คนละฟากฟ้า - บทที่ 89
สองสัปดาห์ต่อมาเมื่อพราวพรายลงจากเครื่องบินที่เดินทางมาจากลอนดอน เดินออกมาตรงบริเวณผู้โดยสารขาเข้า ก็พบนิคกับนิกกี้ยืนรออยู่แล้ว พอเห็นมารดาเด็กชายก็สลัดมือที่เกาะกุมอยู่กับมือนิค วิ่งเข้าไปกอดเธอทันที

“มอมมี้แม่มาแล้ว! มอมมี้แม่มาแล้ว! ดีใจจังเยย”

พราวพรายก้มลงกอดลุกชายตัวน้อย ตาก็มองไปที่นิคที่กำลังเดินเข้ามาหา ด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่ได้แตกต่างจากนิกกี้สักเท่าไหร่

“พราวมีกระเป๋าแค่ใบเดียวเท่านั้นหรือ?”
“ค่ะ เอามาเท่าที่จำเป็น ที่เหลือยกให้เพื่อนที่ทำงานไป”

นิคยกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของพราวพรายออกจากรถเข็น คนทั้งสามเดินไปด้วยกันจนถึงประตูทางออก

“พราวกับนิกกี้รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ ผมจะไปเอารถ”
เธอยิ้มให้เขา “คุณจอดรถตรงไหนคะ?”

“ใกล้ๆนี่เอง แต่อย่าเดินเลย คอยอยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวผมเอารถมารับ”

นิคกลับมาภายในห้านาที ระหว่างนั่งรถไปด้วยกัน เขาถามว่า “พราวจะไปพักที่ไหน อพาร์ตเมนท์ของคุณเจิดหรือที่อพาร์ตเมนท์คุณ”

"ไปที่อพาร์ตเมนท์พี่เจิดก่อนดีกว่าค่ะ”
“โอเค แล้วเมื่อไหร่เราจะได้คุยกันล่ะ” ชายหนุ่มถามอย่างใจร้อน

หญิงสาวนิ่งคิดแล้วเหลียวไปมองเด็กชายที่นั่งอยู่ที่เบาะหลัง ก่อนจะถามเบาๆว่า “คุณบอกอะไรนิกกี้บ้างหรือยังคะ?”

“ยังเลย คิดว่ารอให้คุณกลับมาก่อนดีกว่า ผมพูดคนเดียวเขาอาจจะตกใจหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่เราควรจะบอกเขาให้เร็วที่สุดนะ”

“แล้วแต่คุณก็แล้วกัน”

นิคหันมามองพราวพรายอย่างพอใจ รู้สึกว่าเธอเปลี่ยนไปมาก นอกจากจะไม่โยกโย้ให้เป็นเรื่องขึ้นมาแล้ว สีหน้าท่าทางของเธอก็ดูสงบ ไม่บึ้งตึงขึ้งเครียดอยู่บ่อยๆเหมือนที่เคยเห็น เธอดูอ่อนหวานนุ่มนวล เป็นผู้ใหญ่และผู้หญิงมากขึ้น

“พราวไม่ต้องกลับไปที่โน่นอีกแล้วใช่ไหม?” เขาหมายถึงลอนดอน
“ค่ะ ฉันกลับมาทำงานที่นี่เหมือนเดิม”
“ถ้าไม่รีบไปหาคุณเจิด แวะไปดูบ้านพักของผมในค่ายก่อนได้ไหม?” ถามออกไปแล้วนิคก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเธอจะว่าอย่างไร

หญิงสาวนิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่งก็บอกเขาว่า “ก็ได้ค่ะ ดูเสร็จแล้วค่อยไปหาพี่เจิด แต่เดี๋ยวคงต้องโทรไปบอกเขา กลัวว่าพี่เจิดจะรอ”

ชายหนุ่มแอบยิ้มไม่ให้เธอเห็น เจิดจรัสเป็นคนแนะเขาเองให้พาพราวพรายไปดูบ้านพักของเขา ที่เธอเป็นคนเข้าไปช่วยตกแต่งเสียใหม่ให้สวยงามยิ่งขึ้น เธอยังบอกเขาให้หาโอกาสปรับความเข้าใจกับน้องสาวเธอให้เรียบร้อยเสียก่อน ตอนเย็นค่อยพาพราวพรายไปรับประทานอาหารเย็น ที่บ้านของเธอร่วมกับแฟรงค์

พราวพรายเดินดูทั่วบ้านอย่างพอใจ บ้านหลังนี้ใหญ่โตกว้างขวางกว่าหลังที่เวียตนาม ห้องนอนนั้นใหญ่กว่าเกือบเท่าตัว ติดกับห้องนอนใหญ่มีประตูเปิดออกไปสู่ห้องเล็กๆที่จัดไว้เป็นห้องนอนเด้ก เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นเป็นของใหม่หมด หญิงสาวหันมาถามนิคที่ยืนอยู่ข้างหลังว่า

“ปกติเวลามาค้างกับคุณ นิกกี้นอนห้องนี้หรือคะ”

“ไม่หรอก ห้องนี้แต่ก่อนปิดไว้เฉยๆ ไม่ได้ใช้ทำอะไร คุณเจิดมาช่วยปรับปรุงใหม่หมดให้เป็นห้องนอนนิกกี้ เพิ่งเสร็จไม่กี่วันนี่เอง ปกติเวลามาค้างที่นี่นิกกี้นอนกับผมในห้องโน้น ไม่ยอมนอนคนเดียวหรอก สงสัยจะกลัวผีเหมือนแม่”

พราวพรายขำกับสีหน้าของนิคจนต้องหัวเราะออกมา “เขานอนห้องเดียวกับริกกี้มาตั้งแต่เล็กๆ คงจะชินน่ะค่ะ”

“ตอนนี้ไม่ยอมนอนห้องนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าแม่มาอยู่บ้านนี้แล้ว ยังไงก็ต้องบังคับให้นอนห้องนี้”

ชายหนุ่มทำหน้ายิ้มๆมองเธอด้วยแววตาที่เธอเข้าใจดี ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร แต่เธอก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ เดินออกจากห้องนั้นไปดูห้องอื่นๆ ในที่สุดก็เข้าไปในห้องแพนทรี่โดยมีสองพ่อลูกเดินตามไปด้วย

“เพิ่งรู้ว่าคุณก็จัดบ้านเก่งเหมือนกัน”

นิคหัวเราะ “ผมไม่มีปัญญาหรอก คุณเจิดมาช่วยจัดการให้ ม่านก็เปลี่ยนใหม่หมดทุกห้อง เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์บางชิ้น ซื้อเครื่องครัวเพิ่มหลายชิ้น เผื่อคุณจะอยากทำอะไรให้ผมทาน” เขาหยอดท้าย

หญิงสาวอมยิ้มกับคำพูดในทำนองตีขลุมของเขา นิคกับพี่สาวของเธอคงรู้เห็นเป็นใจกัน และคงคิดว่าเธอจะย้ายมาอยู่ที่นี่กับเขาทันที ยังหรอก เธอยังไม่ได้ตัดสินใจ ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องคิด เธอไม่อยากจะทำอะไรโดยผลีผลามอีกแล้ว

บนโต๊ะอาหารที่ตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องกว้าง มีฝาชีครอบอะไรบางอย่างเอาไว้ พราวพรายเดินไปเปิดดู สิ่งที่อยู่ใต้ฝาชีคือก๋วยเตี๋ยวผัดไทยในจานเปลขนาดใหญ่และหม้อซุปที่มีเกี๊ยวน้ำบรรจุอยู่

“เอ๊ะ ก๋วยเตี๋ยวพวกนี้ซื้อมาจากไหนคะ นิค?”
“คุณเจิดเอามาให้ตั้งแต่เช้าก่อนที่ผมจะไปรับคุณที่สนามบิน เห็นว่าเป็นอาหารกลางวันสำหรับเรา”

นิกกี้ซึ่งยืนฟังอยู่นานแล้วและคงจะเบื่อเต็มที ร้องขัดออกมาว่า “เมื่อไหร่จาคุยกันเสร็จซะทีล่ะ นิกกี้เบื่อแล้วนะ นิกกี้อยากเล่นน้ำในกาลามัง” เขาเรียกอ่างยางใบนั้นว่ากาลามังทุกครั้ง

“วันนี้เล่นไม่ได้หรอก” นิคเป็นคนตอบ
“ทำไมจาไม่ด้ายล่ะ ตะก่อนยังเล่นได้เลย”
“ตอนนั้นอากาศมันไม่ได้หนาวเหมือนตอนนี้นี่นา”

เด็กชายที่ถูกตามใจจนเคยตัวทำหน้างอหงิก แผดเสียงว่า “นิกกี้จาเล่นน้ำ จาเล่นน้ำได้ยินมั้ย อังเคิลนิคเอาน้ำใส่กาลามังให้หน่อย”

“อาละวาดเก่งเหมือนใครเนี่ย “นิคถามลูกแต่มองหน้าแม่ของลูกด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“ก็อย่าตามใจเขามากนักสิคะ เห็นพี่เจิดบอกว่าคุณตามใจเขาจะตาย”
“งั้นสมัยก่อนที่คุณอาละวาดบ่อยๆ ก็เพราะผมตามใจคุณมากเกินไปลใช่ไหม”
พราวพรายอมยิ้มจนนัยน์ตาคู่งามของเธอแพรวพราว “คงงั้นมั้งคะ”

ระหว่างนั่งรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน นิคถามว่า “เดินดูจนทั่วแล้ว ชอบบ้านหลังนี้ไหม”

“ก็น่าอยู่ดีนี่คะ จัดเสียสวย สนามก็กว้างดี”
“นิกกี้ชอบบ้านอังเคิลนิค” เด็กชายซึ่งกำลังเคี้ยวเกี๊ยวอยู่เต็มปากประกาศเสียงดัง

“ถ้าชอบก็ย้ายมาอยู่ที่นี่เสียเลยดีไหม?” นิคถามลูกก็จริง แต่ตาก็มองแม่ของลูกอย่างมีความหวัง “ปีหน้าก็ให้นิกกี้เข้าโรงเรียนได้แล้วมั้ง ในค่ายนี่มีโรงเรียนสำหรับลูกทหารด้วยนะ พราว”

“ชั้นอนุบาลจะมีหรือคะ?”
“มีสิ ผมไปถามมาแล้วเรียบร้อย” เขาลดเสียงให้เบาลงเมื่อถามเธอว่า “เมื่อไหร่คุณจะมาอยู่กับผมล่ะ”

พราวพรายอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะบอกเขาค่อยๆ เพราะกลัวนิกกี้จะได้ยิน

“เดี๋ยวค่อยคุยกันเรื่องนั้นดีไหมคะ รอให้ลูกหลับเสียก่อน เดี๋ยวเขาก็ง่วงแล้วละ ปกติหลังอาหารกลางวันเขาจะนอนประมาณชั่วโมง”

หลังอาหารกลางวันไม่นาน เด็กชายก็หาวหวอดๆเพราะเริ่มง่วงแล้ว ชายหนุ่มที่คอยจังหวะอยู่บอกเขาว่า “นิกกี้ง่วงก็เข้าไปนอนในห้องดีไหม?”

นิคจูงมือเขาเข้าไปในห้องนอนเล็กที่เจิดจรัสเพิ่งมาจัดให้ก่อนหน้านี้ไม่นาน

“นอนห้องนี้นะ ห้องนอนของนิกกี้ไง สวยไหมล่ะ มอมมี้มาจัดไว้ให้นิกกี้เป็นพิเศษ มีของเล่นเยอะแยะด้วย ชอบไหม?”
นิกกี้มองไปรอบห้องแล้วปรบมืออย่างชอบใจ “เย้ มีของเล่นเต็มเลย”
“ตกลงนอนห้องนี้นะ”

ชายหนุ่มดึงมือเขาจะให้ขึ้นไปนอนบนเตียงเล็กๆ แต่เด็กชายขืนตัวไว้ “ม่ายนิกกี้ไม่นอนที่นี่หรอก นิกกี้จานอนห้องโน้นกะอังเคิลนิค”

“นอนห้องนี้ไม่ดีกว่าหรือ ห้องนี้สวยกว่าห้องของอังเคิลนิคตั้งแยะ”
นิกกี้ส่ายหน้าปฏิเสธทันที ยืนกรานเสียงแข็งว่า “ม่าย จานอนกะอังเคิลนิค”’

เมื่อทำอย่างไรลูกชายตัวน้อยก็ยังยืนกระต่ายขาเดียวอยู่เหมือนเดิม ชายหนุ่มก็เลยต้องยอมแพ้ พาเขาขึ้นไปนอนบนเตียงในห้องนอนใหญ่ ที่เจิดจรัสอุตส่าห์มาจัดให้ใหม่อย่างสวยงาม

พอลงนอนได้เด็กชายก็ออกคำสั่งทันที “อังเคิลนิคต้องนอนกะนิกกี้ด้วย”

“อังเคิลนิคยังไม่ง่วงนี่นา อังเคิลนิคโตแล้วไม่ต้องนอนกลางวันหรอก”

ระหว่างที่พ่อลูกกำลังโต้กันอยู่ พราวพรายก็เดินเข้ามาในห้อง ทันทีที่เห็นมารดาเด็กชายก็ร้องเรียกเสียงใส

“มอมมี้แม่มาแล้ว มานอนกะนิกกี้หน่อย” แล้วเขาก็เจ้ากี้เจ้าการว่า “มอมมี้แม่นอนตรงนี้ อังเคิลนิคนอนตรงนั้น”

ถ้าเป็นไปตามคำสั่งของนิกกี้ ก็แปลว่าเขาจะนอนตรงกลางระหว่างนิคกับพราวพราย ซึ่งคราวนี้ชายหนุ่มยอมทำตามโดยดีด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม หันไปเรียกพราวพราย 

“อ้าว มอมมี้แม่ ลูกเรียกแล้ว ทำไมไม่ขึ้นมานอนล่ะ”

“ฉันไม่ง่วงหรอก เชิญคุณกับเขานอนกันสองคนให้สบายเถอะ” เธอตอบยิ้มๆอย่างรู้เท่า “ฉันจะโทรศัพท์ไปคุยกับพี่เจิดหน่อย”

นิคมองตามหลังพราวพรายไปก่อนจะหันมาบอกนิกกี้ว่า “หลับได้แล้ว หลับตาเสีย ถ้าไม่หลับตาอังเคิลนิคจะไม่นอนเป็นเพื่อนนะ”

ทันทีที่เด็กชายหลับ นิคก็ออกจากห้องเดินไปหาพราวพราย ที่กำลังนั่งดูรายการในโทรทัศน์อยู่เงียบๆ นั่งลงบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับเธอ โอบแขนไปรอบบ่า ดึงตัวเธอให้มาซบลงตรงอก แล้วถือโอกาสจูบเธอเสียหลายที ซึ่งหญิงสาวก็ยอมให้เขาจูบโดยดี

“นิกกี้หลับแล้วหรือคะ?”
“หลับแล้ว สงสัยจะง่วงจัดเพราะเมื่อเช้าตื่นก่อนผมอีก คงตื่นเต้นที่จะได้ไปรับคุณที่สนามบิน”
“ค่ะ นิกกี้ชอบดูเครื่องบิน”
“พราว ผมอยากจะบอกว่าวันนั้นผมไม่รู้ว่าจูดี้จะตามผมไปที่ลอนดอน ผมไม่ได้...”’

ความจริงหลังจากเคลียร์กับจูดี้เรียบร้อยแล้ว นิควางแผนจะไปหาพราวพรายที่ลอนดอนอีกครั้ง เพื่อปรับความเข้าใจ แต่เมื่อรู้จากพี่สาวว่าเขากำลังจะไปหา พราวพรายก็โทรศัพท์มาบอกเขาว่าไม่ต้องมาหรอก เพราะเธอกำลังจะย้ายกลับมาอเมริกาอยู่แล้ว ไม่อยากให้เขาเสียงาน ตอนนี้เธอเองก็ไม่ว่างเพราะต้องรีบเคลียร์งาน และก่อนกำหนดกลับสามวันเธอจะไปต่างจังหวัด เพื่อไปเยี่ยมเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่บีบีซี ซึ่งเพิ่งคลอดลูกคนแรก และจะพักอยู่ด้วยสามสี่วัน ไว้กลับมาแล้วค่อยคุยกัน และย้ำว่าเธอเข้าใจเรื่องต่างๆจากพี่สาวหมดแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร

พราวพรายขยับตัวออกจากอกนิค ยิ้มหวานให้เขา “นิคคะ ไม่ต้องอธิบายหรอกค่ะ ฉันไม่สนใจเรื่องระหว่างคุณกับจูดี้ เพราะคุณกับเขาจบกันไปแล้วไม่ใช่หรือคะ"
“ขอบใจมากนะพราว ขอบใจที่เข้าใจผม” แล้วเขาก็บอกเธอว่า “ผมอยากรู้เรื่องนิกกี้ ดิ๊กเล่าให้ผมฟังว่าคุณเพิ่งรู้ว่าท้อง หลังจากที่ได้ข่าวว่าผมตาย จะเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าพราวลำบากยังไงบ้าง”

“ค่ะ นิค ฉันก็อยากจะเล่าให้คุณฟั่งเหมือนกัน ไม่ใช่เพื่อเรียกร้องความเห็นใจหรืออะไรหรอกนะคะ แต่เพราะคุณเป็นพ่อเขา ฉันจึงคิดว่าคุณควรจะได้รู้เรื่องของเขาบ้าง”

แล้วพราวพรายก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเธอ ตั้งแต่วันที่คิดว่าเขาตายไปแล้ว จนถึงก่อนหน้าที่จะได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง ฟังจบแล้วชายหนุ่มก็ดึงตัวเธอเข้ามากอดอย่างแสนสงสาร

“ผมสงสารพราวมากนะ ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนทุกอย่างเพื่อลูก ผมแย่มาก ไม่ได้อยู่ตรงนั้นทำหน้าที่ผัวและพ่อเลย” เสียงของเขาเศร้าเมื่อนึกถึงสภาพของเธอที่คงต้องลำบากมากมาย แต่ก็ยังโชคดีอยู่บ้างที่มีพี่สาวและพี่เขยผู้แสนดีคอยช่วยเหลือ

“อย่าคิดมากเลยค่ะ นิค ตอนนั้นคุณเองก็ต้องถูกทรมานทรกรรมอยู่ที่โน่น ใช่ว่าคุณทอดทิ้งฉันกับลูกนี่คะ ฉันรู้ว่าถ้าตอนนั้นเรายังอยู่ด้วยกันปกติ คุณคงช่วยดูแลทั้งฉันทั้งลูกอย่างดีที่สุดอยู่แล้ว”

แล้วพอนึกขึ้นได้ หญิงสาวก็รีบบอกเขาว่า "อ้อ นิคคะ อย่านึกว่าคุณไม่ได้ช่วยฉันกับลูกเลยนะคะ คุณช่วยเราสองคนได้มากทีเดียว คุณยังจำเงินก้อนใหญ่ที่คุณโอนเข้าบัญชีฉัน หลังจากที่เราหย่ากันได้ไม่กี่วันได้ไหมคะ ฉันใช้เงินก้อนนั้นเลี้ยงดูนิกกี้ตั้งแต่ตอนที่เขาเกิดจนถึงทุกวันนี้ ลำพังเงินออมของฉันสมัยที่ทำงานอยู่กับจอห์นมีไม่มากนัก ตอนมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆก็ทำงานเล็กๆน้อย ได้เงินไม่มาก เพิ่งจะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำก็ตอนมาทำงานที่บีบีซีนี่แหละ ถ้าไม่มีเงินก้อนนั้นของคุณ ฉันกับลูกก็คงลำบากมาก คงต้องพึ่งพี่เจิดมากกว่านี้อีกหลายเท่า ฉันอยากจะถามคุณมานานแล้วละ ว่านึกยังไงถึงให้เงินฉันมากมายขนาดนั้น"

"เงินนั่นเป็นเงินเก็บของผมฝากไว้ในแบงค์ที่อเมริกา ตอนที่เลิกกันผมคิดว่าคุณควรจะได้อะไรบ้าง ผมก็เลยโอนเงินครึ่งหนึ่งในบัญชีผมให้คุณ พราว ผมดีใจมากที่คุณกับลูกได้ใช้ประโยชน์จากเงินก้อนนั้น อย่างน้อยผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นบ้างที่ได้ช่วยคุณกับนิกกี้ไม่ให้ต้องลำบากจนเกินไป"

ขณะที่พูด ชายหนุ่มมีน้ำตาจางๆคลออยู่ในดวงตา พราวพรายที่กำลังมองเขาอยู่ก็เช่นเดียวกัน ทั้งคู่มองสบตากัน แล้วเขาก็ก้มลงจูบเธออีกหลายครั้งอย่างซาบซึ้ง นิคนั้นเพิ่งตระหนักได้ในตอนนี้เองว่าความผูกพันแน่นเหนียวของสมาชิกในครอบครัวของคนเอเซีย ที่ต้องเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันและกันโดยเฉพาะในยามยาก ที่เขาเคยไม่เห็นด้วยนั้น แท้ที่จริงมันมีความหมายและความสำคัญมากกว่าที่เขาคิด เพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยให้ลูกเมียของเขามีที่พึ่งพึง ในยามที่ไม่รู้จะบากหน้าไปหาใคร

“พราวรู้ไหมว่าผมดีใจแค่ไหนที่นิกกี้เป็นลูกผม เขาเป็นเด็กน่ารักและฉลาดมาก ขอบใจมากนะที่เลี้ยงเขามาอย่างดี แล้วก็คงต้องขอบคุณคุณเจิดกับแฟรงค์ด้วยที่คอยช่วยเหลือ แฟรงค์นี่คงต้องขอบคุณเป็นพิเศษที่ยอมเป็นพ่อให้นิกกี้ ไม่งั้นนิกกี้อาจจะกลายเป็นเด็กมีปัญหาไปก็ได้”

“ค่ะ แฟรงค์น่ารักมาก เขาไม่เคยทำให้นิกกี้รู้สึกแปลกแยกจากริกกี้เลย เขาแสดงความรักต่อเด็กสองคนเท่าๆกัน แต่เขาก็ไม่ค่อยจะมีเวลาเล่นกับเด็กๆเท่าไหร่ งานเขาหนักมาก”

“นั่นสิ ผมถึงรู้สึกขอบคุณเขามาก พี่สาวคุณก็เหมือนกัน ท่าทางจะรักนิกกี้ไม่น้อยเลย คุณเจิดน่ารักมาก”

คุยกันเรื่องลูกอีกครู่ใหญ่ ในที่สุดนิคก็ตัดสินใจถามเรื่องที่ครุ่นคิดมาตลอด ไม่แน่ใจเสียเลยกับคำตอบ เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าพราวพรายเปลี่ยนไปมาก จนเขาไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรและจะทำอะไรต่อไป ผิดไปจากสาวน้อยคนเดิมที่พูดหรือทำทุกอย่างตามใจชอบที่ทำให้คาดคะเนได้ไม่ยาก

“ตอนนี้ทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้ว เมื่อไหร่คุณจะมาอยู่กับผมล่ะ” นั่นคือประโยคสำคัญที่เขาต้องการคำตอบ

พราวพรายอึ้งไปนานก่อนจะตอบว่า “ขอเวลาให้ฉันอีกสักพักนะคะ นิค ฉันยังไม่พร้อม”

อีกฝ่ายขมวดคิ้วทันที “หมายความว่าไง ทำไมถึงยังไม่พร้อม หรือยังโกรธผมเรื่องจูดี้อยู่”

"ไม่โกรธหรอกค่ะ ถ้าคุณยังไม่เลิกกับเขาเด็ดขาดและฉันยังโกรธคุณอยู่ ฉันคงไม่ยอมพบคุณหรือมาที่นี่กับคุณ ฉันเข้าใจค่ะ นิค คุณไปมีจูดี้ก็เพราะคุณไม่รู้ว่าการแต่งงานของเรายังมีผลทางกฏหมาย อีกอย่างคุณก็คงเข้าใจผิด คิดว่าฉันแต่งงานใหม่มีลูกกับคนใหม่ไปแล้ว”

เธอยิ้มให้เขาแล้วกล่าวต่อไปว่า “เดี๋ยวนี้ฉันโตขึ้นกว่าเก่ามาก ยอมรับความจริงได้ว่าผู้ชายอยู่คนเดียวนานๆ โดยไม่มีผู้หญิงสักคนเป็นเรื่องยาก จะรักหรือไม่รักก็ไม่สำคัญ เพราะธรรมชาติสร้างเขามาอย่างนั้น ฉันไม่ได้หวังว่าปีกว่าๆที่คุณกลับมา หลังจากอยู่ในค่ายเชลยเกือบสองปี คุณจะต้องไม่มีใครเลย เพราะฉะนั้นเรื่องจูดี้เป็นอันจบไป ฉันไม่โทษคุณที่มีเขาค่ะ นิค ความจริงถ้าฉันเป็นคุณ ก็อาจจะแต่งงานกับจูดี้ไปนานแล้วก็ได้ ไม่รีรออยู่จนมารู้เรื่องของเราหรอก”

ชายหนุ่มถอนใจยาวอย่างโล่งอก ที่รู้ว่าเธอไมได้ติดใจหรือโกรธเคืองเขาเรื่องจูดี้ “ที่รีรอไม่ตัดสินใจเสียที ก็คงเป็นเพราะผมไม่ได้รักเขามากจนอยากจะแต่งงานด้วย ถ้าไม่ใช่เรื่องจูดี้แล้วมีเรื่องอะไรอีกที่ทำให้คุณไม่อยากกลับมาอยู่กับผม หรือคุณไม่รักผมแล้ว”

พราวพรายยิ้มอ่อนๆให้นิค จับมือเขาไว้อย่างเอาใจ “นิคคะ ฉันไม่เคยรักใครนอกจากคุณ แล้วก็สัญญาด้วยว่าจะกลับมาอยู่กับคุณแน่นอน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ คุณให้เวลาฉันสักหน่อยไม่ได้หรือคะ”

นึกถึงคำเตือนของสมพรขึ้นมาได้ ว่าคงต้องให้เวลาพราวพรายปรับตัวปรับใจบ้าง ก่อนที่จะกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ ไม่ควรเร่งรัดเธอมากเกินไป ชายหนุ่มก็เลยรีบยิ้มให้เธอ แล้วตอบทันทีอย่างเอาใจ “ได้สิ แต่อย่าให้นานเกินไปนัก เราจากกันตั้งสี่ปีเชียวนะพราว เราเสียเวลาที่ควรจะได้อยู่ด้วยกันไปมากแล้ว ผมอยากอยู่กับคุณและลูก อยากมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนคนอื่น” รีรออยู่อึดใจหนึ่งเขาก็เลียบๆเคียงถาม “ พอจะบอกผมได้ไหมที่คุณว่ายังไม่พร้อมน่ะ มันเรื่องอะไรกันแน่”

หญิงสาวนิ่งคิดเหมือนชั่งใจก่อนจะบอกเขาว่า “ฉันแค่อยากรอดูอะไรบางอย่างเท่านั้นแหละค่ะ ไม่เกี่ยวกับคุณหรอก บอกแล้วไงคะว่าถึงอย่างไรฉันก็ต้องกลับมาอยู่กับคุณเหมือนเดิมอยู่แล้ว คุณกับลูกคือชีวิตของฉันนะคะนิค ฉันคงจะไม่ยอมเสียครอบครัวของเราไปอีกครั้งหรอก ให้เวลาฉันสักหน่อยได้ไหมคะ
“ก็ได้ แต่ห้ามนานนะ เดี๋ยวผมก็จะตายอีกรอบเสียก่อนหรอก”

พราวพรายหัวเราะคิก หันมาจูบเขาอย่างอ่อนหวานก่อนจะอ้อนเขาว่า “อย่าเพิ่งรีบตายนะคะนิค ถ้าคุณตายอีกครั้งฉันก็คงต้องตายตามไปด้วยแน่ ถ้าพ่อกับแม่พร้อมใจกันตายนิกกี้จะอยู่กับใครล่ะคะ ใจเย็นๆรอฉันหน่อยนะคะ อีกสักพักเท่านั้น รับรองว่าจบเรื่องเมื่อไหร่ฉันจะเล่าให้คุณฟังทันที”

“แต่ระหว่างนี้คุณก็ต้องให้เวลาผมบ้างนะ พราว”
“ยังไงคะ”
“พาลูกมาอยู่กับผมที่นี่บ้าง”

“แต่ฉันก็บอกคุณแล้วนี่คะว่ายังไม่พร้อม” คำพูดของเธอมีนัยสำคัญ

“ผมเข้าใจ ผมไม่ได้เรียกร้องเรื่องนั้นหรอก ผมรอได้จนกว่าคุณจะพร้อม ที่ขอให้มาอยู่กับผมที่นี่บ้างไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนั้น คุณก็เข้าไปนอนกับลูกในห้องนอนใหญ่ ผมใช้ห้องนิกกี้ได้ ผมขอแค่นี้เท่านั้น ได้ไหม?”

“แต่ฉันต้องทำงานนะคะ ที่ทำงานของฉันอยู่ห่างจากที่นี่มาก คุณก็รู้”
“ผมขอแค่ช่วงวันหยุดเท่านั้น”
“ให้ฉันคิดดูอีกทีนะคะ”

ยังมีคำถามสำคัญอีกหนึ่งคำถาม “คุณยังกังวลเรื่องพ่อแม่คุณอยู่อีกหรือเปล่า ผมคิดว่าตอนนี้อาจจะหมดปัญหาแล้วก็ได้ คุณเจิดบอกผมว่าพวกท่านรู้เรื่องนิกกี้แล้ว ถ้ารู้ว่าพ่อของนิกกี้ยังไม่ตายท่านอาจจะดีใจก็ได้ ที่หลานท่านจะได้อยู่กับพ่อแม่เหมือนริกกี้ คุณคิดอย่างผมไหม?”

“ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่าก็น่าจะดี แต่สำหรับแม่ ฉันยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แม่ค่อนข้างยึดมั่นถือมั่นกับความคิดของตัวเอง พูดคำไหนคำนั้น ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรง่ายๆ”

“โธ่ พราว มันตั้งสี่ปีแล้วนะ อีกอย่างสถานการ์ณตอนนั้นกับตอนนี้ก็ไม่เหมือนกัน ตอนนั้นนิกกี้ยังไม่เกิด แต่ตอนนี้เขาสามขวบกว่าแล้ว ท่านคงต้องเห็นแก่หลานบ้างหรอก”


หยุดคิดอยู่อึดใจหนึ่งชายหนุ่มก็กล่าวต่อว่า “เอาแบบนี้ดีไหม เราพานิกกี้ไปหาพ่อแม่คุณที่กรุงเทพฯ แม่คุณยังไม่เคยพบนิกกี้ไม่ใช่หรือ ผมจะไปกราบขอโทษท่าน ขอร้องให้ยกโทษให้เราเสีย ถ้าท่านให้อภัย คุณก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดเหมือนทุกวันนี้”

“นิคคะ ให้ฉันคิดดูก่อนดีกว่า ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป นะคะ”

อีกฝ่ายถอนใจยาวอย่างหนักอก รู้ว่าแม้เวลาจะผ่านไปถึงสี่ปี แต่ปมในใจของพราวพรายในเรื่องนี้ ยังไม่ได้คลี่คลายไปเท่าไหร่เลย สีหน้าและคำพูดของเธอทำให้นิคชักสงสัยว่า พราวพรายอาจจะยังมีปัญหาอะไรบางอย่างกับมารดาติดค้างอยู่ในใจก็ได้

ในที่สุดชายหนุ่มก็เปลี่ยนเรื่อง “ผมอยากจะพาคุณกับลูกไปหาพ่อแม่ผม ท่านคงดีใจที่รู้ว่ามีหลาน แม่ผมบ่นทุกทีที่เจอหน้า ว่าทำไมถึงยังไม่แต่งงานเสียที อายุป่านนี้แล้ว แม่ชอบเด็ก อยากมีหลานสักคน”

“คุณเคยบอกฉันว่าแม่คุณไม่ได้อยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือคะ?”

“ปกติแม่คุมงานอยู่ที่นิวยอร์ค แต่ช่วงนี้อยู่ที่นี่ พ่อกับแม่ผมผลัดกันเดินทางมาเยี่ยมกัน พ่อผมไปหาแม่ทุกสองอาทิตย์ถ้าไม่ติดภารกิจ ส่วนแม่ก็มาที่นี่เดือนละครั้งสองครั้ง”

“ทำไมคุณแม่คุณไม่เลิกทำงานแล้วมาอยู่ที่นี่ถาวรเลยล่ะคะ”

นิคหัวเราะเมื่อนึกถึงมารดา ผู้ยังกระฉับกระเฉงแข็งแรงของเขา “ยาก แม่ผมรักงานที่ทำมาก ก็คงอยากจะสานต่อกิจการของตายายผมให้เจริญไปเรื่อยๆ เบื่อหรือไม่ไหวเมื่อไหร่ก็คงต้องหาคนมาช่วยดูแลแทน จะทิ้งไปเฉยๆหรือขายให้คนอื่นแม่คงไม่ทำแน่”

หยุดไปเดี๋ยวหนึ่งนิตก็ถามว่า “คุณคิดยังไงเรื่องที่จะไปพบพ่อแม่ผม ผมอยากให้นิกกี้รู้ว่าเขาก็มีปู่ย่าตายายเหมือนคนอื่นเหมือนกัน”

พราวพรายใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก็บอกเขาว่า “ฉันไม่ขัดข้องหรอกค่ะ แต่อยากคุยกับนิกกี้เรื่องที่เขาเป็นลูกคุณก่อน”

ชายหนุ่มทำท่าโล่งอก นึกดีใจที่เธอพูดง่ายขึ้นมาก ราวกับไม่ใช่พราวพรายคนเดียวกันกับคนที่คอยค้านไปหมดเกือบทุกเรื่อง “เดี๋ยวเขาตื่นเราพูดกับเขาเลยดีไหม? อย่ารออะไรอีกเลยนะ พราว เราต้องรออะไรต่ออะไรมามากพอแล้ว"

“ค่ะ นิค ฉันก็อยากให้เขารู้เรื่องนี้เร็วๆเหมือนกัน”










 



Create Date : 25 สิงหาคม 2566
Last Update : 25 สิงหาคม 2566 11:28:53 น.
Counter : 409 Pageviews.

2 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณปรศุราม, คุณเริงฤดีนะ, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณเนินน้ำ, คุณปัญญา Dh, คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน, คุณหอมกร, คุณSweet_pills, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณnewyorknurse

  
อืม..
เรื่องราวค่อนคลายคลายปมลงมามากมายแล้ว
คงไม่มีอะไรจะมาหักมุม..อีก
รึจะมี..??
ลุ้นๆๆค่ะ
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 25 สิงหาคม 2566 เวลา:12:24:40 น.
  
ตอนหน้าต้องสนุกแน่ค่ะคุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 26 สิงหาคม 2566 เวลา:8:54:39 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
สิงหาคม 2566

 
 
1
2
4
5
6
8
9
10
12
13
14
15
17
18
19
21
23
24
26
28
30
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com