คนละฟากฟ้า - บทที่ 91
แม้สองเดือนจะผ่านไปแต่เรื่องระหว่างนิคกับพราวพรายก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า พราวพรายยังพักอยู่ที่อพาร์ตเม้นท์ของเธอตามเดิมและยังไปทำงานที่บีบีซีทุกวัน แม้ทุกวันหยุดเสาร์อาทิตย์เธอจะพานิกกี้ไปค้างที่บ้านพักในค่ายของนิค แต่เจิดจรัสก็รู้จากน้องสาวว่าแยกกันนอนคนละห้อง นิกกี้นอนกับนิคในห้องนอนใหญ่ ส่วนพราวพรายนอนห้องของนิกกี้

เจิดจรัสมองเรื่องนี้อย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมน้องสาวของเธอยังทำอะไรแปลกๆแบบนี้อีก เธอรู้สึกสงสารเห็นใจนิค เขาจะทนไปได้อีกนานแค่ไหน แม้เขาจะไม่เคยบ่นหรือเล่าอะไรให้ฟัง แต่เธอก็รู้ว่าเขาก็คงต้องคิดมากเหมือนกัน เมื่ออดรนทนไม่ได้อีกต่อไป เจิดจรัสก็คิดว่าต้องคุยกับน้องสาวให้รู้เรื่อง

“นี่มันก็ตั้งสองเดือนแล้วนะพราว ทำไมไม่กลับไปอยู่กับนิคให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียทีล่ะ ทำพิกลอยู่ได้ หรือเขาทำอะไรให้เธอไม่พอใจ”

“โธ่ พี่เจิด ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เพียงแต่พราวยังไม่พร้อมที่จะกลับไปอยู่กับเขาเท่านั้น พร้อมเมื่อไหร่พราวจะรีบย้ายบ้านทันทีเลย”

“นี่..อย่ามาทำพูดเล่น” เจิดจรัสค้อนน้องสาวอย่างชักจะหมั่นไส้ขึ้นมาบ้างแล้ว

“ไม่สงสารเขาบ้างหรือ นิคน่ะรักเธอมากนะ อย่ามัวแต่ทำเล่นตัวอยู่เลย กลับไปอยู่กับเขาเสีย ทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวแบบนั้นได้ยังไง แฟรงค์เขายังถามพี่เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอยังไม่พาลูกไปอยู่กับเขาเสียที”

แล้วหญิงสาวก็เลยเกิดสงสัยขึ้นมา “หรือว่ายังไม่หายโกรธเขาเรื่องหมอจูดี้?”

พราวพรายหัวเราะ “เรื่องอะไรพราวจะไปโกรธเขาเรื่องนั้นล่ะคะ พราวเข้าใจดีว่าเขามีหมอจูดี้ เพราะคิดว่าพราวแต่งงานจนมีลูกกับคนอื่นไปแล้ว อีกอย่างทั้งพราวทั้งเขาก็เข้าใจผิดเรื่องการหย่า ไม่หรอกค่ะพี่เจิด พราวไม่โกรธและไม่สนใจด้วย”

“อ้าว ถ้าไม่ใช่เรื่องจูดี้แล้วเรื่องอะไร บอกมาซิ” เจิดจรัสคาดคั้นต้องการคำอธิบาย สำหรับการกระทำของน้องสาวที่เธอเห็นว่าไม่เข้าท่า

อีกฝ่ายทำท่าอึกอัก “ไม่เห็นมีอะไรเลย พี่เจิดคิดมากไปเองหรือเปล่า พราวบอกแล้วว่ายังไม่พร้อม อีกอย่างพราวก็คุยกับนิคเรื่องนี้แล้ว เขาเข้าใจและยอมให้เวลาพราว”

พี่สาวหรี่ตาเหมือนสงสัย “แน่ใจหรือว่าเขายอมด้วยความเต็มใจ นี่แน่ะพราว พี่ขอเตือนนะว่าอย่าประมาท ผู้ชายน่ะทนอยู่คนเดียวไม่ได้นานนักหรอก อีกอย่างเขาก็ยังหนุ่มยังแน่น หน้าตาก็ดี งานการก็ดี อีกไม่นานก็คงเป็นพันเอก คิดให้ดีดีก็แล้วกัน”

แต่อีกฝ่ายก็ยังยิ้มสู้อยู่เหมือนเดิม “ไม่มีอะไรจริงๆ พี่เจิด เลิกพูดเรื่องของพราวดีกว่า ว่าแต่พี่เจิดมีอะไรอร่อยๆให้พราวกินบ้างไหม หิวจะแย่อยู่แล้ว”

เมื่อน้องสาวตัดบทแล้วเดินผ่านเธอเข้าไปในห้องแพนทรี เจิดจรัสเลยต้องหยุดพูด ได้แต่เดินตามหลังพราวพรายไป แต่เจิดจรัสไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ เธอพยายามค้นหาสาเหตุต่อไป แล้ววันหนึ่งก็คิดว่าได้พบคำตอบแล้ว คำตอบที่เป็นกุญแจไขเข้าไปในส่วนลี้ลับ ในหัวใจของน้องสาวเจ้าปัญหาของเธอ สิ่งนั้นคืออัลบั้มเก่าเล่มใหญ่ที่พราวพรายรื้อออกมานั่งดู พอเห็นพี่สาวเดินเข้ามาหา พราวพรายก็ปิดอัลบั้มเล่มนั้นโดยเร็ว

“ดูอะไรน่ะ พราว”

พราวพรายทำหน้าเจื่อนๆเมื่อตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พี่เจิด พราวนั่งว่างๆไม่มีอะไรทำ ก็เลยรื้ออัลบั้มเก่าๆของพี่เจิดออกมาดู”

เจิดจรัสดึงอัลบั้มจากมือน้องสาวมาพลิกดู แล้วก็เห็นคำตอบที่เธอมองหาทันที หลังจากใคร่ครวญอยู่สองสามวัน หญิงสาวก็โทรศัพท์ไปนัดนิคให้มาหาที่บ้าน ในช่วงที่พราวพรายอยู่ที่อพาร์ตเมนท์ส่วนตัวของเธอ คนทั้งสองพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ สามวันหลังจากนั้นซึ่งเป็นช่วงที่พราวพรายต้องไปเข้าร่วมสัมมนา ในต่างรัฐเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เจิดจรัส นิคพร้อมด้วยริกกี้กับนิกกี้ก็เดินทางไปเมืองไทยด้วยกัน เพื่อไปพบคุณพนัสและคุณจิตรา คนทั้งสี่เดินทางกลับอเมริกาหลังจากนั้นสี่ห้าวัน

ต่อจากนั้นนิคและเจิดจรัสก็วุ่นวายเตรียมการต่างๆจนสำเร็จเรียบร้อย สองสัปดาห์หลังจากกลับจากเมืองไทย เจิดจรัสก็โทรศัพท์ไปนัดพราวพรายให้มาหาที่อพาร์ตเมนท์ของเธอ

“พี่เจิดมีอะไรด่วนหรือคะ ถึงต้องโทรไปตามพราวให้มาทันที ความจริงพรุ่งนี้พราวก็จะมากินข้าวบ้านพี่เจิดอยู่แล้วไม่ใช่.....”

เสียงของพราวพรายขาดหายไปทันที เมื่อมองเห็นคนสองคนที่นั่งอยู่กับเจิดจรัส แฟรงค์และนิค ตาของเธอเบิกกว้างอย่างตกใจ ร้องออกมาว่า “อ้าว..คุณพ่อ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ แม่ก็มาด้วย พราว...พราว...”
คุณพนัสเป็นคนตอบว่า “มาเยี่ยมลูกเยี่ยมหลานน่ะสิ”

พราวพรายเดินเข้าไปคุกเข่าพนมมือกราบลงไปบนตักของบิดามารดา แม้จะกำลังงงงวยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ที่นิคก็อยู่ที่นี่ด้วย ทำท่าเหมือนเคยพบปะพูดจากับคุณพนัสและคุณจิตรามาก่อนแล้ว แต่เธอก็รู้สึกดีใจมากที่ได้พบบุพการีทั้งสอง

“คราวนี้แม่ไม่กลัวนั่งเครื่องบินนานๆแล้วหรือคะ?”

คุณจิตราซึ่งปกติจะไม่ยอมนั่งเครื่องบินโดยอ้างว่าเป็นโรคกลัวความสูง ยิ้มเจื่อนๆ

“ก็ยังกลัวอยู่ดี แต่ถ้าจำเป็นก็นั่งได้”

“คุณพ่อมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ พราวไม่เห็นรู้เรื่องเลย” เธอหันไปถามคุณพนัส
“มาถึงเมื่อคืน ไม่ได้บอกล่วงหน้า อยากให้พราวตื่นเต้น”
“พี่เจิดรู้ก่อนแล้วใช่ไหมล่ะ ไม่ยอมปริปากบอกพราวบ้างเลย” พราวพรายหันไปต่อว่าพี่สาว
อีกฝ่ายหัวเราะ “ก็อย่างที่คุณพ่อบอกนั่นแหละ อยากเซอร์ไพรส์เธอ”
พราวพรายนึกถึงนิคที่นั่งมองอยู่เงียบๆขึ้นมาได้ก็บอกว่า “แม่คะ คุณพ่อคะ นี่นิคค่ะ เขาเป็นเอ้อ..พ่อ..”
บิดาของเธอทำหน้ายิ้มๆเมื่อตอบว่า “เรารู้จักกันแล้วละ เจิดพาเขาไปหาพ่อกับแม่ที่เมืองไทยเมื่อเร็วๆนี้ เอาลูกไปด้วย”

หญิงสาวอ้าปากค้างหันไปมองหน้านิคอย่างตกตะลึง เขามองสบตาเธอด้วยสีหน้ายิ้มๆ พยักหน้าเล็กน้อยให้เธอเป็นทำนองยืนยันว่า เรื่องที่คุณพนัสพูดเป็นความจริง

“ฉัน..เอ้อ..ฉันไม่เห็นรู้เลยว่าคุณพานิกกี้ไปพบคุณพ่อกับแม่”
“พี่เองแหละที่เจ้ากี้เจ้าการ อย่าไปต่อว่านิคเลย”

คุณพนัสตัดบทว่า “ดีแล้วละ พ่อดีใจมากที่พ่อของนิกกี้ยังไม่ตาย” เขาหันไปมองหน้าภรรยาที่นั่งอยู่ข้างๆแว่บหนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “ที่พ่อกับแม่มาที่นี่ก็เพื่อมาทำเรื่องที่ควรจะจบให้จบเสียที”

เจิดจรัสพูดแทรกขึ้นมาว่า “ทานข้าวกลางวันกันก่อนแล้วค่อยคุยกันอีกที ดีไหมคะ คุณพ่อ?”

หลังอาหารกลางวันเจิดจรัสก็พาบิดามารดา เข้าไปในห้องที่จัดเตรียมไว้ให้เป็นที่พัก โดยเรียกพราวพรายให้ตามเข้าไปด้วย หลังจากนั้นเธอก็ออกมานั่งคุยกับนิคและแฟรงค์ ชายหนุ่มทั้งสองรู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว ว่าคุณพนัสและคุณจิตราจะขอพูดคุยกับบุตรสาวคนเล็กเป็นการส่วนตัวก่อน

ความจริงคุณจิตราคิดหนักเรื่องลูกสาวคนเล็กมานานแล้ว หลังจากเกิดเรื่องใหญ่ ที่ทำให้ชายหนุ่มคนนั้นต้องเสียชีวิตไปเธอก็รู้สึกเสียใจ เพราะคิดว่าเธออาจจะเป็นต้นเหตุสำคัญ ที่ทำเหมือนผลักไสให้เขาไปตาย แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะเขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว ดังนั้นเมื่อรู้ภายหลังว่าเขาคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ เธอก็ดีใจและไม่คิดจะเข้าไปวุ่นวายเจ้ากี้เจ้าการ กับชีวิตของหนุ่มสาวทั้งสองอีก

เมื่อเจิดจรัสพานิคกับนิกกี้มาหาที่เมืองไทย ได้เห็นบุคลิกลักษณะและการวางตัวของเขาแล้ว เธอก็อดเสียใจอีกไม่ได้ที่เคยปฎิเสธไม่ยอมพบเขา ครั้งที่พราวพรายพยายามอ้อนวอนขอร้องเธอ ให้ๆโอกาสเขามาพบเธอสักครั้ง ต่อมาเมื่อรู้จากลูกสาวคนโตถึงเหตุผลที่พราวพราย ยังไม่ยอมพาลูกกลับไปอยู่กับนิคทั้งๆที่ไม่ได้มีเรื่องโกรธเคืองกัน โดยเจิดจรัสเล่าถึงเรื่องที่น่าจะเป็นสาเหตุ ที่ทำให้เรื่องที่ควรจะจบไม่สามารถจะจบลงได้เสียทีให้บิดามารดาฟัง เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งคุณพนัสและคุณจิตรากับนิคและเจิดจรัส ก็ช่วยกันวางแผนจัดการให้เรื่องจบลงโดยเร็ว

คุณพนัสกับคุณจิตรานั่งลงคู่กันบนเตียง ส่วนพราวพรายนั่งพับเพียบอยู่บนพื้น

“เอ้า..คุณ มีอะไรจะพูดกับลูกก็พูดเสียสิ จะได้เข้าใจกันเสียที” คุณพนัสหันไปบอกภรรยา

อึกอักอยู่อึดใจหนึ่ง คุณจิตราก็พูดว่า “พราว บอกตรงๆนะว่าแม่ดีใจมากที่สามีของลูกยังมีชีวิตอยู่ หลายปีที่ผ่านมานี่แม่ไม่สบายใจเลย ที่ทำให้พราวกับเขาต้องเลิกกัน ตอนนั้นแม่โกรธมากไปหน่อย ไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ตอนที่รู้จากลูกว่าเขาตาย แม่รู้สึกผิดอย่างมาก ที่อาจจะเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เขาต้องตาย..”

“แม่คะ” พราวพรายพูดขัดขึ้นมา “แม่ไม่ได้เป็นต้นเหตุหรอกค่ะ นิคไปทำงานแล้วเกิดพลาดพลั้งขึ้นมา ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ พราวไม่ได้...”

“เอาเถอะ..เอาเถอะ ปล่อยให้แม่พูดเถอะ สี่ปีแล้วนะที่แม่โทษตัวเอง ที่เข้าไปวุ่นวายเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของพราว จนกลายเป็นเรื่องใหญ่”

“แม่คะ แต่ในที่สุดนิคก็ไม่ได้ตายนี่คะ แม้แต่การหย่าของเราก้ไม่มีผลทางกฏหมาย”

“ใช่ แม่รู้หมดแล้วละแล้วก็ดีใจมากด้วย ที่ลูกกับเขายังรักกันเหมือนเดิม “

เธอนิ่งไปอึดใจใหญ่ก่อนจะพูดต่อว่า “แม่อยากจะบอกพราวว่าแม่เสียใจกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่ก็อยากจะบอกด้วยว่าทุกอย่างที่แม่ทำไป ก็ด้วยความรักความหวังดีต่อลูกทั้งนั้น เพียงแต่ไม่ได้หยุดคิดว่าลูกต้องการอะไร ถ้าย้อนเวลากลับไปได้แม่ก็คงจะไม่ทำอย่างที่ทำลงไป แม่คงยอมให้พราวพาเขามาพบแม่ ถ้าได้มีโอกาสเห็นหน้าค่าตา ได้พูดจากัน เรื่องก็คงไม่ออกมาแบบนี้ แม่เสียใจ...” คุณจิตรามีน้ำตาคลออยู่ในดวงตา

เห็นน้ำตาของมารดาแล้วพราวพรายก็ใจหายวาบ รู้สึกสงสารเป็นที่สุดเพราะปกติคุณจิตราเป็นคนใจแข็ง ไม่มีใครได้เห็นน้ำตาของเธอง่ายๆ หญิงสาวที่ใจอ่อนยวบขยับตัวลุกขึ้นกอดมารดาไว้แน่น

“แม่ขา อย่าร้องไห้เลยค่ะ ตอนโน้นพราวอาจจะนึกโกรธแม่อยู่บ้าง ที่ไม่ให้โอกาสพราวกับเขาเลย แต่ตั้งแต่มีลูกพราวก็เข้าใจแม่ดีขึ้นกว่าเก่ามาก แม่คงทำไปเพื่อปกป้องพราว เพราะแม่ไม่รู้จักนิคว่าเขาเป็นคนอย่างไร”

สองแม่ลูกพูดจาปรับความเข้าใจกันอยู่อีกพักหนึ่ง คุณพนัสซึ่งนั่งฟังอยู่เงียบๆเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วก็พูดขัดขึ้นมาว่า

“เอาละ ตอนนี้ก็ปรับความเข้าใจกันรู้เรื่องแล้ว มาพูดกันเรื่องที่พ่อกับแม่มาที่นี่ดีกว่า เมื่อสองสามอาทิตย์ที่แล้วเจิดพานิคไปหาพ่อกับแม่ พูดคุยกันหลายเรื่อง นิคเองก็เข้าใจและไม่โกรธเคืองแม่เรื่องที่ผ่านมา เขาขอโทษที่แต่งงานกับลูก โดยไม่ได้ทำตามขั้นตอนประเพณีของทางเรา เขาก็เลยอยากจะทำให้ถูกต้องเพื่อหน้าตาของเรา นิคเสนอที่จะจัดงานแต่งงานตามพิธีการทุกอย่าง ตอนแรกเขาคิดจะจัดที่เมืองไทยเพื่อเป็นเกียรติแก่เรา มีงานเลี้ยงรับรอง รดน้ำสังข์ รวมทั้งพิธีทางศาสนาด้วย แต่พ่อเห็นว่าไหนๆลูกจะต้องอยู่กับเขาที่นี่ต่อไปในสังคมของเขา แม้แต่เจิดกับแฟรงค์ก็อยู่ที่นี่แล้ว เพื่อนฝูงที่ทำงานของพราวก็อีกมากมาย พ่อก็เลยคิดว่าจัดที่นี่ดีกว่า แล้วก็ทำพิธีทางศาสนาแบบคริสต์ตามประเพณีของเขา เรื่องนี้พราวมีความเห็นว่าอย่างไร”

หญิงสาวทำท่าตกใจ พูดไม่ออกอยู่เป็นครู่กว่าจะหลุดปากออกมาได้

“ทำไมต้องจัดงานอีกล่ะคะ ถึงอย่างไรเราก็เป็นสามีภรรยากันโดยถูกต้องอยู่แล้วนี่คะ?”

“เอาเถอะ เขาอยากจะจัดก็ให้เขาจัดเถอะ พ่อแม่จะได้สบายใจ นิคกับพราวเองก็จะได้เลิกรู้สึกผิดเสียที” คุณจิตรารีบรวบรัด “ที่คุณพ่อกับแม่มาที่นี่ก็เพื่อมาจัดงานให้เราสองคน นั่งเรือบินตั้งเกือบยี่สิบชั่วโมงแม่ยังยอมเลย พ่อแม่อยากมีโอกาสได้ร่วมพิธีแต่งงานของลูกสาวสักคน่ก็ยังดี อย่างยายเจิดกับแฟรงค์น่ะ ถึงพ่อแม่ไม่ได้มา แต่เขาก็ทำตามประเพณีของทางนี้ครบทุกขั้นตอน แม่ก็เลยอยากให้พราวได้มีพิธีแต่งงานที่ถูกต้องเหมือนกัน ทุกคนจะได้สบายใจ”

“พราวมีความเห็นว่ายังไงล่ะลูก พ่ออยากเห็นลูกสาวพ่อแต่งชุดเจ้าสาวเหมือนลูกสาวคนอื่นเขาบ้าง ยายเจิดก็ไม่มีโอกาสได้เห็นมาคนแล้ว”

พราวพรายไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เธอนั่งก้มหน้านิ่งน้ำตาไหลพรากๆ ซึ่งบุพการีทั้งสองของเธอต่างก็เข้าใจดี ว่าเป็นน้ำตาของความตื้นตันใจ เมื่อเห็นเช่นนั้นคุณพนัสก็เดินออกไปเรียกนิคให้เข้ามาในห้อง มีเจิดจรัสเดินตามเข้ามาด้วย ส่วนแฟรงค์ขอตัวไปทำงานที่โรงพยาบาลสักพักแล้ว

“นิค นั่งข้างๆยายพราว แต่ถ้าไม่ถนัดก็นั่งบนเก้าอี้โน่นก็ได้” คุณพนัสบอกด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะนั่งกับพราว”

นิคลงนั่งขัดสมาธิเก้ๆกังๆข้างพราวพราย เห็นเธอร้องไห้ก็ขมวดคิ้วทำท่ากังวล “พราว เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”
ส่วนเจิดจรัสหัวเราะ สัพยอกน้องสาวว่า “ร้องไห้ดีใจใช่ไหมล่ะ?”
พราวพรายหันมาค้อนพี่สาว “แผนพี่เจิดล่ะสิ”
“แหงละ ก็เธออยากเรื่องมากนักนี่ พี่กับพระเอกของเธอเลยต้องร่วมมือกันลับหลังเธอไง”

คุณพนัสพูดขัดขึ้นว่า “นิคกับพราว พ่อกับแม่ขอบอกอย่างเป็นทางการก็แล้วกัน อนุญาตให้ลูกสองคนแต่งงานกันได้ ย้อนหลังไปจนถึงตอนโน้น เรื่องอะไรที่ผิดพลาดกันมาทั้งทางนิคและครอบครัวของพราว ก็ขอให้อโหสิซึ่งกันและกัน พิธีแต่งงานที่จะทำกันอาทิตย์หน้า ถือว่าเป็นการทำให้ถูกต้องตามประเพณีและสังคม เพื่อให้พ่อแม่เพื่อนฝูงของทั้งสองฝ่ายรับรู้และร่วมแสดงความยินดีด้วย พ่อแม่และญาติพี่น้องของพราวทุกคน ยินดีต้อนรับนิคเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน”

พราวพรายสะกิดนิคให้ก้มลงกราบคุณพนัสและคุณจิตราพร้อมๆกับเธอ ซึ่งชายหนุ่มผู้นั้นก็สามารถทำได้ แม้จะเก้ๆกังๆไปบ้าง

“เอาละ เป็นอันว่าตกลงตามนั้นนะ เดี๋ยวเจิดกับนิคคุยรายละเอียดต่างๆกับพราวให้รู้เรื่อง อีกอาทิตย์กว่าๆก็จะถึงวันงานแล้ว”

พราวพรายทำหน้าตกใจ “แค่อาทิตย์กว่าๆเท่านั้นหรือคะ แล้วจะเตรียมอะไรทัน”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ยายเจิดกับนิคเขาจัดการเรียบร้อยหมดแล้วละ พราวเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวอย่างเดียวก็พอ”

“มีแต่เรื่องชุดเจ้าสาวเท่านั้นแหละ พี่ไปจัดการสั่งตัดให้เธอแล้ว นิคช่วยเลือกแบบ ตอนนี้เธอก็แค่ไปลองชุดเท่านั้น เดี๋ยวบ่ายๆออกไปด้วยกัน ให้นิคขับรถให้”

เจิดจรัสจัดการเสร็จสรรพแล้วหันไปถามมารดาว่า “แม่จะไปด้วยไหมคะ จะได้ไปช่วยติชมแล้วก็นั่งรถชมเมืองด้วย”

คุณจิตราทำท่าลังเล หันไปชวนสามีว่า “คุณจะไปด้วยไหมคะ? ไม่อยากทิ้งคุณให้นั่งเหงาอยู่คนเดียว”

“ไม่เหงาหรอก หลานอยู่ตั้งสองคน คุณอยากไปก็ไปเถอะ เพิ่งมาอเมริกาครั้งแรก เขาพาไปไหนก้ไปเถอะ จะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง ไม่งั้นวันๆนั่งอยู่แต่ในบ้าน”



“ไม่เอาละ ไม่ไปดีกว่า ให้หนุ่มๆสาวๆเขาไปกันเถอะ อยู่เล่นกับหลานก็ดีเหมือนกัน”
“เอายังงี้ดีไหมครับ” นิคเสนอ “ตอนนี้ให้คุณพ่อคุณแม่พักผ่อนก่อน คืนนี้ผมขอเชิญคุณพ่อคุณแม่ คุณเจิดกับแฟรงค์ ไปดินเนอร์ข้างนอก พ่อแม่ผมคงจะมาร่วมดินเนอร์ด้วย”’

บิดามารดาของนิคได้พบลูกสะใภ้กับหลานชายตัวน้อยก่อนหน้านี้แล้ว คนทั้งคู่ต้อนรับพราวพรายอย่างอบอุ่น มารดาของนิคซึ่งเป็นคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ชวนพราวพรายให้มาช่วยเธอดูแลกิจการของครอบครัว โดยเธอกำลังจะเปิดห้องโชว์ชิ้นศิลปกรรมจากอิตาลีในวอชิงตันดี.ซี ในเร็วๆนี้ และกำลังมองหาคนมาช่วยบริหารอยู่ แต่หญิงสาวยังไม่ได้ตอบตกลง เพราะยังรักงานที่บีบีซีอยู่

“ดีเหมือนกันนะคะ ลองไปทานอาหารที่เมืองนี้ดูบ้าง ตกลงนะคะ”
เจิดจรัสหันไปถามนิคว่า “คุณจะพาไปดินเนอร์ที่ไหนคะ”
“ที่ไหนก็ได้ คุณเจิดช่วยเลือกให้หน่อยได้ไหมครับ”
“โอเค เดี๋ยวฉันจัดการให้”

ระหว่างที่เจิดจรัสเข้าไปแต่งตัวในห้องส่วนตัว พราวพรายก็เดินตามเข้าไปด้วย “ถามจริงๆเถอะ ทำไมพี่เจิดต้องลุกขึ้นมาจัดงานแต่งงานให้พราวด้วย พราวเคยบอกหรือว่าอยากมีงานแต่งงาน”

เจิดจรัสยักคิ้วให้น้องสาว“ไม่เห็นต้องรอให้เธอบอกนี่ คนอย่างเธอไม่มีวันอ้าปากบอกใครเรื่องนี้หรอก เงียบกริบไปซะเกือบทุกเรื่อง ตอนแรกพี่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงยังกระบิดกระบวน ไม่ยอมไปอยู่กับนิคเสียที”

“แล้วตอนนี้คิดว่ารู้แล้วเหรอ?”

“ฮื่อ รู้ตั้งแต่วันที่เห็นเธอนั่งดูรูปงานแต่งงานของพี่แล้วละ ตอนมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆเธอดูไปครั้งนึงแล้ว ไม่เห็นเคยสนใจอยากจะดูซ้ำอีกเลย แต่วันนั้นหลังจากที่เจอกับนิคแล้ว เธอก็ไปค้นมาดูใหม่ เห็นแล้วพี่ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอคิดว่าแค่จดทะเบียนสมรสอย่างเดียวยังไม่พอ เธอยังต้องการพิธีกรรมอื่นๆอีกด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ผู้หญิงทุกคนก็ต้องการเหมือนๆกันทั้งนั้น จริงไหม?”

พราวพรายนิ่งอึ้งไป เพราะสิ่งที่เจิดจรัสพูดเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจมานาน แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่พี่สาวของเธอไม่น่าจะรู้ “ที่พี่เจิดพูดมาก็ถูก แต่ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่พราวยังไม่อยากกลับไปอยู่กับนิค”

พี่สาวทำหน้ายิ้มๆ อย่างรู้เท่า “จะให้พี่เดาไหมล่ะ ว่าเหตุผลอื่นคืออะไร?”
น้องสาวก็ยิ้มเหมือนกัน แต่อย่างท้าทาย “ลองเดามาสิคะว่าจะถูกไหม?”

“เดาอีกก็ถูกอีกนั่นแหละ ถ้าพี่เดาถูกก็อย่าเบี้ยวทำเฉไฉล่ะ เรื่องแม่ใช่ไหมล่ะ สี่ปีมานี่เธอไม่เคยลืมคำพูดของแม่ ที่ด่าว่าเธออย่างรุนแรงอย่างที่เธอเล่าให้พี่ฟัง นอกจากไม่ยอมรับนิคเป็นลูกเขยแล้วยังถือความเป็นแม่ บีบบังคับให้เธอต้องยอมหย่ากับนิค หย่ากันได้ไม่กี่วันก็ได้ข่าวว่าเขาตาย แม้แต่เรื่องนิกกี้ที่แม่อย
ากให้เธอไปทำแท้งตั้งแต่ท้องใหม่ๆก็เหมือนกัน เธอไม่สามารถยกโทษให้แม่ได้ แม้ปากจะบอกว่าไม่ได้ถือโทษโกรธแม่ก็ตาม แต่ลึกๆในใจเธอยังลืมไม่ได้

พอรู้ว่านิคยังไม่ตายและกลับมาหาเธอ เธอก็เลยตั้งใจเอาไว้เงียบๆว่าตราบใดที่แม่ยังยอมรับนิคไม่ได้ เธอก็จะอยู่เฉยๆแบบนี้ไปเรื่อยๆ จำได้ไหมว่าตั้งแต่มาอยู่กับพี่เธอกลับไปเยี่ยมบ้านกี่ครั้ง สองครั้งเอง ไม่ยอมพานิกกี้ไปพบแม่ด้วย ตอนหลังนี่ที่นิคกลับมาแล้วเธอยังไม่ยอมพาเขาไปบ้านเลย เพราะอะไรล่ะ ก็เพราะเธอตัดสินใจเอาไว้แล้ว ว่าแม่จะต้องเป็นฝ่ายเดินทางมาหาเธอที่นี่ มาบอกเธอว่าแม่เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อไหร่ที่แม่ละทิษฐิยอมรับนิคเป็นลูกเขยโดยไม่มีข้อแม้ เธอถึงจะกลับไปอยู่กับเขา ว่าไง ชัดเจนไหม พี่เดาถูกไหม?”

พราวพรายทำหน้าเจื่อนๆ “พราวเป็นลูกที่แย่มากใช่ไหมพี่เจิด ที่โกรธแม่ ไม่ยอมให้อภัยแม่”

อีกฝ่ายยักไหล่ “ก็ไม่แย่เท่าไหร่หรอก เพราะอย่างน้อยตอนนี้เธอก็ไม่ถือโทษโกรธแม่แล้วไม่ใช่หรือ? นี่แน่ะพราว ฟังพี่นะ พ่อแม่น่ะก็เป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนเรานั่นแหละ บางครั้งก็อาจจะทำอะไรผิดพลาดได้บ้างเหมือนคนทั่วไป แต่ก็คงทำไปเพราะความรักลูกเป็นห่วงลูกเท่านั้น ไม่ได้ทำเพราะเกลียดชังลูกหรอก แต่ตอนนี้เธอก็คงจะเข้าใจพ่อแม่มากขึ้นแล้วละ เพราะเธอก็มีลูกของตัวเองแล้ว รู้แล้วว่าพ่อแม่รักลูกอย่างไร จริงไหม?”

หญิงสาวผู้น้องยิ้มเศร้าๆ “ค่ะ ตอนนี้พราวเข้าใจแล้วว่าพ่อแม่รักลูกมาก ถึงได้กังวลห่วงใยไปหมดทุกเรื่อง ไม่ว่าลูกจะเป็นเด็กเล็กๆหรือโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยังตามรักตามห่วงไปตลอด จนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง”

“รู้แล้วก็ดีแล้ว จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที จะบอกให้นะว่าคุณพ่อน่ะชอบนิคมาก เคยพูดกับพี่ตอนที่พาเขาไปบ้าน ว่าเขาดูเป็นผู้ชายที่หนักแน่นมั่นคง มีความรับผิดชอบสูง หน้าที่การงานก็ดี อายุแค่นี้ก็เป็นพันโทแล้ว อีกไม่นานก็เป็นพันเอก ต่อไปก็เป็นนายพล ส่วนพี่ก็ขอแถมให้อีกหน่อยว่าท่าทางเขารักเธอมาก ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นที่ถูกเธอทำเหมือนไม่เห็นคุณค่าของเขา เขาคงไม่กลับมาหาเธอหรอก อาจจะแต่งงานกับจูดี้ไปแล้วก็ได้ จริงไหมล่ะ?”

“ค่ะ พี่เจิด นิคเขาน่ารัก ใครๆก็ชอบเขา”
“เธอล่ะรักเขามากน้อยแค่ไหน” พี่สาวถามล้อๆ

น้องสาวอมยิ้มนัยน์ตาพราว “เรื่องอะไรจะบอก เก็บไว้บอกเจ้าตัวให้เขาดีใจไม่ดีกว่าหรือคะ ?”

แล้วเธอก็เปลี่ยนเรื่อง “พี่เจิดนึกยังไงถึงให้นิคเลือกแบบเสื้อให้พราว ทำไมพี่เจิดไม่เลือกให้เอง นิคเป็นผู้ชายจะรู้อะไร”

เจิดจรัสหัวเราะเมื่อบอกว่า “เธอประเมินสามีเธอต่ำไปหน่อยนะ ยายพราว เขาเลือกเก่งทีเดียว พี่ยังทึ่งกับรสนิยมของเขาเลย รับรองว่าสวมชุดนี้แล้วเธอจะเป็นเจ้าสาวที่ทั้งสง่างาม ทั้งสวยหวานหยดย้อย ไม่เชื่อก็คอยดูสิ”

แล้วคืนนั้นบิดามารดาของทั้งสองฝ่าย ก็มีโอกาสได้พบได้ทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ต่างฝ่ายต่างก็โอภาปราศัยกันเป็นอย่างดี คุณจิตราซึ่งเป็นผู้เดียวในที่นั้นที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ ได้แต่มองคนโน้นทีคนนี้ทีแล้วก็ส่งยิ้มให้ บางครั้งเมื่อมารดาของนิคพยายามจะพูดคุยด้วย พราวพรายหรือไม่ก็เจิดจรัสจะทำหน้าที่ล่ามให้ ในขณะที่คุณพนัสสามารถพูดจาสื่อสารกับสองสามีภรรยาได้อย่างคล่องแคล่ว

คุณจิตรานั้นเมื่อได้เห็นพ่อแม่สามีของบุตรีคนเล็กแล้วก็รู้สึกพอใจ เพราะคนทั้งสองดูเป็นคนต่างชาติที่ทำตัวง่ายๆเป็นกันเอง เธอชื่นชอบมารดาของนิคเป็นพิเศษ ถึงกับออกปากชมกับลูกสาวคนโต ตอนที่เจิดจรัสพาไปเข้าห้องน้ำ ว่าน่ารัก หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ท่าทางจริงใจและรู้สึกจะเอ็นดูพราวพรายมากเป็นพิเศษ ทำให้เธอหายห่วงบุตรีคนเล็กไปได้มาก คงจะกลับเมืองไทยไปได้อย่างสบายใจหลังงานแต่งงาน

 



Create Date : 29 สิงหาคม 2566
Last Update : 29 สิงหาคม 2566 11:33:17 น.
Counter : 385 Pageviews.

2 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณThe Kop Civil, คุณhaiku, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณปรศุราม, คุณปัญญา Dh, คุณสองแผ่นดิน, คุณSweet_pills, คุณอาจารย์สุวิมล

  
บทตอไปเป็นบทสุดท้ายแล้วนะคะ
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 29 สิงหาคม 2566 เวลา:12:14:17 น.
  
แล้วต่อด้วยเรื่องอะไรดีค่ะคุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 29 สิงหาคม 2566 เวลา:15:13:29 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
สิงหาคม 2566

 
 
1
2
4
5
6
8
9
10
12
13
14
15
17
18
19
21
23
24
26
28
30
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com