คนละฟากฟ้า - บทที่ 75
คืนนั้นหลังจากออกจากบ้านของแฟรงค์กับเจิดจรัส นิคแวะไปส่งจูดี้ที่ห้องพักของเธอแล้วขอตัวกลับ ไม่ค้างกับเธอเหมือนที่เคยโดยอ้างว่ามีธุระ ทั้งๆที่ความจริงคืนนี้เขาตั้งใจจะค้างกับจูดี้ เพราะไม่ได้มาค้างด้วยกันเกือบสองสัปดาห์แล้ว เนื่องจากหลายคืนที่ผ่านมาหญิงสาวต้องเข้าเวรที่โรงพยาบาล และบางคืนก็ติดผ่าตัดคนไข้

แต่เมื่อได้พบพี่สาวของพราวพรายอย่างไม่คาดฝันในคืนนี้ ชายหนุ่มก็ไม่สามารถจะฝืนใจตัวเองได้ เขาต้องการเวลาอยู่ตามลำพังกับความหลังที่ลืมไม่ลง ถึงจะผิดหวังแต่จูดี้ก็ไม่ได้แสดงอะไรออกมา เธอเพียงแต่เดินเข้ามาจูบแก้มเขาแล้วบอกว่าไม่เป็นไร ปกติถึงจะคบกันสนิทแนบแน่นแล้ว แต่นิคก็ไม่เคยพาจูดี้ไปค้างที่บ้านพักนายทหารของเขาในค่าย เขาจะเป็นฝ่ายมาค้างที่อพาร์ตเมนท์ของเธอ

นิคจอดรถที่บริเวณลานจอดรถข้างบ้านพัก ซึ่งเป็นตึกชั้นเดียวค่อนข้างใหญ่ ภายในตบแต่งอย่างสวยงาม ชายหนุ่มเดินเข้าไปที่บาร์เล็กๆมุมห้องเอนกประสงค์ คว้าขวดเหล้าที่เหลืออยู่ครึ่งขวดและแก้วเหล้าติดมือไปนั่งลงที่เก้าอี้นวมตัวหนึ่ง ดื่มเหล้าไปเรื่อยๆ ในมือมีบุหรี่ที่สูบติดต่อกันสองสามมวนแล้ว นั่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ก็หยิบกระเป๋าสตางค์ที่พกติดตัวอยู่ตลอดเวลาออกมา เปิดกระเป๋าหยิบรูปที่เก่าและยับยู่ยี่ใบหนึ่ง ออกมาจากซอกเล็กด้านในสุดของกระเป๋า ยกรูปขึ้นเพิ่งพิศด้วยนัยน์ตาที่เริ่มเศร้า

รูปที่ชายหนุ่มกำลังมองอยู่คือรูปของพราวพราย ที่กำลังยิ้มกว้างจนเห็นฟันเกือบทุกซี่ ที่เคยอยู่ในกรอบเล็กๆบนโต๊ะข้างเตียงนอนของเขา ในบ้านพักที่เวียตนามเมื่อหลายปีมาแล้ว รูปนี้ติดตัวเขาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ที่พราวพรายจากไป ตอนที่ตกเป็นเชลยศึกเขาถูกยึดของที่ติดตัวไปหมดรวมทั้งกระเป๋าสตางค์ด้วย เขาได้กระเป๋าสตางค์คืนมา ด้วยความช่วยเหลือของนักโทษคนหนึ่งที่สนิทสนมกันดีกับผู้คุม

ชายหนุ่มพบว่าไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ในกระเป๋าใบนั้นเลย ทั้งเงินทั้งบัตรประจำตัวถูกพวกผู้คุมเวียตกงยึดเอาไปหมด ตั้งแต่ตอนที่ถูกจับใหม่ๆเมื่อได้กระเป๋าคืนมานิคไม่สนใจกับความว่างเปล่าของมัน สิ่งที่เขาค้นหาอย่างใจจรดใจจ่อคือรูปใบนี้ที่เขาเก็บเอาไว้ในซอกลึก เมื่อได้รูปตืนมาแล้วเขาพับจนเหลือเล็กนิดเดียว นำไปซุกไว้ในที่ลับเฉพาะ ส่วนกระเป๋าที่มีสภาพทรุดโทรมใบนั้น ถูกเขาโยนทิ้งไปอย่างไม่แยแส

ระหว่างที่เป็นเชลยศึกและตอนที่ต้องนอนรักษาตัวอยู่หลายเดือนในโรงพยาบาลทหาร เขามีแต่รูปใบนี้ที่หยิบขึ้นมาดูทุกวัน เป็นเหมือนแรงใจที่ทำให้เขาอยากจะรักษาและฟื้นฟูตัวเอง ให้กลับมาเป็นชายหนุ่มผู้สมบูรณ์แข็งแรงคนเดิมโดยเร็วที่สุด เพื่ออะไรเขาก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ในตอนนั้น

ตอนนั้นและแม้แต่ในช่วงที่กลับมาจากเวียตนามแล้ว นิคคิดถึงพราวพรายมากก็จริง แต่ก็คิดถึงอย่างผู้ชายที่คิดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่รักมากจนลืมไม่ได้ แล้วก็หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ไม่เคยคิดที่จะพาตัวไปให้เธอเห็นหน้า เพราะเวลาหลายปีที่จากกัน ชายหนุ่มเชื่อแน่ว่าเธอคงแต่งงานใหม่ไปแล้ว รวมทั้งข้ออ้างของพราวพราย ที่ขอร้องให้เขาเซ็นใบหย่าให้เธอเพราะมารดาของเธอป่วยหนัก ที่มีสาเหตุมาจากการแอบจดทะเบียนสมรสกับเขา

แม้นิคจะเห็นใจพราวพรายมากแต่เขาก็เจ็บปวด เมื่อเธอตัดสินใจตัดขาดจากเขาเพราะเห้นแก่บิดามารดาของเธอ ช่วยไม่ได้ที่เขาจะเสียใจและน้อยใจ ที่เธอไม่เห็นความสำคัญของผู้ชาย ที่เป็นสามีโดยชอบธรรมของเธอเลย เขาก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง จะห้ามเขาไม่ให้ทั้งเสียใจและแค้นใจย่อมเป็นไปไม่ได้ ที่เมียที่เขารักมากที่สุดไม่ต้องการเขาอีกต่อไป เธอเลือกที่จะเก็บรักษาความสัมพันธ์กับครอบครัวเดิมของเธอเอาไว้ แล้วตัดขาดเขาซึ่งเป็นครอบครัวใหม่ของเธอให้ขาดลอยจากกันไป เหมือนไม่มีความหมายความสำคัญอันใดสำหรับเธอ

ระหว่างที่นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลทหารในมิชิแกน เขาได้พบกับจูดี้ซึ่งเป็นแพทย์เจ้าของไข้ที่เอาใจใส่ดูแลเขาอย่างใกล้ชิด ยามที่เขาท้อแท้เบื่อหน่ายกับสภาพร่างกายของตัวเอง ที่ต้องนั่งๆนอนๆทำอะไรไม่ได้ เพราะยังต้องได้รับการฟื้นฟูอย่างหนัก รวมทั้งสภาวะทางจิตใจที่หดหู่ศร้าหมอง หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต ทั้งๆที่หลุดพ้นจากคุกนรกที่เคยถูกจองจำให้ไร้อิสรภาพออกมาแล้ว ก็ได้แพทย์หญิงผู้เอื้ออารีคนนี้แหละ ที่อนาทรห่วงใยกับทุกข์สุขของเขามาตลอด

เธอคอยประคับประคองปลุกปลอบให้กำลังใจทำให้เขาเข้มแข็งขึ้นมาใหม่ ยอมเข้ารับการบำบัดรักษาทั้งทางกายและทางใจต่อไป แม้เธออาจจะทำตามหน้าที่ของแพทย์ในการดูแลเขา แต่มันก็ทำให้เขาและเธอใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ วันใดที่ไม่เห็นเธอ นิคก็จะเฝ้าคอยอย่างกระสับกระส่าย จิตใจที่ว้าวุ่นสับสนของเขาพลันสงบ เมื่อเธอปรากฏตัวเข้ามาในห้องคนไข้ที่เขานอนซมอยู่

หลังจากแปดเดือนเต็มที่เขากับแพทย์หญิงสาวสวยคนนั้นได้อยู่ใกล้ชิดกัน ในที่สุดเขาก็หายป่วยกลับมาเป็นผู้ชายคนเดิมที่แข็งแรง พร้อมที่จะออกไปเผชิญโลกอีกครั้งหนึ่ง นิคกับจูดี้ลาจากกัน เขากลับไปสู่งานเดิมของเขา ส่วนจูดี้ก็ยังทำงานในฐานะแพทย์ในโรงพยาบาลทหารแห่งนั้นต่อไป

เมื่อได้พบจูดี้อีกครั้งในวอชิงตันดี.ซี. หลังจากที่เธอย้ายมาทำงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในรัฐนี้ เขากับเธอก็เริ่มคบกัน แรกๆก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความถูกตาต้องใจหลายอย่างในตัวเธอ รวมทั้งความเหงาลับๆในหัวใจ ที่โหยหาความรักความเข้าใจจากใครสักคน แต่เมื่อคบกันได้สามเดือน นิคซึ่งรู้ว่าจูดี้รักเขามาก ก็เริ่มคิดถึงเรื่องการแต่งงานสร้างครอบครัวใหม่กับเธอ

แม้จะไม่ได้รักหญิงสาวผู้นี้มากมายเหมือนที่เคยรักพราวพราย แต่ชายหนุ่มก็คิดว่าเขากับเธอคงอยู่กันได้ราบรื่นไม่มีปัญหาอะไร เพราะจูดี้เป็นผู้หญิงที่มีวุฒิภาวะสูง แม้แต่วัยก็ไม่ได้แตกต่างกันมากมายเหมือนเขากับพราวพราย ความจริงนิคตั้งใจว่าจะขอจูดี้แต่งงานหลังคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึงในอีกสามเดือนข้างหน้า หลังจากไปพบพ่อแม่พี่น้องของเธอในมิชิแกนแล้ว จูดี้ชวนเขาไปฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวของเธอที่มิชิแกน แต่เขายังไม่ได้ให้คำตอบที่แน่นอนกับเธอ เพราะในช่วงเวลาอีกสองสามเดือนข้างหน้า ชายหนุ่มยังไม่รู้แน่ว่าจะมีคำสั่งพิเศษ ให้เขาต้องไปปฏิบัติหน้าที่ที่ไหนหรือเปล่า

แต่วันนี้เมื่อได้พบเจิดจรัสและครอบครัวที่น่ารักของเธอ และการที่ได้รู้ว่าเธอเป็นพี่สาวของพราวพราย ความตั้งใจของนิคที่จะไม่ขอพบหน้าพราวพรายอีกต้องมีอันเปลี่ยนไป เขารู้ว่าเขาจะต้องขอพบเธออีกสักครั้งก่อนที่จะแต่งงาน จะขอดูหน้าผู้หญิงใจดำที่บังคับให้เขาหย่าเป็นครั้งสุดท้าย คืนรูปใบนี้ให้เธอไป แล้วตัดใจจากเธออย่างเด็ดขาดเหมือนไม่เคยพบกันมาก่อน ต่อจากนั้นก็แต่งงานกับผู้หญิงที่เหมาะสมกับเขามากที่สุดคนนี้ที่ชื่อ...จูดี้

แล้วตั้งแต่คืนนั้นชายหนุ่มก็พยายามคิดหาวิธีที่จะไปพบเจิดจรัส เพื่อหาข่าวพราวพรายที่เขาแน่ใจว่า คนที่รู้ดีที่สุดคือพี่สาวของเธอ โดยไม่ให้ใครสงสัยจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา แต่เมื่อคิดอย่างไรก็ยังไม่เห็นช่องทางที่เหมาะสม นิคจึงต้องปล่อยเรื่องดังกล่าวไปก่อน ก้มหน้าก้มตาทำงานในหน้าที่ของเขาต่อไปอย่างมุ่งมั่นตามนิสัย แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุบังเอิญ ที่ช่วยให้เขาได้เข้าไปใกล้ชิดเจิดจรัสและครอบครัวของเธอโดยไม่คาดฝัน

สามสัปดาห์หลังจากไปรับประทานอาหารเย็นที่บ้านของแฟรงค์ บ่ายวันหนึ่ง นิคขับรถไปธุระ แถวใกล้ๆที่ตั้งอาคารอพาร์ตเมนท์ของแฟรงค์กับเจิดจรัส ขากลับเขาผ่านถนนหน้าอาคารหลังนั้นไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อเหลียวมองไปที่บริเวณลานกว้างข้างๆอาคาร ที่จัดเป็นสวนหย่อมและสนามเด็กเล่น ที่มีอุปกรณ์ของเล่นหลายชิ้นสำหรับเด็กๆเช่น ชิงช้า ไม้กระดก อุโมงค์เล็กๆให้เด็กลอดเล่น สไลเดอร์และอุปกรณ์อื่นๆอีกหลายชิ้น เขาเห็นเด็กมากกว่าสิบคนกำลังเล่นกันอยู่ ผู้ใหญ่หลายคนนั่งบ้างยืนบ้างมองเด็กของตนอยู่อย่างเอาใจใส่ แล้วนิคก็เห็นลูกสองคนของเจิดจรัส รวมอยู่ในกลุ่มเด็กที่กำลังเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนาน

ก่อนที่จะทันคิดอะไรชายหนุ่มก็วกรถกลับมาที่หน้าอาคารแห่งนั้น เลี้ยวเข้าไปจอดแล้วเดินเข้าไปที่สนามเด็กเล่น สองพี่น้องคือริกกี้กับนิกกี้กำลังเล่นไม้กระดกกันอยู่ มีพี่เลี้ยงที่ชื่อซูซี่ยืนคุยกับหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย เมื่อนิคเดินเข้าไปถึงตัว เด็กชายสองคนซึ่งคงจำเขาได้ ยกมือขึ้นโบกให้เขาแล้วหัวเราะร่า

“ไฮ อังเคิลนิค” ริกกี้ทักก่อน
“ไฮ อังเคิลนิค มาเล่น..เล่น..กานิกกี้หน่อยนะ” นิกกี้ทักแปลกออกไปตามเคย

นิคแปลกใจตัวเองที่รู้สึกดีใจที่ได้พบเด็กชายทั้งสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กชายคนน้อง ไม่เข้าใจว่าอะไรดึงดูดเขาเข้าหาเด็กตัวเล็กๆที่หน้าตาคุ้นๆ ชื่อคล้ายคลึงกับเขาคนนี้ อยากจะอุ้มร่างน้อยๆหน้าตามอมแมมไปด้วยเหงื่อไคลจากการเล่นสนุก มากอดจูบด้วยความเอ็นดู

ชายหนุ่มยืนดูเด็กทั้งสองเล่นกันอยู่ครู่หนึ่ง ซูซี่ก็เดินเข้ามาทักเขาด้วยหน้าตายิ้มแย้มจ่มใส เพราะคงจำเขาได้

“ไฮ” เธอทัก
“ไฮ ” นิดทักตอบ แล้วเมื่อนึกขึ้นได้ก็รีบถามว่า “มาดามอยู่บ้านหรือเปล่า”

พี่เลี้ยงสาวรุ่นส่ายหน้าปฏิเสธ “มาดามออกไปข้างนอกค่ะ แต่สักพักคงจะกลับ”
“คุณหมอล่ะ จะกลับถึงบ้านสักกี่โมง”

“วันนี้ไม่กลับค่ะ คุณหมอไปสัมนาที่นิวเจอร์ซี่ อีกสองสามวันคงจะกลับ”

นิครู้สึกเสียดายที่มาถึงที่นี่แล้วกลับไม่มีโอกาสได้พบเจิดจรัส หรือแม้แต่สามีของเธอ ตอนแรกที่ยังไม่รู้ว่าเธอไม่อยู่บ้าน เขาวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะตามเด็กชายสองคนขึ้นไปเยี่ยมเธอ เพื่อหาทางไต่ถามถึงพราวพราย หลังจากนั้นอีกพักใหญ่ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปหาริกกี้กับนิกกี้ ที่ตอนนี้กลับขึ้นไปเล่นไม้กระดกอีกครั้งหนึ่งแล้ว หลังจากลงไปเล่นสไลเดอร์และลอดอุโมงค์อยู่พักหนึ่ง

“ริกกี้ นิกกี้ อังเคิลนิคจะกลับแล้วนะ เซย์ฮัลโหลแดดดี้กับมอมมี้ให้ด้วยนะ บาย”

เด็กชายสองคนพะยักเพยิดให้เขา คนโตบอกเขาว่า “บาย อังเคิลนิค”

เด็กชายคนเล็กโบกมือให้นิค ยิ้มกว้างจนเห็นฟันน้ำนมซี่เล้กๆหลายซี่

“บาย อังเคิลนิค จาไปแล้วเหรอ"

นิคหันไปบอกลาซูซี่แล้วออกเดินเพื่อจะไปที่ลานจอดรถใกล้ๆ แต่พอเดินยังไม่ทันพ้นเขตสนามเด็กเล่น ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงโครมสนั่น ตามมาด้วยเสียงร้องกรี๊ดของเด็กและผู้หญิงหลายคน เขาหันขวับไปตามเสียงแล้วก็ต้องตกตะลึงไปอย่างไม่คาดฝัน เมื่อเห็นร่างของนิกกี้ที่ฟุบตะแคงอยู่บนพื้นใกล้กับไม้กระดก ส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดและคงจะตกใจด้วย มือเล็กๆข้างหนึ่งกุมอยู่บริเวณปลายตาข้างซ้าย

นิควิ่งพรวดเดียวถึงร่างน้อยๆนั้น ค่อยๆประคองเขาให้นั่งขึ้นมา ดึงมือที่เกาะกุมอยู่บนหน้าเล็กๆออก มีแผลฉีกขาดยาวประมาณสองนิ้วที่บริเวณหางตา เลือดกำลังไหลออกมาจนเปรอะแก้มซีกนั้น มือของชายหนุ่มก็เปื้อนเลือดด้วย

นิคควักผ้าเช็ดหน้าที่ยังไม่ได้ใช้ออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดลงบนปากแผลเพื่อห้ามเลือด ตาก็มองหาพี่เลี้ยงของเขา ซึ่งตอนนี้กำลังวิ่งเข้ามาหานิกกี้ด้วยท่าทางตกใจ ริกกี้ซึ่งนั่งมองอยู่บนปลายไม้กระดกด้านหนึ่งด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด รีบกระโดดลงมาหานิค ซึ่งตอนนี้อุ้มเด็กชายที่ยังหลับหูหลับตาร้องกรี๊ดๆอยู่ให้พิงอกเขา มือข้างหนึ่งของเขากดอยู่ที่ผ้าเช็ดหน้า ส่วนแขนข้างหนึ่งก็โอบไปรอบตัวของเด็กชาย

“ซูซี่ พาริกกี้ขึ้นบ้านไปก่อน ผมจะพานิกกี้ไปโรงพยาบาลแถวๆนี้ คงจะต้องให้หมอเย็บแผล”

ชายหนุ่มละล้าละลังสั่งแม่พี่เลี้ยงสาว เขาตัดสินใจทิ้งรถไว้ที่ลานจอดใกล้สนามเด็กเล่น เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่โรงพยาบาลเล็กๆ ห่างออกไปประมาณสามช่วงตึกที่เขาเห็นตอนขับรถผ่าน นิคไปกล้าขับรถไปเองเพราะจะไม่มีใครนั่งไปกับนิกกี้ ช่วยกดผ้าเช็ดหน้าห้ามเลือดเอาไว้ก่อนถึงมือหมอ

หมอที่เข้ามาตรวจบาดแผลของเด้กชาย ทำความสะอาดแผลแล้วเย็บแผลให้หลายเข็ม ให้ยาแก้อักเสบมาด้วยแล้วให้กลับบ้าน นิคมองเด็กชายที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงอย่างสงสาร ตอนนี้เขาหยุดร้องไห้แล้วแต่น้ำตายังเปียกแก้ม ตากลมโตของเขาเบิ่งมองหมออย่างกล้าๆกลัวๆ

“คุณหมอครับ ไม่ต้องเอ๊กซ์เรย์สมองหรือครับ รู้สึกว่าเขาจะตกลงมาสูงเหมือนกัน” ชายหนุ่มถามอย่างกังวล

นายแพทย์หนุ่มมองคนเจ็บที่นอนตาแป๋ว ก่อนจะอธิบายอย่างใจเย็นว่า “ผมตรวจแล้วละ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หัวเด็กไม่ได้กระแทกพื้น คิดว่าเขาคงตกลงมาโดนเศษไม้หรืออะไรแหลมๆสักอย่าง ทิ่มเอาเท่านั้นแหละ แต่แผลกว้างและลึกพอควร เลยต้องเย็บเพื่อห้ามเลือดและให้แผลติดง่ายเท่านั้น”

แล้วเขาก็เสริมว่า “โชคดีที่ไม่โดนนัยน์ตา เฉียดไปนิดเดียวเอง อ้อ..ต้องระวังแผลด้วย อย่าให้ถูกน้ำ”

ทันทีที่หมอออกไปจากห้อง เด็กชายก็รีบพรวดพราดลุกขึ้นนั่ง กางแขนสองข้างออก พอชายหนุ่มก้มตัวลงเพื่อจะอุ้มเขาออกจากเตียง นิกกี้ก็โผเข้ากอดคอเขา

“อังเคิลนิค นิกกี้จากลับบ้าน นิกกี้จาหามอมมี้”

นิคอุ้มเด็กชายขึ้นจากเตียงพาออกไปนอกห้องตรวจ จ่ายเงินค่าทำแผลเสร็จก็พาเขากลับอพาร์ตเมนท์ด้วยแท็กซี่ เจิดจรัสซึ่งเพิ่งกลับมาถึงที่พักไม่นาน กำลังเดินกลับไปกลับมารอนิคและนิกกี้อยู่อย่างร้อนใจ เธอตกใจมากเมื่อรู้เรื่องจากซูซี่ ไม่รู้ว่าเด็กชายจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า เธอเปิดประตูทันทีที่ได้ยินเสียงออด เมื่อเห็นเจิดจรัสนิกกี้ก็ทำปากเบะเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาอีก รีบโผจากอ้อมแขนของนิคไปหาเธอ 

“มอมมี้ มอมมี้ นิกกี้เจ็บตรงเนี้ย มอมมี้เป่าหน่อย..เป่าหน่อยนะ”

เจิดจรัสรับนิกกี้มาอุ้มแล้วเชิญนิคให้เข้าไปข้างใน “ขอบคุณมากเลยนะคะ นิค เชิญค่ะ เชิญเข้ามาข้างในก่อน”

ซูซี่เดินเข้ามารับตัวนิกกี้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยที่ชายหนุ่มรีบกำชับว่าอย่าให้แผลโดนน้ำ ส่วนเจิดจรัสก็เดินเข้าไปด้านในหาเครื่องดื่มมารับรองแขก ที่ตอนนี้ลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้ว ระหว่างที่นั่งรอเจ้าของบ้าน สายตาของนิคที่มองผ่านๆไปรอบห้องที่ตกแต่งอย่างสวยงามนั้น ก็ไปสะดุดที่รูปถ่ายจำนวนหนึ่งที่ใส่กรอบเล็กๆแบบตั้งได้ตามขนาดของรูป วางรวมกันอยู่บนหลังตู้โชว์เตี้ยๆ ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปดูอย่างสนใจ ส่วนใหญ่เป็นภาพถ่ายของครอบครัว พ่อแม่ลูกสามคนบ้าง พ่อแม่ลูกสี่คนบ้าง

แล้วเขาก็เห็นรูปของพราวพรายที่ถ่ายคู่กับเจิดจรัส มีเด็กชายสองคนนั่งอยู่บนตัก นิคเดาว่ารูปนี้คงจะถ่ายไม่นานมานี้และคงจะถ่ายในห้องนี้ เขาสังเกตเห็นโดยไม่นึกสงสัยว่าริกกี้นั้นนั่งอยู่บนตักของเจิดจรัส ในขณะที่นิกกี้นั่งอยู่บนตักของพราวพราย ชายหนุ่มจ้องมองรูปผู้หญิงในอดีตอย่างเผลอไผล เขารู้สึกว่าเธอสวยขึ้นมาก ผมหยิกๆของเธอสลวยยาวลงมาคลุมหลังไหล่ หญิงสาวกอดนิกกี้และวางคางของเธอ แนบอยู่บนผมของเด็กชาย รอยยิ้มของพราวพรายช่างแพรวพราวเสียเหลือเกิน

เจิดจรัสเดินเข้ามาพอดีพร้อมถาดที่มีกาแฟร้อนสองถ้วย ขนมชิ้นเล็กๆและน้ำเย็น เธอวางถาดนั้นลงบนโต๊ะก่อนจะเดินเข้าไปทางด้านหลังของนิค ที่กำลังมองรูปของพราวพรายอยู่

“นั่นน้องสาวฉันค่ะ คนที่นิกกี้นั่งอยู่บนตักน่ะ เพิ่งถ่ายเมื่อไม่นานนี่เอง”

ชายหนุ่มเดินตามเจ้าของบ้านสาวกลับไปนั่งที่เดิม ถือโอกาสที่เจิดจรัสเปิดให้โดยไม่ตั้งใจเลียบเคียงถามว่า “น้องสาวคุณเจิดมาเยี่ยมหลานหรือครับ รู้สึกว่ารูปนั่นจะถ่ายในห้องนี้เอง”

“อ๋อ..ไม่เชิงมาเยี่ยมหรอกค่ะ แต่ก่อนเขาอยู่กับเราที่นี่เป็นปี”
“อ้าว..แล้วตอนนี้กลับไปบ้านที่เมืองไทยแล้วหรือครับ”

เจิดจรัสอึกอักเล็กน้อย แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องปิดบังอะไร และอีกอย่าง..นอกจากจะชอบบุคลิกลักษณะและความสุภาพ ของชายหนุ่มผู้นี้เป็นการส่วนตัวแล้ว เธอยังรู้สึกขอบใจเขามากด้วย ที่ช่วยพานิกกี้ไปโรงพยาบาลและดูแลเขาจนปลอดภัย หญิงสาวจึงตอบไปตามตรงว่า

“เปล่าค่ะ ไม่ได้กลับเมืองไทย ตอนนี้เขาอยู่ลอนดอน”

นิคอึ้งไปครู่หนึ่ง นึกในใจว่าหรือพราวพรายกับครอบครัวใหม่ของเธอ จะพำนักอยู่ในประเทศอังกฤษ ความอยากรู้ให้แน่ชัดทำให้เขาถามต่อไปเหมือนพูดคุยกันตามธรรมดา 

“อ้อ..ครอบครัวน้องสาวคุณเจิดอยู่อังกฤษหรือครับ ที่ถามเพราะเข้าใจว่าเธอคงแต่งงานแล้ว”

คราวนี้เจิดจรัสไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไร หญิงสาวเสยกกาแฟขึ้นดื่มก่อนจะตัดสินใจบอกเขาไปตามตรง

“ค่ะ พราว..น้องสาวฉันชื่อพราวพรายน่ะคะ เขาแต่งงานแล้ว”

ความจริงเธอหมายถึงผู้ชายอเมริกัน คนที่พราวพรายบอกว่าจดทะเบียนกับเขา และแม้จนป่านนี้น้องสาวของเธอก็ยังไม่เคยเล่าอะไรเกี่ยวกับเขาคนนั้นให้เธอฟัง นอกเหนือไปจากที่เล่าในวันแรกที่เดินทางมาอเมริกาเมื่อสี่ปีที่แล้ว

แม้จะคิดและเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าพราวพรายคงแต่งงานใหม่ไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินชัดๆจากปากพี่สาวของเธอ ชายหนุ่มก็รู้สึกใจหายวาบขึ้นมาทันที ยกกาแฟขึ้นดื่มบ้าง คิดว่าจะเลิกถามเพียงแค่นั้น ตอนนี้รู้ชัดเจนว่าเธอมีชีวิตใหม่ไปแล้วเขาก็ควรจะจบ แต่เปล่าเลย..หัวใจเจ้ากรรมของเขาสั่งปากให้ถามต่อไป 

“น้องสาวคุณเจิดมีลูกไหมครับ ถ้ามีคงจะน่ารักเหมือนริกกี้กับนิกกี้”

เจิดจรัสเริ่มรู้สึกว่าชายหนุ่มหน้าขรึมผู้นี้ ไม่ได้เงียบกริบไม่ค่อยพูดค่อยจาเหมือนครั้งแรกที่พบกัน แต่เธอก็ตอบไปตามตรงว่า “เขามีลูกคนนึงค่ะ”

คำตอบประโยคนั้นทำให้นิคแปลบปลาบในหัวใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ สมัยที่อยู่ด้วยกันพราวพรายไม่ยอมมีลูกอย่างเด็ดขาด อ้างโน่นอ้างนี่จนน่ารำคาญ แต่ตอนนี้เธอมีลูกกับชายอื่นไปแล้ว ชายหนุ่มถอนใจยาวบอกตัวเองว่าเมื่อรู้ชัดเช่นนี้แล้ว เขาก็ควรพยายามลบพราวพรายออกไปจากหัวใจให้ได้อย่างเด็ดขาด แล้วเดินหน้ากับชีวิตและอนาคตของตัวเองต่อไป แต่ถึงจะตัดสินใจเช่นนั้นนิคก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ที่จะได้พบเธอคนนั้นอีกสักครั้ง เพื่อขอดูหน้าผู้หญิงใจร้ายและร่ำลากันเป็นทางการอย่างถาวร

ขณะที่นิคกำลังคิดที่จะลากลับเพราะเห็นว่าเย็นมากแล้ว นิกกี้ซึ่งตอนนี้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว วิ่งหน้าเริ่ดเข้ามาในห้อง หางตาที่มีพลาสเตอร์แผ่นใหญ่ปิดอยู่ทำให้หน้าตาเขาดูน่าขัน เขาอุ้มตุ๊กตาทหารถือปืนตัวใหญ่ที่ทำจากพลาสติคหนาเข้ามาด้วย พอเห็นว่านิคยังอยู่เด็กชายก็ยิ้มร่าอย่างดีใจ วิ่งเข้ามาหาเขาแล้วส่งตุ๊กตาในมือให้

“อังเคิลนิค ดูนี่ นี่ไมค์ ตุ๊ก..ตาของ..นิกกี้”

ชายหนุ่มรับของเล่นชิ้นนั้นมาจากมือของนิกกี้ ไม่เข้าใจว่าเด็กชายส่งให้เขาทำไม เมื่อเห็นนิคถือตุ๊กตามองเขาเฉยอยู่ นิกกี้ก็สั่งแกมอ้อนวอนว่า

“ยิงเลยซี่ ยิงเลย..ยิง..นิกกี้..หน่อยนะ”

เจิดจรัสมองท่าทางไม่เข้าใจของชายหนุ่มอย่างขันๆ อธิบายว่า “เขาจะชวนคุณเล่นด้วยน่ะค่ะ เขาจะให้คุณยิงเขา เขาจะได้หลบหรือไม่ก็ทำเป็นตาย”

คราวนี้ชายหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างขันๆ มองเด็กชายตัวน้อยที่เกาะเข่าจ้องหน้าเขาอยู่อย่างเอ็นดู แล้วเขาก็กดปุ่มเล็กๆตรงด้ามปืนที่ตุ๊กตาทหารตัวนั้นถืออยู่ เสียงรัวเหมือนปืนกลมือดังออกมาพร้อมประกายไฟว่อบแว่บ ทันใดนั้นนิกกี้ก็ทิ้งตัวลงบนพื้นห้อง ทำท่าดิ้นกระแด่วไปมา ปากน้อยๆที่มีฟันไม่กี่ซี่ก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดราวกับถูกยิงเข้าจริงๆ เล่นแบบนี้อยู่สองสามครั้งเขาก็ลุกขึ้นยืน คว้าตุ๊กตาทหารตัวนั้นมาจากมือนิค รัวกระสุนใส่เขา

และเมื่อเห็นชายหนุ่มนั่งมองเฉย เด้กชายก็แผดเสียง
“ตาย..ซี่ อังเคิลนิค ตายเร็ว”

เจิดจรัสหัวเราะและต้องทำหน้าที่ล่ามอีกครั้ง เมื่อเห็นแขกของเธอยังนั่งเฉยอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมด้วยสีหน้างงๆ

“คราวนี้เขาจะให้คุณถูกยิงมั่งแล้วค่ะ เขายิงใคร คนนั้นต้องล้มลงไปตายบนพื้น หรือไม่ก็ต้องทำท่าชักเหมือนเขา ริกกี้เห็นนิกกี้หยิบตุ๊กตาตัวนี้ทีไรต้องรีบหนี เพราะนิกกี้จะสั่งให้เขาตายหรือชักอยู่ทั้งวัน”

นิคยิ้มกว้างเมื่อเข้าใจ “อ้อ..นิกกี้จะให้อังเคิลนิคลงไปนอนบนพื้นโน่นใช่มั้ย”

“ช่าย..ช่าย อังเคิลนิค..ต้องนอน”

“ให้อังเคิลนิคนั่งตายได้มั้ย” นิคเริ่มต่อปากต่อคำ

เด็กชายทำปากเม้มตาขุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ แผดเสียงว่า “ม่าย..ด้าย ต้องนอน นอนเดี๋ยวนี้นะ”

ชายหนุ่มลุกจากเก้าอี้ นั่งเหยียดขาลงไปบนพื้นห้องแล้วก้มหน้าลงไปจนเกือบจรดตัก หลับตาทำเป็นตายอยู่เดี๋ยวหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้นิกกี้ ซึ่งเตรียมจะรัวยิงใส่เขาอีกชุดหนึ่ง

นิคยกมือทั้งสองข้างขึ้นสูง ทำท่ายอมแพ้ “อังเคิลนิคยอมแพ้แล้ว อย่ายิงอีกเลยนะ อังเคิลนิคยังไม่อยากตาย”

นิกกี้ทำท่าขัดใจ อุ้มตุ๊กตาตัวโปรดไว้แนบอกแล้ววิ่งเข้าใส่นิค พอเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มก็คว้าตัวเขาไว้ให้นั่งลงบนตัก เจิดจรัสมองหน้าสองหน้าที่อยู่เคียงกัน รู้สึกสะดุดใจกับความคล้ายคลึงของใบหน้าทั้งสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงคิ้วหนายาวและริมฝีปากบางสวย ที่มีลักษณะเหมือนเม้มนิดๆ แต่เธอก็ไม่ได้นึกสงสัยอะไรมากมาย เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าพ่อของเด็กชายเสียชีวิตไปหลายปีแล้วก่อนเขาเกิดด้วยซ้ำ

อีกครู่ต่อมาชายหนุ่มก็ยกตัวเด็กชายออกจากตัก ลุกขึ้นยืนแล้วบอกเจิดจรัสว่า “ผมคงต้องกลับก่อนละครับ”

หญิงสาวท้วงว่า “อ้าว..ตั้งใจจะเชิญคุณทานมื้อเย็นด้วยกัน ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ทานข้าวด้วยกันก่อน วันนี้มีอาหารไทยด้วยนะคะ”

ชายหนุ่มซึ่งรู้สึกเกรงใจทำท่าลังเล แต่ก็ยังพยายามปฏิเสธ “ไม่มีธุระที่ไหนหรอกครับ แต่ผมเกรงใจไม่อยากรบกวน”

“โถ..รบกวนอะไรกันคะ ทานด้วยกันเถอะค่ะ แฟรงค์ก็ไม่อยู่ นึกว่าทานเป็นเพื่อนฉันแล้วกัน”

นิกกี้ซึ่งยังยืนอุ้มตุ๊กตาอยู่ข้างๆ กระตุกมือนิค “อังเคิลนิค กินข้าว..กะนิกกี้นะ..นะ”

เจิดจรัสมองหลานชายตัวน้อยอย่างแปลกใจ ปกตินิกกี้เป็นเด็กตระหนี่ตัวต่อคนแปลกหน้า ไม่ค่อยจะยอมสนิทสนมกับใครง่ายๆ แต่กับชายหนุ่มผู้นี้เด็กชายมีมีท่าว่าชอบเขาเป็นพิเศษ

“สงสัยคุณต้องทานข้าวที่นี่แล้วละค่ะ นิกกี้ตื๊อเก่งจะตาย คงไม่ยอมให้คุณกลับไปง่ายๆหรอก ท่าทางเขาจะติดคุณ ปกติเขาไม่ค่อยสนใจแขกที่มาที่บ้าน”

ในที่สุดเมื่อเจิดจรัสคะยั้นคะยออีกสองสามครั้ง และเด็กชายก็คอยกระตุกมือเขาเป็นระยะๆ ชายหนุ่มก็เลยต้องยอมแพ้ รับประทานอาหารมื้อเย็นซึ่งเป็นอาหารไทย ร่วมกับเจ้าของบ้านสาวและลูกชายสองคนของเธอ แล้วนับตั้งแต่วันนั้น นิคก็เลยกลายเป็นแขกประจำของนิกกี้

เขาแวะมาหาเด็กชายบ่อยๆและร่วมดื่มเหล้ากับเจ้าของบ้านฝ่ายชายเป็นครั้งคราว บางวันก็ร่วมรับประทานอาหารค่ำกับครอบครัวด้วย แพทย์หญิงจูดี้มากับนิคด้วยบางครั้งที่ไม่ติดเวรที่โรงพยาบาล ถ้านิคหายไปเกินสามวัน ไม่เจิดจรัสก็แฟรงค์ต้องโทร.ไปตามเขา เพราะทนคำอ้อนวอนแกมอาละวาดของหลานน้อยนิกกี้ไม่ไหว






 



Create Date : 05 กรกฎาคม 2566
Last Update : 5 กรกฎาคม 2566 21:40:55 น.
Counter : 436 Pageviews.

3 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณสองแผ่นดิน, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณSweet_pills, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณหอมกร, คุณ**mp5**, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณเริงฤดีนะ, คุณปรศุราม, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร

  
แหมดูท่าจะจบด้วยดี สงสารหมอจูดี้ค่ะคุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 6 กรกฎาคม 2566 เวลา:7:12:45 น.
  
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด

มาติดตามอ่าน เรื่อง คนละฟากฟ้า จ้ะ เรื่องกำลังเข้มข้น เลยเนาะ
พ่อลูก คือ นิค และนิคกี้ ได้เจอกันแล้ว แต่ไม่รู้จักกัน แต่ทั้งสองคนก็
สนิทสนมกัน นี่แหละ เขาเรียกว่า สายสัมพันธ์ทางสานเลือด ย่อมสื่อ
ถึงกันได้ เนาะ
คนที่น่าสงสารมากที่สุด มีความรักแท้ คือ นิค จ้ะ ผู้ชายแบบนี้ คง
หายาก จ้ะ อิอิ แพรวพราย ก็เป็นคนอ่อนแอ มากเกินไป เนาะ น่าเบื่อ
รออ่านต่อไป จ้ะ
โหวดหมวด งานเขียนฯ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 9 กรกฎาคม 2566 เวลา:11:05:40 น.
  
อ้าวๆๆๆ
พ่อนิค กับ ลูกชายนิกกี้
ชื่อก็คล้ายกัน
ได้เจอกันแล้ว
ว่าแต่ว่าพราว ไปทำอะไรที่ London

ตื่นเต้นๆจังค่ะ..อยากรู้ๆๆ
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 9 กรกฎาคม 2566 เวลา:12:37:18 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
กรกฏาคม 2566

 
 
 
 
 
 
2
3
4
6
7
8
9
10
12
13
15
16
17
18
20
21
22
24
25
26
27
28
30
31
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com