คนละฟากฟ้า - บททื่ 70

ตกลงวันนั้นพราวพรายยังไม่ได้เดินทางกลับอุบลฯตามแผนเดิม เธอต้องอยู่ต่ออีกหนึ่งวันเพื่อเกลี้ยกล่อมนิคให้ยอมเซ็นเอกสารหย่าตามความต้องการของมารดา คราวนี้พราวพรายมีข้อเสนอใหม่

“นิคคะ เอายังงี้ดีไหม เราหย่ากันก่อนในทางกฏหมาย หลังจากที่ฉันเอาเอกสารใบหย่าไปให้แม่แล้ว เรื่องที่เกี่ยวกับแม่ก็คงจะจบ เราก็...”

หญิงสาวพูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ถามขัดขึ้นมาทันที
“อะไรนะ? หย่ากันก่อนเอาใจแม่คุณ?”

“โธ่ นิคคะ ใจเย็นๆฟังฉันก่อนสิคะ ถ้าคุณใจร้อนแบบนี้จะพูดกันรู้เรื่องได้ยังไง"

“งั้นก็ว่ามา” เสียงของเขาขุ่นพอๆกับสีหน้า

“คือยังงี้นะคะ ฉันอยากให้คุณเซ็นเอกสารสองใบนี้ก่อน” พราวพรายหยิบเอกสารที่ว่าที่วางแอบๆไว้ข้างตัวส่งให้เขา ” ฉันจะได้ส่งไปให้แม่ดูเป็นหลักฐานว่าเราตกลงหย่าขาดกันแล้ว แต่..”

เธอพูดยังไม่ทันจบ ชายหนุ่มที่แม้จะรับเอกสารไปแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมดู ถามสวนขึ้นมาว่า “เอกสารอะไร?”

“ลองอ่านดูก่อนสิคะ ฉันแปลไว้ให้แล้ว อ่านจบแล้วค่อยคุยกัน”
“ขี้เกียจอ่าน คุณอธิบายมาแล้วกัน” นิคตอบรวนๆด้วยเสียงแข็งๆ

พราวพรายถอนใจเบาๆอย่างหนักอกเมื่อเห็นท่าทางที่เครียดจัดของเขา “เอกสารนั่นเป็นหนังสือหย่าโดยความยินยอม ที่ฉัน..”

“ใครยินยอม? ผมหรือคุณ? ถ้าหมายถึงผมละก้อก็ลืมไปได้เลย ผมไม่มีทางยินยอมอยู่แล้ว”

อีกฝ่ายยังรวนไม่เลิกเมื่อเห็นเธอพยายามเหลือเกิน ที่จะให้เขายอมหย่าให้ได้

หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ พยายามไม่สนใจสีหน้าและวาจาของนิค ฝืนใจอธิบายต่อว่า “ก็ต้องตกลงยินยอมด้วยกันทั้งสองฝ่ายค่ะ เมื่อเซ็นครบทั้งสองฉบับแล้ว ก็ต้องเอาไปดำเนินการต่อ คราวนี้ก็คงต้องต่างคนต่างทำ”

“ทำอะไร?”
“ฉันต้องเอาฉบับของฉันไปยื่นที่อำเภอ ส่วนของคุณก็ที่สถาน...”

ฝ่ายที่ตั้งใจจะตีรวนอยู่แล้วถามขัดขึ้นมาอีกว่า “ทำไมมันถึงยุ่งยากนักล่ะ”

“ถ้าจะให้ง่ายเราก็ต้องไปหย่ากันที่อำเภอด้วยตัวเอง คุณจะไปกับฉันไหมล่ะคะ?”

“ไม่ไป”

“โธ่ นิคคะ ฟังฉันหน่อยนะคะ คือยังงี้ เราแค่จะหย่ากันเพื่อให้แม่สบายใจหายป่วย หลังจากส่งเอกสารนี้ให้แม่แล้ว แม่พอใจแล้ว เราก็รอสักพักแล้วค่อยมาหาทางกันใหม่ ดีไหมคะ?”

“ทางไหน?”
“เราอาจจะไปจดทะเบียนฯกันใหม่อีกรอบก็ได้นี่คะ”

ชายหนุ่มแค่นหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง ตาคมดุของเขาจ้องหน้าเธอเขม็ง

“มาแบบเก่าอีกแล้วหรือ แต่งแล้วหย่า หย่าเสร็จก็ไปจดทะเบียนกันใหม่ ไม่ตลกไปหน่อยหรือ ลืมได้เลย ผมไม่เล่นด้วยหรอก”

พราวพรายนิ่งอั้น เห็นท่าทางแข็งกร้าวของเขาแล้วเธอก็อับจนถ้อยคำที่จะเกลี้ยกล่อมเขาต่อ ได้แต่นิ่งเงียบหน้าซีดเผือด

“มีอะไรจะพูดกับผมอีกไหม ถ้าไม่มีผมจะไปละ เย็นนี้ไม่ต้องรอกินข้าว”

พูดจบเขาก็เดินโครมครามลงจากบ้าน ขับรถหายไปทั้งๆที่ยังไม่ได้กินอาหารกลางวัน คืนนั้นนิคกลับบ้านดึกมาก กลับมาพร้อมด้วยกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง พอล้มตัวลงนอนได้ เขาก็หันมาคว้าตัวพราวพรายไปกอดรัดแนบแน่นจนเธอรู้สึกเจ็บ

“นิคคะ ฉันเจ็บนะ”

“เจ็บแค่นี้จะเป็นไรไป ผมสิที่เจ็บมากกว่าคุณหลายเท่านัก” แล้วเสียงที่แข็งกร้าวของเขาก็อ่อนลงเปลี่ยนเป็นคร่ำครวญ “คุณจะหย่ากับผมจริงๆหรือ พราว คุณไม่รักไม่แคร์ผมเลยใช่ไหม? มีแต่ไอ้บ้าอย่างผมใช่ไหมที่ทั้งรักทั้งแคร์คุณอยู่ข้างเดียวมาตลอด”

“โธ่ นิคคะ ทำไมฉันจะไม่รักไม่แคร์คุณ ฉันรักคุณมาก รักคุณคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหนฉันก็ไม่เคยคิดจะเลิกกับคุณ ฉันมีความสุขที่ได้อยู่กับคุณ แต่..”

“ถ้างั้นคุณก็ไม่ต้องกลับ อยู่กับผมที่นี่ เราจะยืนหยัดอยู่ด้วยกัน ไม่ยอมให้ใครมาแยกเราจากกัน ได้ไหม? อยู่ที่นี่กับผมได้ไหม?”

พราวพรายน้ำตาไหลพราก กอดตอบเขาอย่างแสนสงสาร

“โธ่นิค ฉันจะพูดยังไงดีคุณถึงจะเข้าใจ ว่าฉันทุกข์ใจมากขนาดไหน โน่นก็แม่ที่กำลังป่วย นี่ก็คุณที่ฉันรัก ฉันไม่อยากต้องเลือก แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง นิคคะ ถ้าฉันเลือกคุณแล้วแม่ฉันตายล่ะคะ ฉันจะมองหน้าใครได้ที่เป็นต้นเหตุให้แม่ตาย”

“แต่ผมไม่เชื่อหรอกว่าแม่คุณจะตายถ้าเราไม่ยอมเลิกกัน” เสียงของเขากลับแข็งกร้าวขึ้นมาใหม่

หญิงสาวนิ่งอึ้งพูดไม่ออก เธอเองก็คิดมาตลอดหลายวันนี้ว่า ถ้าไม่ยอมหย่ากับนิค อาการป่วยของมารดาจะทรุดหนักไปกว่าเก่า จนถึงขั้นสุดท้ายจริงหรือเปล่า มีหลายครั้งที่พราวพรายสงสัยว่าคุณจิตราป่วยไม่มากเท่าไหร่ แต่ทำท่าเหมือนป่วยหนักเพื่อบีบให้เธอยอมจำนน พราวพรายจำได้ว่าตอนที่ได้ยินเธอบอกว่ากำลังจะเดินทางไปหานิค เพื่อขอให้เขาเซ็นต์หนังสือหย่าให้ มารดาของเธอทำท่าราวกับจะหายป่วยขึ้นมาทันที สามารถลุกออกจากเตียงที่นอนซมมาหลายวัน ลงมาเดินปร๋อได้อย่างน่าแปลกใจ

แต่ถึงจะสงสัยอย่างไร ในฐานะลูกเธอก็จำเป็นต้องเลิกคิด เพราะมันเหมือนกับเป็นการกล่าวหาว่าร้าย และลบหลู่ล่วงละเมิดบุพการีผู้มีพระคุณอย่างไม่บังควร คงไม่มีใครรู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร ก็คงมีแต่มารดาของเธอคนเดียวเท่านั้นที่รู้

“นิคคะ เอาไว้คุยกันใหม่พรุ่งนี้ดีกว่า ดึกมากแล้ว คุณเองก็เมามากด้วย” แล้วเธอก็นึกขึ้นมาได้ “เมื่อตอนเย็นคุณกินอาหารบ้างหรือเปล่า หรือกินแต่เหล้าถึงได้เมามากขนาดนี้”

อีกฝ่ายทำเสียงเฮอะอยู่ในลำคอ “กินทำไมให้โง่ กินแต่เหล้าก็พอแล้ว จะได้เมาจนลืมไอ้เรื่องบ้าๆนี่ได้ ถามทำไม หรือกลัวว่าผมจะตายก่อนจะเซ็นต์หย่าให้คุณ?”

“โธ่นิค ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะ ที่ถามก็เพราะเป็นห่วง ตอนกลางวันก็ไม่ยอมทานอะไรมาทีหนึ่งแล้ว”

“ไม่ต้องมายุ่งกับผม ผมจะกินหรือไม่กินก็ไม่ต้องมาสนใจ ผมไม่ตายง่ายๆหรอก”’

นิคพูดอะไรต่ออะไรแบบคนเมาต่อไปอีกยืดยาว แล้วในที่สุดก็เงียบเสียงไป พราวพรายรู้ว่าเขาหลับแล้ว เมื่อมองหน้าหมองคล้ำของเขาที่เห็นได้จากแสงสลัวของโคมไฟ น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาด้วยความสงสาร หญิงสาว เอื้อมแขนไปกอดเขาเอาไว้หลวมๆ ใจแป้วเหลือนิดเดียวเมื่อนึกวาดภาพวันคืนที่จะไม่มีเขาอีกต่อไป หลังจากลงนามในเอกสารสองแผ่นนั้นต่างคนก็จะต้องต่างไป อีกไม่นานเขาคงจะเสร็จสิ้นภารกิจทางนี้แล้วกลับบ้านหรือถูกส่งไปที่อื่นต่อไป เขาอาจจะได้เจอผู้หญิงคนใหม่ชาติเดียวกับเขาที่ไม่มากเรื่องเต็มไปด้วยปัญหาเหมือนเธอ

ชีวิตใหม่กับผู้หญิงคนใหม่จะทำให้เขาลืมเธอได้ในที่สุด เมื่อมองย้อนกลับมาเขาอาจจะเสียใจเสียดายเวลาที่สูญไปโดยเปล่าประโยชน์กับผู้หญิงต่างชาติไร้สาระอย่างเธอ ส่วนเธอเองก็คงต้องกลับบ้านเพราะไม่มีที่ใดให้ไป จะต้องไปกล้ำกลืนฝืนใจทนกับอารมณ์ของมารดาต่อไป แม้เรื่องระหว่างนิคกับเธอจะจบลงไปแล้ว แต่พราวพรายก็รู้จักมารดาดีว่าวันร้ายคืนร้าย เวลาอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา คุณจิตราก็ไม่รีรอที่จะบ่นว่าซ้ำเติมหรือขุดคุ้ยให้เจ็บปวดอยู่เรื่อยไปไม่จบไม่สิ้น จนกว่าเธอจะแต่งงานออกจากบ้านไปกับผู้ชายสักคน ที่มารดาของเธอสนับสนุนเห็นดีเห็นงามด้วย

พราวพรายแทบจะไม่ได้หลับเลยทั้งคืน เฝ้าแต่คิดวนเวียนกลับไปกลับมา เดี๋ยวก็คิดว่ายังไงก็ต้องขอให้นิคยอมเซ็นเอกสารหย่าให้ได้ เพื่อความสบายใจของมารดา แต่อีกเดี๋ยวต่อมาก็คิดอย่างมุทะลุว่าทำไมจะต้องยอมเสียสละความสุขของตัวเองถึงเพียงนั้น ทำไมจะต้องยอมทำร้ายผู้ชายที่แสนรักให้ต้องเจ็บปวดรวดร้าว

แม่ไม่ได้มีเธอเป็นลูกคนเดียวสักหน่อย เจิดจรัสยังไม่เห็นต้องยอมเสียสละแฟรงค์เลย พี่สาวของเธอฝ่าฝืนข้อห้ามเกือบทุกข้อของมารดามาแต่ไหนแต่ไรโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังอยู่ดีมีสุขจนกระทั่งทุกวันนี้ คุณจิตราก็ยังไม่เห็นเป็นอะไร แต่พอมาถึงเรื่องของเธอบ้าง กลับจะเรียกร้องให้เธอต้องเป็นฝ่ายเสียสละ

ถ้าเธอจะดื้อแพ่งขึ้นมาบ้างล่ะ ทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่กับนิคต่อไปจนกว่าบิดาจะกลับมาแล้วขอให้ท่านช่วย อีกไม่นานท่านก็จะกลับมาแล้ว ตอนนี้เธอก็ยังไม่จำเป็นต้องกลับไปอุบลฯ อยู่ที่นี่กับนิคต่อไปจนกว่าคุณพนัสจะกลับมาช่วยจัดการเรื่องนี้ ให้จบลงแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น

แต่แล้วเธอก็ต้องถอนใจยืดยาวอย่างหนักอก พูดน่ะมันง่าย เอาเข้าจริงจะกล้าทำหรือเปล่าล่ะ? แล้วในที่สุดเมื่อท้องฟ้าใกล้สาง หญิงสาวก็หลับลงไปได้พร้อมกับการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ ที่มีการเจ็บป่วยของมารดาและชีวิตแต่งงานของเธอกับนิคเป็นเดิมพัน

เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่นิคกำลังแต่งตัวเตรียมจะไปทำงานตามปกติ พราวพรายก็เดินเข้าไปกอดเขา

“นิคคะ ฉันตัดสินใจแล้ว”

ชายหนุ่มชะงักมือที่รูดซิบเสื้อเครื่องแบบไปได้ครึ่งทางแล้ว ก้มลงมองผู้หญิงที่กำลังเงยหน้าขึ้นสบตาเขาพร้อมด้วยรอยยิ้ม แม้จะตีความเอาเองจากกิริยาท่าทางของพราวพรายว่าคงเป็นข่าวดี แต่ก็ยังไม่แน่ใจ ไม่กล้าดีใจล่วงหน้าและไม่กล้าถามอีกด้วย เพราะกลัวว่าจะต้องผิดหวังถ้าการตัดสินใจของเธอ คือส่งเขาให้พ้นออกไปจากชีวิตเธอ

“ไม่ถามหรือคะว่าฉันตัดสินใจว่าอย่างไร”

นิคอึกอักพูดแทบไม่ออก “คุณบอกผมเองดีกว่า”

พราวพรายโอบแขนไปรอบคอเขา โน้มใบหน้าเขาลงมาหาเธอแล้วจูบเขาเบาๆ “ฉันตัดสินใจจะอยู่กับคุณที่นี่ค่ะ นิค”

สิ้นคำพูดของเธอ ชายหนุ่มซึ่งมีสีหน้าแดงก่ำแววตาโรจน์ขึ้นด้วยความดีใจอย่างสุดแสน ก็กอดรัดร่างของพราวพรายเอาไว้แนบแน่น ก้มลงจุมพิตไปทั่วใบหน้าที่แหงนเงยอยู่

“พราว พราว ขอบใจมากนะที่ตัดสินใจจะยืนหยัดอยู่ด้วยกัน รู้ไหมว่าผมดีใจมากแค่ไหน ในชีวิตไม่เคยดีใจกับอะไรขนาดนี้เลย “

“ฉันเองก็ดีใจค่ะที่สรุปปัญหาได้เสียที”

“แน่ใจนะว่าจะไม่เปลี่ยนใจอีก” อีกฝ่ายคาดคั้นเพราะกลัวใจเธอเหลือเกิน

“แน่ใจสิคะ แต่คุณคงต้องช่วยแจ้งจอห์น ว่าฉันขอเลื่อนกำหนดที่จะกลับไปทำงานให้เขาที่เคยคุยกันไว้ออกไปก่อนสักสองสามวัน”

“อ้าว ไหนคุณว่าจะอยู่กับผมที่นี่ไง หรือว่า..” ชายหนุ่มหน้าเสียไปทันที

พราวพรายเห็นสีหน้าของเขาก็รู้ว่าถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องบอกเขาเรื่องงาน

“ฉันคุยกับจอห์นไว้แล้วก่อนที่จะมาหาคุณว่าฉันขอลาออก แต่จอห์นขอให้ฉันกลับไปช่วยงานเขาต่ออีกสองอาทิตย์ ความจริงวันนี้ฉันควรจะกลับไปทำงานให้เขาแล้ว แต่เมื่อฉันตัดสินใจจะอยู่กับคุณที่นี่ ก็คงต้องขอเลื่อนจอห์นออกไปสักสองสามวัน”

“ความจริงคุณไม่จำเป็นต้องกลับไปทำงานให้จอห์นต่ออีกสองอาทิตย์ก้ได้นี่ ผมจะพูดกับเขาเอง คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก”

“อย่าเลยค่ะ นิค ฉันไม่อยากผิดคำพูด อีกอย่างฉันก็ต้องกลับไปเคลียร์งานให้เรียบร้อยด้วย ฉันยังไม่กลับไปวันนี้หรอกค่ะ อยากให้คุณวิทยุไปบอกจอห์นว่าฉันขอเลื่อนออกไปอีกสักสองสามวันเท่านั้น เคลียร์ทุกอย่างกับจอห์นเรียบร้อยแล้ว ฉันก็จะรีบกลับมาหาคุณที่นี่ทันที”

อีกฝ่ายนิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะตอบว่า “เอางั้นก็ได้ เดี๋ยวผมจะจัดการให้”

นิคออกไปทำงานแล้ว ส่วนพราวพรายก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจขึ้นมาก ที่ในที่สุดก็ตัดสินใจได้เสียที แม้ลึกๆจะยังรู้สึกกังวลกับเรื่องทางบ้านอยู่ไม่น้อยก็ตาม แต่แล้วบ่ายวันนั้นทั้งนิคและพราวพรายก็ถูกบังคับให้ต้องตัดสินใจใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อชายหนุ่มเดินขึ้นมาบนบ้านในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาพร้อมด้วยกระดาษแผ่นหนึ่งที่ยื่นให้เธอ

“จอห์นฝากแมสเซสส์นี่มาให้คุณ”
“อะไรคะ?”

เมื่อเขาไม่ตอบพราวพรายก็รับกระดาษแผ่นนั้นมาอ่าน

‘พราว พี่ชายเธอโทรศัพท์มาหาฉัน ให้บอกเธอว่ามีปัญหาทางบ้าน ขอให้เธอโทร.กลับไปที่บ้านด่วน จอห์น”

หญิงสาวตกใจจนมือที่ยังถือกระดาษแผ่นนั้นอยู่สั่นระริก แว่บนึกถึงอาการป่วยของมารดาขึ้นมาทันที ละล่ำละลักถามนิคว่า “ฉันจะไปโทรศัพท์หาพี่เจตน์ได้ที่ไหนคะ?”

“ไปโทร.ที่ห้องทำงานผมก็ได้”

นิคพาพราวพรายเข้าไปในห้องทำงานเล็กๆของเขาที่ตึกบัญชาการ หลังจากต่อโทรศัพท์ซึ่งมีหลายขั้นตอนให้เธอเสร็จแล้ว ก่อนจะออกไปจากห้องเขาบอกเธอด้วยเสียงเรียบๆว่า “คุณพูดได้เลย ผมจะรออยู่ข้างนอก”

“พราวหรือ?” เสียงของเจตน์ค่อนข้างกังวล เขาพูดต่อโดยไม่รอคำตอบรับของเธอว่า “พราวอยู่ที่ไหนเนี่ย ไม่ได้อยู่ที่ออฟฟิศหรอกหรือ เจ้านายเธอบอกว่าเธอลาพักร้อน”

“มีเรื่องอะไรหรือ พี่เจิด เห็นพี่บอกจอห์นว่าทางบ้านมีปัญหา” พราวพรายตัดบท ไม่ต้องการให้พี่ชายรู้ว่าขณะนี้เธอไม่ได้อยู่ในเมืองไทย

เสียงถอนใจของเจตน์ดังลอดเข้ามาในโทรศัพท์

“แม่น่ะสิ ไม่สบายอีกแล้วแต่ไม่ยอมไปโรงพยาบาล นอนร้องไห้อยู่บนเตียงตั้งแต่เช้าแล้ว ยาก็ไม่ยอมกิน เมื่อวานคุณพ่อโทรมาบอกว่าพอเสร็จงานที่ยุโรปจะข้ามไปอเมริกาสักสองสามวัน ถามแม่..”

พราวพรายซึ่งสะดุ้งวาบเมื่อได้ยินว่าบิดาจะเลื่อนกำหนดกลับออกไปอีก ร้องถามว่า “คุณพ่อจะไปอเมริกาทำไม?”

“สงสัยจะแอบไปเยี่ยมยายเจิด” แล้วเขาก็เล่าต่อว่า “ตอนที่คุณพ่อโทรมา แทนที่แม่จะบอกเรื่องที่ไม่สบายให้คุณพ่อรู้ กลับไม่บอก บอกว่าสบายดีไม่ต้องห่วง ทางบ้านก็เรียบร้อยดี พอวันนี้กลับมานอนร้องไห้ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร”

“พี่เจตน์รู้เบอร์ที่ทำงานของพราวได้ยังไง” หญิงสาวชักสงสัย เพราะปกติเจตน์ไม่เคยซักไซ้ไต่ถาม

“แม่น่ะสิ ให้เบอร์พราวมา ขอให้พี่โทรไปบอกเธอว่าแม่ไม่สบายมาก กำชับแล้วกำชับอีกให้ถามเธอว่า เรื่องที่คุยกันเอาไว้น่ะเรียบร้อยหรือยัง”

พี่ชายของเธอนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะถามอย่างสงสัยว่า “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าพราว แม่ถึงได้พูดแปลกๆ”

พราวพรายใจเต้นโครมครามเมื่อกลั้นใจถามว่า “แปลกยังไง พี่เจตน์”

“ก็สั่งให้บอกเธอว่าถ้าอยากเห็นแม่ตายก็แล้วแต่เธอ เอายาให้กินก็ไม่ยอมกิน บ่นแต่ว่าอยากตาย ตกลงเธอกับแม่มีเรื่องอะไรกัน?”

“ไม่มีอะไรหรอกพี่เจตน์ “ น้องสาวรีบตัดบท “ว่าแต่ตอนนี้แม่เป็นยังไงบ้าง เมื่อกี้พี่เจตน์บอกว่าแม่ไม่สบายไม่ใช่หรือ?”

“ก็ใช่น่ะสิ แม่บอกว่าสงสัยความดันจะขึ้นอีกแล้ว เจ็บในหัวใจด้วย”

หญิงสาวใจหายวาบ น้ำตาคลอ “ถ้างั้นทำไมพี่เจตน์ไม่พาแม่ไปหาหมอจรัสที่โรงพยาบาลล่ะ เดี๋ยวจะแย่นะ”

อีกฝ่ายถอนใจ “ก็บอกแล้วไงว่าแม่ไม่ยอมไป จะให้พี่ทำยังไง แม่ไม่ใช่เด็กๆนี่จะได้อุ้มไปส่งโรงพยาบาลได้ พี่ว่าเธอรีบกลับมาบ้านดีกว่า อีกสองสามวันพี่ก็ต้องลงไปใต้แล้ว มาให้ได้นะ แม่คงยอมเข้าโรงพยาบาลถ้ารู้ว่าเธอจะมา”

“พราวว่าตอนนี้พี่รีบพาแม่ไปโรงพยาบาลก่อนดีกว่า เอายังงี้ก็ได้ พี่เจตน์โทรไปหาหมอจรัสนะ ป้าสาครจดเบอร์หมอเอาไว้แล้ว เล่าอาการของแม่ให้หมอฟัง ถ้าหมอให้ส่งแม่เข้าโรงพยาบาล พี่ก็เรียกรถพยาบาลให้มารับแม่ แล้วพราวจะรีบไป”

นิคซึ่งนั่งรออยู่ข้างนอกลุกขึ้นเดินมาหาเมื่อพราวพรายเปิดประตูห้องออกมา เห็นหน้าตาซีดเซียวและน้ำตาของเธอเขาก็รีบถามอย่างกังวลว่า “มีอะไรหรือ ร้องไห้ทำไม?”

หญิงสาวซึ่งเหลือบเห็นสายตาหลายคู่ของพวกทหาร ที่นั่งทำงานอยู่ใกล้ๆที่มองมาที่เธอ กล้ำกลืนฝืนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้หลั่งไหลออกมา บอกเขาว่า “ไปพูดกันในรถดีกว่าค่ะ”

ระหว่างที่นั่งรถไปด้วยกัน นิคถามอีกครั้งว่า “มีเรื่องอะไรที่บ้าน?”

“แม่ฉันไม่สบายมาก แต่ไม่ยอมเข้าโรงพยาบาล บอกว่าอยากตาย” พราวพรายเล่าด้วยเสียงสะอื้น “ฉันคงต้องรีบกลับไปดูแม่ค่ะ นิค”

ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง ขับรถต่อไปเรื่อยๆจนถึงหน้าบ้านพัก พอจอดรถได้เขาก็หันมาพูดกับเธอด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมว่า “พราวคงรู้นะว่ากลับไปคราวนี้อาจจะไม่ได้กลับมาอีก คิดให้ดีก็แล้วกันว่าจะเอายังไง ตอนนี้ผมต้องไปก่อนละ ตอนเที่ยงจะแวะมา ไว้ค่อยบอกผมตอนนั้นก็แล้วกันว่าจะเอายังไง”

นิครู้คำตอบของพราวพรายทันทีที่ถึงบ้าน เธอแต่งตัวเตรียมเดินทางเรียบร้อยแล้ว กระเป๋าเดินทางของเธอวางแอบๆอยู่ใกล้ประตู

พอเขาลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้าม หญิงสาวก็รีบบอกเขาว่า “ฉันต้องรีบกลับไปดูแม่ คุณคงจะช่วยหาไฟล์ทกลับอุบลฯให้ฉันได้ใช่ไหมคะ?”

ชายหนุ่มอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะถามด้วยเสียงเรียบๆว่า “คุณคิดรอบคอบแล้วใช่ไหมที่จะกลับไปบ้าน”

“ค่ะ นิค ยังไงฉันก็ต้องกลับไปดูแม่ ไปเกลี้ยกล่อมแม่ให้ยอมเข้าโรงพยาบาล คราวนี้ถ้าจำเป็นแม่อาจจะต้องทำบายพาสก็ได้”

“แม้ว่าคุณอาจจะไม่ได้กลับมาอุบลฯหรือที่นี่อีก คุณก็ต้องไปใช่ไหม?” เขาย้อนถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

“ตอนนี้ฉันยังพูดอะไรไม่ได้หรอกค่ะ นิค เห็นใจฉันบ้างเถิด พี่ฉันบอกว่าแม่ไม่สบายนอนร้องไห้ตั้งแต่เช้า ถามหาฉัน ฉันจะใจดำไม่กลับไปดูแม่ได้หรือคะ”

นิคมองหน้าพราวพรายอยู่เงียบๆอีกครู่ใหญ่จนเธอเริ่มอึดอัด

“นิคคะ ว่ายังไงคะเรื่องไฟล์ท?”

ในที่สุดเขาก็ตอบว่า “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ตอนนี้ไฟล์ทเที่ยงครึ่งออกไปแล้ว ยังมีตอนบ่ายอีกสองไฟล์ท”

เห็นหน้าเครียดๆของเขาเธอก็บอกเขาด้วยเสียงอ่อยๆว่า “อย่าโกรธเลยนะคะ นิค ฉันจำเป็นจริงๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องแม่ป่วยแต่ไม่ยอมเข้าโรงพยาบาล ฉันอาจจะทำเฉยๆก็ได้ เพราะพี่เจตน์ก็อยู่อีกทั้งคน แต่พี่เจตน์เอาแม่ไปโรงพยาบาลไม่ได้ ขอให้ฉันช่วยลงไปพูดกับแม่ให้ยอมไปโรงพยาบาล ฉันก็เลยต้องรีบไป”

อีกฝ่ายยิ้มเครียดๆ “เอาเถอะ ตามใจคุณก็แล้วกัน ผมคงไม่พูดอะไรอีกแล้ว คุณจะกลับไฟล์ทไหน ไฟล์ทบ่ายสองโมงหรือห้าโมงเย็น”

“เอาบ่ายสองดีกว่าค่ะ ถึงอุบลฯประมาณสี่โมงเย็น จะได้ไปต่อเครื่องบินเข้ากรุงเทพฯ เลย”

พอเห็นเขาขยับลุกขึ้นยืนทำท่าเหมือนจะเดินออกจากบ้านไป พราวพรายก็รีบท้วงว่า “จะไปแล้วหรือคะ ฉันเตรียมอาหารกลางวันไว้ให้คุณแล้ว ทานเสียก่อนดีกว่า”

“ไม่เป็นไร ผมไม่หิว”

พูดจบโดยไม่มองหน้าเธอ นิคก็เดินลงจากบ้านขับรถจากไป กลับมาใหม่อีกครั้งประมาณบ่ายโมงครึ่ง

พราวพรายซึ่งเตรียมคำพูดเอาไว้แล้ว บอกเขาว่า“นั่งคุยกันก่อนได้ไหมคะ จากบ้านไปที่เครืองก็แค่ห้าหกนาทีเอง”

ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งเงียบๆ มองหน้าเธอเหมือนถามว่ามีเรื่องอะไรจะคุยอีก พราวพรายลังเลอยู่อึดใจหนึ่งก็ส่งเอกสาร ที่กรอกรายละเอียดที่จำเป็นเรียบร้อยแล้วให้เขาอีกครั้งหนึ่ง

“นิคคะ ฉันอยากให้คุณเซ็นเอกสารสองฉบับนี่หน่อย”

นิคเลิกคิ้ว ถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า “เรื่องเดิมใช่ไหม?”

“ค่ะ ขอร้องเถิดค่ะ นิค ฉันจำเป็นต้องเอาเอกสารนี่ไปให้แม่ดู แม่จะได้สบายใจยอมไปรักษาตัว”

พราวพรายไม่แน่ใจว่าเขาจะยอมรับเอกสารไปอ่านดู แล้วเซ็นให้ตามที่เธอขอร้องหรือไม่ เขาอาจจะโกรธแล้วอาละวาดเหมือนวันก่อนก็ได้ แต่ผิดคาด นิครับเอกสารจากมือเธอแล้วยกขึ้นดู แต่ทันทีที่เห็นลายเซ็นของเธอที่ปรากฏอยู่บนเอกสารทั้งสองฉบับ เขาก็วางมันลงบนโต๊ะกระจกข้างตัว

“สรุปว่าคุณยังต้องการให้ผมเซ็นหย่าให้คุณอยู่ดี เอาละ พราว ไม่ต้องห่วง ผมจะเซ็นให้ ไหนๆคุณก็อุตส่าห์เซ็นล่วงหน้าเอาไว้แล้ว ผมคงไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยคุณไป แต่ก่อนจะเซ็นผมขอถามคุณหน่อยว่าคุณแน่ใจแล้วหรือที่จะเลิกกับผม แน่ใจนะว่าวันหนึ่งข้างหน้าคุณจะไม่เสียใจ แน่ใจนะว่าจะลืมผมและเรื่องทั้งหมดของเราได้เหมือนไม่เคยเกิดขึ้น”

“โธ่ นิคคะ ฉันไม่ได้ต้องการจะเลิกกับคุณ แต่ฉันก็ไม่ดูดำดูดีแม่ฉันไม่ได้ ไว้อีกหน่อย..”

อีกฝ่ายกมือขึ้นเหมือนห้ามไม่ให้เธอพูดต่อ “พอเถอะ พราว ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว”

นิคล้วงปากกาหมึกซีมในกระเป๋าเสื้อออกมาเซ็นชื่อลงไปในช่อง ‘ลายมือชื่อ’ ที่อยู่ใต้ลายเซ็นของพราวพรายทั้งสองฉบับ เก็บปากกาเข้ากระเป๋า วางเอกสารสำคัญที่จะตัดขาดชีวิตคู่ที่มีอายุได้เพียงปีกว่าๆ ระหว่างเขากับเธอ ลงไว้บนโต๊ะตามเดิม

“คุณได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็คงจะไปขึ้นเครื่องได้แล้วละมัง” เสียงของเขายังราบเรียบอยู่เหมือนเดิม แม้สีหน้าจะซีดขาวและตาแดงก่ำ

“นิคคะ ฉัน..ฉัน..”

แต่นิคไม่ฟังว่าพราวพรายจะพูดอะไรต่อไป

“ผมยอมแพ้ ผมควรจะรู้เสียนานแล้ว ว่าผมไม่ได้มีความสำคัญอะไรสำหรับคุณ ถ้าคุณรักผมมากกว่านี้สักนิดคุณคงจะยืนหยัดอยู่กับผม ฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน ถ้าต้องล้มก็จะล้มลงไปด้วยกัน จะลุกก็ลุกขึ้นมาพร้อมกัน จะไม่ยอมให้ใครมาแยกเราออกจากกัน เอาละ คงไม่มีประโยชน์ที่ผมจะพูดอะไรต่อไปอีกแล้ว ไปเถอะ ไปที่เครื่องดีกว่า เหลือเวลาอีกไม่มากเท่าไหร่แล้ว”

พูดจบชายหนุ่มก็เดินไปคว้ากระเป๋าสองใบของพราวพราย ก้าวยาวๆลงบันไดสามขั้นตรงไปที่รถ หญิงสาวที่กำลังละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก เพราะรู้ว่าเขาเจ็บปวดมาก รีบร้อนฉวยเอกสารฉบับที่เป็นของเธอ มายัดลงในกระเป๋าสพายใบใหญ่แล้วลงจากบ้านตามไปนั่งคู่กับเขาบนรถ

เมื่อถึงลานบินที่เฮลิคอปเตอร์จอดรอผู้โดยสารอยู่ นิคก็ฉวยกระเป๋าของพราวพรายไปส่งให้นักบิน พราวพรายที่เดินตามหลังเขาไปเพื่อจะขึ้นเครื่อง รีบร้อนบอกเขาเมื่อนึกขึ้นได้

“นิคคะ ฉบับของคุณอยู่บนโต๊ะนะคะ ฉันเอามาฉบับเดียว อย่าลืมว่าคุณต้องเอาไปยื่นสถานทูตโดยเร็วด้วย รายละเอียดต่างๆฉันแปลไว้ให้แล้ว”

ชายหนุ่มผู้นั้นเหลียวช้าๆมามองเธอเต็มตา หน้าของเขาซีดขาวแต่คอตั้งตรงอย่างทรนง มีรอยยิ้มนิดๆปรากฏขึ้นบนริมฝีปากรูปงาม 

“ไม่ต้องห่วง ผมไม่คิดจะต่อรองอะไรกับคุณอีกแล้ว สำหรับผมจบก็คือจบ อีกสองวันผมจะไปกรุงเทพฯ เอาเอกสารนั่นไปยื่นตามที่คุณต้องการ หวังว่าคงจะไม่ช้าเกินไปหรอกนะ”

“โธ่ นิคคะ” เธอพูดได้เพียงเท่านั้น

“ขึ้นเครื่องเถอะ ได้เวลาแล้ว หวังว่าแม่คุณคงจะหายป่วย ส่วนคุณเองผมก็ขอให้โชคดี ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างที่คุณและทางบ้านคุณต้องการ ลาก่อน พราวพราย หวังว่าเราคงไม่ต้องพบกันอีก"

ขาดคำนิคก็หันหลังกลับ เดินตัวตรงไปขึ้นรถที่จอดอยู่ไม่ไกลแล้วขับออกไป ไม่ได้หันกลับมามองเธออีกเลย




Create Date : 04 มิถุนายน 2566
Last Update : 4 มิถุนายน 2566 9:49:30 น.
Counter : 732 Pageviews.

4 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณ**mp5**, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณปรศุราม, คุณปัญญา Dh, คุณRain_sk, คุณเริงฤดีนะ, คุณหอมกร, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณSweet_pills, คุณkae+aoe, คุณอุ้มสี, คุณnewyorknurse, คุณโอพีย์

  
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ
โดย: **mp5** วันที่: 4 มิถุนายน 2566 เวลา:10:06:19 น.
  
อย่ามาหลอกกันดกีว่าคุณตุ้ย
เรื่องนี้จบดีแน่ๆ ค่ะ

โดย: หอมกร วันที่: 4 มิถุนายน 2566 เวลา:16:32:52 น.
  
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด

มาอ่านนิยายของ น้องต่อจ้ะ อ่านแล้ว ก็สงสาร นิค จริง ๆ อ่านถึง
ตอนที่แพรวพรายตัดสินใจ จะไม่หย่า แล้ว จะอยู่ที่นี่กับนิคแล้วเหมือน
มีมารมาผจญ แม่ให้พี่ชายโทรมาแจ้งว่า ป่วยหนัก ไม่ยอมไป ร.พ.
ครูว่า แกล้งป่วยแน่เลย อิอิ ทำไมหนอ เอาแต่ใจ ไม่รักลูกเลย เนาะ
โหวดหมวด งานเขียน ฯ



โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 4 มิถุนายน 2566 เวลา:17:47:07 น.
  
มาอ่านจ้า
โดย: อุ้มสี วันที่: 9 มิถุนายน 2566 เวลา:16:54:05 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
มิถุนายน 2566

 
 
 
 
1
2
3
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
26
27
28
29
30
 
 
4 มิถุนายน 2566
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com