คนละฟากฟ้า - บทที่ 40


แล้วในที่สุดพราวพรายก็ได้ข่าวสำคัญ วันนั้นเป็นบ่ายวันศุกร์ เช้ามืดวันเสาร์เป็นวันที่เธอจะเดินทางไปกรุงเทพฯพร้อมเขตต์ เพื่อไปร่วมงานวันเกิดของบิดา และจะกลับมาอุบลฯพร้อมกับเขา หลังจากที่ตกลงรับเงื่อนไขการคบหากันฉันท์เพื่อนต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อใช้ช่วงเวลานั้นศึกษาเรียนรู้ตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน ก่อนจะเริ่มความสัมพันธ์ในขั้นต่อไป พราวพรายก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้น เธอรู้สึกสบายใจมากขึ้นพอที่จะไปไหนมาไหนกับเขตต์ในแบบเพื่อนสนิท สุนิสากับอมรารู้เรื่องข้อตกลงนี้จากคำบอกเล่าของทั้งเขตต์และพราวพราย แม้จะไม่เห็นด้วยเพราะคิดว่าพราวพรายเรื่องมาก ทำอะไรไม่เข้าท่า น่าจะยอมรับเขตต์เป็นแฟนเสียเลย แต่เพื่อนทั้งสองก็ไม่ได้คัดค้าน รู้ว่าค้านไปก็เท่านั้นเธอไม่ฟังหรอก


บ่ายวันศุกร์ขณะนั่งทำงานด่วนชิ้นหนึ่งอยู่เงียบๆที่โต๊ะทำงาน จอห์นก็โผล่หน้าออกมาเรียกพราวพราย ให้เข้าไปหาเขาในห้องทำงาน เจ้านายของเธอมีสีหน้าเคร่งเครียดแกมกังวล


“ฉันมีเรื่องจะวานเธอหน่อย อยากให้เธอเอาดอกไม้ช่อนี้” พราวพรายมองตามมือที่ชี้ไปที่โต๊ะเล็กๆใกล้โต๊ะทำงานของเขา เห็นดอกไม้ช่อใหญ่ที่ห่อหุ้มด้วยกระดาษบางสีขาววางอยู่ “ไปเยี่ยมคนเจ็บที่โรงพยาบาลในค่ายแทนฉันหน่อย ความจริงฉันตั้งใจจะไปเอง แต่บังเอิญมีเรื่องด่วนเข้ามา อีก 15 นาทีฉันต้องรีบขึ้นเครื่องไปกรุงเทพฯ ช่วยหน่อยได้ไหม?”


“ได้สิคะ จอห์น จะให้ไปเดี๋ยวนี้หรือเปล่าคะ?” หญิงสาวรับคำ ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าคนเจ็บที่ว่านั้นเป็นใคร

จอห์นทำหน้าโล่งใจ “ขอบใจมากนะ พราว ไปเดี๋ยวนี้ได้ก็ดี ให้ธวัชชัยขับรถไปให้ก็ได้” เขาหมายถึงรถปิ๊คอัพที่ใช้สำหรับออฟฟิศ

“ฉันขับไปเองก็ได้ค่ะ โรงพยาบาลก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง รู้สึกว่าธวัชชัยกำลังยุ่งอยู่”
“จริงสิ ฉันลืมไปว่าเธอขับรถได้” เขาหยิบกุญแจรถส่งให้เธอ
“จะให้ฉันเอาดอกไม้ไปให้ใครคะ?”

เจ้านายของเธอทำหน้างงๆ แต่แล้วก็นึกออกว่ายังไม่ได้บอกชื่อคนเจ็บ ที่เขาจะให้เธอไปเยี่ยมแทนตัวเขา

“เธอคงจำนิคได้ใช่ไหม นิคที่มาออฟฟิศเราบ่อยๆน่ะ”
ใจของพราวพรายกระตุกวาบด้วยความตกใจ “นิค? เอ๊ะ..เขาเป็นอะไรหรือคะ ?”

“อ้อ..นั่นสิ เธอคงยังไม่รู้ นิคบาดเจ็บสาหัส หน่วยของเขาถูกพวกเวียตกงซุ่ม
โจมตี ระหว่างออกลาดตระเวนเมื่อวานตอนเช้ามืด ทหารตายไปสามคน”

หน้าของหญิงสาวซีดเผือด “ตอนนี้อาการเขาเป็นยังไงบ้างคะ?”

สีหน้าของจอห์นยังกังวลอยู่เมื่อตอบว่า “ อาการเขาหนักมาก ถูกยิงตรงที่สำคัญหลายจุด เสียเลือดไปมาก ต้องผ่าตัดด่วน เฮลิคอปเตอร์เอาเขามาส่งที่นี่เมื่อวานตอนบ่าย เพราะโรงพยาบาลในค่ายที่โน่น มีหมอไม่พอกับจำนวนคนเจ็บ ทหารบาดเจ็บกันหลายคนเกือบทุกวันอยู่แล้ว ที่นี่มีเครื่องมือแพทย์และหมอพร้อมกว่า”

“ตอนนี้เขาผ่าตัดหรือยังคะ?”

“ผ่าตัดตั้งแต่เมื่อคืนแล้วละ ฉันไปดูเขาเมื่อคืนทีหนึ่งแล้ว แต่ตอนนั้นเขายังไม่ฟื้น ดอกไม้นี่ทางบ้านเขาขอให้ช่วยจัดส่งให้ก่อนภายในวันนี้ เลยต้องขอแรงให้เธอช่วยหน่อย”

“ชื่อเต็มของเขาล่ะคะ ถ้าฉันไปถามหาคนเจ็บชื่อนิค คงหาลำบากสักหน่อย ถ้าไม่รู้ชื่อจริงของเขา”

“นิโคลัส แบรดเลย์ เธอไปบอกหมอหรือพยาบาลที่โน่นว่าเป็นตัวแทนฉัน มาขอเยี่ยมคนเจ็บที่ชื่อพันตรีนิโคลัส แบรดเลย์ แล้วเขาจะจัดการให้เธอเข้าไปเยี่ยมนิค ฉันคิดว่าป่านนี้เขาน่าจะฟื้นแล้ว แต่ถ้ายังไม่ฟื้นเธอก็เอาดอกไม้ฝากพยาบาลไว้ให้เขาก็ได้” แล้วเขาก็ตบท้ายว่า “ขอบใจมากนะ พราว”

พราวพรายขับรถอย่างรีบร้อน ราวกับกลัวว่าจะไปไม่ทันได้ดูใจเขา ใจของเธอเต้นรัวด้วยความกลัว กลัวว่าเขาจะตายเสียก่อนที่เธอจะได้เห็นหน้าเขา คร่ำครวญอยู่ในใจโดยไม่รู้ตัวว่า ‘โธ่ นิค อย่าตายนะ ห้ามตายเป็นอันขาด’


หลังจากพยาบาลที่เคาเตอร์บอกว่านิคยังอยู่ในห้องไอซียู เพราะอาการเขายังหนักและยังไม่ได้สติ พราวพรายก็ฝากดอกไม้ที่จอห์นฝากมาไว้กับพยาบาล ก่อนจะเดินไปที่หน้าห้องไอซียู เธอรู้จากพยาบาลสาวคนนั้นแล้วว่ายังไม่สามารถเยี่ยมได้ แต่ทางโรงพยาบาลอนุญาตให้ญาติไปยืนดูคนเจ็บผ่านกระจกหน้าห้องได ้


ในห้องไอซียูซึ่งกว้างขวางพอสมควร มีเตียงผู้ป่วยหลายเตียงตั้งเรียงรายกันตลอดแนว ทุกเตียงมีคนไข้ที่น่าจะเป็นทหาร และคงจะอาการหนักนอนกันอยู่ แต่ละเตียงมีม่านกั้นแยกคนไข้ออกจากกัน แต่ขณะนี้ม่านส่วนใหญ่ถูกรวบเปิดหมด คงเพื่อความสะดวกสำหรับพยาบาลสองสามคนที่นั่งอยู่ตรงเคาเตอร์กล างห้อง จะสามารถมองเห็นผู้ป่วยทุกคน เพื่อสังเกตอาการผิดปกติได้ทันที


พราวพรายพยายามมองหานิค แต่ก็ไม่รู้ว่าเขานอนอยู่ตรงไหน เธอยืนชะเง้อชะแง้มองหาเขาอยู่นาน จนกระทั่งพยาบาลที่เธอพูดด้วยที่เคาเตอร์ข้างนอกเดินเข้าไปในห้องไอซียู เอาเอกสารสองสามชิ้นไปให้พยาบาลในห้องนั้น เมื่อเห็นพราวพรายพยาบาลสาวคนนั้นก็ชะงักมอง และคงจะเข้าใจดีว่าญาติของคนเจ็บคงอยากเห็นคนเจ็บที่กำลังเป็นห่วงอยู่ เธอผู้นั้นจึงเดินตรงเข้าไปที่เตียงสุดท้ายชิดผนังด้านในสุด รูดม่านที่ล้อมรอบเตียงอยู่ให้เปิดออก หันมามองพราวพรายแล้วพยักหน้าให้เล็กน้อย เป็นทำนองบอกให้รู้ว่าคนเจ็บบนเตียงนั้นคือพันตรีนิโคลัส แบรดเลย์ ที่เธอเอาดอกไม้มาเยี่ยมอาการของเขา


ผู้ชายที่นอนอยู่บนเตียงนั้นมีผ้าพันแผลพันอยู่เกือบทุกส่วนของร่างกาย มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตพร้อมสายระโยงระยางต่อมาที่ร่างของเขา พราวพรายมองเห็นเครื่องช่วยหายใจ ขวดน้ำเกลือรวมทั้งขวดเลือดที่ห้อยอยู่บนราวแขวนใกล้เตียง เขานอนแน่นิ่งไม่กระดุกกระดิกราวกับปราศจากลมหายใจ หญิงสาวพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลรินออกมา สงสารเขาเสียเหลือเกินแล้ว ถ้าพ่อแม่เขามาเห็นสภาพของเขาในขณะนี้จะรู้สึกอย่างไร ขนาดเธอที่ไม่ได้เป็นอะไรด้วยเลย ยังรู้สึกเจ็บปวดถึงขนาดนี้ ในที่สุดเมื่อไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป พราวพรายก็เดินออกจากหน้าห้องไอซียู ตรงไปยังรถที่จอดอยู่ในลานจอด ขึ้นนั่งในที่คนขับเรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่ได้นำรถออก เธอนั่งร่ำไห้อยู่อย่างนั้นอีกนานกว่าจะขับรถออกไปได้


คืนนั้นทั้งคืนพราวพรายหลับๆตื่นๆ ตัดสินใจไม่ตกว่าควรจะไปกรุงเทพฯกับเขตต์หรือไม่ เขานัดจะมารับเธอที่บ้านพรุ่งนี้เช้ามืด ตอนนี้หญิงสาวไม่นึกอยากไปไหนทั้งนั้น เธออยากอยู่ในอุบลฯเพื่อไปเยี่ยมดูอาการของนิค ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไร และถ้าสมมติว่าเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว เธอก็ยังอยากอยู่ตรงนั้น ตรงหน้าห้องไอซียู เพื่อจะได้ร่ำลาเขาผ่านกระจกที่กั้นอยู่เป็นครั้งสุดท้าย


แต่ในที่สุดพราวพรายก็ได้แต่ทอดถอนใจ เธอจะไม่กลับบ้านที่กรุงเทพฯได้อย่างไร ในเมื่อวันอาทิตย์จะมีงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของบิดา คุณจิตรานั้นโทรศัพท์มาเน้นแล้วเน้นอีกหลายครั้ง ว่าบิดามารดาของเขตต์จะมาร่วมงานด้วย ทำไมพราวพรายจะไม่รู้ว่ามารดามีแผนการที่เกี่ยวกับเธอและเขตต์ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ที่ยังไม่รู้เรื่องการบาดเจ็บสาหัสของนิค ทุกอย่างคงราบรื่นไม่มีปัญหา เพราะถึงอย่างไรเธอก็ชอบเขตต์มาก แม้จะยังไม่ถึงขั้นรักก็ตาม


เช้ามืดวันรุ่งขึ้นเมื่อเขตต์ขับรถมารับที่บ้าน พราวพรายก็นั่งรถเข้ากรุงเทพฯไปกับเขา หญิงสาวนั่งกังวลเรื่องอาการของนิคไปเกือบตลอดทาง เขตต์อาจจะสงสัยอยู่บ้าง เพราะเธอค่อนข้างเงียบ

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าครับ คุณพราวเงียบผิดปกติไปหน่อย”

พราวพรายฝืนยิ้มให้เขา แน่ใจว่าเขตต์ไม่มีทางรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เขาไม่เห็นแววตากังวลของเธอหรอก เพราะเธอหยิบแว่นดำขึ้นมาสวมทันทีที่ท้องฟ้าสว่างจากแสงแรกของดวงอาทิตย์

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่ง่วงนอนนิดหน่อย เมื่อคืนนอนดึก” เธอพยายามแก้ตัว

เขตต์มีท่าทางเป็นห่วงขึ้นมาทันที “ถ้าง่วงก็นอนได้นี่ครับ ปรับพนักเก้าอี้ลง หรือจะไปนอนข้างหลังก็ได้ เอาไหมครับ จะได้เหยียดยาวได้ตามสบาย เดี๋ยวผมหาที่จอดรถก่อน จะได้จัดที่นอนให้คุณพราว”

“โอ๊ย ไม่ต้องหรอกค่ะ” หญิงสาวชักตกใจเมื่อเห็นเขาพยายามมองหาที่จอดรถข้างทาง “ไม่ได้ง่วงขนาดนั้น เรื่องอะไรจะเอาเปรียบคุณล่ะคะ คุยกันไปเรื่อยๆ หรือไม่ก็ฟังเพลงกันก็ได้”

แล้วตั้งแต่นั้นพราวพรายก็พยายามปรับสีหน้าท่าทางของตัวเองให้เป็นปกติ ไม่อยากให้เขาต้องมาพะวักพะวนคอยสอบถามด้วยความห่วงใย เขตต์มีสีหน้าสดชื่นขึ้น เมื่อเห็นเธอยิ้มแย้มพูดคุยกับเขาเหมือนปกติ ไม่รู้เลยว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้เขาแค่นี้ต้องฝืนใจมากเพียงไรที่จะหาเรื่องมาคุยกับเขา ทั้งๆที่ใจของเธออยู่ที่ห้องไอซียู ในโรงพยาบาลทหารแห่งนั้นตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้


เขตต์พาพราวพรายมาถึงบ้านของเธอประมาณทุ่มตรง คุณจิตราซึ่งกระสับกระส่ายคอยอยู่แล้ว กลัวว่าลูกสาวจะปล่อยเขากลับไป รีบสั่งเด็กรับใช้ให้มาเชิญเขาขึ้นบ้าน วันนี้เธออุตส่าห์ลงมือทำอาหารเองเตรียมต้อนรับชายหนุ่มคนที่เธออยากได้มาเป็นเขย

ความจริงเขตต์อยากจะขอตัวกลับบ้าน เขาเกรงใจพราวพราย อยากให้เธอได้พักผ่อน เพราะนั่งหลังขดหลังแข็งมาในรถนานหลายชั่วโมง นอกจากนี้แม้เธอจะพยายามยิ้มแย้มแจ่มใส ชวนเขาพูดคุยเหมือนปกติ แต่เขตต์ก็สังเกตเห็นสีหน้าที่กังวลของเธอเวลาเผลอตัว เขาไม่รู้ว่าพราวพรายมีปัญหาอะไร แต่เมื่อเขาเลียบเคียงถามแล้วเธอปฏิเสธว่าไม่มีอะไร ชายหนุ่มก็จำต้องนิ่ง


คืนนั้นเขตต์มีโอกาสได้ร่วมรับประทานอาหารเย็นกับพราวพรายและครอบครัวของเธอ คุณจิตราเอาอกเอาใจเขาจนออกนอกหน้า ชี้ชวนให้ชิมอาหารจานโน้นจานนี้ที่เธอลงมือทำเอง และไม่พลาดที่จะบอกกล่าวให้เขตต์รู้เป็นนัยๆว่าลูกสาวสองคนของเธอนั้น มีฝีมือในการปรุงอาหารไม่ได้ด้อยกว่าตัวเธอเองเลย


พราวพรายทำหน้าเฉยกับวิธีการของมารดา ในขณะที่คุณพนัสมองหน้าภรรยาอย่างรู้เท่า แต่ก็ไม่ได้ขัดคอว่าอย่างไร เพียงแต่พยายามหาเรื่องมาขัดจังหวะพูดคุยกับชายหนุ่มผู้นั้นเป็นระยะๆ เมื่อไม่สามารถพูดแทรกขึ้นมาได้โดยไม่น่าเกลียด คุณจิตราก็เลยต้องเงียบ เธอลอบค้อนสามีอย่างไม่พอใจ เพราะยังมีคุณสมบัติอีกหลายอย่างของพราวพรายที่เธออยากจะอวด แต่ถูกขัดจังหวะจนต้องเงียบไป


ความจริงคุณพนัสซึ่งเป็นคนเรียบง่ายสมถะ ไม่สนใจที่จะจัดงานฉลองวันเกิด แต่ก็ไม่อยากจะขัดใจภรรยา เพราะรู้ว่าเธอมีแผนการบางอย่างเกี่ยวกับบุตรสาวคนเล็ก เลยจำใจต้องยอมให้เธอเจ้ากี้เจ้าการเชิญญาติสนิทและเพื่อนฝูงของเขา พร้อมครอบครัวที่สนิทสนมคบหากันมานาน มารับประทานอาหารค่ำที่บ้านทรงไทยหลังงาม ที่แม่ยายลงทุนปลูกให้เป็นเรือนหอ


แขกที่มาร่วมรับประทานอาหารเย็นเนื่องในโอกาสวันเกิดของคุณพนัส มีประมาณห้าสิบคน ส่วนมากจะเป็นพวกเพื่อนๆของคุณพนัสซึ่งมากันทั้งครอบครัว และญาติพี่น้องของทั้งคุณพนัสและคุณจิตราซึ่งรวมถึงลูกเด็กเล็กแดงหลายคน งานเลี้ยงจัดขึ้นบนลานหินกว้างหน้าตัวบ้านที่อยู่ต่อกับสนามใหญ่ที่ปูหญ้าเขียวขจี แซมด้วยกอดอกไม้หลากสี อาหารที่เลี้ยงจัดเป็นแบบบุฟเฟ่ต์


งานนี้คุณจิตราไม่ยอมแสดงฝีมือเองเพราะกลัวจะเหนื่อยเกินไป เธอลงทุนจ้างโรงแรมใกล้บ้านให้มาจัดสถานที่และอาหารสำหรับเลี้ยงแขก ซึ่งมีให้เลือกมากมายทั้งอาหารไทย จีนและฝรั่ง โดยมีจุดประสงค์สำคัญต้องการสร้างความประทับใจให้เพื่อนฝูงของคุณพนัส ที่มีทั้งนักธุรกิจระดับหัวแถวและข้าราชการระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวแขกพิเศษของเธอซึ่งมีฐานะร่ำรวยเข้าขั้นเศรษฐี ที่เธอหมายมาดจะเกี่ยวดองด้วยในอนาคตอันใกล้ ถ้าสามารถกล่อมบุตรีหัวดื้อให้เห็นดีเห็นงามด้วยได้


คืนนั้นพราวพรายแต่งตัวสวยในชุดกระโปรงยาวสีและแบบเรียบๆซึ่งเข้ากับตัวเธอ แต่คุณจิตราติว่าเรียบเกินไป พยายามคี่ยวเข็นให้เปลี่ยนเป็นชุดอื่นที่สวยงามหรูหรา แต่ก็ไม่สำเร็จ บุตรีของเธอเพียงแต่ทำหน้ายิ้มๆ ไม่โต้เถียงแต่ก็ไม่ยอมทำอย่างที่เธอต้องการ พราวพรายรู้ว่ามารดามีจุดประสงค์จะทำให้พ่อแม่ของเขตต์ประทับใจในตัวเธอเมื่อแรกเห็น ซึ่งหญิงสาวคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่เธอจะต้องพยายามเสียขนาดนั้น ตอนนี้เธอกับเขตต์ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน ยังเป็นแค่เพื่อนธรรมดาเท่านั้น


พราวพรายถูกมารดาพาเข้าไปไหว้บิดามารดาของเขตต์ ซึ่งคนทั้งคู่ก็มองเธออย่างสำรวจตรวจตราด้วยความพอใจจนเห็นได้ชัด หญิงสาวลงนั่งพูดคุยตอบคำถามของมารดาเขตต์ เกี่ยวกับงานของเธอที่อุบลฯและเรื่องทั่วไปอีกพักใหญ่ กว่าจะขอตัวลุกออกไปได้ ด้วยความช่วยเหลือของเขตต์ ที่อ้างว่าอยากจะขอให้พราวพรายพาเขาไปดูอะไรอย่างหนึ่งที่เคยคุยกันไว้ก่อนแล้ว แม้จะไม่ค่อยพอใจกับแผนการของคุณจิตรา แต่พราวพรายก็ทำเฉยๆ บอกตัวเองว่านานๆจะกลับบ้านสักทีก็น่าจะเอาใจมารดาไว้บ้าง


ตอนดึกของคืนนั้นหลังจากที่แขกกลับไปหมดแล้ว คุณจิตราก็มาเคาะประตูห้องนอนของพราวพราย พอเปิดประตูเข้ามาเห็นบุตรสาวอยู่ในชุดนอน ทำท่าเหมือนกำลังจะเข้านอน เธอก็รีบบอกว่า “อย่าเพิ่งนอน คุยกับแม่สักประเดี๋ยวก่อน”

คุณจิตราเดินไปนั่งที่ริมเตียงนอน เรียกพราวพรายให้มานั่งข้างๆ แล้วพูดทันทีโดยไม่มีอารัมภบทว่า “รู้ไหมว่าพ่อแม่เขตต์เขาชอบเรามากเลยนะ ชมไม่ขาดปากเลยทั้งคุณพฤกษ์ทั้งคุณสิรี คุณสิรีชมว่าพราวสวยมาก เรียบร้อยน่ารักอีกต่างหาก”


พราวพรายนิ่งฟังคำพูดของมารดาโดยไม่รู้สึกอะไร รู้อยู่แล้วว่าคุณจิตรากำลังพยายามทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเธอและเขตต์

“เอ้า..ไม่มีอะไรจะพูดมั่งหรือ ให้แม่พูดคนเดียวอยู่ได้” คุณจิตราชักไม่ชอบใจที่ไม่เห็นปฏิกิริยาใดใดจากบุตรสาว

“แม่จะให้พราวพูดอะไรล่ะคะ?”

“พูดอะไรก็ได้นี่ แม่จะได้รู้ว่ากำลังฟังที่แม่พูดอยู่” มองหน้าเฉยเมยตรงหน้าแล้วก็อดไม่ได้ตามเคย “เห็นทำหน้าเซ็งๆเหมือนไม่อยากฟังงั้นแหละ”

“โธ่ แม่คะ อยากฟังหรือไม่อยากฟัง พราวก็ต้องได้ยินอยู่ดี” หญิงสาวทำเสียงเบื่อๆ ตอนนี้เธออยากอยู่เงียบๆคนเดียว ไม่อยากฟังอะไรที่มารดากำลังพูดเลย

พอได้ยินคำพูดที่เหมือนไม่สนใจใยดีกับเรื่องที่เธอเห็นว่าสำคัญ คุณจิตราซึ่งโกรธง่ายอยู่แล้ว ก็พูดสวนขึ้นมาทันทีว่า “ได้ยินก็ดีแล้ว ถ้างั้นฉันก็จะบอกเสียเลย ว่าเมื่อสักครู่นี้ก่อนจะกลับ พ่อแม่เขตต์เขามาคุยกับฉันแล้วว่าเขาชอบเรามาก อยากได้เราไปเป็นสะใภ้ ถ้าทางเราไม่ขัดข้อง เขาก็จะส่งเฒ่าแก่มาสู่ขอให้เป็นเรื่องเป็นราว...”

“แม่คะ..” พราวพรายร้องขัดขึ้นมาอย่างตกใจ “พราวกับคุณเขตต์ยังไม่ได้ชอบพอกันถึงขั้นนั้นนะคะ พราว..”

คุณจิตรายกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามไม่ให้พูดต่อ “เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่จะตกลงกัน เราอยู่เฉยๆก็พอแล้ว”

พราวพรายตกใจกับการรวบรัดของมารดา “แม่คะ แม่จะมาจับพราวคลุมถุงชนไม่ได้นะคะ พราวไม่ยอมหรอก”

“ ใครเขาไปจับเราคลุมถุงชน ก็เรากับพ่อเขตต์คบหากันอยู่ไม่ใช่หรือยะ?”

“ยังไม่ถึงขั้นคบหากันจริงจังหรอกค่ะ แม่ เขาก็แค่แวะมาเยี่ยมเวลาเข้ามาที่อุบลฯเท่านั้น” หญิงสาวพยายามชี้แจง “ไปทานข้าวข้างนอกหรือไปเที่ยวไหนก็ไปกันเป็นกลุ่ม ไม่ได้ไปกันสองคน ตอนนี้เรายังคบกันแบบเพื่อนอยู่ ยังไม่มีอะไรมากกว่านั้น เรื่องนี้พราวกับคุณเขตต์คุยกันรู้เรื่องแล้ว”


“ไม่รู้ละ ฉันจะบอกให้นะ อย่างเราน่ะหาคู่ยาก หน้าตาสวยก็จริง แต่พูดจาโผงผาง ท่าทางก็เหมือนม้าดีดกะโหลก แถมยังขี้โมโหอีกด้วย ไม่รู้ไปเอานิสัยแย่ๆแบบนี้มาจากไหน พี่เราสองคนก็ไม่เห็นเหมือนเรา” นิ่งสังเกตสีหน้าบุตรสาวก่อนจะกล่าวต่อว่า “ถ้าฉันไม่จัดการให้ เราจะมีปัญญาหาแฟนดีดีได้หรือ อายุอานามก็สมควรจะแต่งงานได้แล้ว พ่อแม่จะได้หมดห่วง”


“พราวเพิ่งยี่สิบสองเองนะคะ แม่พูดยังกับว่าพราวอายุสามสิบ” หญิงสาวโต้ด้วยสีหน้าที่เริ่มบึ้ง

“ยี่สิบสองก็ไม่เด็กแล้ว” ตัดบทแล้วคุณจิตราก็เปลี่ยนสุ้มเสียงเสียใหม่ “ดูแต่แม่สิ ยังแต่งงานกับคุณพ่อตอนอายุสิบเก้าเท่านั้น แต่งกันโดยผู้ใหญ่จัดให้ ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนด้วยซ้ำ แล้วเป็นไง แม่กับคุณพ่อก็อยู่กันมาอย่างราบรื่นจนถึงทุกวันนี้”

“นั่นมันสมัยก่อนนี่คะแม่ สมัยนี้ใครๆเขาก็หาแฟนกันเองทั้งนั้น แล้วอีกอย่างมันก็ไม่มีสูตรตายตัวนี่คะ ว่าทุกคู่ที่ผู้ใหญ่จัดการให้จะอยู่กันได้ราบรื่นเสมอไป” พราวพรายพยายามโต้แย้ง ทั้งๆที่รู้จักมารดาดีว่าไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ

คุณจิตราค้อนบุตรสาว “อย่ามาทำอวดรู้ เชื่อตาผู้ใหญ่เถอะ เขตต์น่ะท่าทางเป็นคนดีมีอนาคต พ่อแม่เขาก็เป็นคนดี มีชาติตระกูล ฐานะก็ร่ำรวยเป็นปึกแผ่น จะต้องคิดอะไรให้มันวุ่นวายไปทำไม”

หญิงสาวนิ่งคิดหาทางออก ก่อนจะทำเสียงอ่อนๆว่า “พราวไม่เถียงแม่หรอกเรื่องที่ว่าคุณเขตต์เป็นคนดีน่ะ แต่ตอนนี้พราวยังไม่ได้ชอบเขามากขนาดที่จะแต่งงานด้วย เอาแบบนี้ได้ไหมคะ ให้เวลาพราวสักพัก พราวอยากมีเวลาศึกษาดูใจเขาไปเรื่อยๆก่อน ถ้าแน่ใจเมื่อไรแล้วพราวจะบอกแม่อีกที ดีไหมคะ?”

ความจริงคุณจิตราซึ่งเป็นคนใจร้อนไม่อยากจะรออีกแล้ว อยากจะรวบรัดให้หนุ่มสาวทั้งสองตกลงปลงใจกันโดยเร็วที่สุด แต่ก็รู้นิสัยของบุตรีคนเล็กดีว่าทั้งดื้อรั้นและดื้อแพ่ง ไม่ชอบการถูกบีบบังคับ ยิ่งรู้สึกว่าถูกบังคับก็จะยิ่งดิ้นรนต่อสู้ นอกจากนี้ยังกล้าพอที่จะทำอะไรแผลงๆแบบแหกคอกได้เสมอ เพื่อเป็นการตอบโต้และต่อต้าน เธอคิดว่าตอนนี้จำเป็นต้องผ่อนสั้นผ่อนยาวไปก่อน มีโอกาสเหมาะๆเมื่อไร ก็จะรีบจัดการแบบที่เธอต้องการทันที

“ก็ได้ แต่อย่าให้นานนักล่ะ ผู้ชายดีๆอย่างเขตต์น่ะคงมีผู้หญิงเยอะแยะสนใจเขา อย่าปล่อยให้เขาหลุดมือไปได้เป็นอันขาด”

พูดจบคุณจิตราก็ลุกขึ้นยืน เตรียมตัวจะกลับไปห้องนอนของเธอที่อยู่ไกลออกไปทางด้านหนึ่ง ก่อนจะออกประตูไปเธอยังอุตส่าห์หันมาคาดคั้นว่า
“ระหว่างดูใจกันก็เอาอกเอาใจเขาไว้บ้าง ไมใช่พอรู้ว่าแม่ชอบเขา อยากได้เขามาเป็นเขย ก็ไปทำพยศใส่เขา เดี๋ยวเขาจะเบื่อเสียก่อน”

พราวพรายมองตามหลังมารดาไปอย่างไม่สบอารมณ์ นึกในใจว่าถ้ารู้ว่าจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ สู้ไม่มาเสียดีกว่า คืนนั้นหญิงสาวนอนหลับๆตื่นๆ พะวงถึงอาการของนิคว่าป่านนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง ฟื้นแล้วหรือว่า..หรือว่า...? เธอสั่งตัวเองให้หยุดคิดเพียงแค่นั้น ไม่อาจทนรับได้ว่าเขาอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย ต่อมาเธอก็คิดถึงเรื่องที่มารดาพูด หาทางว่าจะผ่อนหนักให้เป็นเบา ประวิงเวลาเอาไว้ก่อนได้อย่างไร แล้วในที่สุดก็คิดออก







 



Create Date : 11 ตุลาคม 2564
Last Update : 11 ตุลาคม 2564 11:36:18 น.
Counter : 856 Pageviews.

17 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณหอมกร, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณสองแผ่นดิน, คุณhaiku, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณInsignia_Museum, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณTui Laksi, คุณ**mp5**, คุณอุ้มสี, คุณชีริว, คุณlovereason, คุณSweet_pills

  
โอ๊ย อ่านบทนี้ก็รู้แล้วค่ะคุณตุ้ย
ว่าต้องลงเอยกับพ่อนิคแน่ๆ

โดย: หอมกร วันที่: 11 ตุลาคม 2564 เวลา:14:14:45 น.
  
เห็ด้วยกับคุณหอมกรค่ะ
โดย: ภาวิดา คนบ้านป่า วันที่: 11 ตุลาคม 2564 เวลา:15:19:19 น.
  
มาอ่านต่อครับ
พระเอกเราบาดเจ็บสาหัส ฟื้นแล้ว นางเอกมาเยี่ยมดูแลจนเห็นใจซึ่งกันและกัน
ใกล้จบแล้วใช่ไหมครับ พี่ตุ้ย

โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 11 ตุลาคม 2564 เวลา:23:18:12 น.
  
จะอยากอ่านต่อกันไหมคะ ถ้าจะบอกว่าเรื่องนี้ดราม่าสุดๆค่ะ คงจะค้องอ่านกันอีกหลายตอน อ่านจนเบื่อจนเลิกติดตามเลยก็เป็นๆไปได้นะคะ 55
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 12 ตุลาคม 2564 เวลา:6:46:01 น.
  
ไม่มีใครเลิกอ่านค่ะคุณตุ้ย
ว่าแต่ดราม่าขนาดไหนกัน

โดย: หอมกร วันที่: 14 ตุลาคม 2564 เวลา:11:25:41 น.
  
พี่อายุกว่าแปดสิบแล้ว
ถ้าคนเขียนนานๆมาต่อสักที
น่าจะไม่ได้อยู่อ่านจนจบ แหะๆ

โดย: ภาวิดา คนบ้านป่า วันที่: 14 ตุลาคม 2564 เวลา:14:34:44 น.
  
ตอนนั้นที่คุณตุ้ยส่งให้อ่านไม่ใช่เรื่องนี้ค่ะ

โดย: หอมกร วันที่: 14 ตุลาคม 2564 เวลา:15:00:40 น.
  
เป็นเรื่องเวลาที่หายไป

โดย: หอมกร วันที่: 14 ตุลาคม 2564 เวลา:15:01:40 น.
  
พี่ภาขา อยู่ต่อไปอีกนานๆนะคะ จะพยายามมาอัพให้เร็วขี้น เพีื่อพี่ภาผู้น่ารักของน้องๆค่ะ
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 14 ตุลาคม 2564 เวลา:16:40:53 น.
  
อ่านต่อค่ะ ตราบใดที่คนเขียนยังมาอัพให้อ่านนะคะ
โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 14 ตุลาคม 2564 เวลา:18:11:06 น.
  
มีงานเขียนเองด้วย เก่งจังคร้า
ขอบคุณในความห่วงใยด้วยนะคะ
โดย: Tui Laksi วันที่: 16 ตุลาคม 2564 เวลา:10:24:06 น.
  
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ
โดย: **mp5** วันที่: 16 ตุลาคม 2564 เวลา:15:00:05 น.
  
ขออำไพนะคะ
ไป ตจว. 10 วัน
เลยไม่ได้เข้ามาอ่าน
ตามอ่านย้อนหลังอยู่ค่ะ
โดย: อุ้มสี วันที่: 16 ตุลาคม 2564 เวลา:20:16:26 น.
  
สบายดีครับผม ผมไม่ได้เข้ามาอ่านนิยายบล็อกนี้นานมากๆ สุดยอดเลยเรื่องนี้ 40 ตอนแล้ว
โดย: ชีริว วันที่: 16 ตุลาคม 2564 เวลา:21:06:05 น.
  
สวัสดีค่า คุณดอยสะเก็ด
นุ่นไม่ค่อยได้ออกนิยายเท่าไหร่ค่ะ สะสมปีละเรื่องสองเรื่อง ปีนี้ก็มีคุณภพนี่แหละค่ะที่เป็นรูปเป็ฯร่าง แต่ทำเองค่ะไม่ได้ส่ง สนพ
คุณดอยสะเก็ดทำเล่มมั้ยคะ หรือมีเพจมั้ยคะ นุ่นจะได้ติดตาม ถ้ามีอีบุ๊คหรือเล่มยิ่งดีเลยค่ะ ชอบ แต่อานไม่ทัน 40 ตอนแล้ว งือออ

ปีที่แล้วไม่ได้เข้าบล็อกทั้งปีเลยค่ะ ไม่รู้อะไรเหมือนกัน บางทีก็เืนือยๆ พอมาอัปบล็อกนิยายรู้สึกมีแรงปั่นค่ะ อิอิ

ขอบคุณคุณดอยสะเก็ด มากๆ เลยค่า
โดย: lovereason วันที่: 17 ตุลาคม 2564 เวลา:23:40:33 น.
  
ขอบคุณพี่ตุ้ยสำหรับกำลังใจนะคะ

โดย: Sweet_pills วันที่: 18 ตุลาคม 2564 เวลา:14:43:45 น.
  
สวัสดียามบ่ายครับ
โดย: **mp5** วันที่: 20 ตุลาคม 2564 เวลา:14:54:44 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
ตุลาคม 2564

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com