ระหว่างที่พราวพรายขับรถกลับไปห้องพัก ด้วยสมองที่มึนงงกับคำกล่าวหาของนิค นิกกี้ซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังก็พิรี้พิไรถามหานิคอยู่นั่นแล้ว ไม่ว่าเธอจะอธิบายว่าอย่างไรเด็กชายก็ไม่ยอมฟัง
“นิกกี้จาหาอังเคิลนิค! จาให้อังเคิลนิคมาด้วย!”
“มอมมี้แม่! นิกกี้จาหาอังเคิลนิค ได้ยินมั้ย!!”
“มอมมี้แม่บอกแล้วไงว่าอังเคิลนิคมาด้วยไม่ได้ เขามีธุระ”
“ทู่ระอารายล่ะ? นิกกี้ไม่อยากให้อังเคิลนิคมีทู่ระนี่”
“โธ่! นิกกี้ นั่งเงียบๆมั่งได้มั้ย”
“ก้อ..ก้อนิกกี้อยากหาอังเคิลนิคนี่ จาให้อังเคิลนิคนอนกะนิกกี้นี่” เด็กชายยังคร่ำครวญไม่เลิก
หญิงสาวนิ่งเพราะเบื่อที่จะตอบแล้ว ขับรถไปเรื่อยๆ รู้สึกกังวลไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับนิค ทำไมเขาต้องโกรธ เขาไม่ดีใจหรอกหรือที่รู้ว่ามีลูก แล้วลูกที่ว่านั่นก็คือนิกกี้ที่เขาผูกพันรักใคร่ ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นลูกของเขาเองด้วยซ้ำ ทำไมนิคถึงไม่ยอมฟังเธอบ้างเลย ไม่ยอมให้อธิบายด้วยซ้ำ
เข้ามาถึงห้องพักพราวพรายก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่กับบ้าน แล้วเดินออกมาหานิกกี้ที่นั่งหน้ามุ่ยเล่นกับตุ๊กตาหมีที่เพิ่งได้มาไม่กี่วัน อยู่บนพื้นใกล้ต้นคริสต์มาส พอเห็นเธอเขาก็ถามด้วยความหวังว่า
“เดี๋ยวอังเคิลนิคก็จามาหานิกกี้ ใช่เป่า มอมมี้แม่?”
“ไม่รู้สิ ถ้าเสร็จธุระแล้วอังเคิลนิคอาจจะมาก็ได้ ตอนนี้นิกกี้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีมั้ย เล่นมาทั้งวัน เหม็นเหงื่อ”
พราวพรายก็คล้ายๆกับนิกกี้ที่หวังว่าเมื่อคิดได้แล้ว นิดคงจะมาที่นี่มาฟังคำอธิบายของเธอเรื่องลูก
“ม่าย..นิกกี้ยังไม่อาบน้ำ ไม่เปลี่ยนจุ๊ด นิกกี้จารออังเคิลนิคก่อน จาให้อังเคิลนิคอาบน้ำกะนิกกี้” เด็กชายยังมีข้อต่อรอง
หญิงสาวขมวดคิ้ว “อังเคิลนิคเคยอาบน้ำกับนิกกี้ด้วยหรือ?”
นิกกี้พะยักเพยิด “เคยซี้ อาบในอ่างฉองคนไง๊ อังเคิลนิคถูซาบู่ให้นิกกี้ด้วยละ มอมมี้แม่”
ฟังแล้วเธอก็ได้แต่ถอนใจยาวอย่างหนักอก ท่าทางเขาก็รักนิกกี้ดีนี่นา แม้ตอนนั้นจะยังไม่รู้ว่าเป็นลูกก็ตาม แต่ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับเขา ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านิคจะหุนหันพลันแล่นไม่ฟังอะไรแบบนี้ เขาเคยสุขุมและใจเย็นมีเหตุมีผล
“มอมมี้แม่ว่านิกกี้ไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะ อังเคิลนิคจะได้ไม่ว่านิกกี้ตัวเหม็นเปรี้ยวไง ดีมั้ย”
“นิกกี้ม่ายตัวเหม็นเปี้ยวหลอก” นิกกี้ทำหน้าบึ้ง ถอดแบบมาจากพราวพรายไม่มีผิด
“เหม็นสิ เล่นมากๆพอเหงื่อออกก็ทำให้ตัวเหม็นเปรี้ยวได้”
เด็กฃายไม่เข้าใจหรอกคำว่า ‘เหม็นเปรี้ยว’ น่ะ แต่ก็รีบลุกขึ้นเดินมาจูงมือมารดา “ไป มอมมี้แม่พานิกกี้ไปอาบน้ำหน่อยนะ อังเคิลนิคจาได้ไม่ว่านิกกี้เหม็นเปี้ยว”
หลังจากอาบน้ำให้ลูกเสร็จ พราวพรายก็เข้าไปเตรียมอาหารเย็นในห้องแพนทรี ปล่อยให้นิกกี้นั่งดูการ์ตูนในโทรทัศน์อยู่ตามลำพัง ไม่รู้ว่าควรจะเตรียมอาหารเผื่อนิคด้วยหรือไม่ แต่เธอก็เตรียมไว้ ค่อนข้างแน่ใจว่าเขาคงจะมาหาเธอกับนิกกี้ หลังจากมีเวลาไตร่ตรองเรื่องทั้งหมดแล้ว
แต่แล้วเขาก็ไม่มา พราวพรายจัดการให้นิกกี้รับประทานอาหารเย็น ส่วนเธอก็อุตส่าห์นั่งรอนิคตั้งใจว่าจะรอรับประทานพร้อมเขา แล้วเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ หลังจากเฝ้ารอนิคจนง่วงเด็กชายก็ถูกพาเข้าไปนอนตอนสี่ทุ่มกว่าซึ่งดึกมากสำหรับเขา ในที่สุดเมื่อนาฬิกาเดินไปเรื่อยๆจนถึงสองยามโดยไม่มีวี่แววของเขา หญิงสาวก็ถอนใจยาวเก็บอาหารเข้าตู้เย็นแล้วเข้านอน เธอไม่ได้รับประทานอาหารเย็นเพราะกลืนไม่ลง
ส่วนนิคนั้นหลังจากขึ้นแท๊กซี่ได้ก็สั่งให้ไปส่งที่ผับแห่งหนึ่ง เข้าไปนั่งดื่มเหล้าอยู่คนเดียวเงียบๆด้วยหัวใจที่สับสนวุ่นวาย ทั้งตื่นเต้นดีใจที่เด็กชายตัวเล็กๆน่ารักฉลาดเฉลียวและซนอย่างร้ายคนนั้น กลายมาเป็นลูกแท้ๆของเขา ทั้งโกรธและน้อยใจพราวพรายและพี่สาวของเธอ ที่ช่วยกันปิดบังเรื่องนิกกี้
ดื่มเหล้าไปได้พักใหญ่พอนึกถึงสำเนาใบสูติบัตรของนิกกี้ ที่ยึดมาจากพราวพรายขึ้นมาได้ ก็ควักออกมาจากกระเป๋ากางเกง เพ่งแล้วเพ่งเล่าด้วยดวงตาที่พร่าพราย รู้สึกมึนงงสับสนและกระวนกระวายใจ ถามตัวเองว่าเชื่อไหมว่านิกกี้เป็นลูกของเขากับพราวพราย ข้อนี้เขาตอบได้ทันทีว่าเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัย
นอกจากหลักฐานที่ยืนยันที่แสดงไว้ในสูติบัตรแล้ว หน้าตาของเด็กชายก็ถอดแบบมาจากทั้งเขาและพราวพรายอย่างที่ดิ๊กเคยวิจารณ์เอาไว้ แม้แต่วันเดือนปีเกิดของนิกกี้ก็นับย้อนหลังไปได้ จนถึงวันสุดท้ายที่เขาและพราวพราย ได้อยู่ด้วยกันแบบสามีภรรยาที่ค่ายทหารแห่งนั้นในเวียตนาม ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่วันเขาก็ยอมเซ็นต์ใบหย่าให้ตามที่เธอต้องการ
คำถามที่อยู่ในใจของชายหนุ่มก็คือ ตอนขอหย่าเธอน่าจะรู้แล้วว่าตั้งครรภ์ พราวพรายคิดจะปิดบังไม่ให้เขารู้เรื่องลูกใช่หรือไม่ แล้วนิคก็เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก เขารีบเช็คบิลแล้วออกจากผับแห่งนั้นกลับไปที่โรงแรมที่พักอยู่ คว้ากระเป๋าเดินทางใบกระทัดรัดมาเปิด หยิบซองเอกสารของดิ๊กที่เขาเอาติดตัวมาด้วยมาเปิดอ่านทีละแผ่นไม่มีเอกสารฉบับใดเกี่ยวข้องกับนิกกี้เลย
ชายหนุ่มอ่านโน๊ตของเพื่อนอีกสองสามครั้งแต่ก็ไม่พบอะไรที่เกี่ยวกับนิกกี้ นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจต่อโทรศัพท์ข้ามทวีปไปหาดิ๊ก เรื่องข้องใจของเขาคือทำไมดิ๊กและทีมงานมือฉกาจของเขา จึงไม่มีข้อมูลหรือเบาะแสใดใด เกี่ยวกับกำเนิดของเด็กชายคนนั้นเลย ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเขา
“อ้าว! นิค เป็นไงวะ? พบคุณพราวหรือยัง” ดิ๊กถามเป็นประโยคแรก
“พบแล้ว ดิ๊ก..กูสงสัยอะไรบางอย่าง”
“มีอะไรอีกล่ะ? สงสัยบ้าอะไรอีก? เอกสารของกูไม่ชัดเจนหรือไง?”
“เรื่องนิกกี้น่ะ”
“เรื่องนิกกี้? ทำไม? สงสัยอะไร?”
“นิกกี้อยู่ที่นี่กับพราวด้วย...”
“งั้นมึงก็รู้แล้วสินะว่านิกกี้เป็นลูกมึง คุณพราวบอกแล้วใช่มั้ยล่ะ”
ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจหนึ่ง “เขาบอกหลังจากที่กูเห็นใบเกิดของนิกกี้ กูไม่เข้าใจ..”
“ ไม่เข้าใจอะไร?”
“เอกสารที่มึงส่งให้กูไม่เห็นมีเรื่องนี้เลย กูยังสงสัยอยู่ว่ามือหาข่าวระดับมึงกับทีมของมึง ทำไมไม่สืบเรื่องนี้ มันสำคัญสำหรับกูมากนะ”
ดิ๊กฟังเสียงของเพื่อนแล้วก็เข้าใจเรื่องราวทันที “อ๋อ! เรื่องใบเกิดของนิกกี้น่ะหรือ ทำไมกูจะไม่สืบ กูไปตามเรื่องนิกกี้ที่นิวเจอร์ซี่ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ยังเห็นชื่อมึงเป็นพ่อหราอยู่ในเอกสารเลย แล้วมีอะไรไม่เข้าใจอีก?”
“ทำไมมึงไม่ส่งให้กูด้วย?”
“ตอนแรกคิดจะส่งให้มึงพร้อมเอกสารอื่น แต่คุณพราวขอกูไว้ เขาอยากจะเป็นคนบอกมึงเอง ซึ่งกูก็เห็นด้วย เพราะเรื่องแบบนี้ควรจะคุยกันเอง กูก็เลยเอาสำเนาให้เขาไป ความจริงเขาก็คงมี ใบเกิดตัวจริงน่ะ แต่คงจะเก็บไว้ที่อเมริกา เลยต้องเอาของกูไป คงตั้งใจจะเอาไว้ให้มึงดูน่ะแหละ นี่ถ้ากูรู้ว่ามึงจะคิดมากขนาดนี้ กูคงเอาเอกสารเรื่องนิกกี้ส่งให้มึงไปพร้อมกับเอกสารพวกนั้นแล้วละ ไม่ต้องรอให้คุณพราวบอกมึงเองหรอกวะ กูอธิบายแจ่มแจ้งขนาดนี้แล้วมึงจะว่าไง หรือมึงยังไม่เชื่ออีก?”
นิคถอนใจยาว นึกด่าตัวเองที่ใจร้อน ไม่ยอมฟังสิ่งที่พราวพรายพยายามจะบอกเขาเลย
“เชื่อสิวะ ทำไมจะไม่เชื่อ แต่ที่กูไม่เข้าใจก็คือทำไมพี่สาวพราวจึงเที่ยวบอกใครต่อใครว่านิกกี้เป็นลูกเขาล่ะ แม้แต่กูซึ่งเป็นพ่อแท้ๆของนิกกี้ เขายังทำไม่รู้ไม่ชี้นี่หว่า”
อีกฝ่ายเงียบไปอึดใจหนึ่งเพราะกำลังคิด “พี่สาวเขาอาจจะไม่รู้จริงๆก็ได้นี่หว่าว่ามึงเป็นพ่อนิกกี้”
“ไม่รู้ได้ไงวะ พราวก็อยู่กับเขาตลอด เป็นไปได้ไงที่เขาจะไม่เคยเห็นใบเกิดนั่น แล้วชื่อกูก็โชว์หราอยู่ในนั้น” นิคยังไม่หายข้องใจ
“คุณพราวเล่าให้กูฟังว่าพี่สาวกับพี่เขยเขาไม่รู้ชื่อคนที่เขาแต่งงานด้วย เพราะเขาไม่ได้บอก”
“อ้าว!..แล้วเขาไม่เคยเห็นใบเกิดนิกกี้บ้างเลยหรือ?”
“กูจะไปรู้ได้ยังไง แต่ก็เป็นไปได้ที่คุณพราวเก็บไว้เอง ไม่ได้ให้พี่สาวดู” แล้วเขาก็เกิดความสงสัย “นี่แสดงว่ามึงโกรธคุณพราวล่ะสิท่า”
นิคอึกอัก แก้ตัวว่า “น้อยใจมากกว่าโว๊ย มึงคิดดูสิ ท้องลูกกูอยู่แท้ๆยังขอหย่าหน้าตาเฉย มันแปลว่าอะไร นอกจากว่าเขาไม่ต้องการให้นิกกี้เป็นลูกกูใช่มั้ยล่ะ?”
“มึงจะบ้าหรือไง ไอ้นิค กูเคยถามเขาแล้วว่าทำไมไม่บอกมึงเรื่องท้อง เขาบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่ากำลังท้อง มารู้ก็หลังจากที่รู้ข่าวว่ามึงตายน่ะแหละ เขาเสียใจจนป่วยต้องส่งโรงพยาบาล เขาเพิ่งรู้จากหมอตอนนั้นแหละว่ากำลังท้องอยู่ สักสองเดือนแล้วมั้ง”
แล้วดิ๊กก็กล่อมเพื่อนว่า “มึงไม่น่าจะโกรธเขานะ น่าจะเห็นใจเขามากกว่า มารู้ตัวว่ากำลังจะมีลูกก็หลังจากที่นึกว่ามึงตายไปแล้ว จะกลับไปอยู่กับพ่อแม่ก็ไม่ได้ ทำงานต่อที่อุบลฯก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครรู้เรื่องจดทะเบียนของเขากับมึง อยู่ๆจะท้องโย้ขึ้นมาเหมือนท้องลูกไม่มีพ่อได้ยังไงล่ะ เขาถึงต้องไปอยู่กับพี่สาวที่อเมริกาไง มึงลองตรองให้ดีๆว่าเขาน่าสงสารแค่ไหน”
เมื่อนิคเงียบกริบไม่ตอบโต้ว่าอย่างไร ดิ๊กก็ชักสงสัย “หรือตอนนี้มึงเปลี่ยนใจไม่ต้องการเขาแล้ว มึงจะแต่งงานกับจูดี้หรือไงวะ”
“เปล่า” อีกฝ่ายรีบปฎิเสธโดยเร็ว “เรื่องจูดี้น่ะยังไงก็ต้องจบ ถ้าไม่จบก็เท่ากับกูหลอกลวงเขาและนอกใจเมีย เพราะกูไม่ใช่คนโสด”
“มึงพูดกับเขาแล้วหรือ?”
“ยัง ยังไม่มีโอกาสได้พูด พอรู้เรื่องพราวกูก็เผ่นมาลอนดอนเลย กลับไปนี่กูก็จะพูดกับเขาให้จบเรื่องไป”
“เออ! ถ้าตัดสินใจจะกลับไปหาคุณพราว ก็จัดการเรื่องยุ่งๆพวกนี้ซะให้เรียบร้อย นิกกี้มันจะได้อยู่กับพ่อกับแม่ของมันซะที” แล้วเขาก็หยอดส่งท้ายว่า “เบื่อมึงฉิบหายเลยว่ะ ไอ้นิค มึงน่ะฉลาดทุกเรื่อง โง่อยู่เรื่องเดียวแหละ เรื่องผู้หญิง”
ดิ๊กทำท่าเหมือนจะจบการสนทนาลงเพียงแค่นั้น แต่แล้วก็กลับส่งเสียงมาใหม่หลังจากเงียบไปอึดใจหนึ่ง
“เฮ้ย ไอ้นิค เมียกูเขาอยากคุยกับมึงแน่ะ พูดกับเขาหน่อยนะ เผื่อเขาจะมีคำแนะนำดีดีให้ไอ้ซื่อบื้ออย่างมึงมั่ง”
“เออ”
“สวัสดีค่ะ คุณนิค” เสียงนุ่มๆของสมพรดังมาตามสาย “ฉันรู้เรื่องทั้งหมดจากดิ๊กแล้วนะคะ ไม่ทราบว่าถ้าฉันจะขอพูดในฐานะเพื่อนและผู้หญิงคนหนึ่ง คุณจะยินดีรับฟังไหมคะ?"
"พูดมาเถอะ สมพร ผมยินดีฟัง อย่างน้อยอาจจะช่วยให้ผมเข้าใจอะไรมากขึ้น" ชายหนุ่มตอบเรียบๆ เขารู้ว่าเธอหวังดีต่อเขาและพราวพราย นอกจากนี้ยังรู้อีกด้วยว่าสมพรเป็นคนฉลาด
"ฉันอยากจะบอกว่าฉันเห็นใจทั้งคุณและคุณพราวมาก อย่าโกรธคุณพราวเลยนะคะ นิค เธอคงไม่สบายใจและสับสนมาก อย่าลืมนะคะว่าคุณพราวคิดว่าคุณตายไปนานแล้ว กว่าจะกลับมาพบกันอีกทีก็ตั้งสี่ปี สี่ปีนี่นานมากนะคะ อะไรๆก็เกิดขึ้นได้เสมอ ในกรณีของคุณมีอะไรเกิดขึ้นมากกว่าคุณพราว คุณมีผู้หญิงคนใหม่ที่กำลังจะแต่งงานกัน คุณจะให้คุณพราวอ้าแขนรับคุณกลับเข้ามาในชีวิตทันทีทันใด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยคงเป็นไปไม่ได้ เธอต้องการเวลาค่ะ ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอดี เพราะถ้าเป็นฉันๆก็คงต้องคิดหนักเหมือนกัน"
เมื่ออีกฝ่ายเงียบกริบ สมพรก็ถามว่า "ตอนนี้คุณพอจะเข้าใจคุณพราวขึ้นมาบ้างหรือยังคะ?"
"แล้วเรื่องลูกผมล่ะ ทำไมเขาไม่ยอมบอกความจริงกับผม?"
"เรื่องลูกก็เหมือนกัน ฉันเชื่อว่าคุณพราวคงไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรคุณหรอกค่ะ ยังไงเสียเธอก็ต้องบอกคุณ แต่ที่ยังไม่ได้บอกคุณตอนนี้ ก็คงเป็นเพราะเธอไม่อยากใช้ลูกมาเป็นเครื่องต่อรอง ให้คุณกลับไปอยู่กับเธอตามเดิมละมังคะ ฉันอยากให้คุณพยายามมองในแง่ดีว่าคุณพราวให้โอกาสคุณ ที่จะตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อไป ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่คุณยังไม่ได้เลิกกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งเท่านั้นค่ะนิค ไม่มีเมียคนไหนจะมั่นใจได้เต็มร้อยหรอกค่ะ จนกว่าจะแน่ใจเสียก่อนว่าสามีกับผู้หญิงคนนั้นขาดกันไปแล้วจริงๆ”
อีกฝ่ายอ้อมแอ้มเถียงว่า “ผมก็บอกเขาแล้วนี่ว่าถึงยังไงผมก็ต้องเลิกกับจูดี้แน่นอนอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่เชื่อกันบ้าง”
“ก็แค่คำพูดเท่านั้นนี่คะ จะให้คุณพราวมั่นใจได้ยังไง ในเมื่อตอนนี้คุณยังไม่ได้เลิก เป็นฉันๆก็ยังไม่ด่วนเชื่อหรอก จะเชื่อก็ต่อเมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าคุณกับผู้หญิงคนนั้นเลิกกันไปแล้วจริงๆ คุณอาจจะคิดว่าคุณพราวเรื่องมาก เล่นตัว แสนงอน หรืออะไรก็ตาม แต่ในฐานะผู้หญิงด้วยกันฉันไม่คิดยังงั้นค่ะ เธอจำเป็นต้องรอบคอบคิดหน้าคิดหลังให้ดีเสียก่อน เพราะไม่อยากผิดพลาดอีก
ลองคิดดูสิคะว่าคุณพราวจะทำยังไง ถ้ากลับมาอยู่กับคุณเหมือนเดิมแล้วมาพบภายหลัง ว่าคุณกับจูดี้อะไรนั่นยังคบกันอยู่ เธอคงรับไม่ได้หรอกค่ะ แล้วครอบครัวก็จะต้องแตกแยกอีกเป็นครั้งที่สอง ฉันถึงบอกว่าเห็นด้วยที่คุณพราวต้องรอบคอบระมัดระวังมากกว่าเก่า”
เห็นคนฟังเงียบกริบ สมพรเลยหัวเราะแล้วถามว่า “โกรธฉันหรือเปล่าคะ ไม่พูดไม่จาเลย”
“เปล่า ไม่ได้โกรธ กำลังคิดตามที่คุณว่า ตอนนี้ผมพอจะเข้าใจบ้างแล้วละ”
แต่นิคก็ยังมีข้อข้องใจอีกจนได้ “ว่าแต่พอจบเรื่องจูดี้กับเรื่องลูก พราวเขาจะมีเรื่องอะไรอีกไหมเนี่ย คุณเป็นผู้หญิงเหมือนกันคงจะพอรู้ละมัง ถ้าคิดว่าจะมีอะไรอีกก็บอกผมมั่งก็ดี ผมจะได้เตรียมรับมือถูก”
สมพรหัวเราะคิกกับสุ้มเสียงอ่อยๆของอีกฝ่าย “มีเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะพูดดีไหม”
“อ้าว ทำไมถึงจะไม่ดีล่ะ”
“ก็..มันค่อนข้างจะเป็นเรื่องส่วนตัวน่ะสิคะ เลยไม่กล้าพูด” หญิงสาวผู้นั้นทำเสียงอึกอัก
นิคอึ้งไปหน่อยก่อนจะบอกว่า “พูดมาเถอะ ผมฟังได้”
“คือฉันอยากจะเตือนคุณไว้ล่วงหน้า ว่าแม้แต่เรื่องความสัมพันธ์แบบสามีภรรยาหลังจากกลับไปอยู่ด้วยกันแล้ว คุณอาจจะต้องให้เวลาคุณพราวปรับตัวปรับใจบ้าง เธอคงไม่สามารถจะเปิดใจรับคุณได้ทันที เพราะจากกันไปนานมาก มันคงจะต้องมาเริ่มต้นกันใหม่
คุณเคยคิดมั่งไหมคะว่าทำไมคุณพราวถึงยังไม่แต่งงานใหม่ ทั้งๆที่นึกว่าคุณตายไปตั้งสี่ปีแล้ว เธอออกสวยขนาดนั้น คงต้องมีคนมาชอบเธอมากมาย ฉันเชื่อว่าเป็นเพราะคุณพราวรักลูกเป็นห่วงลูกและยังลืมคุณไม่ได้ ส่วนเรื่องที่คุณไปมีผู้หญิงอีกคนก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลืมกันได้ง่ายๆนะคะ
แม้คุณพราวอาจจะบอกว่าไม่เป็นไร ไม่ถือสา แต่ลึกๆแล้วเธอคงต้องคิดหนักเหมือนกัน เพราะคุณกับคุณจูดี้นั่นไม่ได้คบกันเล่นๆ แต่คบกันลึกซึ้งจริงจังถึงขั้นกำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้ว ถ้าคุณกับคุณพราวจะไม่กลับมาพบกันเสียก่อน”
“ผู้หญิงเนี่ยทำไมถึงชอบคิดอะไรมากเกินกว่าเหตุ” นิคบ่นอย่างไม่เข้าใจจริงๆ “ถ้าเรื่องมันจบไปแล้วก็ไม่ควรเก็บมาคิดอีก ทำไมจะต้องหึงย้อนหลัง แบบนี้ผู้ชายก็แย่น่ะสิ”
ภรรยาของดิ๊กหัวเราะอีกกับสุ้มเสียงของนิค
“คุณไม่เข้าใจผู้หญิงจริงๆด้วย ผู้หญิงกับผู้ชายไม่เหมือนกันนะคะ นิค จิตใจของผู้หญิงละเอียดอ่อนและหวั่นไหวง่ายกว่าผู้ชาย ซึมซับความเจ็บปวดได้ง่ายกว่าผู้ชายด้วย
เรื่องจูดี้น่ะ คุณพราวคงไม่ได้หึงจูดี้หรอกค่ะ ฉันคิดว่าเธอคงเข้าใจดีว่าผู้ชายอยู่คนเดียวนานๆไม่ได้ ต้องมีผู้หญิงสักคน เธอแค่หวงความรักที่เธอคิดว่าคุณคงมีต่อจูดี้มากกว่า คุณต้องพยายามเข้าใจคุณพราวให้มากๆ อย่าถือสาแม้เธอจะโกรธหรือน้อยใจคุณบ้าง ตอนนี้ทั้งคุณพราวทั้งคุณมาถึงจุดเปราะบางและล่อแหลมนะคะ ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่พยายามเข้าใจกัน แทนที่จะกลับมาคืนดีกันได้ ก็จะกลายเป็นยิ่งต้องแยกทางห่างหายกันไปอีกครั้ง
ดิ๊กบอกฉันว่าระยะหลังๆตั้งแต่กลับมานี่ คุณใจร้อนมากกว่าเก่าและเครียดบ่อย ซึ่งอาจจะเกิดจากความกดดันที่สะสมมาหลายปีจากเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด คุณต้องพยายามใจเย็นให้มากๆ ต้องทำให้คุณพราวกลับมาเชื่อมั่นในตัวคุณอีกครั้งหนึ่งว่าคุณรักเธอคนเดียว ผู้หญิงอื่นไม่มีความหมาย แล้วในที่สุดก็จะดีไปเองแหละค่ะ”
แล้วเธอก็จบการพูดคุยด้วยการบอกเขาว่า "เดี๋ยวคุยกับดิ๊กต่อนะคะ"
"เป็นไงวะ ไอ้นิค ฟังเมียกูกล่อมแล้วคิดอะไรได้มั่งหรือยัง" เพื่อนของเขาพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
"เออ ได้แยะเหมือนกัน" อีกฝ่ายยอมรับโดยดี "เมียมึงพูดเก่งฉิบหายเลยนะ สงสัยจะจบจิตวิทยาไม่ใช่วิชาครู"
"อ้าว เรียนครูก็มีวิชาจิตวิทยาด้วยนะโว้ย แล้วเมียกูเขาก็ซื้อหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยามาอ่านเยอะแยะ จิตวิทยาชีวิตคู่ก็มีนะมีง โง่ๆอย่างมึงสงสัยต้องให้เมียกูส่งหนังสือไปให้อ่านซะแล้วว่ะ"
"ไอ้บ้า ได้ทีขี่แพะไล่เลยนะมึง"
หลังจากพูดโทรศัพท์กับเพื่อนสนิทและภรรยาของเขาจบนิคก็ถอนใจยาว อย่างโล่งอก ตอนนี้เขาเข้าใจหมดแล้วว่าอะไรเป็นอะไร พอเข้าใจแล้วก็นึกด่าความซื่อบื้อและใจร้อนเกินเหตุของตัวเอง รู้สึกสงสารพราวพรายที่ต้องอุ้มท้องและเลี้ยงลูกอยู่คนเดียว ตลอดเวลาสี่ปีที่คิดว่าเขาตายไปแล้ว นึกถึงสีหน้าที่ซีดเผือดของเธอ ขณะพยายามจะเล่าเรื่องราวต่างๆให้เขาฟัง แต่เขาปฏิเสธจะรับฟังแล้วหุนหันเดินหนีเธอไปขึ้นแท๊กซี่ ปล่อยให้เธอกับลูกกลับอพาร์ตเมนท์กันเอง
ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ขณะนั้นใกล้สองยามแล้ว เขาร้อนใจอยากจะไปหาพราวพรายที่อพาร์ตเมนท์ แต่ก็รู้ว่าดึกเกินไป นิคคิดว่าพรุ่งนี้แต่เช้าจะรีบไปหาเธอ ไปขอโทษ ปรับความเข้าใจแล้วกลับไปอเมริกาด้วยกัน แต่แล้วโอปะเรเตอร์ที่เคาเตอร์ข้างล่างก็โทรศัพท์มาบอกเขาว่า มีแขกสองคนนั่งรอเขาอยู่ตรงล้อบบี้ เมื่อนิคลงไปที่ล็อบบี้ก็พบเพื่อนนายทหารสองคน ที่เคยร่วมรบด้วยกันในสงครามเวียตนามและสนิทสนมกันดี รู้ข่าวจากดิ๊กที่ติดต่อกันอยู่ประจำว่าเขามาลอนดอน ก็พากันมาหาเพื่อชวนไปกินเหล้า
วันรุ่งขึ้นนิคตื่นนอนสายเกือบเก้านาฬิกาเพราะเมาจัด แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็รีบร้อนจะออกไปหาพราวพราย แต่แล้วขณะที่เขากำลังจะออกจากห้องพักก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น นิคซึ่งคิดว่าคงเป็นพนักงานโรงแรมเดินไปเปิดประตูห้อง แล้วก็ต้องชะงักกึกตกตะลึงจังงัง เพราะผู้ที่ยืนยิ้มหวานอยู่ตรงนั้นคือจูดี้!!
ทันทีที่เห็นเขาจูดี้ก็วางกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่ถือติดมือมาลงบนพื้น แล้วโผเข้ากอดเขา ชายหนุ่มที่กำลังมึนงง สมองไม่ทำงานไปชั่วขณะ โอบตัวเธอเอาไว้โดยอัตโนมัติ
“จูดี้ มาได้ยังไงเนี่ย”
คำถามนั้นหลุดออกไปทันทีที่รู้สึกตัว หัวใจวุ่นวายสับสน เธอมาทำไม ทำไมไม่รอเขาอยู่ที่อเมริกา เขาจะทำอย่างไรดี นิคกะว่าจะพูดเรื่องพราวพรายกับจูดี้ทันทีที่กลับถึงบ้าน เพื่อไม่ให้เรื่องยืดเยื้อต่อไป จูดี้คงมาลอนดอนเพื่อจะใช้เวลาอยู่กับเขา แล้วเขาจะใจร้ายใจดำขอเลิกกับเธอตอนนี้เลยหรือ
แต่ถ้าไม่พูดแล้วจะทำอย่างไรต่อไป เธอคงพักกับเขาในห้องเขาแน่ ที่เธอมาหาเขาที่นี่ก็เพราะเธอคงเดาออกว่าเขาพักที่โรงแรมนี้ เขากับเธอเคยมาพักที่นี่ด้วยกันครั้งหนึ่งแล้ว ถ้าเขายังไม่รู้เรื่องพราวพรายก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ตอนนี้เมื่อรู้แล้วเขาก็ไม่สามารถที่จะมีความสัมพันธ์แบบเดิมกับจูดี้ได้อีกต่อไป แต่จูดี้ซึ่งยังไม่รู้เรื่องนี้ก็คงคาดหวังว่าเขาจะต้อนรับการมาของเธอ ด้วยความสัมพันธ์ฉันท์คนรักที่กำลังจะแต่งงานกันเหมือนเดิม หรือเขาควรจะพูดกับจูดี้เสียตอนนี้เลย เพื่อตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดลงเพียงแค่นี้ แม้จะดูเหมือนใจร้ายไปบ้างก็ตาม
“เงียบไปเลย ตกใจมากหรือคะที่เห็นฉัน” ตอนนี้คนทั้งคู่เดินเข้ามาในห้องด้วยกันแล้ว
ชายหนุ่มไม่ตอบ ท่าทางแปลกใจและตกใจของเขาทำให้จูดี้ยิ้มน้อยๆ เขย่งตัวขึ้นจูบเขา บอกด้วยเสียงหวานสดใส
“เหตุบังเอิญที่เป็นโชคดีของฉันค่ะ..นิค แฟรงค์มีสัมนาทางการแพทยที่นี่ แต่เขาเกิดป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่กระทันหันเลยส่งฉันมาแทน ดีใจไหมคะ? ฉันดีใจมากเลยค่ะ เราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างน้อยก็สามสี่วัน”
“สามสี่วัน?” นิคอึกอัก เขาจะทำอย่างไรดี
“ค่ะ แต่ฉันต้องไปสัมนาที่บาร์ท เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้บ่าย จะมีเวลาอยู่ที่นี่แค่คืนนี้คืนเดียว พรุ่งนี้ต้องจับรถไฟไปเมืองบาร์ทแต่เช้า”
เห็นอีกฝ่ายยังนิ่งอึ้งมองหน้าเธออยู่ เหมือนไม่ได้ยินหรือไม่ได้ฟังสิ่งที่เธอพูด จูดี้ก็ลากแขนเขาไปที่เตียง นั่งลงแล้วดึงเขาให้ลงนั่งข้างๆเธอ แขนของเธอโอบไปรอบคอเขา
“เป็นอะไรไปคะ นิค ทำท่างงๆ ไม่สบายหรือเปล่า”
“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร เมื่อคืนกินเหล้ามากไปหน่อย” นิคอ้อมแอ้มแก้ตัว
จูดี้ไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าที่เจื่อนจางของเขา เพราะมัวแต่คิดว่าจะบอกข่าวดีให้เขารู้เสียเลยตอนนี้ดีไหม แต่แล้วก็ตัดสินใจว่าค่อยบอกให้เขาดีใจตอนไปอยู่ด้วยกันที่บาร์ทดีกว่า
“เอางี้ดีไหมคะ ถ้าคุณเสร็จธุระที่นี่แล้ว พรุ่งนี้เราไปบาร์ทด้วยกันเลย เขาจองโรงแรมไว้ให้แล้ว ระหว่างที่ฉันสัมมนาคุณก็ออกไปเดินเล่นดูอะไรแถวๆนั้น หรือจะขึ้นรถไฟไปเที่ยวเมืองใกล้ๆก็ได้ เราจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันบ้าง คุณคิดว่ายังไงคะ”
นิคสบตาที่เต็มไปด้วยความหวังของหญิงสาวอย่างอึดอัด แม้จะนึกสงสารเธอที่อยากอยู่กับเขา แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถจะตามใจเธอได้อีกต่อไปแล้ว เขามีทั้งลูกและเมียที่จะต้องรีบไปหา ไปทำความเข้าใจเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกันอย่างครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาโหยหามาหลายปีโดยปราศจากความหวัง
แม้เขาเคยคิดจะแต่งงานกับจูดี้ แต่นั่นมันก่อนหน้าที่เขาจะได้รู้ความจริงเรื่องการหย่าร้างที่ไม่มีผลตามกฎหมาย เรื่องที่พราวพรายยังไม่ได้แต่งงานไปกับใครและเรื่องที่นิกกี้เป็นลูกของเขา ตอนนี้หัวใจของเขาจรดจ่ออยู่ที่ลูกและเมียเท่านั้น คนอื่นนอกจากนี้ไม่มีความสำคัญสำหรับเขาอีกต่อไป
แต่ถึงอย่างไรนิคก็อดสงสารจูดี้ไม่ได้ ที่ทุกอย่างระหว่างเขากับเธอต้องเปลี่ยนไป เขารู้ว่าเธอเป็นคนดีมีคุณค่าและเธอรักเขา หวังจะได้แต่งงานกับเขา แต่เขาก็ไม่อาจฝืนความต้องการในหัวใจของตัวเองได้ เขารักพราวพรายตลอดมา แม้แต่ในช่วงที่เขาคิดว่าเธอแต่งงานใหม่ไปแล้ว เขาจะพยายามทำใจให้ลืมเธอแต่ก็ลืมไม่ได้ อีกเรื่องที่สำคัญมากคือนิกกี้ เขารักนิกกี้มากและสงสารลูกที่ต้องเติบโตขึ้นมาเหมือนเด็กไม่มีพ่อ ต้องอาศัยเรียกสามีของเจิดจรัสว่า ‘พ่อ’ ตั้งแต่เริ่มพูดได้จนถึงตอนนี้ที่เขาอายุกว่าสามขวบแล้ว
ในที่สุดชายหนุ่มซึ่งพยายามเลี่ยง ที่จะไม่ต้องอยู่ในห้องสองต่อสองกับจูดี้ ก็ชวนเธอลงไปข้างล่าง เพื่อรับประทานอาหารเช้าในห้องอาหาร แม้ตอนแรกจูดี้จะบอกว่าเธอไม่หิว แต่นิคก็จำเป็นต้องอ้างว่าเขากำลังหิวจัดเพราะคืนที่ผ่านมามัวแต่กินเหล้า แทบจะไม่ได้แตะต้องอาหารหนักเลย แพทย์สาวก็ได้แต่ส่ายหน้ากับการไม่ดูแลตัวเองของเขา แล้วเลยยอมให้เขาพาเธอลงลิฟต์ไปที่ห้องอาหารดังกล่าว
กลับมากอวอยู่ใั่งนิคเสียแล้ว .
ทำอย่างไรดี
น่าสงสารจัง