้องการก็ได้ ต่อมาเมื่อแวะไปเยี่ยมเขาอีกตอนบ่ายวันเสาร์หลังจากเว้นไปสามวัน พยาบาลตรงเคาเตอร์ที่คุ้นหน้ากันดีก็ทักเธอยิ้มๆ

“คุณหายไปหลายวันคนไข้ของฉันกระวนกระวายมากเลย”

สายตาที่เหมือนมีคำถามของพราวพราย ทำให้พยาบาลผู้นั้นพูดต่อไปว่า “ฉันหมายถึงผู้พันแบรดเลย์น่ะค่ะ คุณเคยมาเยี่ยมเขาเกือบทุกวันแล้วอยู่ๆหายไป เขาคงกังวลมาก”

“เขาถามถึงฉันหรือคะ?”

“อ๋อ เปล่าหรอก เขาไม่ได้พูดอะไร แต่เวลาที่ฉันเปิดประตูเอายามื้อเย็นเข้าไปให้ เขาทำท่าดีใจ แต่พอเห็นว่าเป็นฉันสีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันทีเหมือนผิดหวัง ฉันคิดว่าเขาคงรอคุณอยู่นะ”

พราวพรายหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย เสกล่าวว่า “เขาคงจะเหงาละมัง ต้องนอนอยู่คนเดียว แล้วช่วงที่ฉันไม่ได้มา ไม่มีใครมาเยี่ยมเขาบ้างเลยหรือคะ?”

“เยอะแยะ ส่วนมากก็พวกทหารด้วยกัน มากันเกือบทุกวันแหละ” แล้วเธอก็พูดต่อยิ้มๆว่า “คนมาเยี่ยมเต็มห้อง แต่เขาก็ยังทำหน้าเบื่อโลกอยู่เลย”

พอเห็นเธอหอบดอกไม้ กล่องพลาสติคและกระติกใบย่อมๆเข้าไปในห้อง คนเจ็บบนเตียงซึ่งหันขวับมามองทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิด ก็มีสีหน้าสดใสขึ้นมาโดยพลัน

“เป็นยังไงบ้างคะนิค หน้าตาดีขึ้นมากเลย”

ชายหนุ่มที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียงคนไข้ซึ่งหัวเตียงถูกไขให้สูงขึ้น ยิ้มให้เธอด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความดีใจ “นึกว่าคุณจะเลิกมาเยี่ยมผมเสียแล้ว”

“มาสิคะ ที่หายไปสองสามวันก็เพราะอยากให้คุณได้พักมากๆ ฉันมาชวนพูดชวนคุยอาจจะทำให้คุณไม่ได้พักผ่อนเท่าที่ควร ก็เลยเว้นๆเสียบ้าง”

“แต่ผมเหงานี่” คนเจ็บทำเสียงเหมือนประท้วง

มองเห็นกระเช้าดอกไม้สองสามกระเช้า และการ์ดเยี่ยมไข้หลายใบบนโต๊ะยาวปลายเตียงคนไข้ พราวพรายก็วางของในมือลง เดินเข้าไปดูก่อนจะโต้เขาว่า “มีคนมาเยี่ยมหลายคนไม่ใช่หรือคะ พยาบาลข้างนอกบอกว่ามีเพื่อนๆมาเยี่ยมคุณเยอะแยะ ไม่เห็นน่าจะเหงาเลยนี่คะ”

“ไม่รู้ละ คนเต็มห้องแต่ผมก็ยังเหงาอยู่ดี” คนเจ็บยังไม่เลิกประท้วง

พอรู้สึกว่าจะเข้าเนื้อเพราะวันนี้คนเจ็บทำท่าเกเรชอบกล หญิงสาวก็หอบแจกันที่อยู่บนโต๊ะใกล้เตียงและช่อกุหลาบสีเหลืองสดใส ที่เธอออกไปซื้อที่ตลาดใกล้บ้านตั้งแต่เช้า เพื่อจะเอาเข้าไปจัดในห้องน้ำ

“นั่นคุณจะไปไหน? ไม่มาคุยกับผมก่อนหรอกหรือ?”

“เอาดอกไม้ไปจัดใส่แจกันให้คุณไงคะ วางทิ้งไว้เดี๋ยวจะเหี่ยวหมดสวยเสียก่อน อ้อ..ฉันทำซุปเห็ดมาฝากด้วยนะ ไม่รู้ว่าคุณจะชอบหรือเปล่า จะทานตอนนี้เลยหรือตอนเย็นก็ได้นะคะ ผลไม้ก็มี”

.”คุณทำอะไรมาให้ผมก็ชอบทั้งนั้นแหละ แต่เอาไว้ตอนเย็นดีกว่า ผมเพิ่งกินมื้อกลางวันเมื่อสักครู่นี่เอง”

พราวพรายถือแจกันที่มีดอกกุหลาบสีเหลืองเข้มกลิ่นหอมรวยรินเจ็ดแปดดอกปักอยู่ มาวางลงบนโต๊ะเล็กใกล้เตียงคนไข้ พอเธอหันไปเพื่อจะชวนเชิญให้เขาชื่นชมกับความงามของมัน ก็พบสายตาของนิคที่มองเธออยู่ ไม่ได้เหลือบแลไปที่ดอกไม้พวกนั้นเลย

“สวยไหมคะ นิค” หญิงสาวเสถามเขา รู้สึกเขินกับแววตาประหลาดที่ไม่คลาดไปจากหน้าเธอ

ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆเมื่อตอบว่า “สวยมาก”

พราวพรายทำท่าโล่งอก “ดีใจที่คุณชอบ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะซื้อมาหรอก เห็นคุณขรึมๆ นึกว่าคงไม่ชอบอะไรที่กระจุ๋มกระจิ๋มอย่างดอกไม้ ที่ซื้อมาก็เพราะเห็นว่าดอกไม้จะทำให้บรรยากาศสดใสขึ้น สวยจริงๆด้วยนะคะ”

“ที่ผมบอกว่าสวยมากน่ะไม่ใช่ดอกไม้หรอก คุณต่างหากที่สวยมาก ยิ่งหน้าเกลี้ยงๆแบบนี้ยิ่งสวย”

คำตอบของเขาทำให้พราวพรายยิ่งเคอะเขินมากขึ้น วันนี้เธอไม่ได้แต่งหน้าเลย ทาแป้งบางๆเท่านั้น นิคคงจะชอบหน้าตาที่ปราศจากเครื่องสำอางค์ของเธอ หญิงสาวจำได้ว่าเขาเคยชมหน้าเกลี้ยงๆของเธอมาครั้งหนึ่งแล้วที่วังเวียง และจะเป็นเพราะคำพูดของเขาในตอนโน้นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่ทำให้ในระยะหลังๆนี้พราวพรายแทบจะไม่เคยแต่งหน้าเลย ยกเว้นแป้งและลิปสติคสีอ่อนเท่านั้น


“ฉันซื้อหนังสือพิมพ์มาฝากคุณด้วย จะให้อ่านให้ฟังเลยไหมคะ?” เธอรีบเปลี่ยนเรื่อง

“อย่าเพิ่งเลย คุณมานั่งตรงนี้แล้วคุยกับผมดีกว่า ค่อยอ่านทีหลังก็ได้” เขารีบถามต่อทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ “หรือคุณจะรีบกลับ มีธุระที่ไหนหรือเปล่า?”

หญิงสาวส่ายหน้าปฎิเสธแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หน้าเตียง “ไม่รีบหรอกค่ะ ไม่มีธุระที่ไหน กลับไปบ้านตอนนี้ก็ต้องอยู่คนเดียวอยู่ดี อยู่ที่นี่ยังมีเพื่อนคุย”

“อยู่ถึงเย็นได้ไหม?” เขาต่อรอง

พราวพรายมองสบตาที่มีแววขอร้องของนิคก่อนจะตอบว่า “ก็น่าจะได้ แต่คุณต้องสัญญาก่อนว่าอีกสักพัก คุณต้องพยายามหลับสักชั่วโมงสองชั่วโมง ไม่งั้นพยาบาลที่ดูแลคุณอาจจะโกรธฉันก็ได้ ที่มารบกวนคนป่วย ทำให้ไม่ได้พักผ่อน หมอบอกให้คุณพักผ่อนมากๆไม่ใช่หรือคะ?”


อีกฝ่ายทำท่าดื้อดึงเหมือนเด็กที่ไม่อยากนอนกลางวัน “ทำไมผมจะต้องหลับตอนนี้ด้วยล่ะ เดี๋ยวกลางคืนก็ต้องหลับอยู่ดี ถ้าผมหลับคุณก็อาจจะหนีกลับบ้านก็ได้เพราะไม่มีเพื่อนคุย จริงไหม?”


พราวพรายหัวเราะขันท่าทางของเขา “โธ่ ไม่หนีหรอกค่ะ ระหว่างคุณหลับฉันก็จะอ่านหนังสือ ฉันเอาหนังสืออ่านเล่นติดกระเป๋ามาด้วย”


คนเจ็บทำท่าคิดหนักก่อนจะต่อรองว่า “หลับก็ได้ ถ้าคุณสัญญาว่าพอผมหายดีออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว คุณจะไปดินเนอร์กับผม”

หญิงสาวอดขำท่าทางเหมือนเด็กผู้ชายจอมตื๊อของเขาไม่ได้ “ยังไม่ทันจะหายดีเลย วางแผนล่วงหน้าไปถึงไหนๆแล้ว เรื่องดินเนอร์น่ะไม่ขัดข้องหรอกค่ะ มีคนจะเลี้ยงทั้งทีจะปฏิเสธทำไมล่ะคะ” แล้วเธอก็เปลี่ยนเรื่อง “เอางี้ดีไหม ฉันจะอ่านหนังสือพิมพ์ให้คุณฟัง ส่วนคุณก็ฟังไปเรื่อยๆจนง่วงแล้วก็หลับไป ดีไหมคะ?”

คนเจ็บทำหน้าครุ่นคิดแล้วเริ่มวางแผนต่อทันที “ก็ได้ เริ่มอ่านได้แล้ว ผมชักอยากฟังเสียแล้วสิ”

พอพราวพรายหยิบหนังสือพิมพ์ออกมากางแล้วเริ่มต้นอ่าน นิคก็ยื่นมือมาดึงหนังสือพิมพ์ออกจากมือเธอ พับครึ่งให้เล็กลงพอที่จะถือเพียงมือเดียวได้แล้วยัดใส่มือเธอ ต่อจากนั้นก็ดึงมือข้างที่ว่างของเธอไปกุมเอาไว้หน้าตาเฉย

หญิงสาวท้วงว่า “ทำไมต้องจับมือฉันด้วยล่ะ นอนฟังเฉยๆก็ได้นี่”

คนเจ็บอมยิ้มนิดๆ หลับหูหลับตาเหมือนพร้อมที่จะหลับแล้ว “อ่านๆไปเถอะ ผมชักง่วงอยากหลับแล้ว ถ้าไม่ให้ผมจับมือคุณเอาไว้ ผมก็ต้องลืมตาคอยดูว่าคุณจะหนีกลับบ้านหรือเปล่า ถ้ามัวแต่ลืมตาแล้วเมื่อไรผมจะได้หลับล่ะ”

พราวพรายค้อนขวับกับการเถียงข้างๆคูๆของเขา แต่เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์ให้เขาฟังไปเรื่อยๆ แล้วอีกพักใหญ่ต่อมานิคก็หลับสนิท ระหว่างที่เขาหลับเธอก็ค่อยๆดึงมือตัวเองออกจากมือที่กุมเอาไว้ หยิบหนังสือที่เตรียมมาออกมานั่งอ่านที่เก้าอี้นวมยาวที่อยู่ห่างออกไป

นิคตื่นขึ้นมาหลังจากนั้นเกือบสองชั่วโมง เมื่อพยาบาลเข้ามาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาในตอนห้าโมงเย็น พราวพรายก็ลุกออกไปจากห้อง ลงไปรับประทานอาหารเย็น ในห้องอาหารเล็กๆของโรงพยาบาล มีสายตาของนิคมองตามหลังไปอย่างกังวล ไม่แน่ใจว่าเธอจะกลับมาอีกหรือเปล่า แต่ก็พูดอะไรไม่ถนัดเพราะมีพยาบาลอยู่ด้วย

อีกครึ่งชั่วโมงต่อมาเมื่อหญิงสาวเดินผ่านเคาเตอร์พยาบาล เพื่อจะกลับไปห้องพักของนิค พยาบาลตรงเคาเตอร์ก็บอกเธอยิ้มๆว่า “ผู้พันแบรดเลย์คอยคุณอยู่แน่ะค่ะ”

“มีอะไรหรือคะ เขาเป็นอะไรหรือเปล่า?” พราวพรายตกใจนึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับนิค

อีกฝ่ายยิ้มมากขึ้น “ไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ เพียงแต่ไม่ยอมทานอาหารที่โรงพยาบาลจัดให้ เขาบอกว่าจะรอทานอาหารที่คุณเอามาฝากเขา ตอนนี้เขายังต้องทานยาหลังอาหารตามกำหนดเวลา ถ้ายังไงคุณช่วยเข้าไปดูแลเขาหน่อยก็แล้วกัน ฉันวางยาหลังอาหารไว้ให้แล้ว ช่วยจัดการให้เขาทานด้วยนะคะ หลังอาหารประมาณสิบห้านาที”


พอเห็นสีหน้ายิ้มๆแกมล้อเลียนของพยาบาลผู้นั้น พราวพรายก็หน้าเจื่อน เธออ้อมแอ้มขอบคุณแล้วเดินแน่บเข้าไปในห้องที่นิครออยู่ พอเห็นเธอเขาก็ทำหน้าดีใจ ตอนนี้เขาอยู่ในท่านั่ง มีโต๊ะอาหารเล็กๆแบบที่ใช้วางบนเตียงให้คนป่วยรับประทานอาหารด้วยตัวเองวางคร่อมตักเขาอยู่ แต่บนโต๊ะว่างเปล่าเพราะถาดอาหารยังวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง

“คุณมาพอดี ผมกำลังหิวมากเลย” เขาอุทธรณ์

“หิวแล้วทำไมไม่ทานล่ะคะ เมื่อกี้พยาบาลข้างนอกบอกฉันว่าคุณไม่ยอมทานอาหารที่เขาจัดมาให้”

“ก้อ..” อีกฝ่ายอึกอัก “ก็คุณเอาซุปมาให้ผมไม่ใช่หรือ ผมบอกแล้วไงว่ามื้อเย็นผมจะกินซุปที่คุณอุตส่าห์ทำมาให้ แล้วเรื่องอะไรผมจะต้องทนกินไอ้อาหารน่าเบื่อพวกนั้นล่ะ”

หญิงสาวถอนใจ ไม่ยักรู้ว่าเขาก็ดื้อเป็นเหมือนกัน “ซุปอย่างเดียวจะอิ่มได้ยังไง คุณต้องฟื้นฟูร่างกายไม่ใช่หรือ ขืนเลือกอาหารแบบนี้แล้วเมื่อไรจะแข็งแรงเหมือนเดิมล่ะ”’

นิคมองกระติกใบย่อมๆและกล่องพลาสติคของเธอที่วางอยู่บนโต๊ะปลายเตียง

“ผมจะกินซุปให้หมด คุณเอาผลไม้มาด้วยไม่ใช่หรือ รับรองว่าผมจะกินไม่ให้เหลือเลย แค่นั้นก็อิ่มแล้ว ว่าแต่ต้องอุ่นก่อนหรือเปล่าซุปน่ะ ผมจะได้เรียกพยาบาลให้เอาไปจัดการให้”

พราวพรายเดินไปที่กระติก “ไม่ต้องหรอกค่ะ กระติกนี่เก็บความร้อนได้หลายชั่วโมง”

เห็นสายตาที่กวาดไปรอบๆเหมือนมองหาอะไรสักอย่างของเธอ เขาก็รีบบอกว่า “จานกับช้อนอยู่หลังตู้เย็น ผมขอพยาบาลให้เอามาเตรียมไว้แล้ว”

แต่เมื่อเธอประคองถ้วยซุปมาวางให้เขาพร้อมช้อน นิคก็นั่งมองเฉย ไม่มีทีท่าว่าจะตักเข้าปาก “อ้าว ทำไมไม่ทานล่ะคะ ไหนว่าหิว?”

คนเจ็บทำท่าอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะอ้อมแอ้มถามว่า “คุณจะไม่ช่วยป้อนสักหน่อยหรือ?”

“อ้าว ทำไมต้องป้อนด้วยล่ะคะ คุณทานเองไม่ได้หรือ? แล้วทุกวันใครป้อนให้คุณล่ะ หรือพยาบาลคนสวยๆนั่น?” พราวพรายชักสงสัย เอ๊ะ..อาการเขาก็ดีขึ้นมากแล้วนี่ ทำไมจะต้องให้ใครป้อนด้วย

“ก็..ก็พยายามกินเองทุกวันแหละ แต่วันนี้ผมกินเองไม่ได้นี่”

หญิงสาวขมวดคิ้ว “ทำไมเฉพาะวันนี้ถึงทานเองไม่ได้?”

“มือผมไม่มีแรง” แล้วเขาก็ยกมือของเขาชูให้เธอดูทีละข้าง

“มือเป็นอะไรคะ ทำไมถึงไม่มีแรง?” เธอชักกังวล “แล้วคุณบอกหมอหรือเปล่า?”

อีกฝ่ายส่ายหน้าปฎิเสธแล้วรีบรวบรัดโดยเร็วด้วยการบ่นว่า “โธ่ จะซักถามอะไรตอนนี้ ให้ผมอิ่มก่อนแล้วค่อยซักได้ไหม ผมหิวมากเลยนะ เดี๋ยวต้องกินยาหลังอาหารอีกตั้งหลายเม็ด”

ความที่กลัวว่าเวลากินยาหลังอาหารของเขา จะคลาดเคลื่อนจากที่ควรมากเกินไป ทำให้พราวพรายต้องคว้าถ้วยซุปลงมาจากโต๊ะตรงหน้าเขา แล้วใช้ช้อนค่อยๆตักซุปป้อนให้เขา ซึ่งนิคก็กินหมดถ้วยแล้วยังขอเพิ่มอีกด้วย หลังจากนั้นก็กินผลไม้ที่พราวพรายปอกมาเรียบร้อยจากบ้าน อีกสิบห้านาทีต่อจากนั้น ก็อ้าปากรับยาสามสี่เม็ดที่เธอป้อนให้ถึงปาก ตามด้วยน้ำหนึ่งแก้ว

ระหว่างที่พราวพรายกำลังป้อนยาให้นิค พยาบาลคนเดิมก็เดินเข้ามาในห้องเพื่อมาวัดไข้วัดความดันผู้ป่วยตามปกติ พอเห็นคนป่วยกับคนมาเยี่ยมไข้กำลังป้อนยากันอยู่ เธอก็ยิ้มแล้วสัพยอกเขาว่า

“เอ๊ะ วันนี้มือของคนไข้ฉันใช้การไม่ได้โดยกระทันหันหรือคะ เมื่อกลางวันยังทานเองได้อยู่เลย จะให้ฉันรายงานหมอไหมคะ ผู้พันฯ ว่ามือคุณมีปัญหา?” พูดจบเธอก็ยักคิ้วให้พราวพรายอย่างขำๆ ก่อนจะเดินส่ายหน้าออกไปจากห้องหลังจากเช็คอาการคนไข้เสร็จ

พราวพรายหน้าแดงก่ำ รู้ว่าโดนคนป่วยหลอกเข้าให้แล้ว เธอทำหน้าบึ้งใส่เขาทันที “เจ้าเล่ห์นักนะ แบบนี้น่าจะให้หมอตัดมือทิ้งไปเลย”

“โถ อย่าใจร้ายนักเลย ผมก็แค่อยากอยู่ใกล้ๆคุณเท่านั้น ” แล้วเขาก็รีบเปลี่ยนเรื่องโดยเร็ว “พรุ่งนี้คุณจะมาอีกไหม?”

“คงไม่ต้องมาแล้วมั้ง คุณเกือบหายแล้วนี่”

อีกฝ่ายหน้าเสียไปหน่อย แต่แล้วก็พยักหน้า “คุณพักมั่งก็ได้ ทำงานมาทั้งอาทิตย์แล้ว ขอบคุณมากนะที่ทำอาหารมาให้ อร่อยมาก”

พราวพรายนั่งอยู่กับนิคจนค่ำก็ขอตัวกลับ วันนี้เธอสบายใจขึ้นที่เห็นอาการของนิคดีขึ้นมากแล้ว ตั้งแต่เริ่มทานอาหารได้เขาก็ดูไม่ผอมมากเหมือนตอนแรกๆ เธอไม่รู้ว่าเขาจะต้องอยู่โรงพยาบาลอีกนานแค่ไหน แต่ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปเยี่ยมเขาอีก แต่คงจะเว้นระยะสักสองสามวันครั้ง เพราะตอนนี้เธอไม่ต้องห่วงเขามากนักแล้ว และเธอก็มีอะไรหลายอย่างต้องทำเหมือนกัน

 



Create Date : 26 ตุลาคม 2564
Last Update : 26 ตุลาคม 2564 11:09:12 น.
Counter : 918 Pageviews.

8 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณเนินน้ำ, คุณหอมกร, คุณกิ่งฟ้า, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณ**mp5**, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณสองแผ่นดิน, คุณอุ้มสี

  
สวัสดีจ้า
เราไม่ได้คุยกันนานมากเลย ต้องอ่านย้อนหลังไปเยอะเลยนะเนี่ย
แต่ช่วงนี้มีปัญหาเกี่ยวกับสายตา ต้องพักการอ่านไว้ก่อนค่ะ ไว้มีโอกาสจะมาอ่านย้อนหลังนะคะ
โดย: เนินน้ำ วันที่: 26 ตุลาคม 2564 เวลา:12:34:47 น.
  
พอมีข้อเปรียบเทียบ นางเอกก็จะรู้ใจตัวเองค่ะคุณตุ้ย
ว่าอยู่กับคนไหนแล้วจะรู้สึกมีความสุขกว่ากัน

โดย: หอมกร วันที่: 26 ตุลาคม 2564 เวลา:13:14:02 น.
  
สวัสดีค่ะ ตามมาอ่านนิยายค่ะ ไม่ได้อ่านมานานมากเลยค่ะ ดีใจที่กลับมาแล้วได้อ่านอีกคราวก่อนนั้นได้ออกจากบล็อกไๆปนานมากเลยค่ะก็เลยต้องมารื้อฟื้นใหม่ทุกอย่างเพราะว่าลืมหมดเลยค่ะ 555

มีความสุขยามบ่ายนะคะ

โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 26 ตุลาคม 2564 เวลา:13:15:38 น.
  
เริ่มเห็นบทหวาน ๆ ของนางเอกบ้างแล้ว
สงสารพระเอกมาหลายตอนแล้วค่ะ
โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 26 ตุลาคม 2564 เวลา:13:56:36 น.
  
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ
โดย: **mp5** วันที่: 26 ตุลาคม 2564 เวลา:16:51:12 น.
  
มาอ่านต่อครับ พี่ตุ้ย
นิคอาการดีขึ้นแล้ว ทีแรกนึกว่าพระเอกตื่นมาจะจำอะไรไม่ได้แล้ว ต้องนั่งรถเข็น
กลายเป็น เยี่ยมไข้ เพิ่มรัก
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 26 ตุลาคม 2564 เวลา:23:35:26 น.
  
ตามมาอ่านต่อค่ะ
โดย: อุ้มสี วันที่: 27 ตุลาคม 2564 เวลา:9:22:27 น.
  
สวัสดียามเช้าครับ
โดย: **mp5** วันที่: 3 พฤศจิกายน 2564 เวลา:9:27:26 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
ตุลาคม 2564

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com