ชีวิตก็คือละครหรือนิยายเรื่องหนึ่ง
|
||||
คนชะฟากฟัา - บทที่ 55 เช้าวันหนึ่งขณะนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะของเธอตามปกติ จอห์นก็โผล่หน้าออกมาจากห้องทำงานขอให้เธอค้นแฟ้มเอกสารแฟ้มหนึ่งให้เขา พราวพรายลุกไปเปิดตู้เอกสาร หาพบแล้วก็นำเข้าไปให้เขาในห้อง จอห์นซึ่งกำลังพูดวิทยุโต้ตอบอยู่กับใครสักคนรับแฟ้มจากเธอ มาเปิดหาข้อมูลอะไรบางอย่างแล้วพูดวิทยุต่อไป เมื่อเหลือบเห็นถ้วยกาแฟใบใหญ่ที่วางอยู่ตรงหน้าเขาว่างเปล่า หญิงสาวก็นำถ้วยใบนั้นออกไปจัดการชงกาแฟให้เขาใหม่ แล้วนำมาวางไว้ให้บนโต๊ะตามเดิม จอห์นติดกาแฟ เขามักจะดื่มติดต่อกันวันละหลายถ้วย หลังจากนั้นก็เดินเพื่อจะออกจากห้องกลับไปทำงานที่ค้างไว้ต่อ แต่จอห์นซึ่งตอนนั้นเลิกพูดวิทยุแล้วเรียกเธอให้หยุด “เดี๋ยวตอนบ่ายโมงคนของนิคจะมารับของที่อยู่ในห้องโน้น ช่วยจัดการดูแลให้ด้วย เพราะตอนบ่ายฉันอาจจะไม่อยู่ “ พราวพรายรู้ว่าห้องโน้นของเขาหมายถึงห้องเก็บพัสดุเล็กๆ ที่ตอนนี้มีกล่องขนาดกลางปิดผนึกแน่นหนาวางเรียงกันอยู่สามใบ ที่เธอรู้มาล่วงหน้าแล้วว่าจะมีคนมารับ แต่เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่าของดังกล่าว จะถูกส่งไปที่หน่วยของนิคในเวียตนาม นิคนั้นเงียบหายไปเกือบสองเดือนแล้ว หญิงสาวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แรกๆที่เขาไม่มาเธอก็รู้สึกดีใจอยู่บ้าง ที่จะไม่ต้องมีใครมาทำหน้าบึ้งหรือทำตาดุใส่ เวลาที่เธอทำอะไรแผลงๆหรือทำตามใจตัวเอง บางครั้งยังอดคิดไม่ได้ว่า ‘รู้งี้ไม่แต่งด้วยดีกว่า นึกว่าจะได้แฟนมาคอยเอาใจตามใจ พาไปเที่ยว กลายเป็นได้พ่อคนที่สองมาสั่งโน่นห้ามนี่มากยิ่งกว่าพ่อแท้ๆเสียอีก’ แต่พอเขาหายไปนานเข้าเธอก็เริ่มคิดถึง รอคอย น้อยใจแล้วต่อมาก็พาลโกรธ แม้บางครั้งเขาจะฝากจอห์นซึ่งติดต่อกันทางวิทยุอยู่เป็นประจำ ให้มาบอกเธอว่าเขามีงานสำคัญยังมาหาเธอไม่ได้ก็ตาม ช่วยไม่ได้หรอกที่พราวพรายจะแอบนึกโกรธว่างานอะไรจะสำคัญนักหนา สำคัญกว่าเธออย่างนั้นหรือ แม้จะพยายามทำท่าเป็นผู้ใหญ่เต็มที่แต่เธอก็เพิ่งอายุเพียงยี่สิบสองปีเท่านั้นเอง คงเป็นไปได้ยากที่จะห้ามไม่ให้คิดอะไรแบบเด็กๆในบางครั้ง จอห์นซึ่งเห็นหน้าบึ้งๆของเธอตอนที่รับคำเขาว่า “ค่ะ” นึกขึ้นมาได้ว่านิคไม่ได้เข้ามาอุบลฯนานแล้ว และหญิงสาวคนนี้คงจะโกรธหรือน้อยใจเพราะไม่เข้าใจงานของเขา ก็กล่าวกับเธอว่า “มีอะไรจะฝากไปให้นิคหรือเปล่าล่ะ ถ้ามีก็ฝากทหารที่จะมารับของไปได้เลย ช่วงนี้นิคคงยังมาที่นี่ไม่ได้หรอก” สีหน้าของพราวพรายเปลี่ยนไปทันทีจากบึ้งตึงเป็นแย้มยิ้ม “ได้หรือคะ จอห์น” “แน่นอน ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” เขาพูดยิ้มๆ “เตรียมของไว้แล้วหรือ” “มีของแล้วค่ะ แต่ยังไม่ได้แพค เพราะไม่รู้ว่าฝากของส่วนตัวไปกับเฮลิคอปเตอร์ได้” แล้วเธอก็รีบอธิบายต่อ เมื่อเห็นสายตามีคำถามของเจ้านาย “พวกของกินแห้งๆน่ะค่ะ ส่งไปได้ใช่ไหมคะ ไม่มากหรอกค่ะ” คุณจิตราเพิ่งส่งเนื้อเค็มทอด หมูแดดเดียวทอดและน้ำพริกปลาป่นรสไม่จัดนักที่เธอปรุงเอง มาให้ทางไปรษณีย์เมื่อสองสามวันที่แล้ว ซึ่งพราวพรายคิดว่าจะแบ่งเก็บไว้ให้นิคลองชิมเวลาที่เขามาหาเธอ ตอนนี้เมื่อเขามาไม่ได้เธอก็เลยคิดว่าจะแบ่งฝากไปให้เขา “ถ้างั้นก็รีบกลับบ้านไปแพคให้เรียบร้อยแล้วเอาไปรวมกันไว้กับของสามกล่องนั่นสิ” จอห์นอนุญาตอย่างใจดี “ขอบคุณมากค่ะ จอห์น งั้นฉันไปตอนนี้เลยนะคะ จะรีบไปรีบกลับ” แต่ก่อนที่พราวพรายจะออกจากห้องไป จอห์นซึ่งรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับนิคดี แม้จะไม่รู้ถึงขั้นว่าแต่งงานกันแล้วแต่ก็รู้ว่ากำลังคบหากันอยู่ เขาเห็นว่าหนุ่มสาวคู่นี้เหมาะสมกันดี เขารู้ว่าพราวพรายมาจากครอบครัวที่ดี ส่วนนิคนั้นเขารู้จักมานานแล้วทั้งครอบครัว เพราะจอห์นเคยทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาของบิดานิคมาก่อน เขาสังเกตเห็นว่าเธอมีสีหน้าไม่สบายใจมาหลายวันแล้ว ซึ่งก็คงจะมีสาเหตุมาจากชายหนุ่มคนนั้น “พราว ทำไมไม่เอาของนั่นไปให้เขาเองล่ะ” จอห์นเสนอ พราวพรายหยุดเดิน ไม่เข้าใจว่าจอห์นหมายความว่าอย่างไร “ให้ฉันเอาไปให้เขาเอง เขากำลังจะมาที่นี่หรือคะ?” ชายวัยกลางคนส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่า เขายังมาไม่ได้หรอก ฉันหมายความว่าเธอจะไปหาเขาที่โน่นก็ได้ ไปกับทหารที่จะมารับของนั่นแหละ นั่งเครื่องไปไม่ถึงสองชั่วโมงหรอก จะอยู่ที่โน่นสักสองสามวันก็ได้ ฉันอนุญาต” พราวพรายยิ้มหวานออกมาทันทีอย่างดีใจคาดไม่ถึง ไม่รู้หรอกว่าเจ้านายของเธอ ซึ่งนานๆจะได้เห็นยิ้มอย่างเต็มที่ของเธอสักครั้ง นึกในใจอย่างไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนิคจึงมีทีท่าว่ารัก และอาจจะถึงขั้นจริงจังกับผู้หญิงคนนี้ ความจริงเธอเป็นคนสวยมากแต่ชอบทำหน้าบึ้งเสียจนหมดสวย ยิ้มของเธอช่างสดสว่างเสียเหลือเกิน เพราะรอยยิ้มนั้นไม่ได้หยุดอยู่แค่ริมฝีปากเย้ายวนที่แย้มออกจากกันเต็มที่ จนเห็นฟันซี่เล็กๆกลมมนที่แวววาวราวกับไข่มุกด์เท่านั้น แต่มันสาดส่องเข้าไปถึงนัยน์ตาดำขลับที่หยาดเยิ้มวาววับ ราวกับมีน้ำมันหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา “ได้หรือคะ จอห์น ให้ฉันไปจริงๆหรือคะ” “จริงสิ ฉันจะหลอกเธอไปทำไม ยกเว้นแต่เธอจะไม่อยากไปเท่านั้นแหละ” เขาเย้าเธอเล่นด้วยความเอ็นดูในท่าทางดีอกดีใจเหมือนเด็กๆของเธอ จอห์นชอบพราวพรายมาก เธอเป็นคนทำงานดีมีความรับผิดชอบสูง และยังเป็นผู้หญิงที่พูดตรงๆไม่เรื่องมากอีกด้วย ซึ่งแน่นอน..ข้อหลังนี่ย่อมแตกต่างกับความเห็นของนิค “อยากไปสิคะ แต่ที่โน่นเป็นค่ายทหาร ผู้หญิงไปได้หรือคะ ต้องขออนุญาตใครที่โน่นก่อนหรือเปล่า” หญิงสาวยังกังวลว่าการไปของเธอ จะทำให้นิคต้องวุ่นวายมีปัญหาอะไรหรือเปล่า เขาอาจจะต้องขออนุญาตผู้บังคับบัญชาก่อนก็ได้ “ไม่มีปัญหาอะไรหรอก” แล้วจอห์นก็ทำหน้ายิ้มๆบอกเธอว่า “ถ้าจะต้องขออนุญาตใคร ก็คงเป็นนิคนั่นแหละ ตอนนี้เขารักษาการผู้บัญชาการค่ายอยู่ ก็นี่แหละที่ทำให้เขาไปไหนไม่ได้ ต้องประจำอยู่ที่ค่ายจนกว่าผู้บัญชาการกับรองฯจะกลับมา” “หรือคะ” พราวพรายไม่เข้าใจสายงานอะไรของนิคหรอก และก็ไม่เคยสนใจอยากรู้มาก่อนด้วย เธอรู้แต่เพียงว่าเขาเป็นทหาร ยศตำแหน่งอะไรก็ยังไม่รู้เลยตอนที่เริ่มคบกัน เพิ่งจะรู้จากจอห์นก็ตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องนอนโรงพยาบาลนานเป็นเดือนนั่นแหละ ว่าเขาเป็นพันตรีแห่งกองทัพบกสหรัฐฯ ชื่อเต็มของเขาคือนิโคลัส เอ็ม.แบรดเลย์ ประจำการอยู่ในเวียตนามเท่านั้น ตอนนี้เธออยากพบเขาเพราะเขาหายหน้าไปนานเกินไป ตั้งใจไว้แล้วด้วยว่าเจอหน้าเมื่อไรจะต่อว่าต่อขานให้สะใจทีเดียว ไม่เห็นความสำคัญของเธอบ้างหรืออย่างไร ไม่รู้ตัวเลยว่าเธอต้องการเป็นคนสำคัญที่สุดของเขา แต่ตัวเองไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเขาสักเท่าไหร่ ทันทีนั้นพราวพรายก็นึกขึ้นมาได้ถึงคำอ้างของนิค “ไม่มีอันตรายอะไรหรือคะที่ค่ายนั่นนะ” “ไม่มีอะไรหรอก ถ้าอยู่แต่ในค่ายหรือละแวกนั้น” จอห์นทำหน้าแปลกใจกับคำถามของเธอ “แต่พวกนั้น” เธอหมายถึงพวกเวียตกงตามที่เคยได้ข่าวอยู่บ่อยๆผ่านทางงานที่ทำอยู่ “เข้ามาโจมตีบ่อยๆไม่ใช่หรือคะ” “เรื่องโจมตีน่ะมีเป็นประจำอยู่แล้ว แต่เป็นการซุ่มโจมตีที่อื่น ที่ค่ายน่ะคงไม่มาหรอกเพราะเป็นค่ายค่อนข้างใหญ่ ทหารของเราที่โน่นจะออกไปรบนอกค่าย เวลาโจมตีเราเขาก็จะลักลอบทำตามหน่วยเล็กๆใกล้ๆนั่นแหละ ค่ายใหญ่มีหน้าที่ส่งกำลังพลออกไปลาดตระเวนเป็นระยะๆ ถ้าหน่วยไหนถูกโจมตีก็ต้องส่งกำลังออกไปช่วย” จอห์นอธิบายอย่างละเอียดเพราะคิดว่าเธอคงกลัวอันตราย อธิบายจบก็ถามต่ออย่างสงสัยว่า “นิคไม่เคยเล่าให้ฟังบ้างหรือ” หญิงสาวยิ้มแห้งๆ สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นเฉยเมยเเมื่อตอบเขาว่า “เขาไม่เคยพูดเรื่องงานกับฉันหรอกค่ะ อ้างแต่ว่าไปที่โน่นไม่ได้เพราะอันตราย แต่เมื่อกี้คุณบอกว่าไม่มีอันตราย ก็แสดงว่าเขาอ้างเพื่อไม่ให้ฉันไปหาเขาสิคะ ถ้างั้นฉันไม่ไปดีกว่า” แล้วเธอก็พูดต่อเหมือนเด็กๆว่า “ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ของก็จะไม่ฝากไปให้ด้วย” จอห์นอมยิ้ม นึกขันกับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมา เหมือนเด็กที่ไม่ได้ดังใจของเธอ “อย่าโกรธเขาเลย เขาคงเป็นห่วงน่ะ ถึงจะคิดว่าพวกนั้นคงไม่กล้ามาวุ่นวายแถวค่าย แต่ของอย่างนี้มันก็ไม่แน่ เกิดอะไรเมื่อไรก็ได้ แล้วอีกอย่าง ที่ผ่านมานิคก็ต้องนำกำลังออกไปปฏิบัติการนอกค่ายบ่อยมาก เขาก็เลยไม่อยากให้เธอไป สู้รอให้เขาว่างแล้วมาหาที่อุบลฯดีกว่า” แม้จะรู้สึกดีขึ้นกับคำอธิบายของจอห์นแต่พราวพรายก็ยังไม่หายโกรธ นิคเคยอธิบายแบบนี้ให้เธอฟังหรือเปล่าล่ะ ก็เปล่าเลย บอกแต่ว่าอันตรายเท่านั้น บางครั้งเขาก็พูดเล่นพูดหัวเย้าหยอกเธอเหมือนอยู่ในวัยเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่เขาจะขรึมทำท่าเป็นผู้ใหญ่ไม่ค่อยพูดค่อยจา ทำให้เธอไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ความจริงเธอก้ไม่เห็นอยากรู้สักนิดว่าเขาคิดอะไร ดีละ..ไปก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้รู้เสียบ้างว่าถ้าอยากจะไปหาเขาเสียอย่าง เธอก็ไปได้ด้วยตัวเอง ไม่เห็นต้องง้อให้เขามาพาไปเลย “ตกลงไปใช่ไหม” จอห์นถามต่อเมื่อเห็นเธอนิ่งเงียบ “ค่ะ ไปดูสักครั้งก็ดีว่าที่โน่นเป็นยังไงบ้าง” แต่แล้วพราวพรายก็ทำหน้าม่อยเมื่อนึกถึงงานขึ้นมาได้ “แล้วงานล่ะคะ ฉันมีงานอีกสองสามชิ้นที่ต้องทำให้เสร็จ สงสัยจะไปไม่ได้เสียแล้ว” “ไปเถอะ งานที่ค้างน่ะเดี๋ยวจะให้อุษาช่วยทำ เธอรีบกลับบ้านไปเอาของ แล้วก็อย่ามัวแต่ดีใจจนลืมเอาเสื้อผ้าไปด้วยล่ะ” พราวพรายรีรออยู่เดี๋ยวหนึ่งก่อนจะถามเขาว่า “อย่าบอกนิคได้ไหมคะว่าฉันกำลังจะไปหาเขาที่โน่น” เจ้านายของเธอส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ได้หรอก ฉันต้องแจ้งให้เขารู้ตามกฏ เพราะเขาต้องควบคุมการเข้าออกในค่ายเพื่อความปลอดภัย เดี๋ยวพอเครื่องออกไปแล้วฉันจะวิทยุไปบอกเขา” แล้วในที่สุดพราวพรายก็เดินทางมาถึงค่ายในเวียตนามที่นิคประจำการอยู่ เมื่อเครื่องเฮลิคอปเตอร์ลงจอดบนลานวิ่งในบริเวณค่าย เธอก็เห็นนิคยืนรออยู่แล้ว พร้อมกับทหารสองสามนายซึ่งวิ่งเข้ามาที่ตัวเครื่องทันที ช่วยกันลำเลียงสิ่งของที่บรรทุกมาหลายกล่อง ลงจากเครื่องขึ้นใส่รถบรรทุกเล็กที่จอดรออยู่ นิคเดินเข้ามาหาพราวพราย ยื่นมือมารับตัวเธอลงจากเครื่อง ฉวยกระเป๋าค้างคืนใบเล็กๆของเธอมาถือไว้ในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งก็โอบบ่าพาเธอไปขึ้นรถจิ๊ปที่จอดอยู่ใกล้ๆ พราวพรายไม่เห็นแววตาของเขา เพราะมันซ่อนอยู่ในแว่นกันแดดสีดำ เมื่อรถจิ๊ปที่เขาขับแล่นออกจากลานบินนิคก็หันมาถามว่า “มาทำไม อีกไม่กี่วันผมก็จะไปหาอยู่แล้ว” คำถามและสีหน้าเรียบๆไม่แสดงอารมณ์ของเขา ทำให้พราวพรายนึกน้อยใจจนต้องโต้เขากลับทันทีว่า “งั้นเดี๋ยวฉันกลับก็ได้ มีเครื่องไปอุบลฯอีกไหมล่ะ ถ้ามีก็ช่วยส่งฉันกลับด้วย” นิคหันมามองท่าหน้าเชิดคอแข็งของเธออย่างเอือมๆ ไอ้ท่าแบบนี้แหละที่เธอชอบทำอยู่เป็นประจำเวลาไม่ได้ดังใจขึ้นมา “เดี๋ยวได้กลับแน่ ตอนเย็นจะมีเครื่องไปอุบลฯอีกรอบ นี่เพิ่งบ่ายสามโมงเท่านั้น เครื่องคงจะออกสักห้าโมงเย็น ต้องรออีกสองชั่วโมง ตอนนี้ไปนั่งเล่นที่บ้านก่อนก็แล้วกัน” คำพูดเหมือนไม่ยินดียินร้ายว่าเธอจะอยู่หรือจะไป ทำให้พราวพรายอยากจะร้องกรี๊ดออกมาดังๆ ให้แก้วหูคนนั่งข้างๆทะลุไปเลย แต่เมื่อทำไม่ได้เธอก็เลยนั่งเงียบกริบเหมือนบ้าใบ้ แม้เขาจะชวนพูดชวนคุยอีกหลายคำ ค่ายแห่งนั้นเป็นค่ายที่มีขนาดเล็กกว่าค่ายที่อุบลฯ พราวพรายเห็นกองบัญชาการที่เป็นเรือนไม้ชั้นเดียวขนาดใหญ่ มีทหารสะพายปืนยืนยามอยู่ด้านหน้าสองสามนาย เลยไปไม่ไกลเป็นเรือนยาวหลายหลังที่ปิดทึบ มีลักษณะเหมือนที่เก็บของหรือวัสดุอุปกรณ์ มีทหารอาวุธครบมือหลายนายยืนยามอยู่เช่นเดียวกัน มองไปไกลลิบๆเธอเห็นลานกว้าง ที่มีเครื่องบินรบขนาดเล็กจอดเรียงรายอยู่หลายสิบลำ โรงเก็บเครื่องบินหลายหลัง หอคอยหมุนได้รอบตัวสามร้อยหกสิบองศา ที่มีทหารยามถือปืนประจำอยู่ในป้อมข้างบน รถแล่นผ่านสถานที่ปลูกสร้างและลานปูนโล่งๆ สลับกับที่รกร้างว่างเปล่าอีกหลายแห่ง และในที่สุดก็แล่นผ่านเรือนไม้ชั้นเดียวเล็กบ้างใหญ่บ้าง ที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ห่างๆหลายหลัง มาจอดลงตรงหลังสุดท้ายที่มีขนาดใหญ่พอสมควร “ถึงแล้ว ลงมาสิ” นิคลงจากรถ มือหนึ่งถือกระเป๋าค้างคืนของพราวพราย ส่วนอีกมือหนึ่งก็ส่งมาให้เธอจับ แต่หญิงสาวทำเป็นมองไม่เห็น กระโดดพรวดลงมาด้วยตัวเองแล้วเซถลาเกือบจะล้มลง ดีที่ยั้งตัวเอาไว้ได้ทัน ชายหนุ่มที่ยืนมองเธออยู่เห็นสีหน้าบึ้งตึง ปากเชิดจนเกือบถึงจมูกของเธอแล้ว ก็รู้ว่าเตือนไปก็เปล่าประโยชน์ เธอกำลังโกรธและคงไม่เข้าใจหรอก ว่าที่เขาไม่อยากให้เธอมาที่นี่น่ะ นอกจากเรื่องความปลอดภัยแล้ว เขาก็ยังไม่มีเวลาจะให้เธอเท่าที่ควรอีกด้วย เพราะหน้าที่ความรับผิดชอบของเขามีมากโดยเฉพาะตอนนี้ บางครั้งก็มีเรื่องด่วนฉุกเฉินเกิดขึ้น โดยไม่คาดฝันและไม่เลือกเวลา ซึ่งเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องวางแผนรับมือ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยฉับพลันทันที นอกจากนี้นิคยังเป็นคนที่แยกงานกับเรื่องส่วนตัว ออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด เขาจัดวางครอบครัวไว้ทางหนึ่งและงานของเขาไว้อีกทางหนึ่ง ทำไมเขาจะไม่อยากพบอยากเห็นหน้าพราวพราย ทำไมเขาจะไม่ดีใจที่รู้จากจอห์นเมื่อครู่ก่อนนี้ว่าเธอกำลังจะมาหาเขา แต่ความที่ไม่เคยปฏิบัติแบบนี้มาก่อน ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แล้วดูสีหน้าเธอสิ ทำอย่างกับว่าใครเขาบังคับให้มา ไม่อยากมาแล้วมาทำไม นิคเดินนำหน้าพาพราวพรายขึ้นบันไดสองสามขั้น ไขกุญแจเปิดบ้านแล้วเรียกเธอให้ตามเข้าไป หญิงสาวที่หน้าตายังบึ้งตึงและไม่ยอมมองหน้าเขา เดินตามเข้าไปในบ้าน แล้วกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด ไม่ยอมแม้แต่จะมองไปรอบห้องซึ่งมีขนาดใหญ่พอสมควร ชายหนุ่มถือกระเป๋าของพราวพรายติดมือเข้าไปในห้องนอน เมื่อกลับออกมาข้างนอกเขาเดินไปเปิดตู้เย็นใบเล็กๆ ที่ตั้งแอบอยู่มุมหนึ่งของห้องที่เธอนั่งคอแข็งอยู่ หยิบน้ำเปล่าขวดหนึ่งมาส่งให้ แต่เธอไม่รับ ทำไม่รู้ไม่ชี้เสียอย่างนั้น นิคเลยวางไว้ให้บนโต๊ะใกล้ตัวเธอ ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาแล้วก้มลงไปจูบแก้มพราวพรายหนึ่งที ดึงตัวเธอให้ยืนขึ้นมาชิดเขาแล้วกอดเอาไว้ เธอยอมให้เขากอดก็จริง แต่ก็ทำตัวแข็งทื่อเหมือนทุกครั้งที่พยศนั่นแหละ “ผมต้องกลับไปทำงานต่อ คุณจะอาบน้ำหรือทำอะไรก็ตามสบายนะ ผมคงจะกลับมาสักห้าโมงเย็น” พราวพรายเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนเขา พูดโดยไม่มองหน้าว่า “จะมากี่โมงก็แล้วแต่คุณ ก่อนห้าโมงเย็นก็แล้วกัน จะได้ไปส่งฉันขึ้นเครื่องกลับอุบลฯให้พ้นหน้าพ้นตาคุณไปซะที” “ไม่เอาน่า พราว เลิกอารมณ์เสียได้แล้ว ผมไปก่อนนะ เดี๋ยวจะรีบมา” นิคเดินลงจากบ้านขึ้นรถแล้วขับออกไป ปล่อยให้พราวพรายโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียว เธอนั่งเฉยๆอยู่อีกครู่หนึ่งก็เดินเข้าไปในห้องนอน ที่เห็นนิคเอากระเป๋าของเธอเข้าไปเก็บ เมื่อเข้าไปแล้วก็อดมองสำรวจไปรอบห้องไม่ได้ ห้องนั้นมีขนาดกลางๆ เตียงนอนขนาดห้าฟุตพร้อมที่นอนหนา ตั้งอยู่ด้านในสุดของห้องชิดกับผนังด้านหนึ่ง ตู้เสื้อผ้าขนาดไม่ใหญ่นักตั้งอยู่ชิดผนังด้านที่ตรงกับปลายเตียง มีโต๊ะเครื่องแป้งเล็กๆที่มีของใช้ส่วนตัวของนิคสองสามชิ้นเช่นหวี โอดิโคโลญขวดเล็กและอะไรอีกสองสามอย่างวางอยู่ บนเพดานมุมห้องมีเครื่องปรับอากาศชนิดแขวนติดตั้งเอาไว้ สุดผนังอีกด้านหนึ่งของห้องมีประตูบานเล็กที่ปิดอยู่ เมื่อเดินไปลองผลักบานประตูให้เปิดออก พราวพรายก็พบห้องน้ำเล็กๆที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ราวกับห้องน้ำในโรงแรมระดับดี เห็นแล้วหญิงสาวก็ยักไหล่อย่างไม่แปลกใจ เพราะรู้เห็นมานานแล้วตั้งแต่เข้าทำงานใหม่ๆว่าคนอเมริกันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็มักจะพยายามเนรมิตที่ตรงนั้นให้ใกล้เคียงกับที่ที่เขาจากมาแทบทั้งนั้น แม้แต่ในค่ายที่อุบลฯก็เช่นเดียวกัน พวกทหารที่ทำงานอยู่ที่นั่นมีห้องแอร์ให้นั่งทำงาน มีโรงอาหารและสโมสรที่ตบแต่งอย่างสวยงาม ติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำให้ได้ใช้ ราวกับจะพยายามชดเชยกับความยากลำบาก ที่คนเหล่านั้นต้องมาเผชิญในแถบถิ่นที่ไร้ความเจริญหรือเจริญน้อยกว่า หญิงสาวลองหมุนก็อกตรงอ่างล้างหน้า เมื่อเห็นน้ำไหลแรงดีก็เลยถือโอกาสล้างหน้าล้างตาเสียเลย ล้างเสร็จก็มองหน้าตัวเองในกระจกที่อยู่เหนืออ่างล้างหน้า เห็นหน้าตาที่ปราศจากเครื่องสำอางแบบที่นิคชอบแล้วก็นึกโมโห ที่อุตส่าห์เอาใจเขาด้วยการลอกคราบเครื่องสำอาง ที่แต่งเอาไว้ตอนไปทำงานออกจนหมด ตอนนี้ถึงอยากจะแต่งใหม่ให้เป็นนางงิ้วไปเลยเพื่อแกล้งเขา ก็ทำไม่ได้เสียอีก เพราะไม่ได้เอาเครื่องสำอางติดกระเป๋ามาเลย แม้แต่ผมก็เหมือนกัน เขาเคยบอกว่าอยากให้เธอไว้ผมยาว เธอก็ตามใจเขาทั้งๆที่เคยตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่กลับไปไว้ผมยาวอีกเป็นอันขาด เพราะถูกมารดาบังคับให้ไว้มาตลอด ตอนนี้เธอเลี้ยงผมจนยาวเลยบ่าลงมามากแล้ว และวันนี้ก็ถักเป็นเปียเดี่ยวอันหนาที่เธอดึงขึ้นไปแนบไว้กลางศรีษะ หนีบเอาไว้ด้วยกี้บฝอยอันเล็กๆแล้วสวมหมวกแก็ปครอบเอาไว้ เพื่อสะดวกกับการเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ แล้วเป็นไงล่ะ อุตส่าห์เอาใจทุกอย่าง อุตส่าห์ดั้นด้นมาหา แทนที่เขาจะดีใจ กลับทำท่ารำคาญไม่ต้องการให้อยู่ ดีแล้ว...กลับก็ได้ ไม่เห็นอยากอยู่เลย กลับไปแล้วก็อย่าตามไปง้อล่ะ จะแก้แค้นให้สะใจเลย พราวพรายเดินกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งหนึ่ง ฉวยกระเป๋าที่นิควางไว้บนโต๊ะตัวยาวได้ ก็ตั้งท่าจะออกไปห้องข้างนอก เพื่อรอเขามารับไปส่งที่เครื่องบิน แต่เมื่อเหลือบไปเห็นรูปที่ตั้งอยู่ตรงโต๊ะหัวเตียงก็ชะงัก เดินเข้าไปใกล้เพื่อดูว่ารูปใคร แล้วก็พบว่าเป็นรูปถ่ายของเธอเอง ที่กำลังยิ้มเต็มที่เห็นฟันเกือบทุกซี่ ที่เธอไม่รู้ว่านิคได้มาอย่างไร เห็นแล้วก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที ฮึ..คงคิดถึงเรามากล่ะสิ ต้องเอารูปมานอนดู พราวพรายยิ้มกริ่ม รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันที หลังจากเอากระเป๋าวางไว้บนเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้ว หญิงสาวก็เดินสำรวจไปทั่วบ้าน นอกจากห้องขนาดใหญ่ที่น่าจะเป็นห้องเอนกประสงค์ ที่มีชุดเก้าอี้และโต๊ะกินข้าวสำหรับสี่คนแล้ว ยังมีครัวเล็กๆที่มีอ่างล้างจานและอุปกรณ์ประกอบอาหารอยู่หลายชิ้น ที่ไม่มีร่องรอยว่ามีการใช้มาก่อน มีตู้ติดฝาที่เธอลองเปิดดูแล้วพบถ้วยจานชามและแก้วน้ำหลายชุด เดินดูจนทั่วบ้านแล้วก็กลับมาที่เก้าอี้ตัวเก่า นั่งอยู่สักพักรู้สึกเมื่อยก็เลยลุกไปนอนเอนๆในเก้าอี้โยกที่ปรับพนักให้เอนลงได้ พราวพรายรู้สึกง่วงและเบื่อเพราะไม่รู้จะทำอะไร คิดอะไรต่ออะไรให้วุ่นวายไปหมด ไม่รู้ตัวว่าหลับลงไปตั้งแต่เมื่อไร มาสะดุ้งตื่นอีกทีก็เมื่อรู้สึกว่ามีมือมาจับที่แขน พอลืมตาขึ้นมาก็เจอหน้านิค ตอนนี้เขาคงอารมณ์ดีแล้วละมัง เพราะเธอเห็นเขายิ้มเผล่แบบที่เห็นอยู่บ่อยๆเวลาอยู่กับเธอ “ไฮ เบบี้ ตื่นแล้วหรือ?” “บ้า เรียกฉันแบบนี้อีกแล้ว?” “อ้าว ก็คุณเป็นที่รักของผมไม่ใช่หรือ?" พราวพรายเคยต่อว่านิคในเรื่องนี้ เธอบอกว่ามันตลกและทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นเด็กทารก ชายหนุ่มพยายามอธิบายว่าผู้ชายอเมริกันมักจะเรียกภรรยาหรือคนรักว่า ‘เบบี้’ บ้าง ‘ฮันนี่’ บ้าง ‘ ดาร์ลิ่ง’ บ้าง ‘สวีตตี้’ บ้างหรือไม่ก็ ‘สวีทฮาร์ต’ ซึ่งเป็นการแสดงความรักอย่างหนึ่ง เมื่อเขาบอกให้เธอเลือกในระหว่างสามสี่คำนี้ที่อยากให้เรียกเธอ หญิงสาวก็ไม่ยอมเลือก บอกให้เขาเรียกชื่อเธอเฉยๆก็ได้ นิคก็เลยต้องทำตามความต้องการของเธอ แต่นานๆครั้งเขาก็จะเรียกเธอว่า ‘เบบี้’ แล้วยั่วเธอว่าเพราะเธอชอบทำฤทธิ์เหมือนเด็กที่ไม่ยอมโตเสียที พราวพรายค้อนเขาแล้วผลุนผลันลุกขึ้นยืน เหลียวหากระเป๋าที่วางไว้บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง “กี่โมงแล้ว ไปกันได้หรือยัง” “ไปไหน” นิคทำหน้ายิ้มๆ “ เอ๊ะ! ถามแปลก ก็ไปส่งฉันขึ้นเครื่องกลับอุบลฯไง ลืมแล้วหรือ” ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาแล้วตอบหน้าตาเฉยว่า “ไม่ทันแล้ว เครื่องออกไปนานแล้ว” “อ้าว! แล้วทำไมไม่ปลุกฉันล่ะ หรือคุณเพิ่งกลับมา” เมื่อเขาไม่ตอบว่าอะไรพราวพรายก็ตั้งข้อหาทันที “แปลว่าคุณเพิ่งกลับมาล่ะสิ ไหนว่าจะกลับมาก่อนห้าโมงเย็นไง นี่มันตั้งทุ่มกว่าแล้ว จะเบี้ยวหรือไง” “เบี้ยวที่ไหนเล่า ประชุมเพิ่งเสร็จ ถึงกลับมาก่อนห้าโมงก็ไม่ให้กลับหรอก อุบลฯน่ะ” “อ้าว ทำไมพูดกลับไปกลับมาล่ะ เดี๋ยวบอกให้กลับ เดี๋ยวบอกไม่ให้กลับ จะเอายังไงกันแน่” นิคมองท่าทางขึงขังเหมือนนักเลงโตของพราวพรายอย่างขำๆ “ไอ้ที่บอกว่าจะกลับน่ะ คุณเองไม่ใช่หรือที่เป็นคนพูด ผมก็แค่พูดตามคุณเท่านั้น” แล้วเขาก็ออดว่า “เมียอุตส่าห์มาหาทั้งที จะปล่อยให้กลับไปได้ยังไงล่ะ” “อย่ามาทำปากหวาน ตอนเห็นหน้าฉันที่เครื่องบินคุณยังตีหน้ายักษ์อยู่เลย ตอนนี้จะมาทำเป็นดีใจที่ฉันมา จ้างก็ไม่เชื่อหรอก” “ไม่เชื่อหรือ ต้องทำยังไงถึงจะเชื่อล่ะ งั้นเข้าไปในห้องโน้นไหมล่ะ” แล้วเขาก็แกล้งดึงตัวเธอขึ้นจากเก้าอี้ จะให้เข้าไปในห้องนอน “บ้า” พราวพรายขืนตัวไว้แล้วทำหน้าบึ้ง “อย่ามาหลอกเสียให้ยากเลย ไม่สำเร็จหรอก” “เล่นตัวได้ก็เล่นไปเสียให้พอ ระวังให้ดีก็แล้วกัน เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน” “เอ๊ะ..พูดแบบนี้หมายความว่าไง” อีกฝ่ายแว้ดตามความเคยชิน “เอาน่า ไม่มีอะไรหรอก ผมขอไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวจะพาไปกินข้าว หิวหรือยังล่ะ” นิครูดซิบเสื้อเครื่องแบบออก ฉวยกระเป๋าค้างคืนของเธอที่เขาเห็นแล้ว ว่าเธอหยิบออกจากห้องนอน เอามาวางไว้ที่เก้าอี้ใกล้ๆเพื่อเตรียมเดินทางกลับ ติดมือขึ้นมา แล้วทำท่าจะเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่ออาบน้ำอย่างที่บอก แต่พราวพรายยังมีคำถามอยู่ดี “ตกลงจะเอาไงแน่ จะให้ฉันกลับหรือเปล่า มีเครื่องบินไปอุบลฯอีกเมื่อไร” “มืดแล้วไม่มีหรอก” “พรุ่งนี้ล่ะ” เธอตามไปคาดคั้นถามถึงหน้าประตูห้องนอน “พรุ่งนี้ก็ไม่มี มะรืนมะเรื่องก็ไม่มี” นิคตอบยิ้มๆ กลับมาเป็นนิคคนเก่าแล้ว หญิงสาวทำตาโต “พูดเป็นเล่น แล้วฉันจะกลับยังไงล่ะ” “ก็ไม่ต้องกลับ อยู่กับผมที่นี่แหละ” “บ้า จะอยู่ได้ไง ฉันต้องทำงานนะ” “จอห์นบอกผมแล้วว่าคุณอยู่ได้สองสามวัน ให้ผมส่งคุณคืนเขาหลังจากนั้น” “เอ๊ะ ท่าจะบ้าทั้งคู่ พูดยังกับว่าฉันเป็นกล่องวัสดุแน่ะ” แล้วเธอก็ทำตาคว่ำตาหงาย บ่นอะไรพึมพำตามหลังเขาไป แต่นิคไม่เดือดร้อนหรอกเพราะชินเสียแล้วกับความตระเหน่แง่งอนของเธอ และอีกอย่าง ตอนนี้เขาเองก็มีเรื่องให้ต้องคิดมากเหมือนกัน สวัสดีครับ เขียนได้เหมือนเดิมอ่านแล้วเหมือนนั่งอยู่ในห้องแถวนั้น 555
แต่ยังไม่ท้นเขินนะ .... มีกล่าวถึงฐานทัพที่อุบล... ช่วงที่เมกาอยู่อุบล... ผมย้ายไปทำงานที่นั่น ต้องแย่งหาบ้านเช่าราคาแพงขึ้น เมกันเขาจองไว้.. ปกติเราขึ้น สามล้อคนละ 1 บาท.. เวลาทหารขึ้นเขาถามว่าเท่าไร สามล้อก็ยกนิ้ว 1 นิ้วทหารคิดว่า 1 ดอล ควักให้สามล้อยิ้มแก้มปริ ฟลุกมาก 555 ... สบายดีนะครับไม่ได้ทักทายกันนานมากเลย โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 20 มกราคม 2566 เวลา:15:33:32 น.
|
ดอยสะเก็ด
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]
Group Blog
All Blog
Friends Blog
|
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
เวลาอยู่ด้วยกันยิ่งมีน้อย ๆ อยู่ 555
ขอบคุณกำลังใจนะคะ