คนละฟากฟ้า - บทที่ 77

                                 วันนี้ลงสองบทนะคะ (76 และ 77)


หลังจากนิกกี้หลับไปแล้วนิคกับดิ๊กก็นั่งคุยกันต่อ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเก่าๆและเรื่องเกี่ยวกับสงครามเวียตนาม โดยเฉพาะเรื่องช่วงที่นิคถูกคุมขังอยู่ในคุกเวียตกงในฐานะเชลยศึก คุยกันจนเกือบหมดเรื่องคุย ตอนหนึ่งของการสนทนาดิ๊กถามเรื่องส่วนตัวของเพื่อน

“ได้ข่าวว่ามึงคบกับหมออยู่หรือวะ”
“เออ”
“เอาจริงหรือเปล่าวะ”

ชายหนุ่มไม่ตอบ ยกเหล้าขึ้นดื่มจนหมดแก้ว แต่ดิ๊กไม่ยอมแพ้

“ถ้าจริงก็แต่งงานซะทีสิวะ มัวแต่คบอยู่ได้ เดี๋ยวก็ปิ๋วเหมือนรายนั้นอีกหรอก”

“รายไหน” นิคถามสั้นๆ เริ่มมึนเล็กน้อยแล้ว

“จะรายไหนซะอีกล่ะ ก็คุณพราวไง เห็นรักกันออกจี๋จ๋า”

นิคชงเหล้าแก้วใหม่ คราวนี้ดื่มรวดเดียวหมดแก้วจนเพื่อนของเขาต้องร้องเตือนว่า “เบาๆหน่อยเว้ย เดี๋ยวก็หมอบซะก่อนหรอก”

“ช่างกู”

ดิ๊กยกแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นดื่มบ้าง ชักสงสัยขึ้นมาครามครันว่าเพื่อนของเขาน่าจะยังรักผู้หญิงไทยคนนั้นอยู่ เขาเติมเหล้าลงในแก้วของเพื่อน ค่อยๆเลียบเคียงถามอย่างใจเย็น

“เออ..ตั้งแต่กลับมาเนี่ย เคยพบเขาบ้างหรือยัง คุณพราวน่ะ”

อีกฝ่ายอึ้งไปนานกว่าจะยอมตอบ “ไม่เคย ถามทำไมวะ เรื่องมันนานเนมาแล้ว”

“ก็อยากรู้นี่หว่า กูเคยบอกไม่ใช่หรือว่ามึงกับเขาสมกันมาก ไม่น่าแคล้วคลาดกันไปได้ เออ..หรือเพราะมึงมัวแต่ทำใจเย็นนึกว่าเขาเป็นของตาย ไม่ยอมขอเขาแต่งงานซะที เขาเลยต้องเซย์กู๊ดบาย” นายดิ๊กๆค่อยๆคืบ

นิคซึ่งตอนนี้เริ่มเมาแล้ว บวกกับความกดดันในหัวใจที่เก็บกดมาหลายปี หลุดปากบอกเพื่อนออกไป ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะเก็บไว้เป็นความลับตลอดชีวิต ตามความต้องการของพราวพราย

“อย่าเสือกทำรู้ดี บอกให้ก็ได้วะกูกับเขาน่ะแต่งกันจนหย่าขาดกันไปตั้งนานแล้ว”

ดิ๊กตกใจจนแก้วเหล้าเกือบพลัดตกจากมือ

“ฮ้า! นี่มึงพูดจริงหรือพูดเล่นวะ ไอ้นิค”

ชายหนุ่มยิ้มเหมือนเยาะตัวเอง “เรื่องแบบนี้เอามาพูดเล่นได้หรือ” แล้วเขาก็ยกมือขึ้นโบก “เลิกโว้ย เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว กินเหล้าให้เมาหลับไปดีกว่า”

แต่ดิ๊กไม่ยอมเลิก “มึงไปแต่งกับเขาที่ไหนเมื่อไร ไม่เห็นรู้เรื่อง อย่ามาอำกูดีกว่า”

“ไม่ได้มีพิธีอะไรหรอก เขาไม่ยอม กลัวทางบ้านจะรู้ จดทะเบียนเท่านั้นแหละ” อีกฝ่ายตอบแบบเสียไม่ได้

“งั้นหรือ แต่ความจริงจดทะเบียนสมรสก็พอแล้วละวะ มีผลทางกฏหมายเสียยิ่งกว่าพีธีอีก” ดิ๊กนิ่งคิดแล้วรุกต่อด้วยการถามว่า “ เป็นผัวเมียกันถูกต้องแล้วตอนนี้เขาหายไปไหนเสียล่ะ”

นิคกรอกเหล้าเข้าปากอีกก่อนจะตอบว่า “ก็บอกแล้วไงว่าหย่ากันไปแล้ว”

เพื่อนของเขาทำตาโตอย่างตกใจ “ อ้าว..นึกว่าพูดเล่น อะไรวะ อยู่ๆก็แต่ง อยู่ๆก็หย่า มึงเล่นขายของกันหรือไง”

อีกฝ่ายยักไหล่ “เขาอยากหย่า กูก็ควรยอมหย่าให้เขาไม่ใช่หรือ”

“อ้าว ทำไมเขาถึงอยากหย่า? กูดูก็รู้ว่าเขารักมึง แต่สำหรับมึงน่ะ ไม่ต้องดูให้มากเรื่องกูก็รู้ว่ารักเขาจะเป็นจะตาย”

“ไอ้บ้าดิ๊ก อย่าเสือกสู่รู้ เขาไม่ได้รักกูเว้ย”

“มึงรู้ได้ไงว่าเขาไม่รักมึง เขาบอกมึงหรือ”

“ของยังงี้ต้องรอให้เขาบอกด้วยหรือวะ”

“อ้าว..แล้วทำไมมึงถึงคิดว่าเขาไม่รักมึง มึงคิดเอาเองมั้ง” นายดิ๊กค่อยๆล้วง

“เขาไม่เคยแคร์กูเลย กูไม่มีความสำคัญสำหรับเขา คนอื่นดีกว่ากูทั้งนั้น รู้เอาไว้ด้วย ไอ้กร้วก”

ดิ๊กมองสีหน้าแววตาของนิคแล้วก็สรุปเอาเองว่า เพื่อนเขากับหญิงสาวคนนั้นคงไม่ได้เลิกกันเพราะหมดรักกันแล้ว แต่คงมีปัญหาอะไรบางอย่างที่เกิดจากความไม่เข้าใจกันมากกว่า เขารู้ว่านิคเป็นคนมุ่งมั่นกับงาน เป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง ส่วนพราวพรายนั้นในสายตาของดิ๊ก เห็นว่าเธอยังเป็นเด็ก และมีลักษณะของคุณหนูที่เอาแต่ใจตัวเองอยู่มาก เมื่อฝ่ายหนึ่งไม่ค่อยมีเวลาให้และไม่ใช่คนช่างเอาใจผู้หญิง ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็เรียกร้องต้องการเวลาและความสนใจ การพูดกันไม่รู้เรื่องและความไม่เข้าใจกันก็ค่อยๆเพาะตัวขึ้น แล้วในที่สุดนาวารักก็ต้องอับปางลงอย่างน่าเสียดาย

“มึงกับคุณพราวหย่ากันตั้งแต่เมื่อไร” ดิ๊กอยากรู้ต่อ

นิคตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “สักสองสามอาทิตย์ ก่อนที่กูจะถูกจับเป็นเชลยไอ้กง”

“มึงกับเขาไปหย่ากันที่ไหนวะ ที่อำเภอหรือที่สถานทูต” ดิ๊กซักต่ออย่างใจเย็น ไม่ได้ต้องการจะสอดรู้สอดเห็นหรอก แค่ซักหาข้อมูลเพื่อจะหาทางช่วยเพื่อน ถ้ายังไม่สายเกินไป

“เขาขอให้กูเซ็นต์เอกสารหย่า กูก็เซ็นต์ให้ หลังจากนั้นเขาจะเอาไปทำอะไรต่อกูไม่รู้”

“คุณพราวเขาเซ็นต์เอกสารนั่นหรือเปล่า”

นิคแค่นยิ้ม “แน่นอน ทำไมเขาจะไม่เซ็นต์ อยากหย่าซะขนาดนั้น พอกูเห็นลายเซ็นต์เขากูจะทำอะไรได้ล่ะวะ นอกจากเซ็นต์อย่างที่เขาต้องการ”

ดิ๊กคิดทบทวนเรื่องที่ได้ยิน ก่อนจะถามว่า “เขารู้หรือเปล่าว่ามึงยังไม่ตาย”

อีกฝ่ายจุดบุหรี่สูบพ่นควันยาว “กูจะไปรู้ได้ไง กูกับเขายังไม่เคยเจอกันสักครั้ง”

“เขาอาจจะยังไม่รู้ก็ได้นะ ตอนนั้นทุกคนคิดว่ามึงตายไปแล้วพร้อมกับทหารพวกนั้น ใครจะไปรู้ว่ามึงไปถูกขังอยู่ในคุกไอ้กงตั้งเกือบสองปี” ดิ๊กพยายามอ่านสีหน้าของอีกฝ่ายเมื่อกล่าวต่อว่า “ไม่แน่นะเว้ย ถ้าคุณพราวรู้ว่ามึงยังไม่ตาย เขาอาจจะอยากพบมึงก็ได้”

นิคยักไหล่ มีรอยเศร้าแฝงอยู่ในดวงตาคมดุคู่นั้น “ถึงรู้ว่ากูยังอยู่ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เรื่องมันจบไปแล้ว”

“จบยังไง มึงจบหรือเขาจบ หรือว่ามึงตัดสินใจจะแต่งงานกับหมอคนที่กำลังคบกันอยู่”

นิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่ง ดิ๊กก็ลองหยั่งใจเพื่อนด้วยการถามว่า "ทำไมมึงไม่ลองไปพบเขาสักครั้งล่ะวะ ถ้ากูเป็นมึงกูจะไปหาเขา ไปคุยกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะตัดสินใจทำอะไรต่อไป มึงอาจจะยังโกรธเขา แค้นใจเขา แต่ก็ควรจะให้โอกาสทั้งเขาทั้งมึงอีกสักครั้ง เผื่อจะปรับความเข้าใจกันได้"

ชายหนุ่มนิ่งไปนานกว่าจะยอมตอบว่า “เขามีผัวใหม่ไปแล้ว” อึ้งไปอีกนิดก่อนจะบอกต่อว่า “มีลูกคนนึงแล้วด้วย”

“ฮ้า !” ดิ๊กอึ้งไปอย่างคาดไม่ถึง “มึงรู้ได้ไง ไหนว่าไม่เคยเจอเขาเลย”
“รู้จากพี่สาวเขาน่ะแหละ”

“คุณพราวมีพี่สาวด้วยหรือ มึงไปเจอพี่เขาที่ไหน หรือมึงกลับไปเมืองไทยอีก” ดิ๊กชักสงสัย

“พี่สาวเขาอยู่ที่นี่แหละ เขาแต่งงานกับหมอ มีลูกสองคนแล้ว นิกกี้นั่นเป็นลูกคนเล็กของเขา”

เพื่อนของนิคอ้าปากค้าง มองหน้าเขาอย่างแปลกใจ ในที่สุดก็ส่ายหน้า
“ไม่น่าเชื่อเลย อ้าว..แต่ไอ้หนูนั่นมันลูกฝรั่งนี่หว่า เห็นอยู่โต้งๆ”
“พ่อนิกกี้เป็นอเมริกัน” ชายหนุ่มอธิบายสั้นๆ

คราวนี้ดิ๊กเริ่มเข้าใจ “มิน่าล่ะ..เจ้าหนูนั่นเป็นหลานคุณพราวนั่นเอง”
นิคถามอย่างสงสัยว่า “มิน่า..อะไร”

ดิ๊กมองหน้าอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด “ก็ตอนแรกกูเห็นเด้กนั่นมีอะไรหลายอย่างคล้ายทั้งมึงทั้งคุณพราว กูก็สงสัยว่าจะเป็นลูกมึงกับเขาน่ะสิ แต่ตอนนี้กูเคลียร์แล้วละ แม่เด็กนั่นเป็นพี่สาวคุณพราวนี่หว่า พี่น้องกันก็คงหน้าตาคล้ายๆกันอยู่แล้ว จริงมั้ยล่ะ”

นิคไม่ตอบ ยังไม่ได้นึกอะไรมากมายในเรื่องนี้ เขารู้แต่เพียงว่าแม้เจิดจรัสกับพราวพรายจะมีอะไรคล้ายคลึงกันหลายอย่าง แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันมากมาย เจิดจรัสนั้นขาวกว่าน้องสาว เตี้ยกว่าเล็กน้อย จมูกโด่งสวยเหมือนกันก็จริง แต่ปลายจมูกของเจิดจรัสไม่งอนเหมือนของพราวพราย นัยน์ตาก็ไม่เหมือนกัน เจิดจรัสมีดวงตากลมโตแวววาวสวยงาม แต่ไม่มีลักษณะหยาดเยิ้มแพรวพราวเหมือนตาของพราวพราย เจิดจรัสสวยหวานในขณะที่พราวพรายทั้งเข้มทั้งหวาน

“เขาบอกหรือเปล่าวะ ว่าตอนนี้คุณพราวกับลูกผัวเขาอยู่ที่ไหน หรือว่าอยู่เมืองไทย”

“เขาว่าอยู่อังกฤษนะ” ชายหนุ่มตอบอย่างเสียไม่ได้ แล้วก็ชักสงสัยขึ้นมา “อยากรู้ไปทำไมวะ กูยังไม่เห็นอยากรู้เลย”

ดิ๊กยักคิ้ว ยกเหล้าขึ้นดื่มต่อ คิดอะไรอยู่ในใจยืดยาว แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ถามเหมือนไม่สนใจว่า “เออ..ตกลงคุณพราวของมึงนี่ ชื่อสั้นๆแค่พราวเท่านั้นหรือวะ กูคลับคล้ายคลับคลาว่าชื่อเขาจะยาวกว่านี้นะ” แล้วเขาก็ทำเป็นคิดออก “อ๋อ จำได้แล้ว มึงเคยบอกกูตอนเจอกันครั้งแรกที่หลวงพระบาง ว่าเขาชื่อพราวพริ้งนี่หว่า”

“ไม่ใช่โว๊ย เขาชื่อพราวพราย พราวพรายน่ะ จำได้หรือยังล่ะ”

“เออ แล้วเขาแต่งงานใหม่เมื่อไหร่ล่ะ หรือพอหย่ากับมึงปุ๊บก้แต่งกับคนใหม่ปั๊บเลย” ดิ๊กแหย่หาข้อมูลเพิ่มเติม

“ไม่รู้ แต่คุณเจิด..พี่สาวเขาเล่าว่าเขาเคยมาพักอยู่ด้วยเป็นปี ก่อนจะย้ายไปอังกฤษ”

“ครอบครัวพี่สาวคุณพราว อยู่ที่ดี.ซี.นี่ตลอดเลยหรือวะ ผัวเขาเป็นหมอไม่ใช่หรือ พวกหมอนี่ไม่ค่อยจะอยู่โรงพยาบาลไหนแห่งเดียวหรอกนะ”

คราวนี้นิคมองหน้าเพื่อนอย่างสงสัย ถามด้วยเสียงขุ่นๆว่า “ถามซอกแซกอะไรมากมายวะ กูไม่รู้หรอกว่าเขาเคยอยูที่ไหนมั่ง รู้แค่แห่งเดียวแหละ เขาว่าย้ายมาจากนิวเจอร์ซี่ได้สักสองหรือสามปีแล้ว เฮ้ย..เลิกพูดเรื่องคนอื่นได้แล้ว กูจะกินเหล้าอย่างเดียวแล้ว ถ้ามึงซักเรื่องนี้อีกกูจะเข้าไปนอน ขี้เกียจตอบคำถามมึง”

“เออ เลิกพูดก็ได้วะ”

กินเหล้ากันต่อไปเรื่อยๆอีกพักหนึ่งดี๊กก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ หยิบสมุดโน๊ตเล็กๆจากกระเป๋ากางเกง มาจดรายละเอียดหลายอย่างที่กลัวจะลืมลงไปคร่าวๆ เมื่อออกจากห้องน้ำ เหลียวไปมองเพื่อนเห็นยังนั่งหันหลังให้อยู่ตรงที่เดิม ก็ค่อยๆย่องไปตามโถงยาวที่นำไปสู่ห้องนอนใหญ่ ที่รู้ว่าเด็กชายนอนหลับอยู่ ในห้องมีไฟโคมข้างเตียงเปิดอยู่ดวงเดียว ชายหนุ่มเหลียวหาสวิชต์ไฟกลางห้อง เมื่อพบแล้วก็กดเปิด

ไฟที่สว่างกว่าไฟโคมทำให้ดิ๊กเห็นหน้าของนิกกี้ ที่นอนหงายหลับสนิทอยู่กลางเตียงได้ชัดเจน เขาย่องเข้าไปใกล้เตียง ก้มลงพิจารณาหน้าตาของเด็กชายอย่างใกล้ชิด มองแล้วมองอีก เห็นคิ้วยาวหนาและริมฝีปากบางเฉียบขึ้นสันสวยที่เม้มนิดๆเหมือนของนิค จมูกโด่งแหลมปลายงอนสวยและรูปตาและเปลือกตาที่พับซ้อนกันอย่างสวยงาม ที่เหมือนของพราวพราย

แม้จะมองไม่เห็นลูกนัยน์ตาเพราะนิกกี้หลับอยู่ แต่ชายหนุ่มก็เห็นลักษณะหยาดเยิ้มเหมือนตาของพราวพราย ในดวงตาของเด็กชายตั้งแต่ตอนที่นั่งอยู่บนตักนิคแล้ว ในที่สุดดิ๊กก็พยักหน้าหงึกหงักกับตัวเอง ปิดไฟแล้วเดินออกจากห้องกลับไปกินเหล้ากับเพื่อนต่อ แน่ใจเกินห้าสิบเปอร์เซ็นว่าเด็กชายตัวน้อยคนนี้คือลูกของเพื่อนเขากับพราวพราย ดิ๊กตั้งใจจะหาหลักฐานให้ครบถ้วนว่านิกกี้เป็นลูกของคนทั้งสองจริงหรือไม่ ก่อนที่จะแย้มพรายให้เพื่อนรู้











 




Create Date : 11 กรกฎาคม 2566
Last Update : 11 กรกฎาคม 2566 19:39:59 น.
Counter : 400 Pageviews.

3 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณปรศุราม, คุณปัญญา Dh, คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณkae+aoe, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณเริงฤดีนะ, คุณSweet_pills, คุณnewyorknurse, คุณไวน์กับสายน้ำ

  
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด

เรื่องกำลังเข้าสู่หมวดเข้มข้นแล้ว เนาะ มีเพื่อนดิ๊ก มาเป็นตัว
ประสานความรัก ของพระเอก นางเอก จบลงอย่างสุขนาฎกรรม แน่นอน
จ้ะ รออ่านตอนต่อไป นะจ๊ะ

โหวดหมวด งานเขียน ฯ
โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 12 กรกฎาคม 2566 เวลา:8:52:34 น.
  
พ่อลูกได้เจอกัน
คอยๆๆว่าใครจะช่วยเชื่อมโยง
ตัวนิคสังกรณ์ สงสัยเอง
หรือใครบอก..
ลุ้นๆๆ..
ใกล้จบแล้วนะคะ..
Happy ending...for sure.
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 12 กรกฎาคม 2566 เวลา:12:43:14 น.
  
ขอบคุณพี่ตุ๊กสำหรับกำลังใจนะคะ

โดย: Sweet_pills วันที่: 14 กรกฎาคม 2566 เวลา:1:07:37 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
กรกฏาคม 2566

 
 
 
 
 
 
2
3
4
6
7
8
9
10
12
13
15
16
17
18
20
21
22
24
25
26
27
28
30
31
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com