คนละฟากฟ้า - บทที่ 34

ตั้งแต่กลับจากเวียงจันทน์ พราวพรายกับนิคก็ไม่ได้พบกันอีกเลยเป็นเดือน ส่วนใหญ่นิคอยู่ในเวียตนาม แม้จะต้องเข้ามาที่ฐานทัพในอุบลฯ นานๆครั้งแต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยแวะไปเยี่ยมเยียนเธอ เขาได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะไม่เข้าไปวุ่นวายในชีวิตของเธออีก แต่ในขณะเดียวกันก็อดนึกเป็นห่วงพราวพรายไม่ได้ เขายังจำวันสุดท้ายในเวียงจันทน์ได้ วันที่เขากับเธอมีโอกาสได้พูดคุยกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น

วันนั้นนิคไปส่งพราวพรายที่สนามบินเวียงจันทน์ เธอจะเดินทางกลับไปก่อนส่วนเขาจะอยู่ต่ออีกสองวัน ทั้งคู่ไปถึงสนามบินก่อนเวลาเครื่องบินออกประมาณหนึ่งชั่วโมงครี่ง ระหว่างนั้นก็นั่งคุยกันในคอฟฟี่ชอปแห่งหนึ่งติดกับสนามบิน

“ถึงกรุงเทพฯแล้วจะไปไหน กลับบ้านก่อนหรือเปล่า” นิคถาม
“ไม่ละ จะต่อเครื่องไปอุบลฯเลย เข้าบ้านไม่ได้หรอก แม่ฉันนึกว่าฉันกลับไปที่โน่นหลายวันแล้ว”

ชายหนุ่มมองหน้าเธออย่างไตร่ตรอง “คุณมีปัญหาอะไรทางบ้านงั้นหรือ ผมสังเกตว่าคุณไม่ค่อยชอบกลับบ้านนัก”

พราวพรายก้มลงดูดน้ำส้มคั้นในแก้วทรงสูงอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่ า “ฉันเบื่อแม่ แม่คอยบังคับเคี่ยวเข็ญตลอดเวลาตั้งแต่เล็กจนโต โน่นก็ ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้”

“ก็คงเป็นห่วงคุณน่ะแหละ ครอบครัวคนไทยส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ไม่ใช่หรือ พ่อแม่มักจะเห็นลูกเป็นเด็กอยู่เสมอ คุณก็น่าจะชินแล้วนี่”

หญิงสาวยักไหล่ “คนอื่นอาจจะชิน แต่ไม่ใช่ฉัน ฉันไม่ชอบให้ใครมาบังคับจิตใจ ถ้าเป็นคุณๆจะชอบมั้ยล่ะ ฉันน่ะต่อต้านคำสั่งแม่เสมอแหละ อย่างน้อยก็ต่อต้านในใจ” แล้วเธอก็เล่าว่า “คุณเคยถามฉันเรื่องทรงผมกับหน้าตา...จำได้มั้ย แต่ก่อนฉันก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก ต้องทำตามแม่ แม่บงการทุกอย่าง พอได้ออกจากบ้านฉันก็รีบทำทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับที่เคยทำเลย ฉันรู้ว่าไอ้ผมทรงหัวฟูที่คุณชอบค่อนขอดน่ะไม่ได้ทำให้ฉันสวยขึ้นมาได้หรอก ฉันรู้ว่ามันน่าเกลียดแต่ก็อยากจะทำ สมัยก่อนฉันไม่เคยแต่งหน้าเลยนะ แต่พอได้มาอยู่ไกลแม่ ฉันก็โปะหน้าโปะตาเต็มที่อย่างที่คุณเห็น มันคล้ายๆสะใจที่ได้ต่อต้านไง”

เมื่อเห็นเขามองเธอนิ่งอยู่ พราวพรายก็พูดต่อว่า “แม่ฉันไม่ยอมให้ลูกมีแฟนหรือคบเพื่อนผู้ชายอย่างเด็ดขาด คบกันอย่างเพื่อนก็ไม่ได้ แม่ไม่เชื่อเรื่องพลาโตนิคเฟรนด์ชิป พอเข้ามหาลัยฉันก็เลยรีบมีแฟนซะเลย ตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรักคืออะไร”

“ตอนนี้รู้แล้วหรือไง?” นิคชักสงสัยว่าเธอรู้จักรักใครด้วยหรือ

หญิงสาวส่ายหน้า “ยังหรอก รู้แต่เพียงว่ายังไม่คิดจะรักใครเท่านั้นแหละ ฉันยังมีความฝันอีกเยอะแยะที่อยากจะทำ ยังมีเวลาอีกนานเพราะฉันก็เพิ่งอายุ 21 เอง”

“อ้าว! ไหนวันนั้นบอกว่าอายุ 25 ไม่ใช่หรือ” นิคได้ที

พราวพรายอมยิ้ม ตาที่มีน้ำหล่อเลี้ยงแวววับของเธอมีแววยิบๆ “เวลาอยู่กับคุณก็ต้องบอกยังงั้น เพราะคุณแก่แล้ว ก็เลยต้องบอกให้แก่ใกล้กับคุณหน่อย จะได้คุยกันรู้เรื่อง”

"ไม่ต้องย้ำบ่อยนักเรื่องแก่น่ะ ยังไงผมก็แก่กว่าคุณอยู่ดี ตอนนี้รู้แล้วละว่าคุณอ่อนกว่าผมสิบปีเต็ม เพราะฉะนั้นเวลาผมเตือนอะไร คุณก็ควรฟังแล้วเอาไปคิดด้วย อย่าทำอะไรที่จะทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนหรือเสียหาย การต่อต้านสังคมหรือพ่อแม่น่ะไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง มีวิธีอื่นอีกถมเถไป”

“คุณตั้งใจจะบอกอะไรฉัน?” พราวพรายชักสงสัยว่าเขาหมายถึงอะไร

นิครีรอกับคำถามต่อไปที่เขานึกข้องใจมานานแล้ว “ตั้งใจจะเตือนคุณหลายเรื่อง ถามหน่อยเถอะว่าที่คุณกินเหล้าเมายานั่นน่ะ ชอบกินจริงๆหรือว่ากินเพื่อต่อต้านพ่อแม่”

"ใครว่าชอบกินล่ะ เหล้าน่ะ ไม่ได้ชอบสักนิด แต่เห็นผู้หญิงคนอื่นเขาก็กินกัน อย่างแพตตี้กับแอ๋วไง ฉันก็เลยลองกินดูบ้าง ไม่เห็นเสียหายตรงไหนนี่”

“อ๋อ เลียนแบบเพื่อน” นิคพอจะเข้าใจบ้างแล้วละ “แต่สองคนนั่นเขาไม่ได้กินเหล้ามากเหมือนคุณนะ เท่าที่ผมเห็นเขาดื่มกันแค่เบียร์ไม่กี่แก้วเอง ส่วนคุณน่ะดื่มวิสกี้ ตั้งหน้าตั้งตาดื่มยังกะนักเลงสุรา”

พราวพรายทำตาขุ่น ชักไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกแล้ว “คุณจะมาคุมประพฤติฉันหรือไง พูดยังกับว่าฉันกินเหล้าเมาแอ๋ทุกวันงั้นแหละ นานๆถึงจะกินสักที ความจริงฉันกินเหล้าหรือไม่กิน จะกินมากหรือกินน้อย ก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับคุณ”

“ทำไมจะไม่เกี่ยวกับผม แล้วทำไมคุณจะไม่เสียหาย?” นิคค่อยๆเข้าเรื่องที่ต้องการอย่างใจเย็น “อยากรู้ไหมว่าผมหมายความว่ายังไง?”

หญิงสาวขยับตัวนั่งพิงพนักเก้าอี้ ตอบอย่างท้าทายว่า “ความจริงไม่อยากรู้หรอก แต่ถ้าคุณอยากพูดก็พูดมาสิ หวังว่าคงไม่ใช่อบรมสั่งสอนฉันไม่ให้กินเหล้าหรอกนะ คุณเองยังกินเลย จะมาสอนคนอื่นได้ยังไง อ้อ..แล้วก็ขอบอกเลยนะว่าอย่ามาอ้างด้วยว่าผู้ชายกินเหล้าได้ไม่เสียหาย แต่ผู้หญิงห้ามกินเพราะเป็นผู้หญิง”

นิคมองท่าทางรั้นๆของพราวพรายอย่างระอา แต่ก็จำเป็นต้องพูดเพื่อสะกิดเตือนเธอเสียบ้าง เพราะไม่อยากเห็นเธอเดินลงเหวดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ

“คุณเคยคิดบ้างไหมว่าเรื่องหลายเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณน่ะ มีสาเหตุมาจากการกินเหล้าแบบไม่บันยะบันยังของคุณ”

พราวพรายอ้าปากค้าง “หมายความว่าไง? แล้วเรื่องอะไรที่คุณว่า?”
ชายหนุ่มจ้องหน้าเธอเขม็ง “นึกไม่ออกจริงๆหรือ? จะต้องให้ผมพูดตรงๆเลยหรือ?”

หญิงสาวนิ่งอึ้งไปเป็นครู่ นึกรู้อยู่เหมือนกันว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร แต่ทิษฐิที่แรงกล้าทำให้เธอท้าทายเขาต่อไป “แน่จริงก็พูดออกมาสิ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณจะกล้าพูดมั้ย ในเมื่อคุณเองก็มีส่วนทำให้มันเกิดขึ้น”

นิคกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ ที่เธอพูดมามันก็มีส่วนถูกอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเริ่มต้นขึ้นมาแล้วโดยมีเจตนาที่ดีต่อเธอ เขาก็จำเป็นที่จะต้องพูดต่อไปให้จบเพื่อประโยชน์ในวันข้างหน้าของเธอเอง

“ลองคิดดูสิว่าครั้งแรกที่คุณไปนอนค้างที่อพาร์ตเมนท์ผมน่ะ เพราะอะไร? เพราะคุณเมามากใช่ไหม”

“ไม่ใช่ เป็นเพราะคุณพาฉันไปเองต่างหากล่ะ”

“แต่ผมก็ยังยืนยันว่าเพราะคุณเมาจนหมดสติ แล้วยังสะเพร่าเอากุญแจบ้านไปทิ้งไว้ที่ไหนก็ไม่รู้อีก ผมถึงต้องพาคุณไปอพาร์ทเมนต์ผม สองข้อนี่จริงไหม?” ชายหนุ่มโต้

“ก็จริง แต่ทำไมคุณไม่ติดต่อแอ๋วล่ะ เขาก็มีกุญแจนี่”

“ผมก็เคยอธิบายให้คุณฟังแล้วนี่ว่าเพราะอะไร ทำเป็นลืมไปได้”

แต่พราวพรายไม่ยอมแพ้หรอก “อ้าว! งั้นทำไมคุณไม่หาอะไรงัดประตูบ้านล่ะ?”

นิคฟังคำพูดแบบเอาข้างเขาถูของเธอแล้วก็ขมวดคิ้ว “ที่พูดนี่อยากให้ผมถูกตำรวจจับหรือไง”

“งั้นทำไมไม่ทิ้งฉันไว้หน้าบ้านล่ะ? พาฉันไปอพาร์ตเมนท์คุณทำไม?”

อีกฝ่ายส่ายหน้า รู้สึกเหนื่อยใจชอบกลจนต้องประชดว่า “ที่จริงผมน่าจะทำอย่างที่คุณว่านะ สรุปว่าเป็นความผิดของผมใช่ไหมที่ห่วงคุณน่ะ? กลัวคุณจะเป็นอันตรายถ้าเมาหลับอยู่นอกบ้าน กลัวจะถูกยุงกัด กลัวจะเป็นนิวโมเนีย”

"ไม่รู้ละ สรุปว่าเป็นความผิดของคุณคนเดียวอย่างที่คุณพูดนั่นแหละ” หญิงสาวไม่ยอมรับรู้ทั้งๆที่ความจริง ถึงวันนี้เธอรู้สึกซาบซึ้งกับอะไรหลายอย่างที่เขาทำให้เธอ

“ตกลง เอาเป็นว่าผมผิดเองทั้งหมดก็แล้วกัน แต่ที่ผมอยากจะเตือนคุณก็คืออย่ากินเหล้ามากนัก ไม่ใช่เพราะคุณเป็นผู้หญิงหรอก ผู้หญิงก็กินได้ แต่ต้องรู้จักหยุด อย่ากินจนหมดสติเพราะจะเป็นอันตรายต่อตัวเอง คืนนั้นถ้าไม่ใช่ผมคุณคงแย่แล้วละ”

“เชอะ อย่ามาทำพูดดีไป คืนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็จริง แล้วอีกคืนนั่นล่ะ?” พราวพรายไม่รู้สึกเขินแม้แต่น้อยที่จะกล่าวหาเขา

นิคนั่งงงกับข้อหาของเธอ ในที่สุดก็ถามตรงๆว่า “คืนนั้นคุณกินเหล้าทำไมล่ะ ถึงจะไม่เมาเหมือนครั้งก่อนหน้านั่นก็ตาม แต่ก็โชคร้ายที่คืนนั้นคุณมอมเหล้าผมจนเมาด้วย”

พราวพรายร้องว่า “บ้า! ฉันไม่ได้มอมเหล้าคุณสักหน่อย แค่บอกให้กินเหล้าเป็นเพื่อนฉันสองสามแก้วเท่านั้น ที่เหลือคุณกินเองต่างหากล่ะ”

“โอเค ถ้าคุณว่ายังงั้น” แล้วเขาก็รีรอ ไม่รู้ว่าจะพูดกับเธออย่างไรดี

หญิงสาวนึกสงสัยกับคำพูดและท่าทางของเขาจนต้องถามขึ้นมาว่า “นิคคะ ถามจริงๆเถอะ เกิดอะไรขึ้น เราอยู่ที่นี่ด้วยกันตั้งหลายวัน แต่คุณก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องคืนนั้นและก่อนหน้านั้นเลย แล้วอยู่ๆวันนี้ยกมาพูดทำไม หรือคุณมีอะไรจะบอกฉันเป็นพิเศษ ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดเสีย เดี๋ยวฉันก็ต้องไปขึ้นเครื่องแล้ว”

ในที่สุดนิคก็ไม่มีทางเลือก “เรื่องคืนนั้นคุณคิดว่ายังไง?”

“คืนไหน? ถ้าหมายถึงคืนที่มีอะไรกัน ฉันก็ไม่คิดอะไรหรอก มันจบไปแล้วนี่ พูดกันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่หรือ?”

นิคเปลี่ยนคำถามใหม่ “หลังจากคืนนั้นแล้วผมไม่ได้ติดต่อคุณอีกเลยเป็นเดือนน่ะ คุณรู้ไหมว่าเพราะอะไร”

“ไม่รู้หรอก ใครจะไปรู้ว่าคุณคิดอะไร” เธอย้อน ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจจะพูดอะไร

“คุณไม่แปลกใจบ้างหรือไง ที่ผมเงียบหายไปน่ะ”

พราวพรายส่ายหน้า “ไม่เห็นต้องแปลกใจอะไรเลย คุณต้องกลับไปทำงานไม่ใช่หรือ?”

“ก็ใช่ ปกติผมต้องเข้าไปที่ฐานทัพที่อุบลฯเดือนละครั้ง แต่สองเดือนที่ผ่านมานี่ผมไม่ได้ไป”

พราวพรายถอนใจยืดยาว “นี่นิค ไม่ต้องอ้อมค้อมหรอก มีอะไรก็พูดมา”

“ก็ได้ ผมกำลังจะบอกคุณว่า ผมคิดหนักมากเรื่องคืนนั้น”

หญิงสาวทำตายิบๆใส่เขา เห็นหน้าเก้อๆของนิคแล้วเธอก็นึกขัน “อ๋อ คิดหนักเรื่องเวอร์จินนั่นใช่ไหมล่ะ ถ้าใช่ก็ไม่ต้องคิดมากไปหรอก ฉันไม่ได้โทษอะไรคุณ ก็คุณไม่รู้มาก่อนนี่”

ฟังคำตอบแบบหน้าตาเฉย ไม่รู้ร้อนรู้หนาวของพราวพรายแล้ว ชายหนุ่มก็เกือบเปลี่ยนใจที่จะยื่นข้อเสนอให้เธอพิจารณา

“ผมเข้าใจดี เรื่องประเพณีอะไรของที่นี่น่ะ ก็เลยอยากจะถามว่าคุณสนใจที่จะลองคบกับผมดูไหม?”

นิครีบพูดก่อนที่จะเปลี่ยนใจเป็นครั้งที่ร้อย แม้จะเคยบอกดิ๊กว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะผู้หญิงอย่าง พราวพรายไม่ได้สนใจเขา เธอคงรับไม่ได้กับการทดลองอยู่ด้วยกัน แต่ก็มีหลายครั้งที่ชายหนุ่มนึกอยากลองเสนอให้เธอพิจารณา แต่ก็สองจิตสองใจเพราะกลัวเธอจะโกรธ หรือเข้าใจผิดคิดว่าเขาดูถูก

พราวพรายเบิกตาโต “หมายความว่าไง ฉันฟังไม่ถนัด คุณขอฉันแต่งงานหรือ?”

“ใครว่า ผมไม่ได้ขอคุณแต่งงาน หรืออย่างน้อยก็ยังไม่ได้ขอ” นิครีบอธิบายก่อนที่เธอจะเข้าใจผิดไปมากกว่านั้น “แค่ขอให้เราคบหาดูใจกันไปสักพักเท่านั้น ถ้าทุกอย่างโอเคไม่มีปัญหา ค่อยมาพูดกันเรื่องแต่งงาน คุณคิดว่ายังไง?”

หญิงสาวหัวเราะคิกออกมาทันที “นี่คุณขอให้เราทดลองอยู่ด้วยกันงั้นหรือ?”

นิคพยักหน้า ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้องหัวเราะด้วย เขาพูดอะไรที่ตลกนักหรือไง
“ก็ทำนองนั้น”
“งั้นขอถามคุณหน่อยนะ ไอ้การทดลองอยู่ด้วยกันเนี่ย จะต้องทำอะไรมั่งล่ะ?”

นิคมองหน้าสวยใสไร้เครื่องสำอางตรงหน้าอย่างสงสัย เธอไม่รู้หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ อย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่เด็กแล้ว น่าจะเคยอ่านหนังสือหรือเคยรู้มาบ้าง แต่เขาก็พยายามตอบอย่างใจเย็น

“ก็อยู่ด้วยกัน มีอะไรก็พูดคุยปรึกษาหารือกัน ค่อยๆเรียนรู้กันไป ระหว่างที่คบหากันอยู่ ก็ต้องไม่คบคนอื่นไปพร้อมๆกันด้วย”

พราวพรายถามยิ้มๆว่า “แล้วต้องมีอะไรกันด้วยหรือเปล่า?”

ชายหนุ่มจ้องหน้าเธออย่างมันเขี้ยว ชักเคืองขึ้นมาบ้างแล้ว “มันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ การทดลองอยู่ด้วยกันมันต้องครอบคลุมทุกเรื่องอยู่แล้ว ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่าจะอยู่กันจริงๆได้ไหม แต่จะคบกันเฉยๆโดยไม่ต้องมีเรื่องแบบนั้นก็ได้นะ แล้วแต่คุณ แต่ผมก็คงต้องไปหาคนอื่นบ้างเป็นครั้งคราว คุณคงเข้าใจนะว่าผมหมายถึงอะไร”

“แหงละ ไม่ใช่เด็กนี่ จะได้ไม่เข้าใจว่าผู้ชายขาดเซ็กส์ไม่ได้”

เธอพูดหน้าตาเฉยจนนิคต้องเขม้นมองหน้าเธออย่างเคืองๆ “ คุณเป็นผู้หญิงนะ ไม่เห็นจะต้องขยายความเสียขนาดนั้นเลย มันเป็นเรื่องธรรมชาติไม่ใช่หรือ”

หญิงสาวเบิกตาโตเหมือนล้อเลียน “อ้าว ก็เพราะเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดาของมนุษย์น่ะสิ ฉันถึงไม่อายที่จะพูดไง จริงไหมล่ะ อะไร้ ทำเป็นเขินไปได้”
“ผมเป็นผู้ชายทำไมจะต้องเขิน คุณน่ะสิควรจะหัดเขินเสียบ้าง ไม่ใช่นึกอยากจะพูดอะไรก็พูด” เขาบ่นพึมอย่างไม่ชอบใจ

“โธ่ บ่นเป็นตาแก่ไปได้ คุณเนี่ยน่าจะเป็นผู้ชายไทยโบราณนะ ไม่น่าจะเป็นอเมริกันเลย”

“ฝรั่งหรือคนไทยก็เหมือนกัน มีทั้งคนหัวใหม่ คนหัวเก่า” นิคค้านหน้าบึ้งๆ

สีหน้าท่าทางของเขาทำให้พราวพรายขำจนต้องหัวเราะออกมา “แล้วที่ว่าอยู่ด้วยกันน่ะจะอยู่ได้ยังไง ในเมื่อส่วนใหญ่คุณอยู่เวียตนาม ส่วนฉันอยู่อุบลฯ หรือคุณจะให้ฉันออกจากงานตามไปอยู่กับคุณที่เวียตนามด้วย?”

“ถ้าไปได้ก็คงดี แต่คุณไปไม่ได้หรอก ที่โน่นไม่ปลอดภัย”

“งั้นก็หมายความว่าจะได้พบหน้ากันเดือนละครั้งเท่านั้นใช่มั้ยล่ะ ครั้งหนึ่งก็คงสักสองสามวัน”

นิคนิ่งคิดก่อนพยักหน้ารับ “ก็คงแบบนั้น”

“แล้วจะเรียนรู้อะไรกันได้ล่ะ ไม่ได้อยู่ด้วยกันซะหน่อย ยังต่างคนต่างอยู่ๆดีแหละ จริงมั้ย?”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายหนึ่งนิ่งเหมือนจำนนหญิงสาวก็ถามว่า “สมมติว่าเราตกลงอยู่ด้วยกันจริงก็แปลว่าใครๆก็ต้องรู้สิ แล้วยังงี้ฉันไม่เสียชื่อแย่หรือ ไหนจะทางบ้านฉันอีกล่ะ”

ฟังไปฟังมาแล้วนิคชักปวดหัวขึ้นมารำไร เลยตัดบทว่า “เอาเถอะ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้กันอีกแล้วละ มันคงเป็นไปไม่ได้ ปัญหาทางคุณมีมากเกินไป ผมน่ะไม่มีปัญหาหรอก ผมตัวคนเดียวแล้วก็เป็นผู้ชายด้วย ไม่มีใครมาวุ่นวายกับชีวิตผมอยู่แล้ว”

“เดี๋ยวก่อนสิ ใจเย็นๆ เรื่องแค่นี้ก็ต้องอารมณ์เสียด้วยหรือ”

นิคทำตาดุ “เปล่า ไม่ได้อารมณ์เสีย ผมเข้าใจแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ผมอาจจะคิดแบบอเมริกันมากไปหน่อยเท่านั้น ลืมไปว่าคุณเป็นคนไทย มีขั้นตอนอะไรต่ออะไรมากมาย ซึ่งผมก็เข้าใจ”

“เอาเถอะๆ แต่ฉันก็ยังอยากรู้อีกหลายเรื่องนี่นา เช่นว่าฉันต้องทำกับข้าวให้คุณกิน ซักเสื้อผ้าให้คุณ ทำความสะอาดอพาร์ตเมนท์ของคุณ อะไรๆพวกนี้ด้วยหรือเปล่า”

ชายหนุ่มทำตาขวาง รู้ว่าเธอแกล้งถาม เห็นเขาเป็นตัวตลกหรืออย่างไร “ถ้าต้องการให้ทำแบบนั้นก็ไม่ต้องเอาคุณไปอยู่ด้วยหรอก ผมจ้างใครก็ได้ ที่อพาร์ตเมนท์ผมนั่นก็มีแม่บ้านช่วยดูแลให้เป็นครั้งคราวอยู่แล้ว ยกเว้นทำอาหารเท่านั้น” แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ “ว่าแต่ว่าหน้าตาอย่างคุณน่ะ ทำอาหารเป็นด้วยหรือ?”

พราวพรายยักไหล่ “เชอะ รู้จักฉันน้อยไปหน่อยมั้ง อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ทำเท่านั้น พูดแล้วจะว่าคุย ฉันทำเป็นทั้งนั้น ไม่ว่าอาหารไทยหรืออาหารฝรั่ง”

“จริงน่ะ ไม่น่าเชื่อเลย” เขาไม่เชื่อจริงๆ ท่าทางยังกับคุณหนูอย่างนี้น่ะหรือจะทำอะไรเป็น

“ไม่เชื่อก็ช่วยไม่ได้ จำไม่ได้เหรอคืนที่แอ๋วมีเรื่องแล้วคุณพาเขามาส่งบ้าน ที่คุณขอกินข้าวด้วยน่ะ แกงจืดที่คุณกินก็ฝีมือฉัน อร่อยไม่ใช่เหรอ เห็นคุณก้มหน้าก้มตากินจนหมด แล้วไอ้ที่ฉันช่วยสมพรทำอาหารให้พวกคุณกินน่ะ ไม่นับหรือไง หรือนึกว่าฉันเป็นแค่ลูกมือเขาช่วยเด็ดพริก หั่นผัก รู้มั้ยว่าแม่ฉันทำกับข้าวเก่งมาก อร่อยมากด้วย ฉันกับพี่สาวถูกแม่ลากเข้าครัวตั้งแต่ยังไม่ถึงสิบขวบ เบื่อที่สุด ตอนนี้ฉันเลยไม่ยอมเข้าครัวทำอาหารดีๆให้ใครกินเลย แต่รับรองถ้าลงมือทำเมื่อไหร่ ทุกคนต้องติดใจทั้งนั้นแหละ” พูดจบเธอก็ยักคิ้วให้เขาอย่างแก่นๆ

“เอาละจบคำถามแล้วใช่ไหม? จะได้ไปส่งคุณขึ้นเครื่อง” นิคตัดบท รู้สึกเสียหน้านิดหน่อยที่ถูกปฎิเสธข้อเสนอ ที่เขาไม่เคยให้กับผู้หญิงคนไหนเลยในรอบสองสามปีที่ผ่านมา แต่ก็ใจชื้นอยู่บ้างที่เธอไม่โกรธจนเข้ามาฉีกเนื้อเขา เหมือนที่กลัวเอาไว้ล่วงหน้า จนเกือบตัดสินใจจะไม่ลองเสนอเสียแล้ว

“เดี๋ยว ขอถามอีกข้อ ถ้าฉันตกลงไปอยู่กับคุณ ใครๆเขาจะไม่นึกว่าฉันเป็นเมียเช่าของคุณหรอกหรือ”

นิคทำหน้าเคืองๆ “พอที คุณล้อผมเล่นมากไปแล้ว ผมยื่นข้อเสนอให้คุณ ซึ่งคุณมีสิทธิปฏิเสธและคุณก็ปฏิเสธแล้ว ก็ถือว่าจบแค่นี้ ไม่จำเป็นที่คุณจะมานั่งถากถางผม”

เมื่อเห็นเขาไม่พอใจ พราวพรายก็ยิ้มให้นิตจนตาหยี ทำเสียง ออดๆบอกเขาว่า “ขอโทษนะ นิค ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล้อเลียนหรือถากถางอะไรคุณหรอก ฉันเข้าใจเจตนาของคุณที่จะหาทางรับผิดชอบฉันในแบบที่คุณเห็นว่า เหมาะสม แต่บอกตรงๆ ฉันไม่เห็นด้วยกับการทดลองอยู่ก่อนแต่ง สังคมของเราต่างกัน ที่โน่นอาจจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดาโดยยึดหลักความเสมอภาคระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง อะไรที่ผู้ชายทำได้ ผู้หญิงก็ทำได้เหมือนกัน แต่ที่นี่ไม่ใช่ มีอะไรหลายอย่างที่ผู้ชายทำได้แต่ผู้หญิงทำไม่ได้ ถ้าใครดึงดันทำไปแม้จะไม่ผิดกฏหมาย แต่ก็มักจะถูกต่อต้านจากสังคม”

พราวพรายหยุดดื่มน้ำที่วางอยู่ตรงหน้า พร้อมกับสำรวจสีหน้าของนิคไปด้วย สบตาที่กำลังมองเธออยู่ก็ยักคิ้วให้ “ไม่รู้ฉันพูดมากไปหรือเปล่า เรื่องพวกนี้คุณอาจจะรู้หมดแล้วก็ได้ เพราะคุณก็มาทำงานแถวเอเซียหลายปี”

“พูดต่อไปเถอะ ถึงผมจะพอรู้บ้าง แต่ก็คงไม่รู้ลึกซึ้งสักเท่าไหร่ ผมอยากฟังความเห็นของคุณ”

“เอางั้นหรือ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันก็แล้วกันนะคะ นิค ฉันพูดต่อจากมื่อกี้เลยนะ ว่าที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นเพราะสังคมยกย่องผู้หญิงว่าเป็นเพศแม่ แม่ไม่ควรจะทำอะไรผิด แม่ควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีของลูกที่จะเกิดมาในอนาคต การอยู่ก่อนแต่งจึงเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ที่นี่รับไม่ได้ เพราะในสังคมของที่นี่ผู้หญิงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถ้าอยู่กันไปแล้วไม่ได้แต่งงานกันก็มีแต่เสียกับเสีย นอกจากเสียชื่อแล้วยังต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวอีกด้วย หวังว่าคุณคงจะเข้าใจนะคะ นิค แต่ถึงฉันไม่รับข้อเสนอของคุณ เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ไม่ใช่หรือ น่า..ยิ้มหน่อยน่า อย่าทำหน้าเหมือนโกรธกันมาตั้งแต่ชาติก่อนเลยนะ”

ในที่สุดหน้าสวยๆและตาหวานแหววของพราวพรายก็ทำให้นิคใจอ่อน แล้วอีกอย่างก็ไม่รู้ว่าจะโกรธไปทำไม ในเมื่อสิ่งที่เธอพูดล้วนเป็นความจริงที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้

พอนึกถึงจันทนาขึ้นมาได้ หญิงสาวก็ทำหน้ายิ้มๆถามเขาว่า “เออ นิคคะ ถ้าคุณอยากจะลองคบใครสักคน ทำไมไม่ลองคุยกับพี่จันทน์ดูล่ะ เขาอาจจะหัวสมัยใหม่มากกว่าฉันก็ได้”

ชายหนุ่มทำหน้าเหมือนสงสัย “ทำไมถึงคิดว่าผมควรจะไปลองชวนคุณจันทน์”

“อ้าว ก็ตอนที่ไปเที่ยวโขงเจียมคุณสองคนสนิทกันจะตาย พี่จันทน์ก็ออกสวย”

“ผมเห็นด้วยว่าคุณจันทน์สวย อ่อนหวานน่ารัก แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงควรจะทำอย่างที่คุณว่า”

“ก็ฉันกับแอ๋วเห็นว่าคุณสองคนสมกันออก หรือว่าคุณรังเกียจที่พี่จันทน์เคยแต่งงานมาก่อน”

นิคหัวเราะพรืดออกมาก่อนจะตอบว่า “ไม่หรอก ข้อนั้นไม่ใช่ประเด็น ทำไมผมจะต้องรังเกียจผู้หญิงที่เคยแต่งงานมาแล้วด้วยล่ะ สังคมของผมถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก ผู้หญิงที่หย่าร้างมีลูกติดหลายคนยังได้แต่งงานใหม่ ไม่มีใครรังเกียจ การหย่าร้างไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าคนสองคนหมดรักกันแล้วอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ต้องเลิกกันเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องทนฝืนหน้าชื่นอกตรมอยู่กันต่อไป โอกาสใหม่ๆมีมาให้เลือกเสมอ สำหรับคุณจันทน์ ผมไม่ได้ชอบเขาจนอยากลองคบกับเขา ผมกับเขาเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น”

“อ้าว แล้วที่คุณมาชวนฉันให้ลองคบกันเนี่ยหมายความว่าไง หรือคุณชอบฉันไหนเคยบอกว่าไม่ได้ชอบฉันไง” เห็นเขานิ่งเธอก็พูดต่อว่า “จำไม่ได้หรือไง คืนนั้นน่ะ”

นิครู้ว่าคืนไหนแต่พูดไม่ออก อึกอักอยู่เดี๋ยวหนึ่งก็ตัดบทว่า “เอาละ จบเรื่องแล้วใช่ไหม? อีกสักครู่เขาคงเรียกขึ้นเครื่องแล้วละ”

“นิคคะ ฉันอยากจะบอกคุณว่าหลายวันที่เราได้อยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิดที่นี่ ทำให้ฉันได้รู้จักคุณมากขึ้น ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคุณเป็นผู้ชายที่อบอุ่นและน่ารัก คนอย่างคุณคงหาผู้หญิงดีๆที่ถูกใจได้ไม่ยาก คุณเป็นคนที่มีบุคลิกดี ไม่หล่อมากแต่ดูเป็นผู้ชายดี ถ้าในอนาคตฉันตัดสินใจที่จะมีใครสักคน ก็คงจะมองหาผู้ชายที่มีอะไรคล้ายๆกับคุณนี่แหละ แต่มีข้อแม้หนึ่งข้อ” แล้วพราวพรายก็ยิ้มหวานให้เขา “ซึ่งฉันคงไม่บอกคุณหรอก”

นิคมองผู้หญิงตรงหน้าแน่วแน่ “ผมรู้ว่าข้อแม้ของคุณคืออะไร”
พราวพรายทำหน้าฉงน เธอแน่ใจว่าเขาไม่มีทางรู้ “แน่ใจหรือว่ารู้?”

“ข้อแม้ของคุณก็คือผู้ชายคนนั้นต้องเป็นคนไทยเหมือนคุณ ไม่ใช่ผู้ชายต่างชาติอย่างผม”

คำตอบของเขาทำให้พราวพรายอึ้งไปทันที นั่นคือความจริงที่อยู่ในใจของเธอที่เขาไม่น่าจะรู้แต่เขาก็รู้ จนได้

“คุณเก่งมากที่เข้าใจฉัน ฉันคงต้องเลือกคนไทยด้วยกัน ฉันไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานข้ามชาติข้ามวัฒนธรรม ความรักอาจจะไม่มีพรมแดนก็จริง แต่ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมและอะไรอีกหลายอย่างจะทำให้ความรักหมดไปในที่สุด แล้วคนสองคนก็ต้องมานั่งเสียใจ เสียดายเวลาที่เสียไปโดยไม่ได้อะไรกลับคืนมา”

“ผมเข้าใจและเห็นด้วยกับคุณ ผมเองก็ไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับผู้หญิงต่างชาติมาก่อน แต่ผมก็เคยถามตัวเองเหมือนกันว่าถ้าผมเกิดรักผู้หญิงที่ไม่ใช่ชาติเดียวกับผมขึ้นมา ผมควรจะทำอย่างไรต่อไป จากเธอไปเสียหรือแต่งงานกับเธอ โดยไม่สนใจอุปสรรคหรือความแตกต่างใดๆทั้งสิ้น เพราะคิดว่าชีวิตนี้ขาดเธอไม่ได้”

“โชคดีที่คุณไม่ได้รักผู้หญิงต่างชาติอย่างฉัน คุณเลยไม่ต้องเสียเวลามานั่งคิดว่าจะทำยังไงต่อไป”

นิคมองหน้าพราวพรายเฉยอยู่ ไม่ต่อความว่าอย่างไร

“ตอนนี้คุณก็ควรลืมเรื่องที่เกิดขึ้ระหว่างเราไปเสียให้หมด ฉันเองก็จะลืมมันเหมือนกัน”

พราวพรายแน่ใจว่าคงไม่มีทางลืมเพราะเขาเป็นผู้ชายคนแรกของเธอ แต่ก็ไม่เห็นว่าจำเป็นต้องบอกเขาเช่นนั้น

“ถ้าคุณแน่ใจว่าจะลืมได้ผมก็ดีใจด้วย”

ตอบไปแล้วเขาก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าจะลืมได้หรืออยากจะลืมหรือเปล่า เพราะตอนนี้เขาเริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เพียงแต่ยังไม่แน่ใจเท่านั้นว่ามันคืออะไร

แล้วเขาก็กล่าวต่อเป็นเชิงเตือนเธอทางอ้อมว่า “ต่อแต่นี้ไปผมก็หวังว่าคุณจะไม่คิดทำอะไรแผลงๆอีกแล้วนะ คุณควรจะมีแฟนจริงๆสักคนแล้วก็เรียนรู้กันไป ถ้าเห็นว่าเหมาะสมกันแล้วก็แต่งงานกับเขาเสีย ผมจะดีใจมากถ้ารู้ว่าคุณได้พบผู้ชายไทยดีๆอย่างที่คุณต้องการสักคนแล้วแต่งงานกันไป”

พราวพรายคิดว่านิคพูดราวกับว่าเขาเป็นพ่อหรือพี่ชายของเธอ ส่วนคนพูดนั้นเมื่อพูดออกไปแล้วก็อดใจหายไม่ได้ เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆหรือ

“ฉันก็อยากทำตามที่คุณแนะนำเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะทำได้แค่ไหน” เธอลุกจากโต๊ะ“ฉันคงต้องไปแล้วละ ขอบคุณสำหรับความหวังดีของคุณ”

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับพราวพราย “คุณจะไปแล้วหรือ?”

“ค่ะ ฉันจะไปขึ้นเครื่องละ เครื่องบินใกล้จะออกแล้ว ไม่ต้องไปส่งฉันหรอก ใกล้แค่นี้เอง เบียร์ของคุณก็ยังเหลืออีกตั้งแยะ” พอนึกขึ้นได้เธอก็พูดต่อว่า “อ้อ..อย่าลืมเรื่องค่าใช้จ่ายที่ฉันขอหารสอง กลับไปแล้วก็ส่งตัวเลขให้ด้วย ฉันจะได้ฝากเงินจอห์นไปคืนให้คุณ”

นิคไม่ตอบ เขาไม่คิดจะให้เธอมาแชร์ค่าใช้จ่าย คิดว่าเธอเป็นแขกพิเศษที่เขาเชิญมาเที่ยว ส่วนเธอจะคิดอย่างไรก็เรื่องของเธอ

พราวพรายเอื้อมมือไปบีบมือนิคที่มองเธอนิ่งอยู่ เหมือนจะพยายามจดจำหน้าตาเธอเอาไว้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากกัน “ลาก่อนค่ะ นิค ฉันคงคิดถึงคุณบ้างบางเวลา ถึงเราอาจจะไม่ได้พบกันอีกก็ตาม”

พราวพรายเดินหายไปแล้ว ปล่อยให้นิคยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น คิดทบทวนถึงคำพูดทั้งหมดของเธอ รวมทั้งคำพูดที่เหมือนคำบอกลา ในที่สุดชายหนุ่มก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมคว้าเบียร์ในแก้วตรงหน้าขึ้นมาดื่มต่อ บอกตัวเองว่าอยากจะให้เมาไปเลย จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดเรื่องน่าเวียนหัวและคำปฏิเสธเหมือนไม่มีหัวใจของผู้หญิงที่ชอบทำอะไรท้าทายโลกคนนั้น





 




Create Date : 22 มกราคม 2564
Last Update : 22 มกราคม 2564 23:44:14 น.
Counter : 998 Pageviews.

4 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณสองแผ่นดิน, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณSai Eeuu, คุณอุ้มสี, คุณSweet_pills, คุณRain_sk, คุณhaiku, คุณหอมกร

  
สวัสดีค่ะ
โดย: Sai Eeuu วันที่: 24 มกราคม 2564 เวลา:0:36:15 น.
  
ตามมาอ่านค่ะ
โดย: อุ้มสี วันที่: 24 มกราคม 2564 เวลา:8:38:44 น.
  
เซียนกระบี่ลุ่มแม่น้ำวัง 



เพลง "เหมือนคนละฟากฟ้า" พยายามร้องอยู่ แต่ไม่รอดสักที
โดย: เซียน_กีตาร์ วันที่: 29 มกราคม 2564 เวลา:8:14:54 น.
  
ขอบคุณค่ะคุณตุ้ย งวดเข้าไปทุกทีแล้วค่ะเรื่องนี้

โดย: หอมกร วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา:7:39:25 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
มกราคม 2564

 
 
 
 
 
1
2
4
5
6
7
8
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com