คนละฟากฟัา - บทที่ 82


พราวพรายนั่งดูรายการโทรทัศน์ ที่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการฉลองเทศกาลคริสต์มาสในประเทศต่างๆทั่วโลก อยู่ที่เก้าอี้ยาวนอกห้องนอนตามลำพังอย่างหงอยเหงา ใจก็ครุ่นคิดอย่างเศร้าสร้อยและผิดหวัง ที่นิคไม่ได้มาร่วมงานคริสต์มาสที่บ้านของเจิดจรัส พี่สาวของเธอเล่าว่าจูดี้พาเขาไปพบพ่อแม่ของเธอที่มิชิแกน หญิงสาวยังจำความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้นได้ว่าหัวใจมันดิ่งวูบหาย เมื่อตระหนักแน่ชัดแล้วว่านิคไม่ได้เป็นของเธอคนเดียวอีกต่อไป

เขามีผู้หญิงคนใหม่แล้ว ผู้หญิงที่เขาคงจะรักมากจนอยากจะร่วมชีวิตด้วย เธออยู่ในประเทศนี้มาถึงสี่ปีแล้ว นานพอที่จะรู้ว่าการที่ผู้ชายที่กำลังคบหาดูใจกันอยู่เดินทางไปบ้านผู้หญิง ไปพบไปแสดงตัวกับพ่อแม่ฝ่ายหญิงในฐานะคู่หมายหรือคู่รัก เป็นขั้นตอนสำคัญที่แสดงถึงการคบหากันอย่างจริงจัง ซึ่งจะนำไปสู่การแต่งงานเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องต่อไป


วันนั้นเธอเสียใจผิดหวังจนต้องหลบเข้าไปทำใจอยู่ในห้องน้ำที่บ้านของพี่สาวอยู่นาน กว่าจะข่มใจข่มสีหน้าให้เป็นปกติออกมาร่วมงานต่อได้ แล้ววันรุ่งขึ้นเธอก็หอบลูกกลับมาลอนดอน เพื่อจะอยู่ให้ไกลจากเขามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเขากับผู้หญิงคนนั้นอาจจะแวะเวียนมาที่บ้านเจิดจรัส ตามที่เธอรู้จากพี่สาวว่าพวกเขาควงคู่กันมาบ่อยๆ

เสียงออดประตูที่ดังขึ้นทำให้หญิงสาวต้องเหลือบดูนาฬิกาบนฝาผนัง ขณะนั้นสี่ทุ่มเกือบครึ่งแล้ว นึกแปลกใจว่าใครมา จะว่าเป็นเพื่อนร่วมอพาร์ตเมนท์แห่งนี้ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะผู้พักอาศัยส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนในวัยทำงาน ต่างก็ถือโอกาสช่วงตริสต์มาสที่หยุดยาวนี้ออกเดินทางท่องเที่ยว หรือไม่ก็กลับบ้านในต่างเมืองต่างรัฐ หรือแม้แต่ต่างประเทศ เพื่อไปอยู่กับครอบครัว

เมื่อเสียงออดดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หญิงสาวก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้นอนที่นั่งเอนๆอยู่ กระชับสายคาดเอวเสื้อคลุมที่สวมทับเสื้อนอนให้แน่นขึ้น เดินไปที่หลังประตู

“ใครคะ”

เสียงที่ตอบกลับมาทำให้หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เสียงที่เธอไม่เคยลืมแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานถึงสี่ปี

“ผมเอง นิค”

ใจของพราวพรายกระตุกโลดขึ้นทันที ด้วยความดีใจอย่างสุดแสนเมื่อรู้ว่าเขาตามมา นิคคงจะกลับจากมิชิแกนแล้ว เมื่อรู้เรื่องทั้งหมดจากดิ๊กเขาก็คงรีบรุดไปหาเธอที่บ้านเจิดจรัส ต่อมาเมื่อรู้ว่าเธอกลับมาลอนดอนเขาก็คงรีบร้อนมาที่นี่ มาหาเธอ มาบอกว่าเขายังรักเธออยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักกี่ปีเขาก็ยังเป็นผู้ชายคนเดิมที่รักเธอคนเดียว เขามาเพื่อจะบอกเธอว่ากลับไปอเมริกาด้วยกัน กลับไปอยู่กันใหม่อีกครั้งหนึ่ง ใครหรืออะไรก็จะเข้ามาขวางไม่ได้อีกต่อไป

แต่แล้วอึดใจต่อมาหัวใจของเธอก็วูบหายเมื่อตระหนักว่าเธอกับเขาไม่ควรจะพบกันอีก ตอนนี้เขามีผู้หญิงคนใหม่แล้ว หมอจูดี้คนที่เธอยังไม่เคยเห็นหน้าคนนั้น นิคกำลังจะมีโอกาสได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับผู้หญิงชาติเดียวกับเขา เขาทั้งคู่คงเหมาะสมกันมากกว่าผู้หญิงต่างชาติอย่างเธอ ที่นำแต่ปัญหามากมายมาให้เขา เธอกับเขาไม่สามารถจะกลับมาอยู่ด้วยกันได้เหมือนเดิมอีกต่อไป เธอทำร้ายเขามามากพอแล้ว เรื่องระหว่างเขากับเธอจบสิ้นไปแล้วเมื่อสี่ปีก่อน ตั้งแต่วันที่เธอตัดสินใจเลือกครอบครัวของเธอ

นอกจากเรื่องของจูดี้แล้ว การกลับไปติดต่อกับเขาใหม่ก็เหมือนกับการเดินย้อนศร กลับไปสู่วัฎจักรเดิมๆ ที่จะทำร้ายหัวใจบุพการีอีกครั้งหนึ่ง แน่นอนที่เธอยังรักนิคอยู่ แต่เธอควรจะเห็นแก่ตัวดึงรั้งเขาเอาไว้อีกหรือ แยกทางห่างหายกันไปนานถึงสี่ปี อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ

ความเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจของคนเรา อย่านะ อย่าใจอ่อนเปิดประตูรับเขาเข้ามา อย่าเปิดประตูพาตัวออกไปหาเขา อย่านะ อย่าเป็นอันขาด คิดให้ดีก่อนที่จะทำอะไรแบบผลีผลามไม่คิดหน้าคิดหลังเหมือนสมัยก่อน อะไรที่จบไปแล้วก็ต้องปล่อยให้จบไป ปล่อยเขาไปเสีย อย่าเห็นแก่ตัวอีกต่อไปเลย ทำร้ายเขามามากพอแล้ว อย่าก่อกรรมทำเข็ญให้เขาอีกเลย

แม้จะเตือนตัวเองว่าเขากับเธอสิ้นชาติวาสนาต่อกันไปนานแล้ว ไม่ควรจะพาตัวออกไปพบเขาอีก ปลดปล่อยทั้งตัวเองและเขาจากบ่วงกรรมที่ร้อยรัดกันเอาไว้ บอกให้เขากลับไปเสีย กลับไปในที่ในทางของเขาที่มีผู้หญิงคนที่เหมะสมคู่ควรกับเขารออยู่ อย่านะ อย่าใจอ่อน อย่าทำให้เขาต้องละล้าละลัง อย่าทำให้เขาต้องลำบากใจอีกเลย

แม้จะพยายามพร่ำบอกตัวเองเช่นนั้น แต่หัวใจเจ้ากรรมก็ช่างดื้อรั้นดันทุรังไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น มันทั้งดิ้นรนเรียกร้องทั้งบังคับขู่เข็ญ ให้มือที่สั่นระริกของเธอยื่นออกไปไขว่คว้าหาลูกบิดประตู เมื่อพบแล้วก็รีบร้อนหมุนให้ประตูเปิดออก แล้วทันใดนั้นมันก็ทั้งลากทั้งจูง แข้งขาที่สั่นเทาของเธอให้พาตัวออกไปหาเขา หลับหูหลับตาโผผวาเข้าหาอ้อมแขนที่กางออก แล้วรั้งรัดร่างของเธอให้เข้าไปซุกซบแนบแน่นอยู่ตรงอกกว้างที่คุ้นชิน กลิ่นกายที่คุ้นเคย

“นิค นิคจ๋า คุณจริงๆหรือ!? คุณยังไม่ตายจริงๆอย่างที่ดิ๊กบอกหรือ”
“พราว! พราว!”
“ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม นิคจ๋า นิคของฉัน คุณกลับมาหาฉันแล้วใช่ไหม?"
“พราว เราไม่ได้ฝัน ในที่สุดเราก็กลับมาพบกันอีกจนได้ ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน”

สองเสียงคร่ำครวญสอดประสานกันทั้งโศกศัลย์และสุขสม ตาของนิคแดงก่ำ ในขณะที่น้ำตาแห่งความปิติยินดีอย่างหาที่เปรียบมิได้ของพราวพรายหลั่งไหลอาบแก้ม ปากจมูกที่ก้มลงและแหงนเงยขึ้น ต่างก็ถูกดึงดูดราวกับต้องมนต์จากอำนาจลึกลับเข้าหากัน สัมผัสกันและกันอย่างร้อนรนเร่าร้อน ราวกับจะให้แน่ใจว่าแต่ละฝ่ายมีเลือดมีเนื้อ มีตัวมีตนอยู่จริง ไม่ใช่เป็นเพียงภาพลวงตาที่จะสลายหายตัวไปโดยไร้ร่องรอย ทันทีที่ตากระพริบวับ

“นิคจ๋า บอกฉันหน่อยสิว่าฉันกำลังฝันอยู่ใช่ไหม ตื่นขึ้นมาก็จะไม่ได้เห็นอีกคุณใช่ไหม คุณเป็นภาพในฝันหรือเปล่า หรือเป็นแค่ภาพลวงตา ฉันจะไม่ลืมตาหรอกนะ ฉันไม่อยากตื่น กลัวว่าถ้าตื่นแล้วคุณจะหายไป ฉันจะไม่ได้เห็นคุณอีก โธ่นิค นิคของฉัน!!"

เสียงคร่ำครวญหวลไห้ราวใจจะขาดของพราวพราย ทำให้นิครู้สึกตัวว่าขณะนี้เขากับเธอยังยืนกอดกันอยู่นอกห้องที่อากาศหนาวยะเยือก ชายหนุ่มประคับประคองพาพราวพรายผ่านประตูที่เปิดค้างอยู่เข้าไปข้างใน เห็นเก้าอี้นอนตัวยาวที่อยู่ใกล้ ก็ประคองตัวเธอให้นอนลง แล้วลงนั่งแนบชิด ประพรมจูบลงไปทั่วใบหน้าที่น้ำตายังอาบนอง ตาของเธอปิดสนิทก็จริงแต่มีเสียงสะอื้นกระซิกแว่วออกมาจากปากที่สั่นระริก

ทั้งสองสวมกอดกันแนบแน่น วิญญาณสองดวงที่ต้องระเหเร่ร่อน พลัดพรากจากกันไปนานถึงสี่ปี ต่างก็แสวงหาไออุ่นจากกันและกัน เฝ้าแลกเปลี่ยนจูบของความโหยหาอาวรณ์ ความรักความคิดถึงที่ท่วมท้น ที่ถูกชะตากรรมกลั่นแกล้งจับกระชากให้ขาดจากกัน ความทุกข์ทรมานทางจิตใจที่อะไรหรือใครก็เข้ามาปัดเป่าให้ไม่ได้ นอกจากคนสองคนที่ต้องช่วยปัดเป่าให้กันและกัน

ณ นาทีนั้นโลกทั้งโลกหยุดหมุน กาลเวลาหยุดนิ่ง สรรพสิ่งหยุดเคลื่อนไหว ผู้คนรอบตัวที่เข้ามาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน สูญสลายหายไปไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยมีตัวตน ไม่มีจูดี้ ไม่มีพ่อแม่พี่น้อง ไม่มี..ไม่มี..และไม่มีอะไรทั้งนั้น มีแต่วิญญาณรักสองดวงที่ร่อนเร่พเนจรตามหากันและกันมาเนิ่นนาน ที่ได้กลับมาพบกันใหม่โดยบังเอิญในชาตินี้ ไม่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนเที่ยวติดตามหากันและกันในชาติใดภพใดอีกต่อไป

นิคและพราวพรายยังกอดจูบกัน กระซิบกระซาบรำพึงรำพันแก่กันและกัน ถึงความรักความหลังที่ผ่านมาอยู่อีกเนิ่นนาน จนในที่สุดก็รั้งกันขึ้นมานั่งเพื่อจะไต่ถามทุกข์สุขกัน มองหน้ากัน สำรวจหาความเปลี่ยนแปลงของกันและกันที่กาลเวลานำมาให้

ตาของพราวพรายจ้องสำรวจไปตามเนื้อตัวของนิคอย่างรวดเร็ว เพื่อหาร่องรอยการถูกทำร้ายและทารุณกรรม ด้วยวีธีการต่างๆที่โหดเหี้ยมของพวกเวียตกงตามคำบอกเล่าของดิ๊ก แต่ก็ไม่เห็นความผิดปกติ เขายังเป็นนิคคนเดิมที่ล่ำสันแข็งแรง มีรอยแผลเป็นจางๆสองสามรอยอยู่ตรงลำคอและใกล้จอนหูข้างแก้มด้านซ้าย เขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

ส่วนนิคก็เห็นสาวน้อยเมื่อสี่ปีก่อนกลายเป็นสาวใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย รูปร่างหน้าตาของเธอยังสวยงามสะดุดตาเหมือนเดิม ผมหยิกสลวยของเธอยาวกว่าเก่ามาก มันรุ่ยร่ายตกลงมาปรกอยู่ตามหลังไหล่ สิ่งที่เขาคิดว่าเปลี่ยนไปมากคือแววตาที่สุขุมมากขึ้น และท่าทางที่สงบนิ่งกว่าเดิม

ในที่สุดเขาก็ถามว่า “พราวรู้เรื่องทั้งหมดจากดิ๊กแล้วใช่ไหม”

“ค่ะ “ แล้วเธอก็ยิ้มเศร้าๆ มองสบตาเขา “ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคุณยังมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่รู้จากดิ๊กว่าคุณยังไม่ตาย เห็นคุณวันนี้ฉันอาจจะช้อคไปเลยก็ได้ ลองคิดดูสิคะ นิค ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาฉันได้แต่บอกตัวเองว่าคุณตายไปแล้ว ฉันจะไม่มีวันได้พบคุณอีก แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็มีคนมาบอกฉันว่าคุณยังไม่ตาย คุณถูกพวกเวียตกงจับตัวไป และ..และพวกมันทรมานคุณอย่างโหดร้ายทารุณ”

แล้วเธอก็ถามสิ่งที่เธอกังวลมากที่สุด “นิคคะ ดิ๊กบอกฉันว่าพวกเวียตกงทำกับเชลยโหดเหี้ยมมาก มันโหดร้ายป่าเถื่อนกับคุณขนาดไหนหรือคะ?”

น้ำตาของพราวพรายไหลรินออกมาช้าๆ นิคโอบบ่าหญิงสาวเอาไว้ ดึงศรีษะเธอให้เข้ามาซุกซบอยู่ตรงไหล่เขา มือแข็งแรงลูบผมยาวสลวยของเธออย่างปลอบประโลม

“พวกมันก็ทำทุกอย่างๆที่ผมเองก็ไม่คิดว่ามนุษย์ด้วยกัน จะโหดเหี้ยมได้ถึงขนาดนั้น ผมไม่อยากจะพูดถึงรายละเอียดให้คุณเป็นทุกข์ไปด้วย รู้ไว้แค่ว่าตามเนื้อตัวผมนี่มีแต่รอยแผลเป็นเต็มไปหมด จากมีดบ้าง เหล็กแหลมๆบ้าง แซ่บ้าง รวมทั้งรอยไหม้ที่หลังที่โดนนาบด้วยเหล็กเผาไฟ ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนอยู่ในนรกไม่มีผิด ผมโดนช๊อตไฟฟ้านับครั้งไม่ถ้วน นึกว่าตัวเองตายไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง


นอกจากโดนทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมทารุณแล้ว ยังต้องอดๆอยากๆจนผอมโซ น้ำหนักผมลดลงไปเป็นสิบๆปอนด์ เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก บางครั้งก็ถูกขังอยู่ในคุกแคบๆพอดีตัวจนเกือบเป็นอัมพาต แถมเป็นโรคผิวหนังพุพองไปทั้งตัว ใจหนึ่งผมก็อยากให้พวกมันฆ่าผมให้ตายๆพ้นทุกข์ไปเสีย แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่ยอมตาย คิดอยู่อย่างเดียวว่าขอมีชีวิตอยู่เพื่อกลับมาเห็นหน้าคุณสักครั้งเท่านั้น”

ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าเงินออกมาเปิด “ จำรูปนี้ได้ไหม?”

หญิงสาวรับรูปเล็กๆยับยู่ยี่ที่นิคส่งให้ “รูปฉันที่เคยเห็นที่หัวเตียง ในบ้านพักของคุณที่ค่ายในเวียตนามนี่คะ”

“ใช่ ตั้งแต่วันที่เราเลิกกันผมก็เก็บใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ติดตัวไว้ตลอด ตอนถูกจับเป็นเชลยก็ถูกพวกมันยึดเอาไปหมด กว่าผมจะได้รูปใบนี้คืนมาก็ต้องทำสารพัด จนในที่สุดผมก็ได้กระเป๋าเปล่าๆกลับคืนมา  สิ่งเดียวที่ผมต้องการคือรูปใบนี้ มันกลายเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ผมมีติดตัวที่ต้องซ่อนไว้มิดชิด มีโอกาสอยู่ตามลำพังเมื่อไหร่ ผมก็เอารูปคุณออกมาดู ดูเพื่อคิดถึงเรื่องต่างๆในอดีต บอกตรงๆว่าผมไม่ได้คิดถึงอนาคตเลย เพราะคิดว่าทุกอย่างระหว่างเราจบไปแล้วตั้งแต่วันนั้น”

“โธ่ นิค” พราวพรายกอดเขาแนบแน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างปวดร้าวเมื่อนึกสภาพของเขาในตอนนั้นและคำพูดของเขาที่เกี่ยวกับเธอ

“อย่าร้องไห้เลยนะ พราว เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว” เขาจูบซับน้ำตาให้เธอทั้งๆที่ตาของตัวเองก็แดงก่ำ

“ตอนนั้นผมทุกข์ทรมานมากก็จริง แต่ก็กัดฟันทน ตั้งใจว่าจะไม่ยอมตายง่ายๆเป็นอันขาด ผมตั้งใจอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อขอพบคุณสักครั้ง ในที่สุดผมก็รอดมาได้จริงๆราวกับปาฎิหารย์ จนได้มาเห็นหน้าคุณในวันนี้”

“โธ่..นิค คุณรู้ไหมคะว่าพอรู้จากจอห์นว่าคุณตาย ฉันแทบจะขาดใจตายตามไปด้วย ฉันล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลสองครั้ง โทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา จอห์นบอกว่าวันที่เกิดเหตุไม่ใช่เวรของคุณ แต่คุณอาสานำทีมไปเอง ทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณไปตาย เพราะคุณคงเสียใจและโกรธฉันมาก” น้ำตาของพราวพรายไหลออกมาอีก

“นิคคะ ฉันอยากจะบอกคุณว่าฉันเสียใจเหลือเกินที่วันนั้นบีบบังคับให้คุณหย่า ฉันใจร้ายใจดำกับคุณมาก มัวแต่ห่วงความรู้สึกของแม่จนลืมนึกถึงคุณ ซึ่งเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน ฉันเห็นแก่ตัวมากและขี้ขลาดที่ไม่ยืนหยัดอยู่กับคุณ ฉันอยู่กับความรู้สึกผิดมาตลอดสี่ปี ไม่เคยให้อภัยตัวเองเลย ฉันคิดถึงคุณทุกวัน” พราวพรายพูดไปร้องไห้ไปกับความรู้สึกผิด

ชายหนุ่มจูบซับน้ำตาให้เธออีก “ร้องไห้อีกแล้ว อย่าคิดมากเลยนะพราว เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว ตอนนี้ผมก็กลับมาแล้ว ผมจะไม่ยอมเสียคุณไปอีกครั้งอย่างแน่นอน”

“คุณไม่โกรธฉันหรือแม่ฉันหรอกหรือคะ?” หญิงสาวถามอย่างขลาดๆ

“ตอนนั้นก็โกรธบ้างเหมือนกัน โกรธและเสียใจ แต่ตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว นอกจากดีใจที่รู้ว่าการหย่าคราวนั้นไม่มีผลทางกฏหมาย”

“ฉันไม่รู้ว่าคุณยังมีชีวิตอยู่ ถ้าฉันรู้ว่าคุณยังไม่ตาย ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนฉันก็คงจะดั้นด้นไปหา ไปขอโทษคุณ ไปบอกว่าฉันเสียใจเหลือเกินกับสิ่งที่ได้ทำลงไป นิคคะ ดิ๊กบอกฉันว่าที่คุณไม่ได้โดนไฟคลอกตายเหมือนทหารคนอื่นๆ ก็เพราะคุณกระเด็นหลุดจากฮอ.ออกมาก่อน ตกจากฮอ.ก็คงสูงพอสมควร คุณไม่เป็นอะไรเลยจริงๆหรือคะ?” พราวพรายยังข้องใจเรื่องนี้อยู่

“ตอนนั้นเครื่องมันบินต่ำ สูงกว่ายอดไม้ไม่มาก พอถูกยิงด้วยอาวุธหนักนัดแรก ฮอ.ก็สะบัดแล้วเสียหลักเอียงวูบไปทางด้านที่ผมนั่งอยู่ ผมกับพลทหารที่นั่งอยู่ติดกันเลยถูกเหวี่ยงกระเด็นหลุดออกไป โชตดีที่ผมตกลงไปในลำธารเล็กๆที่มีน้ำล้นฝั่ง แรงปะทะจึงไม่มากเหมือนตกลงไปบนพื้นดินหรือหิน แต่ผมก็บาดเจ็บสาหัสและหมดสติไป หัวผมคงจะไปกระแทกกับอะไรสักอย่าง พอฟื้นขึ้นมาผมก็พบว่าผมตกเป็นเชลยของพวกไอ้กงไปแล้ว พวกมันฉุดกระชากลากผมให้ล้มลุกคลุกคลานตามมันไป ไม่สนใจเลยว่าผมจะบาดเจ็บสาหัสแค่ไหน"

“ฮอ.มีประตูปิดไม่ใช่หรือคะ แล้วคุณหลุดออกมาได้ยังไง”

“ปกติเวลาลำเลียงพลไปปฏิบัติภารกิจเรามักจะไม่ปิดประตูเครื่อง เพื่อความสะดวกในการยิงต่อสู้หรือป้องกันตัวเวลาถูกโจมตีกลางอากาศ ถ้าคืนนั้นประตูฮอ.ปิดอยู่ ผมคงถูกทั้งระเบิดและไฟคลอกตายตอนเครื่องตกถึงพื้นเหมือนทหารคนอื่นๆแล้วละ”

“จอห์นเล่าให้ฉันฟังว่าทหารทุกคนในฮอ.เสียชีวิตหมด รวมทั้งคุณด้วย ที่ฉันสงสัยมากคือทำไมเวลาที่เข้าไปพิสูจน์ศพ พวกเขาไม่รู้หรือคะว่าไม่ครบ หายไปสองคนคือคุณกับทหารอีกคนหนึ่ง ไม่น่าจะไม่รู้นะคะ นิค"

พราวพรายข้องใจเรื่องนี้มาตลอดหลังจากรู้ข่าวจากดิ๊ก เพราะเรื่องระหว่างเธอกับนิคจะไม่ออกมาในรูปนี้ ถ้าพวกที่เข้าไปเก็บกู้ซากสามารถพิสูจน์ทราบได้ตั้งแต่ตอนนั้น ว่าศพสองศพไม่ได้รวมอยู่ในกองซากนั้น ซึ่งก็อาจจะทำให้สันนิษฐานได้ว่าอาจจะมีทหารอย่างน้อยสองนาย หลุดรอดไปได้ ไม่ได้เสียชีวิต และจะต้องมีการติดตามหาตัวกันต่อไป ซึ่งจะไม่ทำให้เธอกับนิคต้องจากกันนานถึงสี่ปีอย่างนี้

“ตอนนั้นพวกที่เข้าไปเก็บกู้ศพคงไม่รู้หรอก ผมเองก็มารู้ทีหลังว่าการพิสูจน์ทราบศพว่าใครเป็นใครทำได้ยากมาก เพราะทหารทุกคนที่เสียชีวิต นอกจากถูกระเบิดแล้วยังถูกไฟคลอกเป็นตอตะโกอีกด้วย ไม่เหลือซากที่เคยเป็นมนุษย์ มีแต่เศษชิ้นส่วนเล็กๆน้อยๆที่ถูกไฟไหม้ กระจัดกระจายไปตกตามที่ต่างๆเป็นวงกว้าง ไม่รู้ว่าอะไรเป็นของใคร ครบหรือไม่ก็ไม่รู้ อีกอย่างตรงจุดที่เกิดเหตุนั่น หลังเกิดเหตุก็มีกองกำลังเวียตกงเฝ้าระวังอยู่ ไม่ยอมให้เราเข้าไปกู้เอาซากออกมาได้ง่ายๆ เอาออกมาได้บางส่วนเท่านั้น การพิสูจน์ทราบก็เลยต้องทำรวมๆกันไป โดยยึดเอาหลักฐานรายชื่อและลายเซ็นต์ ของทหารทุกคนก่อนขึ้นเครื่องกลับค่ายเป็นหลัก ทางกองทัพเองก็มารู้ว่าผมกับพลทหารอีกคนไม่ได้อยู่ในกองซากผู้เสียชีวิต ก็หลังจากเกิดเหตุแล้วนานเป็นปี”

“คุณโชคดีมากเลยนะคะที่กระเด็นหลุดออกมาจากเครื่อง ก่อนที่มันจะระเบิดและไฟไหม้ ไม่งั้นเราคงไม่มีโอกาสได้กลับมาพบกันอีกแล้ว”

“คนเรายังไม่ถึงที่ตายก็มักจะมีเหตุบังเอิญมาช่วยเอาไว้”
“แต่ถึงรอดตายคุณก็ต้องไปตกนรกถูกทารุณกรรมนานเป็นปีนี่คะ”

“ก็ยังดีกว่าตายไม่ใช่หรือ ทุกข์ทรมานแค่ไหนก็ต้องทน จริงไหม”

“โธ่นิค ฉันสงสารคุณเหลือเกิน” เธอคร่ำครวญ รู้สึกเหมือนหัวใจจะขาดเมื่อนึกวาดภาพตามเขาไป

“อย่าร้องไห้เลยนะ พราว ยังไงเราก็ได้กลับมาพบกันแล้ว” เขานิ่งมองหน้าเธออยู่อึดใจหนึ่ง ก็กล่าวต่อว่า “รู้ไหมว่าผมต้องนอนรักษาตัวอยู่นานเกือบปี ตอนที่ออกจากโรงพยาบาลกลับมาทำงานได้ ผมคิดถึงอยากเห็นหน้าคุณมาก อยากไปหาคุณที่เมืองไทย แต่เมื่อคิดว่าคุณคงแต่งงานใหม่ไปนานแล้ว ผมก็เลยลังเล ไม่กล้าพาตัวไปหา ผมคงทนไม่ไหวถ้าได้รู้เห็นกับตาตัวเองว่าคุณเป็นของคนอื่นไปแล้ว

ที่สำคัญคือผมไม่รู้ว่าเรายังไม่ได้ขาดจากกันทางกฏหมาย ผมเพิ่งรู้จากดิ๊กเมื่อเช้านี้เอง ถ้ารู้เสียตั้งแต่ตอนที่กลับมาทำงานใหม่ๆ มีหรือที่ผมจะไม่ดั้นด้นมาหาคุณ รู้ไหมว่าผมดีใจแค่ไหนที่รู้ว่าเรายังไม่ขาดกันทางกฏหมาย เราจะกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมนะพราว"

“นิคคะ เราอย่าเพิ่งพูดไกลไปถึงขั้นนั้นเลย” พราวพรายขัดขึ้นด้วยเสียงเศร้าๆ “อย่าลืมว่าตอนนี้คุณกำลังจะมีโอกาสได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ กับผู้หญิงดีดีที่เหมาะสมกับคุณนะคะ”

“พราวรู้เรื่องนั้นด้วยหรือ เจ้าดิ๊กเล่าให้ฟังหรือ?” นิคถามอย่างร้อนใจ

“พี่สาวฉันเคยเล่าให้ฟังถึงผู้ชายชื่อเดียวกับคุณที่เอ็นดูนิกกี้มาก เคยเอาเขาไปค้างที่ค่ายหลายครั้ง บอกด้วยว่าผู้ชายคนนี้อาจจะแต่งงานกับหมอผู้หญิงลูกน้องแฟรงค์ที่ชื่อจูดี้ ตอนนั้นฉันไม่รู้หรอกว่าผู้ชายคนนั้นคือคุณ เพราะคิดว่าคุณตายไปตั้งสี่ปีแล้ว”

“ผมอยากจะเล่าเรื่องผมกับจูดี้ให้พราวฟัง ผมกับเขารู้จักกัน เพราะจูดี้เป็นหมอที่ดูแลรักษาผมอยู่เกือบปี ตอนนั้นเราค่อนข้างสนิทกัน เพราะผมเองก็ไม่มีใคร ผมเครียดมาก บางครั้งก็ท้อแท้หมดอาลัยตายอยาก ก็ได้จูดี้นี่แหละที่คอยให้กำลังใจมาตลอด แต่ช่วงนั้นเราไม่ได้มีอะไรกันเป็นพิเศษ เป็นแค่หมอกับคนไข้เท่านั้น ผมนอนรักษาตัวอยู่หลายเดือน พอหายดีผมก็กลับมาทำงาน เรามาเจอกันใหม่ที่ดี.ซี แล้วเริ่มคบกัน ฟังแล้วพราวคงไม่โกรธหรอกนะ เพราะตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเรายังไม่ได้ขาดกันทางกฏหมาย"

นิคสำรวจสีหน้าท่าทางของพราวพรายอย่างกังวล เมื่อเห็นมันยังปกติดีอยู่ก็กล่าวต่อว่า "บอกตรงๆว่าตอนที่ผมยังไม่รู้เรื่องจากดิ๊ก ผมอาจจะแต่งงานกับจูดี้ก็ได้สักวันหนึ่ง เพราะผมไม่อยากจะอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต แต่ตอนนี้เมื่อรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว ผมกับเขาก็ต้องเลิกคบกันโดยปริยาย ผมเชื่อว่าจูดี้คงจะเข้าใจ”

“นิคคะ อย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินใจ ฉันไม่ได้โกรธคุณเลยนะคะ ฉันยอมรับความจริงได้ว่าคุณมีผู้หญิงคนใหม่แล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของคุณ เพราะคุณไม่รู้ว่าการแต่งงานของเรายังมีผลตามกฏหมายอยู่ เพราะฉะนั้นคุณย่อมมีสิทธิจะรักใครก็ได้ แต่ถ้าคุณจะแต่งงานกับเขา ก็คงต้องรอให้เราไปหย่ากันใหม่ให้ถูกต้องเสียก่อน” พราวพรายพูดด้วยเสียงเรียบๆ ปราศจากอารมณ์ ผิดแผกไปจากพราวพรายเมื่อสี่ปีที่แล้ว

นิคอึ้งไปเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็นึกสงสารจูดี้ เขารู้ว่าเธอรักเขามาก แต่เมื่อเรื่องกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ เมื่อเขาได้พบคนที่เขารักอย่างฝังใจและยังเป็นเมียเขาอยู่โดยถูกต้อง เขาก็ไม่อาจจะตัดใจจากพราวพรายแล้วฝืนใจแต่งงานไปเสียกับจูดี้ แม้พราวพรายจะยอมหย่าขาดให้ก็ตาม

พราวพรายหน้าเศร้าลงไป เมื่อคิดถึงครั้งที่ขอร้องให้เขาปล่อยเธอกลับไปหาครอบครัว แม้เขาจะอ้อนวอนขอร้องอย่างไรก็ไม่ฟังเสียง คิดแต่เพียงว่าจะต้องแก้ตัวกับเรื่องที่ทำให้บิดามารดาเสียใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณจิตราที่รับไม่ได้จนล้มป่วยลงไป

ตอนนั้นเมื่อเธอจากมาแล้วนิคคงจะเสียใจอย่างหนัก จนไม่ได้ดูแลตัวเองเท่าที่ควร เขาคงจะมุทะลุประชดชีวิตด้วยการอาสาออกไปเสี่ยงทำงานจนเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นมา เขาต้องถูกจับเป็นเชลยของพวกเวียตกง ต้องถูกทารุณกรรมเหมือนไม่ใช่มนุษมนา ต้องทนทุกข์ทรมานจนแทบจะเหลือแต่กระดูก แล้วผู้หญิงคนหนึ่งก็ช่วยฟื้นฟูเขาทั้งร่างกายและจิตใจ จนกลับมาเป็นผู้ชายคนเดิมได้ในที่สุด

เธอผู้นั้นคงไม่ได้ช่วยเขาในฐานะหมอกับคนไข้เท่านั้น เธอคงสงสารเห็นใจห่วงใยเขา และเขาเองก็คงซาบซึ้งกับน้ำใจของเธอ สิ่งต่างๆเหล่านี้คงจะดึงเขากับเธอผู้นั้นเข้าหากันและกลายเป็นความผูกพันพิเศษขึ้นมา เกินกว่าการเป็นหมอกับคนไข้ทั่วไป เขาคงกำลังจะแต่งงานกันอย่างที่เจิดจรัสเล่าให้ฟัง ว่านิคไปมิชิแกนเพื่อไปพบพ่อแม่ของจูดี้ ถ้านิคไม่รู้เรื่องเธอจากดิ๊ก เขากับจูดี้ก็คงจะแต่งงานกันในไม่ช้า

พราวพรายรู้สึกละอายใจที่ทำคล้ายๆจะแย่งนิคกลับคืนมา ทั้งๆที่เคยทิ้งเขามาแล้วครั้งหนึ่งหน้าตาเฉยราวกับทิ้งขยะ แล้วต่อมาเมื่อผู้หญิงคนหนึ่งเก็บขยะชิ้นนั้นขึ้นมาเพราะเห็นค่าของมัน นำมาปัดฝุ่นล้างน้ำจนสะอาด ซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดสึกหรอ ขัดถูจนใหม่เอี่ยมแวววับเปลี่ยนจากเศษขยะไร้ค่า กลับมาสู่สภาพดั้งเดิมที่มีทั้งค่าและราคา แล้วอยู่มาวันหนึ่งเจ้าของเก่าก็กลับมาชุบมือเปิบ ทวงคืนกรรมสิทธิโดยปราศจากความละอาย พราวพรายถามตัวเองว่าเธอจะเห็นแก่ตัว ทำร้ายจิตใจของเจ้าของคนใหม่ได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ

“ความจริงผมก็สงสารจูดี้มาก แต่ผมไม่ได้รักเขาเลย ผมไม่อยากฝืนใจแต่งงานกับเขาแล้วมานั่งคิดถึงแต่คุณทุกวัน มันไม่ยุติธรรมต่อเขา จูดี้ยังมีโอกาสจะได้พบผู้ชายดีๆที่เหมาะสมกับเขาอีกมาก”

หญิงสาวนิ่งไปครู่ ไม่อาจหลอกตัวเองได้ว่าไม่ดีใจที่นิคพูดเช่นนั้น แต่ก็อดถามไม่ได้ว่า “เขารู้หรือเปล่าคะว่าคุณมาที่นี่”

“ ก่อนขึ้นเครื่องมาลอนดอน ผมโทร.ไปบอกเขาแล้วว่าผมมีธุระสำคัญที่นี่”
“แสดงว่าเขายังไม่รู้ว่าคุณมาหาฉัน”

“พราวต้องเข้าใจนะ ผมอยากจะบอกจูดี้เรื่องของเราก่อนมาหาคุณ แต่ไม่มีโอกาสได้พูดกันเพราะเขาติดผ่าตัด ผมเลยทำได้แค่ฝากข้อความไว้กับโอปะเรเตอร์ กลับไปนี่ผมก็จะคุยกับเขาให้เรียบร้อย ไม่ต้องห่วงหรอก”

“นิคคะ คุณไม่คิดบ้างหรือว่าเรื่องของเรามันก็ผ่านมานานตั้งสี่ปีแล้ว เราควรหรือไม่ที่จะปล่อยให้มันผ่านไปแล้วตั้งต้นชีวิตใหม่ ตอนนี้คุณเองก็มีผู้หญิงคนใหม่ที่เหมาะสมกับคุณมากกว่าฉัน อย่างน้อยก็เป็นคนอเมริกันเหมือนกัน คงไม่มีปัญหาอะไรให้ต้องกังวล” หญิงสาวรู้สึกเศร้าใจเหมือนกันที่ต้องพูดอย่างนั้น

ชายหนุ่มซึ่งคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันถามขัดขึ้นว่า “หมายความว่ายังไง คุณจะไม่กลับมาอยู่กับผมอีกหรือ? หรือว่าคุณมีแฟนใหม่ไปแล้ว อย่าลืมนะว่าคุณเองก็ยังแต่งงานกับใครไม่ได้ จนกว่าเราจะไปหย่ากันอย่างเป็นทางการอีกครั้งก่อน”

“ ฉันยังไม่คิดจะแต่งงานใหม่หรอกค่ะ ยังไม่ได้คบใครถึงขั้นจะแต่งงานด้วย”

เห็นสีหน้าที่ขมวดมุ่นของเขาแล้วเธอก็กล่าวต่อว่า “ฉันถึงได้บอกให้คุณคิดให้ดีๆก่อนตัดสินใจจะทำอย่างไรต่อไป เราอาจจะไปหย่ากันอีกครั้งหนึ่งให้ถูกต้องแล้วก็ต่างคนต่างไป ไม่ต้องมาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเก่าๆที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว สี่ปีที่จากกันไปไม่ใช่เวลาเล็กน้อยนะคะ นิค คุณควรจะใช้เวลาตรึกตรองให้รอบคอบว่าคุณต้องการอะไร”

ชายหนุ่มมองเธออย่างตัดพ้อ “ผมไม่จำเป็นต้องคิดอะไรอีกแล้ว ผมรู้อยู่ตลอดเวลาสี่ปีที่จากกันว่าผมรักคุณอยู่คนเดียวเท่านั้น ผู้หญิงอื่นไม่มีความหมายสำหรับผม ถ้าเรายังอยู่ด้วยกันตามปกติ จูดี้หรือใครก็จะผ่านเข้ามาในชีวิตของผมไม่ได้ คุณก็รู้ว่าผมไม่เคยนอกใจคุณ แต่เรื่องผมกับจูดี้เกิดขึ้นเพราะผมไม่รู้สองเรื่อง คือไม่รู้ว่าเรายังไม่ได้ขาดกันทางกฏหมาย กับเรื่องที่นึกว่าคุณแต่งงานใหม่ไปแล้ว”

แต่พราวพรายยังมีข้อข้องใจอีกหนึ่งข้อ ซึ่งเกิดจากอารมณ์ของผู้หญิง

"นิคคะ ฉันไม่รู้ว่าคุณคิดอย่างไร แต่อยากจะบอกว่าถ้าคุณจะกลับมาหาฉัน เพียงเพราะเรายังมีทะเบียนสมรสค้างคากันอยู่ คุณก็ไม่จำเป็นต้องกลับมา ฉันรับได้และคงอยู่ต่อไปได้เหมือนสี่ปีที่ผ่านมา ถ้าคุณจะแต่งงานกับจูดี้ เราก็เพียงไปหย่ากันใหม่ให้ถูกต้อง"

ชายหนุ่มมองหน้าพราวพรายเขม็งอย่างจะอ่านใจ แล้วในที่สุดก็ยิ้มให้เธอ

"ผมกลับมาเพราะผมรักคุณ อยากอยู่กับคุณ จะมีทะเบียนสมรสใบนั้นหรือไม่ก็ไม่สำคัญ แต่ถ้าผมหมดรักคุณแล้ว ผมก็คงแค่มาขอให้คุณไปหย่ากับผมให้ถูกต้อง แล้วผมก็ไปแต่งงานกับจูดี้หรือผู้หญิงสักคนก็ได้"

เห็นสีหน้าเศร้าๆของพราวพราย นิคก็เอื้อมมือไปลูบผมยาวสลวยของเธอ ก่อนจะสรุปว่า “อย่าคิดมากเกินไปเลยนะ พราว จำไว้แต่เพียงว่าผมรักคุณคนเดียวและคุณยังเป็นเมียผมอยู่ เราจะกลับมาอยู่ด้วยกัน เรื่องอื่นเลิกคิดให้หมด”

แล้วเขาก็พยายามเปลี่ยนอารมณ์เธอด้วยการถามว่า “ขอกาแฟผมสักแก้วได้ไหม?”
ได้ผลตามที่เขาต้องการ เพราะพราวพรายลุกขึ้นยืนทันที บอกเขาอย่าง กระตือรือร้นว่า “ได้สิคะ รอเดี๋ยวนะคะนิค”

ระหว่างที่พราวพรายหายเข้าไปในห้องแพนทรี่เล็กๆด้านใน นิคก็ลุกขึ้นถอดเสื้อแจ็คเก็ตกันหนาวออกพาดไว้ที่พนักเก้าอี้ตัวหนึ่ง เดินไปปิดประตูหน้าที่ยังเแง้มเปิดอยู่เล็กน้อย แล้วเหลียวมองไปรอบห้อง ห้องเล็กๆนั้นดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์เรียบง่ายเพียงไม่กี่ชิ้น ตรงมุมด้านหนึ่งของห้องมีต้นคริสต์มาสเล็กๆที่มีไฟหลากสีกระพริบวาบๆอยู่ กล่องของขวัญสองกล่องวางอยู่ด้วยกัน กล่องหนึ่งเล็กส่วนอีกกล่องมีขนาดใหญ่

พราวพรายเดินเข้ามาส่งถ้วยกาแฟให้เขา ที่ตอนนี้นั่งลงบนเก้าอี้ยาวตัวเดิมแล้ว นิครับมาวางไว้บนโต๊ะเล็กข้างตัว ดึงมือเธอให้นั่งลงบนตักเขา อย่างที่เคยทำอยู่บ่อยๆสมัยที่อยู่ด้วยกัน กอดเธอไว้แน่นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะจูบเธออย่างอ่อนหวานหลายครั้ง ไม่อาจจะอยู่ห่างจากเธอได้เลย

“พราวอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ?”
หญิงสาวอึกอักเล็กน้อย แต่แล้วก็ตอบว่า “ค่ะ”

ตอนที่อยู่ในห้องแพนทรีพราวพรายใช้เวลาที่กำลังชงกาแฟให้นิค คิดอย่างรวดเร็วว่าควรจะบอกเขาเรื่องลูกเสียวันนี้เลยดีไหม แต่เมื่อยังไม่แน่ใจเรื่องระหว่างเขากับจูดี้ว่าจะลงเอยกันอย่างไร เธอก็ไม่อยากจะเอาเรื่องนิกกี้คล้ายๆไปบีบบังคับหรือต่อรองกับเขา ทำให้เขาต้องตัดสินใจลำบาก หญิงสาวก็เลยคิดว่าจะผลัดไปก่อน เพื่อให้โอกาสนิคได้ตัดสินใจโดยไม่ต้องพะวักพะวนกับอะไรทั้งสิ้น



Create Date : 03 สิงหาคม 2566
Last Update : 3 สิงหาคม 2566 11:57:45 น.
Counter : 485 Pageviews.

4 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณปรศุราม, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณThe Kop Civil, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณปัญญา Dh, คุณ**mp5**, คุณhaiku, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณสองแผ่นดิน, คุณSweet_pills, คุณหอมกร, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร

  
สงสารจูดี้ สงสารนิค รำคาญนางเอก 555

โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 3 สิงหาคม 2566 เวลา:12:32:34 น.
  
แหมกำลังสนุกเชียวค่ะคุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 3 สิงหาคม 2566 เวลา:12:40:46 น.
  
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ
โดย: **mp5** วันที่: 3 สิงหาคม 2566 เวลา:15:25:15 น.
  
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด

มาแล้วจ้ะ มาอ่านนิยายรัก ระหว่าง แพรวพรายและนิค ต่อจ้ะ
ตอนนี้ก็เป็นตอนที่นางเอกกับพระเอกได้เจอหน้ากันแล้ว ฉากดีใจ ซัก
ถามสารทุกข์สุขดิบซึ่งกันและกัน เฮ้อ ! คนที่น่าสงสาร คือ หมอจูดี้ จ้ะ
ตอนหน้า เรามาดูว่า นิคจะพูดกับจูดี้อย่างไร แล้วจูดี้จะเป็นอย่างไร
เตรียมติดตามตอนต่อไป นะจ๊ะ

โหวดหมวด งานเขียนฯ
โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 3 สิงหาคม 2566 เวลา:17:40:30 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
สิงหาคม 2566

 
 
1
2
4
5
6
8
9
10
12
13
14
15
17
18
19
21
23
24
26
28
30
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com