คนละฟากฟ้า - บทที่ 73
 

อย่าลืมย้อนกลับไปอ่านบทที่ 72 ก่อนนะคะ เพราะลงไว้สองบทค่ะ


เมื่อสามีพูดถึงน้องสาวของเธอ เจิดจรัสก็หวนคิดย้อนไปถึงวันที่พราวพรายเดินทางมาอเมริกาเมื่อสี่ปีที่แล้ว วันนั้นเจิดจรัสมายืนรอรับน้องสาวที่บริเวณผู้โดยสารขาเข้าที่สนามบินในนิวเจอร์ซี่ ตอนนั้นเธอเพิ่งคลอดริกกี้ได้ประมาณแปดเดือน พราวพรายส่งข่าวมาก่อนหน้านั้นแล้วสามสี่วัน ว่าจะเดินทางมาหาและอาจจะขอพักอยู่ด้วยสักระยะหนึ่ง เมื่อเห็นหน้าน้องสาวเจิดจรัสก็ตกใจกับสภาพที่ทรุดโทรม หน้าตาโศกเศร้าและร่างกายที่ซูบผอมผิดไปเป็นคนละคน

ระหว่างนั่งรถไปอพาร์ตเมนท์ของเธอกับสามี หญิงสาวก็เลียบๆเคียงๆถามพราวพรายว่า “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า? ทำไมถึงมาอย่างรีบร้อนนักละ แล้วนี่ลาออกจากงานที่อุบลฯแล้วหรือ”

น้องสาวของเธออึ้งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะตอบเหมือนไม่เต็มใจจะพูดว่า “พราวลาออกสองเดือนกว่าแล้ว กลับมาอยู่บ้านได้พักนึงก็ไม่สบายจนต้องเข้าโรงพยาบาล อยู่บ้านก็อึดอัดมาก คุณพ่อก็เลยบอกให้พราวมาอยู่กับพี่เจิดสักพัก จะได้เปลี่ยนบรรยากาศแล้วก็มาดูลาดเลาเรื่องเรียนโทต่อด้วย ว่าแต่ว่าพี่เจิดกับแฟรงค์จะสะดวกหรือเปล่าที่พราวจะมาพักอยู่ด้วยน่ะ”

“โอ๊ย..ไม่ต้องห่วง พี่ดีใจจะแย่ ไม่ได้เจอเธอตั้งนานแล้ว แฟรงค์ก็เหมือนกัน เขาเต็มใจต้อนรับพี่น้องพี่อยู่แล้วละ” แล้วเธอก็ถามต่อถึงทางบ้าน “คุณพ่อ แม่แล้วก็พี่เจตน์เป็นไงบ้าง”

“ก็สบายดีทุกคน"
“แม่เคยพูดถึงพี่บ้างไหม?”

“ไม่เห็นพูดอะไรนี่” พราวพรายไม่อยากจะเล่าให้พี่สาวฟังถึงเสียงบ่นว่าของมารดาในเรื่องของเจิดจรัส

เจิดจรัสหน้าเสียไปเล็กน้อยเมื่อนึกถึงมารดาที่ยังตั้งแง่ไม่เลิก ไม่ยอมพูดด้วยแม้เธอจะพยายามโทรศัพท์ไปคุยด้วยเดือนละหลายครั้ง แม้แต่ตอนหลังคลอดที่หญิงสาวโทร.ไปบอกและเล่าเรื่องลูกชายตัวน้อยให้ฟัง เธอก็ฟังอย่างเงียบกริบ ไม่ออกปากซักไซ้ไต่ถามอย่างที่ควร แต่เจิดจริสก็รู้จักมารดาดีว่าการที่ยอมรับฟังเรื่องของริกกี้ โดยไม่วางสายไปเสียกลางคัน ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีอย่างหนึ่ง ที่แสดงว่าเธอสนใจใคร่รู้เรื่องหลานยายคนแรกอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยทิษฐิจึงต้องทำเช่นนั้น

“พี่ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าถ้าแม่ไม่ยอมมาเยี่ยมริกกี้ที่นี่ พอเขาโตขึ้นอีกหน่อย พี่กับแฟรงค์จะพาลูกไปหาคุณพ่อกับแม่ที่เมืองไทย เธอคิดว่าไง”

“ก็ดีนี่คะ ถ้าพราวเป็นพี่เจิดก็คงทำยังงั้นเหมือนกัน” แล้วเธอก็เปลี่ยนเรื่อง

“แฟรงค์เป็นยังไงบ้างล่ะคะ”

“แฟรงค์เป็นสามีและพ่อที่น่ารักมาก พี่คิดไม่ผิดเลยที่ฝืนคำสั่งแม่แต่งงานกับเขา”

สีหน้าของเจิดจรัสที่พูดถึงสามีเอิบอาบไปด้วยความสุข พราวพรายเห็นแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจเมื่อคิดถึงเรื่องของตัวเอง และเรื่องที่จะต้องปรึกษาพี่สาวโดยเร็ว

เจิดจรัสพูดต่อไปว่า “คืนนี้เราคงได้นอนคุยกันให้สมกับที่ไม่ได้เจอกันเสียนาน”

“อ้าว แล้วแฟรงค์ล่ะคะ เขาจะไม่หาว่าพราวมาแย่งพี่เจิดหรอกหรือ”

พี่สาวเธอหัวเราะชอบใจ “อย่าห่วงเลย เขาไม่อยู่หรอก ไปสัมนาทางวิชาการที่แอลเอสามวัน เขาไม่อยู่ก็ดีแล้ว เราจะได้คุยกันได้สะดวกหน่อย ถ้าเราคุยกันเป็นภาษาไทยมากๆพี่ก็เกรงใจเขาเหมือนกัน เดี๋ยวเขาจะนึกว่านินทาเขา”

เมื่อถึงอพาร์ตเมนท์ของเจิดจรัสและเข้าไปดูหลานชายตัวน้อย ที่นอนหลับอยู่ในเตียงเด็ก ในห้องที่อยู่ติดกับห้องนอนใหญ่ของเจิดจรัสกับแฟรงค์แล้ว เจิดจรัสก็พาน้องสาวเข้าไปในห้องนอนเล็กๆที่จัดไว้ให้ พราวพรายค่อยสบายใจขึ้นบ้าง เมื่อเห็นขนาดอพาร์ตเมนท์ของพี่สาวที่กว้างขวางพอสมควร ที่จะไม่ทำให้เจ้าของบ้านอึดอัดที่มีคนนอกมาพักอยู่ด้วย โดยอาจจะไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอนว่าจะนานแค่ไหน ซึ่งขึ้นอยู่กับเรื่องที่เธอจะต้องเล่าให้พี่สาวฟังเพื่อขอคำแนะนำ

คืนนั้นเมื่อเจิดจรัสเข้ามานั่งคุยด้วยในห้องเล็กๆของเธอ พราวพรายซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเกริ่นเรื่องของเธออย่างไร จึงจะไม่ทำให้พี่สาวตกใจจนเกินไป ก็ได้โอกาสเมื่อเจิดจรัสมองสีหน้าเศร้าสร้อยและดวงตาที่แห้งผาก ราวกับปราศจากน้ำหล่อเลี้ยงของน้องสาว ก่อนจะถามขึ้นมาตรงๆ

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า เธอผอมไปมาก หน้าตาก็เหมือนอมทุกข์ บอกพี่ได้ไหมว่าเธอเป็นอะไร เราไม่เคยมีความลับต่อกันไม่ใช่หรือ”

ขาดคำที่แสดงถึงความห่วงใยอย่างจริงใจของเจิดจรัส น้ำตาของพราวพรายก็ค่อยๆรินไหลออกมาทีละน้อยจนอาบแก้ม เธอสะอื้นไห้จนตัวสั่น

เจิดจรัสตกใจกับอาการปริเวทนาของน้องสาว

“พราว พราวเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม?”

เธอเอื้อมแขนไปโอบตัวน้องสาวไว้อย่างทั้งตกใจและสงสาร

“พราว บอกพี่ซิ พราวเป็นอะไร?”พราวพรายสะอื้นไห้อย่างอัดอั้นตันใจอยู่อีกพักใหญ่ จึงบอกอย่างกระท่อนกระแท่นว่า “พี่เจิด ช่วยพราวด้วย พราวไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว พราว..พราว..ท้อง”

เจิดจรัสตกใจจนนิ่งอั้นพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกตัวก็รีบถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเองว่า “ท้อง..พราวท้องจริงๆหรือ?”

น้องสาวพยักหน้า “ค่ะ พี่เจิด พราวท้อง”

แขนที่โอบรอบตัวน้องสาวตกผล็อยลง “ พี่ไม่ยักรู้ว่าพราวมีแฟน แล้วเขาเป็นใคร หรือว่าเขาไม่ยอมรับผิดชอบพราว”

ท่าทางที่เริ่มเคียดแค้นของเจิดจรัส ทำให้พราวพรายต้องรีบอธิบายว่า “พี่เจิดอย่าเข้าใจผิด พราวไม่ได้ท้องลูกไม่มีพ่อ พราวกับ..เขาจดทะเบียนสมรสกันปีกว่าๆก่อนหน้าที่จะท้อง”

เจิดจรัสมีสีหน้างงงัน “ จดทะเบียนสมรส? หมายความว่าไง คุณพ่อกับแม่รู้เรื่องนี้หรือเปล่า”

พราวพรายนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ เมื่อนึกถึงคำสั่งของมารดาที่ห้ามบอกเรื่องระหว่างเธอกับนิคบางเรื่องให้พี่สาวรู้ ให้บอกได้เฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เธอก็ลังเล แต่ในที่สุดความอัดอั้นตันใจที่มีอยู่จนล้นปรี่ ทำให้หญิงสาวตัดสินใจจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ให้เจิดจรัสฟังอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยจะพยายามพูดถึงมารดาให้น้อยที่สุด

เจิดจรัสฟังเรื่องที่น้องสาวเล่าอย่างตกใจคาดไม่ถึง “ตายจริง เกิดเรื่องร้ายแรงถึงขนาดนี้เลยหรือ ทำไมไม่เห็นโทรมาเล่าให้พี่ฟังมั่งเลยล่ะ?”

อีกฝ่ายอึกอักแต่แล้วก็ตอบว่า “แม่ห้ามขาดสั่งไม่ให้พราวเล่าให้ใครฟังทั้งนั้น ตอนนั้นพราวไม่กล้าทำอะไรขัดใจแม่ กลัวแม่จะเครียดจนความดันขึ้นต้องไปนอนโรงพยาบาลอีก แล้วแม่ก็เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบด้วย อาจจะต้องไปทำบายพาสหัวใจเร็วๆนี้”

เจิดจรัสทำหน้าครุ่นคิด “ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องสั่งไม่ให้เล่าให้ใครฟัง แล้วคุณพ่อกับพี่เจตน์ล่ะ รู้เรื่องหรือเปล่า?”

“ตอนแรกยังไม่รู้หรอก แม่สั่งพราวไม่ให้เล่าให้คุณพ่อฟัง บอกว่าจะหาโอกาสบอกคุณพ่อเองทีหลัง แต่คุณพ่อมาสงสัยตอนที่พราวป่วยเพราะความเครียดจนต้องเข้าโรงพยาบาล คุณพ่อคาดคั้นถามมากๆเข้าแม่เลยจำเป็นต้องเล่าให้ฟัง ความจริงแม่อยากปิด ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของพราวเลยถ้าไม่จำเป็น ส่วนพี่เจตน์น่ะพราวไม่รู้ว่าเขารู้หรือเปล่า เพราะช่วงหลังนี่เขาไม่ค่อยอยู่บ้านเท่าไหร่”

แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี “ทำไมจะต้องปิดคุณพ่อ เธอกับเขาก็จดทะเบียนสมรสกันแล้วนี่ ทำไมเธอไม่พาเขาไปหาพ่อแม่แล้วอธิบายให้ท่านเข้าใจล่ะ”

.”แม่สั่งให้พราวหย่ากับเขา...”

“อ้าว ทำไมแม่ทำยังงั้นล่ะ แล้วเธอก็ยอมทำตามยังงั้นหรือ?”

“โธ่ พี่เจิด พราวจะทำอะไรได้ แม่ป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล หมอให้ยามาก็ไม่ยอมกิน แล้วยังจะตัดขาดพราวอีกด้วย แม่บอกว่าถ้าแม่ตายก็ไม่ต้องมาเผา”

“เอ๊ะ แม่ทำแบบนี้ได้ยังไง หลานอยู่ในท้องทั้งคน”

“ตอนนั้นแม่ยังไม่รู้หรอกว่าพราวท้อง”

“ถึงไม่ท้องก็เถอะ เรื่องอะไรจะมาแยกผัวแยกเมียเขา ถามจริงๆเถอะ แม่รังเกียจอะไรเขา?”

เมื่อน้องสาวไม่ตอบ เอาแต่ก้มหน้านิ่ง เจิดจรัสก็ซักต่อว่า “แล้วทำไมเขายอมหย่า เขาไม่คิดเรื่องลูกบ้างเลยหรือ?”

น้ำตาของพราวพรายที่เหือดแห้งไปแล้วเริ่มไหลรินออกมาอีก เธอบอกพี่สาวด้วยเสียงที่กระท่อนกระแท่นเพราะแรงสะอื้น 

“เขา..เขาตายแล้วละพี่เจิด เขาตายก่อนจะรู้ว่าพราวท้อง”

ตาของเจิดจรัสเบิกกว้าง ถามอย่างตกใจมากขึ้นไปอีกว่า “ เขาตายแล้ว? เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”

“เขา..เขาเกิดอุบัติเหตุ เขาตายก่อนที่จะรู้ว่าพราวท้องเสียอีก”

เจิดจรัสอึ้งไปอีก นึกสงสารน้องสาวเป็นอย่างมาก “แล้วเขาเป็นใคร ไปพบไปรักกันถึงขั้นจดทะเบียนแต่งงานกันได้ยังไง”’

“เขาเป็นทหารอเมริกันน่ะ พี่เจิด เพราะอย่างนี้แม่เลยรับไม่ได้ พอแม่มารู้ทีหลังก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา”

สีหน้าของเจิดจรัสเปลี่ยนไปทันที เธอถอนใจยาวก่อนจะบอกน้องสาวว่า “พี่เข้าใจแล้วละว่าทำไมถึงเป็นเรื่องใหญ่ แม่ไม่มีทางยอมรับได้อยู่แล้ว เรื่องของพี่กับแฟรงค์จนป่านนี้แม่ยังไม่ยอมรับเลย แม่จัดการกับเรื่องของพี่ไม่ได้ พอมีเรื่องของเธอขึ้นมาแม่ก็เลยของขึ้น เอาเรื่องของเราสองคนมารวมกันแล้วจัดการขั้นเด็ดขาดตามใจแม่เสียเลย”

เจิดจรัสพูดจบก็ถอนใจอีก รู้สึกสงสารน้องสาวจับใจ

 “พราวท้องกี่เดือนแล้ว?”

อีกฝ่ายอึกอัก “เกือบสามเดือนแล้ว ”

“สามเดือนเชียวหรือ แต่ท้องเธอเล็กมากนะ มองไม่รู้เลยว่าเธอกำลังท้อง” เจิดจรัสผู้เคยเป็นพยาบาลมาก่อนยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เธอเดาเอาเองหรือเปล่า”

“เปล่าหรอกพี่เจิด พราวไม่ได้คิดเอาเอง ที่มองไม่เห็นชัดก็อาจจะเพราะพราวผอมมากก็ได้แล้วก็เป็นท้องแรกด้วย ความจริงพราวไม่รู้หรอกว่าท้อง มารู้ก็ตอนที่ป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลนั่นแหละ คุณพ่อรู้จากหมอว่าพราวท้อง คุยกับพราวเสร็จคุณพ่อก็ไปคุยกับแม่ แม่เลยต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณพ่อฟัง หลังจากนั้นอีกสักพักคุณพ่อก็ส่งพราวมาหาพี่เจิดนี่แหละ”

สรุปเสร็จเธอก็ถามพี่สาวว่า “คุณพ่อไม่ได้เล่าอะไรให้พี่เจิดฟังเลยหรือ?”

“ไม่เห็นเล่าอะไรนี่ บอกแต่ว่าเธอสุขภาพไม่ค่อยดี ให้พี่ช่วยดูแลสักพัก ถ้าเธอแข็งแรงดีแล้วก็อยากให้เธอต่อโทที่นี่ เออ..แล้วแม่ล่ะว่ายังไงเรื่องที่เธอท้อง มิตกใจแย่หรือ ที่อุตส่าห์แยกเธอกับแฟนเธอสำเร็จ แต่แล้วกลับต้องมารู้เรื่องหลานในท้องเธอ"

พราวพรายแค่นยิ้ม “แม่ตกใจมาก ตอนแรกจะให้พราวไปทำแท้งด้วยซ้ำแต่คุณพ่อไม่ยอม โกรธแม่มากด้วย แม่เองก็คงไม่อยากให้พราวอุ้มท้องอยู่ที่บ้านเหมือนกัน พอคุณพ่อเสนอให้ส่งพราวมาอยู่กับพี่เจิด แม่ก็เลยยอม”

“แม่ใจดำขนาดสั่งให้ไปทำแท้งเชียวหรือ ในท้องนั่นก็หลานแท้ๆนะ” เจิดจรัสทำหน้าตกใจ “แล้วเธอล่ะ เคยคิดจะทำแท้งตามคำสั่งแม่หรือเปล่า?”

“พราวไม่เคยคิดจะทำแท้งหรอก เพราะ..เพราะถึงยังไงพราวก็รักพ่อเขามาก อยากเก็บเขาเอาไว้เป็นตัวแทนพ่อของเขา”

พราวพรายอึ้งไปครู่ก่อนจะกล่าวต่อว่า “พอรู้ว่าท้องพราวก็คิดหาทางจะออกจากบ้านอยู่แล้วละ ถึงคุณพ่อไม่เสนอให้มาที่นี่ พราวก็คงต้องหาทางไปที่ไหนสักแห่งอยู่ดี ไม่อยากทำให้แม่อึดอัด พี่เจิดก็รู้ว่าแม่เป็นห่วงเรื่องชื่อเสียงหน้าตามาก แม่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน อยู่ๆลูกสาวก็ท้องขึ้นมา เรื่องที่พราวแอบแต่งงานก็จะปิดไม่ได้อีกต่อไป”

พี่สาวของเธอถอนใจอีกหลายรอบกับเรื่องที่ได้ยิน

“เอาเถอะ มาหาพี่มาอยู่กับพี่ก็ดีแล้ว พี่กับแฟรงค์จะดูแลเธอเอง ตอนนี้ก็เลิกคิดมากได้แล้ว เรื่องเก่าๆก็เหมือนกันต้องพยายามลืมเสียให้หมด แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ต่อไป เธออายุยังน้อย ยังสาวยังสวย คงจะมีโอกาสได้พบได้แต่งงานกับผู้ชายดีๆสักคน”

เจิดจรัสนิ่งคิดแล้วตัดสินใจกล่อมน้องสาวว่า “เอางี้ดีไหม พอคลอดแล้วก็ยกลูกให้พี่กับแฟรงค์เสีย ส่วนเธอก็อยู่กับพี่ที่นี่แหละ เลี้ยงดูเขาไปโดยไม่ต้องแสดงตัวว่าเป็นแม่ เธอจะได้มีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ เช่นเรียนต่อปริญญาโท เรียนจบแล้วก็หางานทำซะที่นี่ ไม่ต้องกลับไปอยู่กับแม่ นานๆก็บินไปเยี่ยมเสียที”

พราวพรายนิ่งคิดแล้วตอบพี่สาวว่า “เรื่องนั้นเอาไว้คุยกันอีกทีหลังจากที่พราวคลอดแล้วดีกว่า ตอนนี้พราวคิดอะไรไม่ออกหรอก ว่าแต่พราวต้องอยู่ที่นี่อีกนานกว่าจะคลอด แฟรงค์เขาจะไม่อึดอัดแย่หรือคะ”

เจิดจรัสโบกไม้โบกมือว่อน “โอย..เรื่องแฟนพี่น่ะสบายใจได้ เขาเป็นคนใจกว้าง เขาเข้าใจเรื่องความผูกพันช่วยเหลือกันและกัน ของครอบครัวคนเอเซียดี พราวไม่ต้องคิดมากเลย แต่ถ้าเกรงใจมากจนรู้สึกอึดอัดละก็รอให้เธอคลอดลูก มีงานมีการทำเสียก่อน ค่อยไปหาอพาร์ตเมนท์เช่าอยู่ต่างหากก็ได้ แต่ตอนนี้กำลังท้องกำลังไส้เธอก็ต้องอยู่ที่นี่กับพี่ พี่จะได้ช่วยดูแลเธอให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปให้ได้ แล้วค่อยว่ากันอีกที”

นิ่งไตร่ตรองอีกครู่ เจิดจรัสก็ถามน้องสาวอย่างเป็นห่วงว่า “ว่าแต่เธอมีเงินใช้หรือเปล่า ถ้าไม่มีก็เอาเงินพี่..”

พี่สาวพูดยังไม่ทันจบพราวพรายก็รีบบอกว่า “ขอบคุณค่ะ แต่พี่เจิดไม่ต้องห่วง พราวมีเงินมากพอสมควร เพราะเขา..เขาเอาเงินใส่บัญชีให้พราวไว้ก่อนที่เขาจะ..เจออุบัติเหตุ เงินก้อนใหญ่พอดู พราวจะอยู่ได้อย่างสบายไปอีกพักใหญ่ พราวเองก็จะพยายามหางานทำด้วย พี่เจิดหรือแฟรงค์พอจะหางานให้พราวได้มั่งมั้ยคะ”

พราวพรายคิดถึงเงินก้อนใหญ่ก้อนสุดท้ายที่นิคโอนเข้าบัญชีให้เธอ ซึ่งเธอแน่ใจว่าเขาคงโอนให้ หลังจากที่เซ็นใบหย่าให้เธอแล้ว ตอนแรกเธอไม่ได้อยากได้เงินของเขาเลย แต่ความคิดนี้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ เธอนึกโล่งใจที่จะได้มีเงินมาเลี้ยงลูก ซึ่งคงจะใช้ได้อีกนานกว่าจะหมด

“อย่าเพิ่งคิดเรื่องงานอะไรนั่นตอนนี้เลย พี่ว่าช่วงนี้เธอควรจะพักผ่อนให้มากๆ กินอาหารที่มีประโยชน์ ลูกจะได้แข็งแรง เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง เออ..แล้วเธอแพ้ท้องมากไหม”

พราวพรายยิ้มอย่างแจ่มใสออกมาได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ได้เจอหน้ากัน

“ไม่แพ้เลยค่ะ พี่เจิด หมอยังบอกเลยว่าพราวโชคดีมาก”

“ดีแล้วละที่ไม่แพ้ จะได้กินอะไรได้เต็มที่ เอาละ นอนพักเสียเถอะ ต่อไปนี้ก็เลิกคิดมากได้แล้ว ถ้าแม่ไม่เครียดกินได้นอนหลับ ลูกออกมาก็จะแข็งแรง อีกไม่กี่เดือนก็จะคลอดแล้ว อีกสองสามวันพี่จะพาเธอไปฝากท้อง”

หลังจากนั้นพราวพรายก็รู้สึกสบายขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ แฟรงค์สามีของเจิดจรัสเป็นพี่เขยผู้ใจดี ที่ให้การต้อนรับเธออย่างเต็มอกเต็มใจ เขารู้เรื่องทั้งหมดจากภรรยาแล้ว เขาบอกเธอว่าไม่ต้องกังวลกับเรื่องอะไรทั้งสิ้น ขอให้ดูแลตัวเองและลูกในท้องให้ดี หลังคลอดเรียบร้อยแล้วค่อยมาปรึกษากันอีกที ว่าเธอจะทำอย่างไรต่อไปกับอนาคต แฟรงค์สนับสนุนให้เธอเรียนปริญญาโทให้จบ หลังจากนั้นค่อยมองหางานที่เป็นเรื่องเป็นราวต่อไป

ระหว่างรอวันครบกำหนดคลอด พราวพรายได้งานพาร์ตไทม์ที่ห้องสมุดแห่งหนึ่งใกล้บ้าน ทำหน้าที่ผู้ช่วยบรรณารักษ์ เธอทำงานเพียงวันละสี่ชั่วโมงเท่านั้น ระหว่างนั่งรอผู้มาใช้บริการห้องสมุดมายืมหรือคืนหนังสือ เธอก็มีเวลาได้อ่านหนังสือที่มีอยู่มากมายในห้องสมุด แม้ค่าตอบแทนจะน้อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะหญิงสาวไม่ได้ต้องการเงิน สิ่งที่เธอต้องการคือได้ใช้เวลาให้หมดไปวันๆ เพื่อที่จะไม่ต้องคิดมากกับอนาคตของตัวเองและลูกที่กำลังจะเกิดมา

ยิ่งใกล้กำหนดคลอดเท่าไร พราวพรายก็ยิ่งคิดถึงนิคมากขึ้นเรื่อยๆ บางคืนเธอนอนร้องไห้คิดถึงเขา คิดถึงเหตุการณ์ระหว่างเธอกับเขาที่คิดทนทวนแล้ว ก็รู้สึกเสียใจกับการกระทำหลายอย่างของตัวเอง ที่ทำอะไรเหมือนเด็กๆ ไม่ค่อยสนใจความรู้สึกของผู้ชายคนที่เป็นสามีทั้งนิตินัยและพฤตินัย ในช่วงที่ยังอยู่ด้วยกันเลย เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอมาก เอาอกเอาใจให้อภัยเธอมาตลอด ยอมให้เธอบงการเขาแทบทุกอย่าง แม้แต่การลงชื่อในหนังสือหย่า เมื่อเธอบอกเขาว่าเธอจำเป็นต้องเลือกบิดามารดาของเธอ

พราวพรายรู้อยู่เต็มอกว่าเธอไม่ได้อยากจะหย่ากับเขา แต่หน้าที่ของบุตรที่ต้องกตัญญูต่อบิดามารดา การเจ็บป่วยของมารดารวมทั้งคำขาดตัดเป็นตัดตายทำให้เธอไม่มีทางเลือก แล้วหลังจากนั้นอีกไม่นานเขาก็เสียชีวิต ปล่อยให้เธอเสียใจกับการจากไปของเขาจนต้องเข้าโรงพยาบาล แล้วยังซ้ำเติมด้วยการตั้งครรภ์ลูกของเขาอีก ลูกที่เขาไม่มีโอกาสได้รู้ว่ามาปฏิสนธิในครรภ์เธอแล้ว

ลูกที่เขาร่ำร้องอยากจะมีเหลือเกิน แต่เธอกลับปฏิเสธมาตลอดด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียวคือ ตราบที่พ่อแม่เธอยังไม่รู้เรื่องการจดทะเบียนสมรสของเธอกับเขา เธอก็จะไม่ยอมมีลูกเป็นอันขาด แล้วพรายพราวก็ถามตัวเองว่า ที่ผ่านมาเธอได้พยายามที่จะบอกกล่าวบิดามารดา เรื่องของเธอกับนิคบ้างหรือเปล่า ก็เปล่าเลย เธอได้แต่ผลัดวันประกันพรุ่งและโมโหใส่นิคทุกครั้งเมื่อเขาทวงถาม แล้วในที่สุดเมื่อตัดสินใจที่จะบอกมารดา ก็สายเกินไปเสียแล้ว

พราวพรายเพิ่งจะมาสำนึกถึงพฤติกรรมต่างๆของตัวเองที่เหลวไหล ไร้สาระ เห็นแก่ตัว และไม่เคยเห็นค่าของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ก็เมื่อสายเกินไปเสียแล้ว หญิงสาวบอกตัวเองว่าถ้าตอนนี้นิคยังไม่ตาย แม้จะขาดกันไปแล้วทางกฏหมาย แต่เธอก็จะดั้นด้นกลับไปหาเขาเพื่อไปขอโทษเขา แต่มันก็สายไปนานแล้ว เขาไม่มีชีวิตอยู่ให้เธอได้กล่าวคำขอโทษ ตอนนี้สิ่งที่เธอจะตอบแทนเขาได้ ก็คงมีเพียงเลี้ยงลูกของเขาให้ดีที่สุด ให้เขาเติบโตเป็นคนดีของสังคม

แล้วในที่สุดลูกชายของเธอก็ลืมตาออกมาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนต่อมา พราวพรายโอบอุ้มทารกน้อยไว้แนบอก น้ำตาของความตื่นเต้นดีใจและความเสียใจหลั่งไหลออกมา ทารกตัวกระจ้อยร่อยในอ้อมแขนของเธอแม้จะมีอายุไม่ครบวัน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าหน้าตาของเขาถอดแบบมาจากนิค ตั้งแต่ศรีษะโหนกทุยที่มีผมดกเส้นละเอียดสีน้ำตาลแกมดำ ไรคิ้วที่เป็นสันยาวหนา ที่มีทีท่าว่าจะดกดำคมเข้มเหมือนนิคเมื่อเขาโตขึ้น ปากเล็กๆรูปสวยที่เม้มแน่นอยู่ในขณะนี้ แต่ที่เห็นชัดว่าไม่เหมือนนิคเลย คือจมูกกับตาที่ถอดมาจากเธอ แขนขาของเขายาว บ่งบอกให้รู้ว่าเมื่อโตขึ้นเขาจะสูงเหมือนพ่อเขา

เจิดจรัสซึ่งมาเยี่ยมแต่เช้า ยื่นมือไปขออุ้มหลานชายคนแรกของเธอมาเชยชม พิศดูหน้าตาขาแขนผิวพรรณของเขาอยู่พักใหญ่

“เขาคงเหมือนพ่อเขามากกว่าเหมือนเธอ เท่าที่พี่เห็นนี่เขาเหมือนเธอแค่จมูกกับตาเท่านั้นแหละ แต่ก็ไม่แน่หรอก เด็กน่ะหน้าจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆกว่าจะเข้าที่ ตอนนี้ยังไม่แน่หรอกว่าจะเหมือนพ่อหรือแม่มากกว่ากัน เออ..ว่าแต่เธอจะเลี้ยงเขาด้วยนมตัวเองหรือเปล่า หรือจะให้นมผสม”

น้องสาวตอบทันทีเหมือนคิดเอาไว้แล้วล่วงหน้า “พราวจะให้เขากินนมพราวค่ะ พี่เจิด หมอที่เมืองไทยเคยบอกพราวว่า เด็กที่กินนมแม่จะเจริญเติบโตเร็วแข็งแรงดี ไม่ค่อยเจ็บป่วย ส่วนแม่ก็จะดีในแง่ที่มดลูกจะเข้าที่ได้เร็วขึ้น ใช่ไหมคะพี่เจิด”

เจิดจรัสพยักหน้า “พี่ดีใจที่เธอตัดสินใจยังงั้น ลูกพี่ก็กินนมพี่มาตั้งแต่เกิดจนครบหกเดือน แต่สาวๆสมัยนี้ไม่ค่อยยอมให้ลูกกินนมตัวเอง กลัวว่าทรงจะหย่อนยาน เรื่องนี้ไม่จริงหรอก ได้แก่ตัวพี่เองไง จนป่านนี้ก็ไม่เห็นว่ามันจะหย่อนจะคล้อยลงไปเลย”

หลังจากลูกของเธออายุครบหนึ่งขวบ พราวพรายก็ย้ายออกไปเช่าอพาร์ตเมนท์เล็กๆขนาดหนึ่งห้องนอน ห่างจากอพาร์ตเมนท์ของเจิดจรัสกับแฟรงค์เพียงสองช่วงตึก หลังจากนั้นก็เริ่มเข้าศึกษาระดับปริญญาโท วันที่มีเรียนเธอจะหอบลูกไปฝากไว้กับเจิดจรัสตั้งแต่เช้า แล้วกลับมารับเขาตอนเย็น หลังจากเรียนจบพราวพรายก็ได้งานที่บีบีซี ในตำแหน่งผู้แปลเอกสารและข่าวจากภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทย เพื่อให้ผู้ประกาศข่าวนำไปอ่านออกอากาศ

วุฒิบัตรปริญญาตรีทางนิเทศศาสตร์ ภาษาอังกฤษที่แตกฉาน ประสพการณ์การทำงานด้านแปลข่าวและเอกสาร ในหน่วยงานของอเมริกันในประเทศไทยสามปีของเธอ ที่ได้รับคำยกย่องสดุดีอย่างดีเยี่ยม ในจดหมายรับรองการผ่านงานที่จอห์นออกให้ รูปโฉมที่โดดเด่นสะดุดตา และบทเรียนชีวิตที่ผ่านมาที่หล่อหลอมเธอ จากเด็กสาวเจ้าอารมณ์มาเป็นหญิงสาวที่พูดน้อยแต่ช่างคิด สุภาพสำรวมตนตามควรแก่กาละเทศะ ฯลฯ เหล่านี้ทำให้เธอได้งานในองค์กรแห่งนี้ไม่ยาก

และหลังจากทำงานได้ครบปี พราวพรายก็ถูกส่งไปทำงานที่บีบีซีภาคภาษาไทยในประเทศอังกฤษมีกำหนดหนึ่งปี หลังจากนั้นก็จะกลับมาทำงานที่บีบีซีในอเมริกาเหมือนเดิม แม้จะต้องทิ้งลูกน้อยวัยสามขวบไว้ในอเมริกา แต่หญิงสาวก็ไม่กังวลมากนัก เธอรู้ว่าพี่สาวและพี่เขยซึ่งรักหลานมากจะช่วยดูแลเขาอย่างดี การไปอังกฤษของเธอครั้งนี้ จะช่วยให้เธอมีประสพการณ์การทำงานในหน้าที่นี้เพิ่มสูงขึ้น

พราวพรายคิดว่าตอนนี้ชีวิตของเธอลงตัวแล้ว ชีวิตที่มีแต่เธอกับลูก โดยมีแฟรงค์และเจิดจรัสคอยช่วยเหลือและสนับสนุนให้กำลังใจ หญิงสาวยังไม่คิดจะสนใจผู้ชายคนใดเป็นพิเศษ แต่เธอก็ไม่ถึงกับปิดกั้นตัวเอง เพียงแต่คงต้องเลือกมากหน่อยเท่านั้น เพราะเธอไม่ได้ตัวเปล่า ยังมีลูกชายตัวน้อยที่จะต้องคำนึงถึง พราวพรายตั้งใจเอาไว้แล้วว่า ถ้าจะแต่งงานใหม่กับใครสักคน เขาคนนั้นจะต้องไม่รังเกีบจลูกของเธอ และจะต้องทำหน้าที่พ่อทีดีให้ลูกเธอด้วย

ตอนนี้พราวพรายจากเมืองไทยมาสี่ปีแล้ว และพยายามจะลืมเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น แต่เธอไม่เคยลืมวันตายของนิค ทุกปีเมื่อวันนั้นมาถึงหญิงสาวก็จะไปทำบุญที่วัดไทย แล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เขา แม้เขาจะไม่ได้นับถือศาสนาพุทธก็ตาม เธออธิษฐานอยู่เสมอว่าถ้าชาติหน้ามีจริงขอให้เธอได้พบกับนิค รักกันและอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าทุกชาติ อย่าให้ความตายมาพรากเขาไปจากเธอเหมือนชาตินี้เลย




























 



 




Create Date : 25 มิถุนายน 2566
Last Update : 25 มิถุนายน 2566 9:26:29 น.
Counter : 613 Pageviews.

2 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณปรศุราม, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณ**mp5**, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน, คุณหอมกร, คุณnewyorknurse

  
คราวนี้มาเร็วทันใจมากเลยค่ะ อิอิ
แต่ ... คุณตุ้ยขาาาา คราวนี้ลงซ้ำนับได้ 10 จบเลยค่ะ

โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 25 มิถุนายน 2566 เวลา:8:15:23 น.
  
ที่จริงตอนนี้น่าจะเป็นตอนที่ 72 มากกว่าจ้า

โดย: หอมกร วันที่: 25 มิถุนายน 2566 เวลา:12:29:54 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
มิถุนายน 2566

 
 
 
 
1
2
3
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
26
27
28
29
30
 
 
25 มิถุนายน 2566
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com