คนละฟากฟ้า - บทที่ 66
 

ตอนนี้พราวพรายเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ว่าทำไมคุณจิตราจึงได้กล่าวคำบริภาษรุนแรงขนาดนั้นออกมา ‘อีนังลูกชั่ว’ ‘อีนังสาระเลว’ ปกติมารดาของเธอไม่เคยใช้คำหยาบกับลูก โกรธแค่ไหนก็จะใช้เพียงคำว่า ‘เรา’ ไม่เคยจิกหัวด่าด้วยคำว่า ‘ไอ้’ ‘อี’ หรือ ‘แก’ หลักฐานชิ้นนี้นี่เองที่ทำให้คุณจิตราล้มลงไป เพราะความดัน ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างกระทันหันจากความโกรธ ความเสียใจและสะเทือนใจอย่างรุนแรง โชคยังดีที่เธอล้มลงไปบนเก้าอี้นวม ไม่ได้ล้มหงายลงไปบนพื้นห้อง ศึรษะไม่ได้ไปฟาดเข้ากับอะไร

หญิงสาวหลับตาลงอย่างสยดสยองเมื่อนึกภาพมารดา ล้มกระแทกฟื้นจนเส้นเลือดในสมองแตก เป็นอัมพาตหรืออัมพฤกษ์ หรือที่ร้ายแรงที่สุดคือเสียชีวิต โธ่เอ๋ย! นี่เธอทำอะไรลงไป เพิ่งจะตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่าการกระทำอะไรตามใจตัวเอง แบบบุ่มบ่ามไม่คิดหน้าคิดหลัง อาจทำให้บุพการีผู้มีพระคุณล้นฟ้าต้องประสพเคราะห์กรรมร้ายแรงได้ น้ำตาของพราวพรายหลั่งไหลออกมาอย่างเสียใจและสำนึกผิด

หญิงสาวร้องไห้อยู่ในห้องน้ำอีกนาน แม้บางช่วงจะมีคนเข้ามาใช้ห้องน้ำบ้าง แต่คนที่เข้ามาก็เพียงแต่มองผ่านๆ ไม่ได้สนใจอะไร คงเป็นเพราะที่นี่เป็นโรงพยาบาล พวกเขาอาจจะคิดว่าคนรัก ญาติพี่น้องหรือเพื่อนของเธอที่มารักษาตัวอยู่ที่นี่มีอาการหนัก กำลังจะตายหรือตายแล้วก็ได้ เธอจึงได้ร้องไห้มากมายขนาดนั้น อีกครู่ใหญ่ต่อมาพราวพรายก็ล้างหน้าจนหมดคราบน้ำตาแล้วเดินออกไปหน้าห้องไอ.ซี.ยู ที่นางสาครนั่งเหลียวซ้ายแลขวาอย่างกระสับกระส่าย คงจะเป็นเพราะเห็นเธอหายไปนาน

พอเธอเดินเข้ามาถึงตัว หญิงแม่บ้านคนสนิทของมารดาก็รีบบอกอย่างตื่นเต้นดีใจ 
“เมื่อกี้คุณหมอออกมาบอกแล้วค่ะ ว่าคุณนายฟื้นแล้ว”

“ฟื้นแล้วหรือ?”

หญิงสาวรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที ที่กลัวที่สุดคือกลัวว่ามารดาจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย

“ค่ะ ฟื้นแล้ว โล่งอกไปที” นางสาครยกสองมือขึ้นพนมเหนือหัว

“หมอถามหาฉันหรือเปล่า?”
“อ้อ..ค่ะ หมออยากพบคุณพราว ป้าเลยบอกว่าคุณพราวไปห้องน้ำเดี๋ยวมาค่ะ”
“งั้นหรือ?”

ระหว่างที่พราวพรายกำลังชะเง้อชะแง้มองหานายแพทย์จรัส พยาบาลคนหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องไอ.ซี.ยู มองไปรอบๆที่มีคนนั่งกันอยู่ห้าหกคน

“นางสาคร ใครชื่อสาครคะ?”

เมื่อเห็นนางสาครยกมือขึ้นสูงเป็นเชิงตอบรับ พยาบาลผู้นั้นก็บอกว่า “คนไข้อยากพบ ตามฉันมาเลย”

พราวพรายซึ่งรู้สึกแปลกใจที่มารดาเรียกหานางสาคร แทนที่จะเรียกหาเธอ รีบลุกเดินไปหาพยาบาลคนนั้น

“คนไข้ที่ชื่อคุณจิตราใช่ไหมคะ? ฉันเป็นลูกสาวค่ะ แม่คงไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ ฉันขอเข้าไปแทนป้าสาครได้ไหมคะ?”

อีกฝ่ายมองหน้าเธออยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะตอบด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “คุณคงต้องรอก่อน ตอนนี้คนไข้ต้องการพบนางสาคร ไม่ใช่คุณ เราอนุญาตให้เข้าไปได้ทีละคนเท่านั้น”

พูดขาดคำเธอผู้นั้นก็พยักหน้าเรียกนางสาคร ให้เดินตามเข้าไปในห้องไอ.ซี.ยู พราวพรายยืนงงมองตามหลังคนทั้งสองไป แล้วก็นึกออกทันทีว่ามารดาคงไม่ต้องการเห็นหน้าเธอ ขณะที่หญิงสาวยังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น นายแพทย์จรัสก็เดินออกจากห้องไอซียูเข้ามาหา

“คุณแม่คุณฟื้นแล้วละ แต่อาการยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ความดันเริ่มลดลงบ้างแล้ว แต่คืนนี้คงยังออกจากไอ.ซี.ยูไม่ได้”

“แม่จะต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันไหมคะ ดิฉันจะต้องโทรไปเรียนคุณพ่อให้ทราบเรื่องนี้ ตอนนี้ท่านไปราชการที่เมืองนอก”

“ก็คงต้องดูอาการก่อน ถ้าความดันลดลงเป็นปกติ หัวใจไม่มีปัญหา พรุ่งนี้ก็คงออกจากไอ.ซี.ยูได้ แต่ต้องนอนโรงพยาบาลต่ออีกสองสามวัน หมอจะตรวจร่างกายทั่วไปให้แน่ใจว่าไม่มีโรคแทรกซ้อนอะไร”

นายแพทย์จรัสเดินออกจากตรงนั้นไปแล้ว พราวพรายทรุดตัวลงนั่ง แล้วอีกห้านาทีต่อมานางสาครก็เดินออกมาหาเธอ

“แม่เป็นยังไงมั่ง ป้าสาคร? ถามถึงฉันหรือเปล่า? แม่รู้ไหมว่าฉันอยู่ที่นี่?” เธอรัวคำถามถี่ยิบ

อีกฝ่ายมีสีหน้าเจื่อนๆเมื่อตอบว่า “คงดีขึ้นแล้วมังคะ แต่ยังมีสายอะไรต่ออะไรเสียบอยู่เยอะแยะ”

พราวพรายถามซ้ำว่า “แม่ถามหาฉันมั่งหรือเปล่า?”

“ป้าบอกคุณนายแล้วว่าคุณพราวอยู่หน้าห้อง อยากจะเข้าไปหาคุณนาย แต่คุณนายบอกว่ายังไม่อยากพบใครค่ะ อ้อ..คุณนายสั่งให้บอกคุณพราวว่าไม่ต้องโทร.ไปบอกคุณผู้ชาย ไม่อยากให้เป็นห่วงจนต้องทิ้งงานกลับมาค่ะ”

หญิงสาวหน้าซีดขาวด้วยความสะเทือนใจ มารดาของเธอคงโกรธเธอมากเสียจนไม่อยากเห็นหน้า

“แล้วแม่สั่งอะไรอีกหรือเปล่า?”

“เอ้อ..ค่ะ คุณนายบอกว่าให้คุณพราวกลับไปบ้าน ถ้าออกจากห้องนั่นได้เมื่อไหร่จะให้ป้ามานอนเฝ้าคุณนายที่ห้องพิเศษน่ะค่ะ”

“อ้อ” เธอพึมพำออกมาได้เพียงเท่านั้น สมองมึนงง คิดอะไรไม่ออกอีกต่อไป

คืนนั้นพราวพรายบอกนางสาครให้กลับบ้าน พรุ่งนี้ตอนเช้าให้มาใหม่เพื่อผลัดให้เธอกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน หลังจากนั้นหญิงสาวก็นั่งเงียบกริบอยู่ตรงเก้าอี้นวมใกล้ห้องไอ.ซี.ยู หัวใจร้อนรุ่ม ตื้อในหัวอก ไม่นึกอยากจะลงไปหาอาหาร ที่โรงอาหารของโรงพยาบาลใส่ท้องเลย ทั้งๆที่ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อตอนบ่ายจนถึงขณะนี้สี่ทุ่มกว่าแล้ว ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องแม้แต่น้ำสักหยด เธอหยิบสำเนาทะเบียนสมรสใบนั้นออกมาดูแล้วดูอีก เผื่อจะตาฝาดไปเอง แต่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย กระดาษแผ่นนั้นเป็นสำเนาที่ถ่ายมาจากทะเบียนสมรสของเธอกับนิค ชื่อของเธอและเขาปรากฏหราอยู่กลางหน้ากระดาษ

ปัญหาที่พราวพรายต้องครุ่นคิดต่อไปคือ ใครเป็นคนส่งสำเนาแผ่นนี้มาให้คุณจิตราและเอามาจากไหน ในเมื่อทะเบียนสมรสสองฉบับอยู่กับเธอ ซึ่งเธอเก็บซ่อนเอาไว้ในตู้เซฟใบเล็กๆ ที่ใช้เก็บเครื่องประดับเจ็ดแปดชิ้นที่ไม่มีราคาค่างวดอะไรมากมาย

ตู้เซฟใบนั้นเปิดปิดด้วยระหัสตัวเลขที่เธอรู้อยู่คนเดียว และซุกอยู่ในตู้ในห้องนอนของเธอที่บ้านเช่า ตู้ใบนั้นมีกุญแจที่เธอเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ที่ติดตัวอยู่ตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะหามันพบแล้วนำไปถ่ายเอกสารส่งมาให้คุณจิตรา แล้วอีกอย่างบ้านนั้นก็มีเธอกับสุนิสาอยู่ด้วยกันแค่สองคนเท่านั้น พราวพรายไม่คิดสงสัยเพื่อนคนนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะอยู่ร่วมบ้านกันมานานจนรู้จักนิสัยใจคอกันดีอยู่แล้ว นอกจากนี้สุนิสาก็ไม่เคยเข้าไปวุ่นวายค้นหาอะไรในห้องเธอ

อีกประเด็นที่สำคัญคือคนที่ส่งเอกสารนี้มา รู้ชื่อมารดาและรู้จักบ้านของเธอได้อย่างไร หญิงสาวนึกเสียดายที่ไม่ได้เอาซองจดหมายฉบับนั้นมาด้วย เพราะน่าจะตรวจสอบต้นทางได้ว่าส่งมาจากที่ใด แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าไม่มีทั้งดวงแสตมป์และตราประทับของไปรษณีย์ปรากฏอยู่บนซอง ซึ่งแสดงว่ามีคนเอามาหย่อนไว้ในตู้จดหมายหน้าบ้านโดยไม่ผ่านไปรษณีย์

คนที่ส่งมาให้มีจุดประสงค์อะไร แต่แล้วก็ตอบตัวเองได้ไม่ยากว่าก็เพื่อให้มารดาของเธอรู้เรื่องนี้ ใคร? เขตต์หรือเปล่า? สมมติว่าเขาคิดจะแก้แค้นเธอที่ทำเหมือนหลอกให้เขารอ แล้วกลับปฏิเสธความรักของเขาอย่างไม่มีเยื่อใย แต่ก็ไม่น่าจะใช่เขาอยู่ดี เพราะเขาไม่เคยรู้เรื่องระหว่างนิคกับเธอ และที่สำคัญพราวพรายรู้ว่าเขตต์เป็นสุภาพบุรุษพอตัว

สมมติว่าเขาบังเอิญรู้เรื่องนี้ เขาก็จะไมมีวันทำร้ายเธอได้ลงคอ เขามีแต่ความปรารถนาดีให้เธอมาตลอด เธอรู้ว่าคนที่ทรนงในคุณสมบัติที่เพียบพร้อมของตัวเองอย่างเขตต์ ยอมรับความจริงที่ว่าเธอไม่ได้รักเขาได้อย่างดี แม้หลังจากย้ายออกไปจากอุบลฯ เขาจะไม่เคยติดต่อกลับมาหาเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียวก็ตาม เมื่อยังนึกอะไรไม่ออก พราวพรายก็พยายามปัดทิ้งไปก่อน ตอนนี้เรื่องที่เธอกังวลมากคืออาการป่วยของมารดา ที่ไม่รู้ว่าจะรุนแรงแค่ไหน ได้แต่ภาวนาอย่าให้เป็นอะไรมากเลย ไม่งั้นเธอคงจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต

คุณจิตราออกจากห้องไอ.ซี.ยูในอีกสองวันต่อมา แม้ความดันโลหิตจะลดลงมาจนพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังต้องนอนพักฟื้นและรอตรวจอาการของโรคหัวใจต่อไป นางสาครมานอนเฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาลด้วย พราวพรายถือโอกาสตอนที่คุณจิตรานอนหลับแอบเข้าไปในห้อง เธอมองมารดาที่นอนหลับอยู่บนเตียง ที่แขนมีสายน้ำเกลือเสียบอยู่ ป่วยเพียงไม่กี่วันมารดาก็ดูทรุดโทรมลงไปทันตาเห็น ใบหน้าที่เคยอวบอูมกลับซูบผอม เนื้อหนังที่เคยเอิบอิ่มสมบูรณ์กลับเหี่ยวย่น หญิงสาวพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา รู้สึกสงสารคุณจิตราเป็นอย่างมาก ตอนนี้เธอเหมือนหญิงชราที่หมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะลืมตา

พราวพรายดื้อดึงเข้าไปหามารดาทุกวัน แม้คุณจิตราจะนอนเฉยไม่พูดไม่จาด้วย แต่ก็เป็นการเฉยเหมือนคนที่หมดเรี่ยวแรง ไม่อยากจะต่อสู้กับใครหรืออะไรอีกแล้ว บางครั้งมีน้ำตาไหลออกมาจากหางตาที่ปิดสนิท เธอไม่โต้แย้ง หรือขัดขืนเมื่อหญิงสาวนั่งอยู่หน้าเตียง ใช้มือนวดเฟ้นเบาๆไปตามแขนขาที่ซูบผอมวันละหลายครั้งๆละนานๆ

ผลการตรวจของแพทย์พบว่าคุณจิตรามีอาการหลอดเลือดหัวใจตีบ แต่เนื่องจากยังตีบไม่มากนัก แพทย์จึงรักษาด้วยการใช้ยาขยายหลอดเลือดและลดระดับไขมันในเลือด และยาตัวอื่นอีกสองสามตัว ซึ่งเธอจะต้องนำกลับไปรับประทานต่อเนื่องที่บ้านด้วย หลังจากที่รู้อาการของมารดา พราวพรายก็ไปคุยกับนายแพทย์จรัส ซึ่งเป็นอายุรแพทย์ด้านหลอดเลือดและหัวใจโดยตรงที่ห้องพักแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำเรื่องการดูแลมารดา

นอกจากจะกำชับเรื่องการออกกำลังกายเบาๆสำหรับผู้สูงอายุ ด้วยการเดินช้าๆไม่หักโหมในช่วงเช้าหรือเย็น การกินยาตามแพทย์สั่ง มาพบแพทย์ตามกำหนดเวลาแล้ว นายแพทย์วัยกลางคนยังได้กำชับว่า ควรระวังอย่าให้คนไข้เครียดโดยไม่จำเป็น และได้อธิบายต่อด้วยว่าการรักษาทางยานี้ จะแค่บรรเทาอาการต่างๆไปได้บ้างเท่านั้น หลอดเลือดที่ตีบไปแล้ว ไม่สามารถจะกลับมาดีได้เหมือนเดิม ถ้าหลอดเลือดตีบมากขึ้นอาจจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดทำบอลลูน หรือด้วยวิธีบายพาสหัวใจ โดยนำเส้นเลือดดำที่เท้ามาใช้แทนหลอดเลือดเส้นที่ตีบจนใช้การไม่ได้

หลังจากนอนโรงพยาบาลได้ห้าวัน คุณจิตราซึ่งตอนนี้ลุกเดินได้แล้วก็กลับมาพักฟื้นต่อที่บ้าน มีพราวพรายและนางสาครคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ตอนกลางวันพราวพรายดูแลเรื่องอาหารและยา ส่วนกลางคืนเธอก็เข้าไปปูที่นอนๆอยู่หน้าเตียงมารดา ทุกอย่างดูสงบเงียบเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หญิงสาวก็รู้ว่ามันจะไม่เป็นเช่นนี้ได้ตลอดไป เรื่องการลงไปเดินที่สนามหญ้าตอนเช้าหรือเย็นที่หมอแนะนำไว้ก็ลืมไปได้เลย เพราะคุณจิตราปฏิเสธโดยสิ้นเชิง

แม้แต่ยาบางมื้อเธอก็ไม่ยอมกิน คุณจิตราเงียบกริบไม่พูดไม่บ่นอะไรเลย แต่สีหน้าที่ทุกข์ตรมและแววตาที่เลื่อนลอยของเธอ ทำร้ายจิตใจของบุตรีได้ยิ่งกว่าสิ่งใด ถ้าสามารถเลือกได้พราวพรายก็อยากให้มารดาอาละวาดดุด่า มากกว่าจะเงียบกริบท่าทางทุกข์ตรมราวกับหัวใจสลายเช่นนี้

หัวค่ำของคืนวันหนึ่ง พราวพรายเอายาหลังอาหารเข้าไปให้มารดา ที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียง คุณจิตรารับยากับน้ำไปกินเงียบๆ เมื่อบุตรสาวนั่งลงบนเก้าอี้กลมหน้าเตียง ทำท่าเหมือนจะนวดขาให้เธอเหมือนที่เคย เธอก็ถามขึ้นมาด้วยเสียงเบาๆไม่เกรี้ยวกราดเหมือนที่เคย

“อีกสองวันเจตน์ก็จะมาแล้ว คุณพ่อก็คงอีกสองอาทิตย์ เราคิดว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น?”

พราวพรายนิ่งอึ้ง แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจจะพูดถึงนิคให้มารดาฟัง เธอจะได้เข้าใจว่าเขาเป็นคนอย่างไร เพราะตั้งแต่เกิดเรื่อง คุณจิตรายังไม่ได้สอบถามถึงรายละเอียดต่างๆเลย หญิงสาวพนมมือกราบลงไปบนท่อนขาผ่ายผอมของมารดา ที่ทอดเหยียดยาวอยู่ใต้ผ้าแพรเพลาะสีเขียวอ่อน

“แม่ขา พราวกราบขอโทษแม่สำหรับเรื่องแย่ๆที่พราวทำลงไป พราวขอเวลาสักห้านาทีได้ไหมคะ พราวอยากจะบอกแม่ว่า ผู้ชายคนที่พราวจดทะเบียนด้วย แม้จะเป็นคนต่างชาติแต่เขาก็เป็นคนดี เขาเป็นทหารอเมริกันที่รู้จักกันดีกับจอห์นเจ้านายของพราว เขา...”

พูดได้เพียงเท่านั้นคุณจิตราก็ยกมือขึ้นห้ามเหมือนไม่ต้องการฟัง

“พอ..ไม่ต้องมาพูดถึงมันให้ฉันฟัง ฉันไม่อยากรู้ว่ามันเป็นใคร วิเศษมาจากไหน แค่เป็นฝรั่งหัวแดงฉันก็รับไม่ไหวอยู่แล้ว ยิ่งเป็นทหารด้วยยิ่งรับไม่ได้ใหญ่ คุณพ่อเราเคยเล่าให้ฉันฟัง ว่าพวกทหารอเมริกันที่มารบอยู่ในเวียตนามน่ะ ส่วนใหญ่เป็นพวกชาวไร่ชาวนา ไม่ก็พวกกรรมกรหรือคนตกงาน ไม่มีความรู้ความสามารถอะไรมากมาย พวกนี้สมัครมาเพราะได้ค่าจ้างสูง สมัครเสร็จก็ถูกส่งไปฝึกอยู่พักเดียวแล้วก็มารบเลย พอสงครามจบหรือปลดประจำการก็ต้องกลับไปทำไร่ไถนาเหมือนเดิม คนแบบนี้ฉันรับไม่ไหวหรอก”

”แม่คะ แต่นิคไม่...” พราวพรายพยายามจะอธิบาย แต่คุณจิตราไม่ยอมฟัง
"ไม่ต้องพยายามจะแก้ตัวแทนมัน"
"แม่คะ ถ้ายังไงพราวขอพาเขามาหาแม่ได้ไหมคะ แม่จะได้.."

หญิงสาวยังพยายามต่อไป แต่พูดได้เพียงเท่านั้น มารดาของเธอก็พูดสวนขึ้นมาท้นทิด้วยน้ำเสียงทีแข็งกร้าว 

“ถ้าเราจะพามันมาช่วยกันเกลี้ยกล่อมให้ฉันยอมรับมันเป็นลูกเขย ก็อย่าเสียเวลาเลย ฉันไม่อยากเห็นหน้ามัน รู้หรือเปล่าว่าคนอื่นเขาจะคิดยังไง จะมองเรายังไง ดีไม่ดีเขาจะคิดว่าลูกสาวรองปลัดกระทรวงฯพนัสหาผัวไม่ได้ สิ้นคิดจนต้องไปคว้าฝรั่งกระจอกมาเป็นผัว เราน่ะทำตัวไม่ผิดจากพวกเมียเช่า ที่เห็นเดินควงไอ้พวกหัวเหลืองหัวแดงเกลื่อนเมือง”

แล้วคุณจิตราก็ร้องออกมาว่า “โอย..ปวดหัว สงสัยว่าความดันฉันจะขึ้นจนต้องไปนอนโรงพยาบาลอีกรอบแล้วละมัง”

หญิงสาวที่กำลังตกตะลึง หน้าชาแล้วชาอีกกับคำบริภาษที่รุนแรง รู้สึกตกใจกับเสียงร้องของมารดา

“แม่ปวดหัวหรือคะ ปวดมากหรือเปล่า?”

เมื่อคุณจิตราไม่ตอบแต่เมินหน้าไปอีกทางที่ไม่มีเธอ พราวพรายก็ก้มลงกราบลงไปบนขาของมารดาอีกครั้ง

“แม่ขา พราวขอโทษสำหรับเรื่องที่ทำลงไป พราวเสียใจที่ทำให้แม่ผิดหวัง”

“ตอนนี้หมดเวลาจะมาขอโทษแล้ว เรื่องที่เราทำลงไปไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวกับเราคนเดียวเท่านั้น พ่อแม่พี่น้องก็ต้องถูกลากเข้าไปเกี่ยวดองเป็นญาติกับใครก็ไม่รู้ด้วย”คุณจิตราพูดช้าลงเหมือนเหน็ดเหนื่อยด้วยเสียงที่อ่อนล้า ผิดไปจากตัวตนของเธอที่คนในบ้านเห็นมาจนชิน

“บอกมาก็แล้วกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป เราต้องตัดสินใจเอง ถ้าจะเลือกผู้ชายที่พ่อแม่ฝืนใจรับไม่ได้ ก็กลับไปเสียก่อนที่คุณพ่อจะกลับจากเมืองนอก ฉันจะไม่ขวางทางเรา ถ้าตัดสินใจจะเลือกผัวก็ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก ไม่ต้องสนใจใยดีว่าฉันจะเป็นหรือตาย ฉันตายเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องมาเผาผี”

น้ำตาของพราวพรายไหลพรากกับคำพูดของมารดา ที่แม้จะปราศจากอารมณ์ แต่ก็บาดลึกเข้าไปในหัวใจของเธอ หญิงสาวรู้ว่ามารดาคงถึงที่สุดแห่งความอดทนแล้ว เมื่อลูกสาวสองคนพร้อมใจกระทำการ ประหนึ่งเหยียบย่ำหัวใจของบุพการี

เธอรู้จากพี่สาวที่เล่าให้ฟังตอนโน้นว่า แม้จะดุด่าว่ากล่าวเจิดจรัสและไม่ยอมรับแฟรงค์เป็นเขย แต่ก็ไม่เคยพูดจาตัดขาดขนาดนี้ คุณจิตราเพียงแต่สั่งห้ามเจิดจรัสพาสามีมาบ้าน และตอนแต่งงานใหม่ๆที่พี่สาวเธอดึงดันพาสามีมาหา มารดาของเธอก็ด่าโขมงโฉงเฉง ไม่ยอมให้แฟรงค์เข้าบ้าน แถมยังส่งแม่บ้านคนสนิทออกมาบอกเจิดจรัส ให้พาแฟรงค์กลับไปก่อนที่เธอจะอาละวาดมากกว่านั้น

คุณจิตราไม่เคยติดต่ออะไรกับบุตรสาวคนโต เวลาที่เจิดจรัสโทร.มาหา ส่วนใหญ่เธอไม่ยอมรับโทรศัพท์ แต่ถ้าบังเอิญรับโทรศัพท์เอง ก็จะพูดด้วยอย่างเสียไม่ได้สองสามคำแล้ววางโทรศัพท์ลง แต่ครั้งนี้มารดาคงโกรธและผิดหวังมากกว่าสมัยเจิดจรัส เธอคงหวังจะให้พราวพรายกู้หน้าให้ครอบครัว ด้วยการแต่งงานกับผู้ชายไทยที่มาจากครอบครัว ที่มีทั้งฐานะและชื่อเสียงอย่างเขตต์

ความผิดหวังสองครั้งซ้อนๆกันในเรื่องเดียวกัน คงทำให้เธอมุทะลุขึ้นมาถึงขั้นตัดเป็นตัดตายกับลูกได้ แล้วก็อาจจะเป็นไปได้ด้วยที่มารดาโกรธมากถึงขนาดนี้ ก็เพราะเอาความผิดของเจิดจรัสที่กระทำการคล้ายๆกัน แต่ที่คุณจิตราตามไปอาละวาดด่าทอไม่ได้และยังเก็บอัดอั้นเอาไว้เหมือนระเบิดเวลา มาลงรวมที่เธอทั้งหมด

คุณจิตรานอนเหม่อมองเพดานห้องแล้วพูดต่อไปเรื่อยๆ ด้วยสุ้มเสียงที่ปราศจากอารมณ์อีกพักใหญ่ แต่ละคำแต่ละประโยคแม้จะพูดด้วยเสียงที่ราบเรียบก็จริง แต่ความหมายของมันล้วนเชือดเฉือนบาดลึกเข้าไปในหัวใจของพราวพราย ที่นั่งเงียบไม่กระดุกกระดิกน้ำตาไหลพรากๆ แน่ใจว่าตลอดชีวิตนี้เธอจะไม่มีทางลืมคำพูดเหล่านั้นได้เลย

แล้วในที่สุดมารดาของเธอก็พูดเหมือนสรุป ด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน

“ฉันทุกข์ใจเรื่องของพี่สาวเรามามากพอแล้ว หมดแรงที่จะรับรู้เรื่องของเราอีกคน ถ้าเลือกเขาเราก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องเกี่ยวข้องอะไรกันอีกเลยก็แล้วกัน ฉันจะคิดเสียว่าเราตายไปแล้ว สงสารก็แต่คุณพ่อเท่านั้น ผิดหวังเรื่องพี่สาวเราก็ตรอมใจแทบแย่อยู่แล้ว ถ้ามารู้เรื่องเราอีกคนคงจะหนักกว่าเก่ามาก เพราะเราเป็นลูกรักของเขา เขาหวังกับเราเอาไว้มากกว่าลูกคนอื่น”

เธอหยุดใช้กระดาษทิชชูในกล่องที่วางอยู่ใกล้ตัว ขึ้นซับน้ำตาที่กำลังค่อยๆไหลรินออกมา

“เอาเถอะ จะตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่เรา ชีวิตเป็นของเราก็ใช้ตามชอบใจเสียให้หายอยาก ใครจะเป็นจะตายก็ไม่ต้องสนใจ ออกไปได้แล้วละ ไปคิดดูเสียให้ดีแล้วค่อยมาให้คำตอบก่อนที่คุณพ่อจะกลับมา คืนนี้กลับไปนอนที่ห้องของเรา จะได้มีเวลาไตร่ตรองให้รอบคอบ ให้แม่สาครมานอนเป็นเพื่อนฉันแทน”

พราวพรายพูดด้วยเสียงสะอื้นน้ำตานองหน้าว่า “แม่คะ พราวตัดสินใจแล้วว่า...”

เธอพูดยังไม่ทันจบ คุณจิตราก็ยกมือขึ้นเหมือนจะห้ามไม่ให้พูดต่อ “เอาเถอะ ยังไม่ต้องมาตอบฉันตอนนี้ ไปไตร่ตรองดูให้ดีเสียก่อน จะได้ไม่ต้องมานึกเสียใจหรือโทษใครทีหลัง”

พูดจบคุณจิตราก็หันตัวนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาฝา เป็นสัญญาณว่าหมดเรื่องพูดแล้ว และไม่ประสงค์จะเห็นหน้าเธออีก

คุณจิตราต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นครั้งที่สองเมื่อความดันของเธอพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอนอนโรงรพยาบาลแค่สองวัน ต่อมาเมื่อเจตน์พี่ชายของเธอกลับมาอยู่เป็นเพื่อนมารดา พราวพรายก็เข้าไปลามารดากลับไปอุบลฯ

“แม่คะ พราวจะมาบอกแม่ว่าพรุ่งนี้พราวจะขึ้นไปอุบลฯ ไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ซึ่งคงจะต้องขอเวลาสักสองอาทิตย์..”

เธอพูดยังไม่ทันจบประโยค คุณจิตราซึ่งนอนหลับตาอยู่บนเตียงในห้องนอนของเธอ และเพิ่งลืมตาขึ้นเมื่อพราวพรายเดินเข้ามาในห้อง ถามสวนขึ้นมา

“หมายความว่ายังไง ที่ว่าจะจัดการให้เรียบร้อยน่ะ”
“ก็..ก็คงอย่างที่แม่ต้องการ”

“นี่แม่พราว อย่าเอาฉันเข้าไปเกี่ยว ถ้าเราจะทำยังไง ก็ขอให้เป็นการตัดสินใจของเราคนเดียวเท่านั้น ฉันเพียงแต่จะบอกว่าถ้าเราตัดสินใจเลือกมัน ก็กลับไปแล้วไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก”’

น้ำตาของพราวพรายไหลเป็นทาง “แม่ก็รู้นี่คะว่าถึงอย่างไรพราวก็ต้องเลือกพ่อแม่อยู่ดี”

คุณจิตราอึ้งไปเป็นครู่ก่อนจะถามด้วยเสียงที่อ่อนลงว่า “เรื่องของเรามีใครรู้บ้าง?”
“ไม่มีหรอกค่ะ”
“เพื่อนที่อยู่ด้วยกันล่ะ รู้หรือเปล่า”
“ไม่หรอกค่ะ”

“เราแน่ใจได้อย่างไร เขตต์ล่ะ เขาอาจจะรู้ก็ได้ไม่ใช่หรือ ไม่งั้นทำไมอยู่ๆเขาจะเปลี่ยนใจล่ะ?”

“เขาไม่รู้หรอกค่ะ ที่เขาถอยไปเพราะพราวบอกปฏิเสธเขา แล้วเขาก็ย้ายพอดี” พราวพรายรีบตอบทันที

“ถ้าไม่มีใครรู้จริงๆก็ดี เราก็รีบไปจัดการเสียให้เรียบร้อย ไม่ต้องบอกคุณพ่อหรือพวกพี่ๆเป็นอันขาด ถ้าจำเป็นฉันจะเป็นคนบอกเอง”

คุณจิตราทำท่าโล่งอก แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ก็ประท้วงทันทั

“ทำไมต้องไปเป็นอาทิตย์ กะอีแค่ไปลาออกจากงานแล้วก็ถอนทะเบียนสมรส วันสองวันก็น่าจะเรียบร้อยแล้วไม่ใช่หรือ”

พราวพรายอดสังเกตไม่ได้ว่ามารดาทำท่าเหมือนจะหายป่วย เมื่อรู้ว่าเธอจะเลิกกับนิค

หญิงสาวกล้ำกลืนฝืนใจชี้แจงว่า “พราวคงต้องใช้เวลาคุยกับเขานานพอสมควร เพื่ออธิบายเหตุผลที่ต้องเลิกกัน ไม่อยากทำให้เขาโกรธจนดึงดันไม่ยอมเลิก แล้วอีกอย่างเรื่องงาน ตามกฏพราวต้องให้เวลาจอห์นหาคนมาแทน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาบ้าง”

คุณจิตรานอนมองเพดานห้อง เหมือนใช้ความคิดอยู่อึดใจหนึ่งก็บอกว่า

“เอาเถอะ แล้วแต่เราก็แล้วกัน ฉันจะให้เวลาสองอาทิตย์ ถ้าเราไม่กลับมาในช่วงนั้น ฉันก็จะถือว่าเราเลือกเจ้าคนนั้น ซึ่งก็อย่างที่บอกน่ะแหละ ฉันไม่ว่าไม่ขัดขวาง แต่เราก็ไม่ต้องกลับมาเหยียบบ้านนี้อีก” พูดจบเธอก็โบกมือไล่ “ไปเถอะ จะไหนก็ไปๆเสีย ฉันจะพักละ”

 




Create Date : 28 เมษายน 2566
Last Update : 2 พฤษภาคม 2566 9:56:28 น.
Counter : 812 Pageviews.

9 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณSweet_pills, คุณRain_sk, คุณปัญญา Dh, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณnewyorknurse, คุณอุ้มสี, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณหอมกร, คุณปรศุราม, คุณเริงฤดีนะ, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณสองแผ่นดิน, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณhaiku, คุณทุเรียนกวน ป่วนรัก, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณThe Kop Civil, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณkae+aoe, คุณข้าน้อยคาราวะ

  
แวะมาอ่าน
โดย: อุ้มสี วันที่: 29 เมษายน 2566 เวลา:5:21:01 น.
  
ถ้าเจอแม่สามีไม่มีเหตุผลแบบนี้
คงต้องทิ้งไว้สัก 5 ปีค่อยกลับมาบ้านใหม่ค่ะคุณตุ้ย
ผู้ใหญ่อะไรเอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่

โดย: หอมกร วันที่: 29 เมษายน 2566 เวลา:7:58:58 น.
  
แม่ยายต่าคุณหอม
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 29 เมษายน 2566 เวลา:8:58:17 น.
  
สมัยก่อนเรื่องแต่งงานกับGI
ทหารที่มารบในสงครามเวียตนาม
ที่มีฐานทัพ ที่ อุบล
หรืออู่ตะเภา
ยากที่พ่อแม่จะรับได้จริงๆ

ด้วยคนจะมองว่า เป็นผู้หญิงอย่างว่า
อีกอย่างบางคนเป็นอย่างว่าจริงๆ
GI ก็ไม่จริงจังด้วย..กลับอเมริกาเฉย
มีเด็กตัวดำหัวหยิก หรือ เด็กผมทองผิวขาว
เกิดมาก็ถูกทอดทิ้งมากมาย



เรื่องนี้คงฝังใจ..คุณจิตรา..แม่น้องพราว

รอลุ้นกันต่อไป
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 29 เมษายน 2566 เวลา:14:16:52 น.
  
อ่านจบแล้วอย่าว่าแต่พราวพรายเข้าใจแจ่มแจ้งเลยครับ
ผมก็เพิ่งเข้าใจเหมือนกัน (แต่อาจไม่แจ่มแจ้งนะ)
เพราะเพิ่งรู้ว่า นิค เป็นชาวต่างชาตินี่แหละครับ
(ก็เพิ่งอ่านครั้งแรกตอนที่ 65 นี่เนอะ แหะ ๆ ^^")
ถึงว่าสิ ทำไมถึงเป็นเรื่องคอขาดบาดตายขนาดนั้น

แต่ผมก็สงสัยนะครับว่าเหตุการณ์ในเรื่องอยู่ในยุคสมัยไหน
คือสงครามเวียดนามผ่านมาตั้ง 50-60 ปีแล้ว
คนไทยที่มีทัศนคติเกี่ยวกับเขยฝรั่งในทางไม่ดีแบบสุดขั้ว
น่าจะเป็นวัยที่เกษียณแล้ว เพราะปัจจุบันยอมรับ สาย ฝ กันแล้วล่ะ



ป.ล. มีอ่านแล้วสะดุดตานิดนึงครับ
ตรงคำว่า ศรีษะ>ศีรษะ กับ ระหัส>รหัส ครับ ^^
โดย: ทุเรียนกวน ป่วนรัก วันที่: 30 เมษายน 2566 เวลา:16:53:40 น.
  
***

ด้วยความสงสัย...ผมเลยย้อนกลับไปอ่าน "บอกกล่าวก่อนอ่าน"
เลยพอจะเข้าใจบริบทเกี่ยวกับยุคสมัยของนิยายเรื่องนี้แล้วครับ
เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วยสิ

***
โดย: ทุเรียนกวน ป่วนรัก วันที่: 30 เมษายน 2566 เวลา:17:07:44 น.
  
ขอบคุณพี่ตุ้ยสำหรับกำลังใจค่ะ

โดย: Sweet_pills วันที่: 1 พฤษภาคม 2566 เวลา:0:47:36 น.
  
ขอบคุณค่ะคุฌทุเรียนฯ ที่ช่วยแก้คำผิดให้ สะกดผิดจริงๆค่ะ คุณทุุเรียนฯชอบอ่านนิยายหรือคะ อยากให้คุุณเข้าไปอ่านตั้งแต่บทแรกเลยค่ัะ ถ้ามีเวลา ขอบคุณสำหรับคำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์ของคุณ และหวังว่าจะติดตามต่อไปเรื่อยๆนะคะ
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 2 พฤษภาคม 2566 เวลา:10:05:20 น.
  
ขอบคุณสำหรับข้อความนะครับ

ผมไม่ค่อยได้อ่านนิยายเท่าไหร่ ปกติอ่านแต่การ์ตูน
หรือไม่ก็พวกวรรณกรรมเยาวชนแปลน่ะครับ แหะ ๆ ^^"
ไว้ถ้ามีเวลาจะย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่บทแรกนะครับ


โดย: ทุเรียนกวน ป่วนรัก วันที่: 2 พฤษภาคม 2566 เวลา:19:18:00 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
เมษายน 2566

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
14
15
16
17
18
20
21
22
23
25
26
27
29
30
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com