ชีวิตก็คือละครหรือนิยายเรื่องหนึ่ง
|
||||
คนละฟากฟ้า - บทที่ 65 บนเครื่องบินแอร์บัสที่บินระหว่างประเทศ ที่กำลังมุ่งหน้าไปสู่จุดหมายปลายทางที่สนามบินแห่งหนึ่ง พราวพรายนั่งอยู่ในที่นั่งติดหน้าต่างกระจก ที่นั่งที่ติดกับเธอว่างเปล่า เพราะเครื่องบินเที่ยวนี้มีผู้โดยสารไม่เต็มลำ เครื่องบินออกจากท่าอากาศยานในกรุงเทพฯมาได้ประมาณสามชั่วโมง ขณะนี้เป็นเวลากลางคืนที่ผู้โดยสารส่วนใหญ่หลับไปแล้ว หญิงสาวซึ่งมีผ้าห่มผืนบางๆคลุมตั้งแต่อกลงไปจนถึงปลายเท้า นั่งเอนๆหลับตาพิงศรีษะไว้กับพนักเก้าอี้ ทำท่าเหมือนจะหลับแต่ความจริงไม่ได้หลับเพราะหลับไม่ลง ตั้งแต่เกิดเรื่องใหญ่ซ้อนๆกันหลายเรื่อง พราวพรายพบว่าเธอกลายเป็นโรคนอนไม่หลับ กว่าจะหลับลงไปได้ในแต่ละคืนก็ต้องอาศัยยาคลายเครียดบ้าง ยานอนหลับบ้างช่วยให้หลับ และเมื่อหลับลงไปแล้วก็ไม่นึกอยากจะตื่นขึ้นมาพบความจริงที่เจ็บปวดรวดร้าวอีกเลย ถึงจะอ้างว้างและทุกข์ทรมานเพียงใด แต่เธอก็ต้องอยู่ต่อไปให้ได้ มีอะไรหลายอย่างที่เธอจำเป็นต้องทำ น้ำตาของหญิงสาวค่อยๆไหลรินออกมา เมื่อหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเธอสามเดือนก่อนหน้านี้ วันหนึ่งพราวพรายได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากบิดา ตอนแรกเธอนึกแปลกใจเพราะคุณพนัสไม่เคยโทรศัพท์มาหาเธอ ปกติคนที่โทรมานานๆครั้งคือคุณจิตรา “พราวหรือลูก พ่อเองนะ” “สวัสดีค่ะ คุณพ่อ” เสียงของเธอตื่นเต้น “ทำไมวันนี้คุณพ่อโทรมาหาพราวได้ล่ะคะ?” “พ่อมีเรื่องจะคุยกับพราวนิดหน่อย” ใจของพราวพรายกระตุกวาบ ต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ หรือว่าจะเป็นเรื่องที่เธอกำลังปกปิดทางบ้านอยู่ หญิงสาวรู้สึกหนาวๆร้อนๆด้วยความหวาดวิตก “อาทิตย์หน้าพ่อต้องไปดูงานที่ยุโรปเกือบเดือน แม่เขาต้องอยู่คนเดียว หมู่นี้เขาไม่สบายบ่อยๆ พ่อเป็นห่วงไม่อยากให้เขาอยู่คนเดียว ถ้าเจตน์อยู่บ้านพ่อก็ไม่ต้องห่วง แต่ตอนนี้เขาต้องไปทำงานทางใต้สองสามเดือน” พราวพรายซึ่งกำลังรู้สึกโล่งใจ ว่าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับความลับของเธอ กลับตกใจขึ้นมาใหม่ เพราะปกติคุณจิตราเป็นคนแข็งแรงไม่ค่อยเจ็บค่อยป่วยกับใครเขา “แม่ไม่สบายเป็นอะไรคะ คุณพ่อ?” บิดาของเธออึ้งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะตอบว่า “ก็โรคของคนวัยนี้แหละ ความดัน หัวใจ” “แม่ไปหาหมอหรือเปล่าคะ?” “ไปเดือนละครั้ง ไปให้หมอตรวจแล้วก็เอายามากิน แต่แม่เขาก็กินบ้างไม่กินบ้างตามแบบของเขา” แล้วคุณพนัสก็รีบเข้าประเด็น “คือยังงี้ ถ้าพราวพอลางานได้ พ่ออยากให้พราวลงมาอยู่เป็นเพื่อนแม่เขาสักอาทิตย์นึง เขาจะได้อุ่นใจ เจตน์เขาจะมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ได้สักสี่ห้าวันต่อจากพราว ลูกจะมาได้หรือเปล่า” หญิงสาวตอบโดยไม่ลังเลเลยว่า “ได้ค่ะ สองอาทิตย์ยังได้เลยค่ะ คุณพ่อ วันหยุดพักร้อนของพราวมีเยอะค่ะ” “ที่ทำงานจะไม่มีปัญหาหรือ ถ้าลามากรุงเทพฯตั้งเป็นอาทิตย์?” คุณพนัสถามอย่างผู้ที่เห็นงานสำคัญที่สุด “คงไม่หรอกค่ะ ถึงพราวไม่อยู่ก็มีคนอื่นอยู่นี่คะ เราจะไม่ลาพร้อมๆกัน คุณพ่อไม่ต้องห่วงหรอก ยิ่งรู้ว่าพราวจำเป็นต้องลาเพราะแม่ไม่สบาย จอห์นยิ่งไม่มีปัญหา เขาเป็นเจ้านายที่น่ารักมากค่ะพ่อ เขาเข้าใจเรื่องความจำเป็นของครอบครัว ลูกน้องรักเขากันทุกคน คุณพ่อจะเดินทางเมื่อไหร่คะ พราวจะได้ส่งใบลาให้จอห์นล่วงหน้า” หลังจากรู้กำหนดเวลาที่จะต้องไปกรุงเทพฯแน่นอนแล้ว พราวพรายก็ส่งใบลาหยุดพักร้อนให้จอห์นตามกฏ ก่อนวันที่จะออกเดินทางเธอติดต่อบอกนิค ให้รู้ ว่าเธอจะไปอยู่เป็นเพื่อนมารดาที่กรุงเทพฯประมาณหนึ่งสัปดาห์ “พราว ไปบ้านคราวนี้ควรจะหาโอกาสพูดกับคุณแม่เรื่องของเราเสียให้เรียบร้อย” นิคซึ่งยังกังวลใจเรื่องที่มีคนรู้ความลับ บอกพราวพรายเมื่อเห็นว่าเป็นโอกาสที่เหมาะ เพราะเธอจะมีเวลาอยู่กับมารดาหลายวัน “ฉันก็คิดอยู่เหมือนกันค่ะ นิค แต่คงต้องรอดูจังหวะก่อน ฉันจะอยู่กับแม่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ คงมีเวลาที่จะหาโอกาสพูดกับแม่ตอนแม่อารมณ์ดี” “เอายังงี้ดีไหม ถ้าคุณคิดจะพูดกับคุณแม่วันไหนก็โทรมาบอกผมล่วงหน้า ผมจะได้ลางานไปหาคุณ จะได้ไปพูดกับท่านพร้อมกันเลย” “ไม่ต้องหรอกค่ะ นิค ให้ฉันพูดเองดีกว่า หลังจากนั้นคุณค่อยลงมาพบแม่ ” “คุณแน่ใจหรือว่าจะกล้าพูดกับท่านคนเดียว ถ้าผมอยู่ด้วยช่วยกันพูดจะไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยท่านจะได้รู้จักผม จะได้พิจารณาว่าสมควรจะอนุญาตให้ผมดูแลคุณได้หรือไม่" “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทำได้เพราะตัดสินใจแล้วที่จะสารภาพกับแม่ เพียงแต่คงยังไม่พูดในวันแรกที่ไปถึง คงต้องรอสักวันสองวัน ไม่งั้นแม่จะเข้าใจว่าที่มาบ้านก็เพื่อจะมาพูดเรื่องนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะมาอยู่เป็นเพื่อนเหมือนที่คุณพ่อขอเอาไว้” อีกฝ่ายถอนใจเพราะไม่แน่ใจเลยว่าพอถึงเวลาเข้าจริง เธอจะกล้าพูดหรือเปล่า “ถ้างั้นรีบโทรหาผมทันทีเลยนะหลังจากที่พูดกับคุณแม่แล้ว” ความจริงพราวพรายคิดเรื่องนี้มาพักหนึ่งแล้ว ตั้งแต่วันที่นิคพูดเรื่องอยากมีลูก เมื่อเขาต้องการลูกจริงๆเธอก็ควรจะยอมมีให้เขาสักคน และถ้าบิดามารดายังไม่รู้เรื่องการแอบแต่งงาน การมีลูกก็ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว คุณจิตราดีใจที่เห็นบุตรสาวคนเล็ก “จะมาอยู่กี่วันล่ะ?” เธอถามทันทีที่พราวพรายวางกระเป๋าเดินทางลง “คงสักอาทิตย์ค่ะ แม่ เห็นคุณพ่อว่าพี่เจตน์จะมาอยู่เป็นเพื่อนแม่หลังจากนั้น” คุณจิตราทำหน้าเบ้ “ความจริงเราน่าจะลางานมานานๆหน่อย พี่เขาจะได้ไม่ต้องทิ้งงานมากรุงเทพฯอีกคน” หญิงสาวอยากจะถอนใจกับคำพูดของมารดา ที่มักจะเห็นแต่ความสำคัญของลูกชายคนโต และอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเขามากกว่าลูกสาวสองคน เธอพยายามเปลี่ยนเรื่อง “แม่เป็นยังไงบ้างล่ะคะ เห็นคุณพ่อบอกว่าแม่เป็นโรคความดันสูงกับโรคหัวใจ” “ย่ะ แก่แล้วมันก็ไม่ดียังงี้แหละ” แล้วเธอก็ถือโอกาสบ่นต่อเสียเลย “ความจริงแต่ก่อนก็เป็นไม่เท่าไหร่ ความดันสูงกว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้น หัวใจก็ไม่เห็นเคยมีปัญหาอะไร ตั้งแต่พี่สาวเราทำเรื่องใหญ่ขึ้นมา อาการของฉันก็เลยกำเริบ ความดันก็ขึ้นๆลงๆ พอคิดเรื่องแม่เจิดทีไรก็ปวดหัว ความดันขึ้นทุกครั้ง” ฟังแล้วพราวพรายก็อดหนาวๆร้อนๆไม่ได้ รู้ว่าเรื่องของเธอต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ แต่ก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าแม้มารดาจะดุด่าว่ากล่าวอย่างไรก็จะไม่เถียง จะยอมรับผิดโดยดี คุณจิตรายังไม่ยอมยกโทษให้เจิดจรัส ที่แอบแต่งงานกับแฟรงค์ที่อเมริกาจนมีลูกหนึ่งคนแล้ว เธอรู้จากพี่สาวว่ามารดายื่นคำขาดไม่ให้เจิดจรัสพาสามีมาหาเธอและคุณพนัส โทรศัพท์มาก็ไม่ยอมรับ ทำให้เจิดจรัสต้องแอบติดต่อกับบิดา โดยโทรศัพท์มาหาเขาที่ที่ทำงานนานๆครั้ง โดยที่คุณจิตราไม่รู้ “แม่มีโรคหัวใจด้วยหรือคะ เห็นคุณพ่อบอก” เธอถามอย่างกังวล มองดูมารดาก็เห็นว่าซูบลงไปเล็กน้อย “หมอเขาว่ายังงั้น ไปหาทีก็ให้ยามาเยอะแยะ กำชับไม่ให้เครียด ไม่ให้คิดมาก ใครจะไปทำตามได้ล่ะ ไอ้เรื่องเครียดน่ะมันมีมากมายก่ายกอง ไม่ได้เครียดเรื่องของตัวเองหรอก เรื่องลูกทั้งนั้นแหละ” พอมารดาทำท่าจะบ่นต่อยืดยาว พราวพรายก็รีบขอตัวขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเถลไถลโทรศัพท์ไปคุยกับเพื่อนสนิทสองคนอยู่อีกพักหนึ่งจึงลงมาข้างล่าง คุณจิตราซึ่งนั่งคอยทีอยู่แล้วรีบเรียกเธอให้ไปนั่งใกล้ๆทันที “เรื่องเขตต์น่ะมีอะไรกัน แม่โทร.ไปถามทีไรเราก็อ้อมๆแอ้มๆเหมือนไม่อยากจะตอบ พอลองอ้อมๆคุยกับเขตต์ๆ ก็มาอีหรอบเดียวกัน คุณสิรีก็อีกคน ทำหลบๆชอบกล โทร.ไปคุยด้วยก็ทำอึกๆอักๆ เรากับเขาน่ะตอนแรกก็คบกันอยู่ดีดีไม่ใช่หรือ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่าเราไปแผลงฤทธิ์ใส่เขา” “แม่ก็ทราบแล้วไม่ใช่หรือคะ ว่าคุณเขตต์เขาย้ายออกจากอุบลฯไปแล้ว” “อ้าว ย้ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ คุณสิรีเขาเคยบอกแม่แต่ว่าเขตต์กำลังทำเรื่องขอย้าย” คุณจิตราทำท่ากังวล “แต่ที่ว่าย้ายไปแล้วไม่เห็นเขาพูดถึงนี่” “ก็สักพักแล้วละค่ะ แต่พราวว่าก็เป็นเรื่องธรรมดานี่คะ เป็นข้าราชการก็มีโอกาสจะถูกโยกย้ายไปที่ไหนก็ได้อยู่แล้ว ยิ่งเป็นข้าราชการฝ่ายปกครองยิ่งมีโอกาสย้ายสูง” หญิงสาวพยายามหาเหตุผลมาช่วยให้มารดาสบายใจขึ้น นึกสงสารคุณจิตราอยู่เหมือนกันที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ยังนึกว่ามีโอกาสจะได้เขตต์มาเป็นเขยอยู่ เป็นไปได้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นคงเล่าให้มารดาของเขาฟังแล้ว ว่าเธอปฏิเสธเขาอย่างเด็ดขาด “พราวว่าแม่เลิกคิดเรื่องคุณเขตต์กับพราวเถิดค่ะ แล้วก็อย่าโทรไปคุยกับแม่คุณเขตต์เรื่องนี้อีกเลย” “ทำไม หมายความว่าเรากับเขตต์ตกลงเลิกคบกันแน่แล้วหรือ?” “โธ่ แม่ พราวก็เคยบอกแม่แล้วว่าเราไม่ได้คบกันแบบแฟน แค่เป็นเพื่อนกันเท่านั้น ตอนนี้เราก็รู้แล้วด้วยว่าเป็นไปไม่ได้ พราวพยายามที่จะชอบเขาแล้วแต่ไม่สำเร็จ เราเหมาะจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากกว่า ก่อนที่เขาจะย้ายไปเราคุยกันรู้เรื่องแล้วค่ะ แม่” แล้วพราวพรายก็รีบสรุปโดยเร็วเพื่อตัดปัญหาทั้งหมด “สรุปก็คือเรื่องของพราวกับเขาจบแค่นั้น” ก่อนจะเดินทางออกจากอุบลฯเพื่อไปรับตำแหน่งใหม่ที่จังหวัดชายแดนทางใต้ ชายหนุ่มผู้นั้นได้โทรศัพท์มาลาเธอ แม้จะรู้สึกสะดุดใจกับคำอวยพรของเขาอยู่บ้าง แต่พราวพรายก็ไม่ได้ให้ความสนใจนัก เขตต์อวยพรให้เธอมีความสุขกับสิ่งที่เธอได้เลือกแล้ว คุณจิตราฟังแล้วก็ทำหน้าเมินๆ ที่เธอไม่ได้ทำท่าโกรธเกรี้ยวอย่างที่พราวพรายกลัวเอาไว้ก่อน ก็เพราะเพิ่งรู้จากสามีเมื่อไม่นานมานี้ ว่าชายหนุ่มผู้นั้นเล่าให้ทางบ้านเขาฟังแล้ว ว่าตอนนี้เขากับพราวพรายคบกันแบบเพื่อนธรรมดาเท่านั้น เพราะเธอไม่ได้ชอบเขาพอที่จะแต่งงานด้วยได้ และอีกอย่างเขาก็ยังไม่อยากผูกมัดตัวเองกับใคร อยากจะมุ่งมั่นกับหน้าที่การงานเพื่อความก้าวหน้าในราชการมากกว่า ที่สำคัญคือฝ่ายโน้นพูดในทำนองว่าอย่าไปบังคับฝืนใจเด็กเลย เขาสองคนคงไม่ได้เป็นเนื้อคู่กัน แล้วมารดาของเธอซึ่งรู้สึกเสียหน้ากับเรื่องนี้ ก็เปลี่ยนเรื่อง “เมื่อไหร่จะกลับมาอยู่บ้านเสียทีล่ะ ควรหางานที่กรุงเทพฯทำได้แล้ว จะได้มีโอกาสเจอคนดีดีมั่ง ทางโน้นไม่เห็นมีอะไร อายุก็มากขึ้นทุกวัน” พราวพรายพยายามเก็บปากเก็บคำไม่พูดหรือเถียงอะไร ความจริงเธอก็รู้สึกสงสารมารดาเหมือนกัน ที่ตั้งความหวังมากมายไว้กับเธอและพี่สาว คงเป็นธรรมดาของพ่อแม่ทุกคน ที่ย่อมอยากให้ลูกได้พบได้แต่งงานกับคนดีดีมีอนาคต แต่ทั้งตัวเธอเองและเจิดจรัสต่างก็ตัดสินใจเลือกคู่ครอง ที่ห่างไกลจากความต้องการของมารดา สามวันแรกพราวพรายอยู่บ้านพูดคุยเอาอกเอาใจมารดา ระหว่างนั้นก็คอยสังเกตทีท่าของคุณจิตราไปด้วย ยังไม่กล้าพูดอะไรเพราะเห็นเธออารมณ์ขึ้นๆลงๆ เดี๋ยวก็หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แต่อีกครู่ต่อมาก็บ่นพึมพำเรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง ตอนสายๆของวันที่สี่ หญิงสาวถือโอกาสที่คุณจิตราลงนอนให้หมอนวดประจำตัว ที่มานวดถึงบ้านเดือนละสองสามครั้งๆละสองชั่วโมงเป็นอย่างต่ำนวดอยู่ ออกไปเดินดูของแถวศูนย์การค้าใกล้บ้าน ซื้อของใช้ส่วนตัวที่จะเอากลับไปใช้ที่อุบลฯ เลือกซื้อเสื้อยืดสวยๆ แบบใหม่ที่เพิ่งตกมาจากเมืองนอกเอาไปฝากนิคสามตัวด้วยกัน รวมทั้งผ้าเช็ดหน้าและถุงเท้าผู้ชายสีสุภาพอีกอย่างละครึ่งโหล เป็นครั้งแรกที่พราวพรายรู้สึกคิดถึงนิคอย่างที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อน หญิงสาวกลับมาถึงบ้านหลังเที่ยง หยิบผ้าตัดเสื้อลูกไม้สีเนื้อที่เพิ่งซื้อมาส่งให้มารดาเป็นของฝาก คุณจิตราซึ่งเพิ่งนวดเสร็จได้ไม่นานคลี่ผ้าลูกไม้ออกสำรวจอย่างชอบใจ ทั้งแม่และลูกต่างก็อารมณ์ดีพอๆกัน แต่แล้วบ่ายวันนั้นก็เกิดเรื่องใหญ่ที่ไม่คาดฝัน ที่ทำให้ชีวิตของพราวพรายต้องผันแปรอีกครั้งหนึ่ง ตอนบ่ายขณะนั่งอยู่ด้วยกันหน้าจอโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น เพราะคุณจิตรากำลังจะดูละครทีวีภาคบ่ายเรื่องที่เธอติด และต้องคอยตามดูอยู่ทุกวัน ระหว่างที่ละครกำลังโฆษณาอยู่ พราวพรายซึ่งเห็นมารดาอารมณ์ดีตั้งแต่เช้า ก็ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะพูดเรื่องนิค เพราะอีกไม่กี่วันเธอก็จะเดินทางกลับอุบลฯแล้ว “เอ้อ แม่คะ พราวมีเรื่องอยากจะคุยกับแม่หน่อยค่ะ” คุณจิตราเหลียวมามองหน้าลูกสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ “มีเรื่องอะไร สำคัญหรือเปล่า แม่กำลังจะดูละคร จบโฆษณานี่ก็มาแล้ว ไว้รอให้ละครจบก่อนก็แล้วกัน กำลังถึงตอนสนุกเชียว” แล้วเธอก็ร้องเรียกแม่บ้านคนสนิท ที่มักจะมานั่งดูละครเป็นเพื่อนเธออยู่เป็นประจำ “แม่สาคร ทำอะไรเสร็จหรือยัง ละครมาแล้วย่ะ” พอขาดคำของเธอนางสาครก็เดินเข้ามาในห้อง ยอบตัวลงส่งของในมือให้คุณจิตรา “จดหมายค่ะคุณนาย เด็กมันเพิ่งไปเปิดตู้จดหมาย” คุณจิตรารับซองจดหมายมา พยายามเพ่งมองว่าเป็นจดหมายถึงใคร เพราะปกติเธอมักจะตรวจตราจดหมายทุกฉบับที่มีผู้ส่งมา ไม่ถึงกับเปิดออกอ่าน เพียงแต่ดูหน้าซองเพราะต้องการรู้เท่านั้นว่าจดหมายของใคร แต่เนื่องจากขณะนั้นเธอไม่ได้สวมแว่นอ่านหนังสือ เธอจึงยื่นให้บุตรสาวซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆช่วยดู “ช่วยดูหน่อยสิ จดหมายของแม่หรือของใคร แม่ไม่เคยติดต่อเรื่องอะไรกับใครนี่” แล้วเธอก็หันไปบอกนางสาครอีกครั้งว่า “ทำอะไรเสร็จหรือยังล่ะ ละครมาแล้ว” “ดิฉันกำลังเตรียมของว่างให้คุณนายอยู่ค่ะ ใกล้เสร็จแล้ว คุณนายดูกับคุณพราวไปก่อนนะคะ” พูดจบหญิงแม่บ้านก็เดินออกจากห้องไป พราวพรายรับจดหมายฉบับนั้นมาอ่านหน้าซอง ที่เป็นตัวพิมพ์ดีดระบุชื่อผู้รับเพียงสั้นๆว่า ‘คุณจิตรา’ ไม่ระบุนามสกุล “จดหมายถึงแม่น่ะค่ะ พราวเปิดให้เอาไหมคะ?” “เปิดเถอะ อ้อ..ส่งแว่นตาตรงนั้นมาให้ด้วย” แล้วเธอก็พึมพำอย่างสงสัยว่า “ใครเขียนมา ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยมีจดหมายถึงแม่” หญิงสาวหยิบแว่นตาที่อยู่บนโต๊ะกระจก ใกล้กับเก้าอี้ตัวที่เธอนั่งอยู่ส่งให้มารดา ก่อนจะลุกไปหยิบกรรไกรเล็กๆ มาตัดปลายซองด้านหนึ่งออก ดึงกระดาษสีขาวที่พับซ้อนกันสามท่อนออกมาส่งให้คุณจิตรา ส่วนเธอก็นั่งเงียบกริบ ใจตุ๋มๆต่อมๆ พยายามคิดเรียบเรียงเรื่องราวและถ้อยคำที่จะพูดกับมารดา ในอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าเมื่อละครจบลง คุณจิตราคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอ่านอย่างสนใจใคร่รู้ ว่าใครเขียนจดหมายมาหาเธอ อ่านปราดๆไปได้ไม่ถึงครึ่งหน้า หน้าของเธอก็ซีดขาวจนเกือบเขียว ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นยืนตัวสั่นระริก “โอย..นี่มันอะไรกัน!!. เสียงร้องที่แหลมดัง หน้าที่ปราศจากสีเลือด ตัวเนื้อสั่นเทาและท่ายืนโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ของมารดา ทำให้พราวพรายตกใจ เธอรีบร้อนลุกขึ้นไปประคองร่างของคุณจิตราเอาไว้อย่างตระหนกอกสั่น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “แม่คะ แม่เป็นอะไร!?” ทันทีที่ประสาทหูได้ยินเสียงและประสาทตาที่พร่าพรายไปชั่วคราวมองเห็นบุตรี เธอก็แผดเสียงออกมาว่า “อีนังลูกชั่ว! อีลูกสารเลว! ทำความชั่วลับหลังพ่อแม่ได้ขนาดนี้เลยหรือ!!” ก่อนที่พราวพรายซึ่งกำลังตกตะลึงจังงังทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น จะทันได้ทำอะไร คุณจิตราก็สะบัดร่างจากแขนของบุตรสาวที่ยึดตัวเธอไว้ แล้วเลยเสียหลักหงายหลังฟุบลงไปนอนตะแคงบนเก้าอี้นวมตัวยาวที่เธอนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ กระดาษในมือกระเด็นตกลงไปคว่ำหน้าอยู่บนพื้นห้อง “แม่คะ! แม่ แม่เป็นอะไร?” หญิงสาวร้องเสียงหลง ผวาเข้าไปคุกเข่าลงใกล้ร่างที่ฟุบตะแคงหลับตาหมดสติ “ป้าสาคร ป้าสาคร แก้ว แก้ว ใครอยู่ตรงนั้นมาช่วยแม่ที” นางสาครที่กำลังจัดของว่างอยู่ในห้องแพนทรีสำหรับคุณจิตรากับพราวพราย วิ่งเข้ามาหาด้วยหน้าตาที่ตื่นเต้นตกใจ “ตายแล้ว! คุณนายเป็นอะไรคะ คุณพราว” “สงสัยจะเป็นลม ป้าช่วยชงยาหอมมาให้หน่อย เร็วๆนะ” ระหว่างที่นางสาครออกไปชงยาหอม พราวพรายก็นวดไปตามฝ่ามือฝ่าเท้าที่เย็นเฉียบของคุณจิตรา ซึ่งยังนอนหลับตานิ่งไม่กระดุกกระดิกอยู่เหมือนเดิม ใจของเธอเต้นตูมตามด้วยความตกใจกลัวว่ามารดาจะเป็นอะไรมาก เพราะปกติคุณจิตราเป็นคนแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บค่อยป่วยง่ายๆ แต่พอนึกถึงคำบอกเล่าของบิดา เกี่ยวกับโรคประจำตัวของมารดาซึ่งมีทั้งความดันและหัวใจ หญิงสาวก็ยิ่งกังวลหนักขึ้น หลังจากช่วยกันกับนางสาครค่อยๆกรอกยาหอมอุ่นๆ เข้าไปในปากมารดาแล้วนั่งรอดูอาการอยู่ครู่หนึ่ง แต่คุณจิตราก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น ในที่สุดพราวพรายก็ลุกขึ้นจากที่นั่งอยู่ตรงปลายเท้าของมารดา เพื่อจะออกไปโทรศัพท์ที่ห้องด้านนอก พอก้าวออกเดินได้สองก้าวเห็นกระดาษแผ่นที่ตกอยู่บนพื้น เธอก็รีบร้อนหยิบขึ้นมาแล้วยัดใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงที่สวมอยู่ ก่อนที่จะวิ่งไปโทรศัพท์ติดต่อกับหมอจรัสซึ่งเป็นหมอประจำตัวของคุณจิตรา แพทย์ผู้นั้นสั่งให้นำตัวคุณจิตราส่งโรงพยาบาลทันที โดยแนะนำให้เรียกรถพยาบาล เพราะมีอุปกรณ์ฉุกเฉินที่จำเป็นและเจ้าหน้าที่พยาบาล ที่จะช่วยดูแลคนป่วยระหว่างเดินทางมาโรงพยาบาล พราวพรายและนางสาครติดรถพยาบาลไปด้วย โชคดีที่โรงพยาบาลอยู่ห่างจากบ้านเพียงสองกิโลเมตร คุณจิตราถูกนำตัวเข้าห้องไอ.ซี.ยูทันทีเพราะเธอยังไม่ได้สติ หลังจากนั้นอีกพักใหญ่ พยาบาลคนหนึ่งก็มาเชิญพราวพราย ซึ่งเป็นเจ้าของไข้เข้าไปพบแพทย์ หลังจากสอบถามรู้ว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นบุตรีของคนไข้ แพทย์วัยกลางคนซึ่งเป็นหมอประจำตัวคุณจิตรา ในช่วงหลังๆที่เธอเริ่มเป็นโรคหัวใจและความดัน ก็บอกพราวพรายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณแม่คุณอาการไม่ค่อยดีนะ ความดันขึ้นสูงถึงสามร้อยกว่า ซึ่งอันตรายมาก หัวใจก็ไม่ดี ไขมันในเลือดก็สูง” “แม่ฟื้นแล้วหรือคะ คุณหมอ?” หน้าของเธอซีดขาว ทั้งตกใจและกังวล “ยังไม่ฟื้น ที่ผมเรียกคุณมาคุยก็เพราะอยากจะรู้ว่าคนไข้เครียด หรือมีเรื่องสะเทือนใจอย่างรุนแรงอะไรหรือเปล่า ความดันถึงได้ขึ้นกระทันหันแล้วก็สูงลิบแบบนี้ ปกติที่รักษาอยู่กับผม ความดันของคุณจิตราก็ไม่เคยสูงขนาดนี้ สูงกว่าคนปกติทั่วไปไม่เท่าไหร่” คำพูดของนายแพทย์ทำให้หญิงสาวนึกถึงจดหมาย ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเธอขึ้นมาได้ ขณะที่คิดจะล้วงออกมาอ่าน เผื่อจะตอบหมอได้ถึงสาเหตุที่ทำให้คุณจิตรามีอาการดังกล่าว ก็พอดีนายแพทย์จรัสกล่าวต่อว่า “คุณจิตราคงต้องนอนโรงพยาบาลสักพักหนึ่ง ตอนนี้ต้องพยายามลดความดันลงมาให้ได้ก่อน ฟื้นแล้วก็คงต้องตรวจร่างกายโดยละเอียด รวมทั้งหัวใจด้วย” “ดิฉันจะขอเข้าไปดูแม่หน่อยได้ไหมคะ?” “อย่าเพิ่งเลย ไว้รอให้ฟื้นก่อนดีกว่า” แล้วเขาก็เสริมเป็นเชิงให้ความรู้แก่เธอเพื่อประโยชน์ของคนไข้ว่า “คนดูแลหรืออยู่ใกล้ชิดต้องช่วยระวังอย่าให้คนไข้เครียด ไม่พูดไม่เล่าอะไรที่จะทำให้กระทบกระเทือนจิตใจ ยาที่ให้ไปก็ต้องดูแลให้กินตามกำหนดเวลาด้วย” พราวพรายลุกออกจากห้องแพทย์กลับมานั่งงงๆใกล้กับนางสาคร ทันที่เห็นเธอคนเก่าคนแก่ของคุณจิตราก็ถามว่า “หมอบอกว่าคุณนายเป็นอะไรคะ คุณพราว?” “ความดันสูงกับโรคหัวใจน่ะ” “คุณนายต้องนอนโรงพยาบาลหรือเปล่าคะ?” “คงต้องนอนสักสองสามวัน” “แล้วนี่คุณพราวไม่ต้องโทร.ไปเรียนคุณพ่อหรอกหรือคะ?” “นั่นสิ กำลังคิดอยู่เหมือนกัน แต่คุณพ่อไปทำงานหลายประเทศ ต้องเดินทางเกือบทุกวัน อาจจะติดต่อลำบากหน่อย เดี๋ยวค่อยคิดอีกที รอให้แม่ฟื้นขึ้นมาก่อน” พอนึกเรื่องจดหมายขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่งพราวพรายก็ลุกขึ้นยืน บอกนางสาครว่า “ป้ารออยู่หน้าห้องไอซียูนี่ก่อนนะ ถ้าหมอหรือพยาบาลออกมาถามหาฉัน ก็ช่วยบอกด้วยว่าฉันไปห้องน้ำเดี๋ยวมา” เข้าไปในห้องน้ำที่ว่างวายผู้คนได้ หญิงสาวก็ล้วงจดหมายเจ้าปัญหาที่คาดว่าจะเป็นต้นเหตุ ที่ทำให้มารดาล้มป่วยอย่างกระทันหันออกมาคลี่อ่าน แล้วฉับพลันทันใดพราวพรายก็เข่าอ่อน ชาวาบไปทั้งตัว ดวงตาพร่าพราย ใจเต้นรัวแรงราวกับจะกระโดดออกจากอก หัวหมุนติ้วราวกับลูกข่าง มือที่ถือกระดาษแผ่นนั้นสั่นระริก ตกตะลึงพรึงเพริดคิดอะไรไม่ออกไปเป็นครู่ ความตื่นตระหนกกับการล้มลงหมดสติของคุณจิตราตอนที่เกิดเรื่องใหม่ๆ ทำให้พราวพรายไม่ได้เฉลียวใจถึงนัยสำคัญของคำผรุสวาท ที่หลุดออกจากปากมารดาด้วยโทสะจริตที่แรงกล้าในตอนนั้น “อีนังลูกชั่ว! อีลูกสารเลว! ทำความชั่วลับหลังพ่อแม่ได้ขนาดนี้เลยหรือ!!” จดหมายหรือกระดาษแผ่นนั้นคือสำเนาทะเบียนสมรสของเธอกับนิค!!! โดย: Rain_sk วันที่: 24 เมษายน 2566 เวลา:12:04:24 น.
ขอบคุณที่เข้าไปเยี่ยมชมบล็อคค่ะ
โดย: Emmy Journey พากิน พาเที่ยว วันที่: 24 เมษายน 2566 เวลา:12:23:14 น.
ขอบคุณที่แวะมา เราก็วิจารณ์ไปตามเรื่องแหละ เอาเข้าจริงตอนนี้มันไม่ไหวแล้วเดือดร้อนกันไปหมด
โดย: โลกคู่ขนาน (สมาชิกหมายเลข 7115969 ) วันที่: 24 เมษายน 2566 เวลา:17:21:43 น.
เอาเข้าแล้ว ใครเป็นคนส่งทะเบียนสมรสมาคะ เฮ้อ พราวพรายแย่อีกแล้ว 555 แล้วจะรออ่านต่อค่ะ
Literature Blog ขอบคุณที่ไปให้กำลังใจที่บล็อกตะพาบนะคะ โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 24 เมษายน 2566 เวลา:23:54:46 น.
ขอบคุณสำหรับข้อความที่บล๊อก (นู้น) ครับ
ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองน่าจะอ่านเรื่องนี้ไม่รู้เรื่องซะแล้ว เพราะอ่านครั้งแรกก็ข้ามมาตอนที่ 65 แน่ะ แต่พอจนจบถึงไม่รู้เรื่องทั้งหมดแต่ก็พอปะติดปะต่อเรื่องได้แฮะ แสดงว่าแต่งดีมากครับ ^^ โดย: ทุเรียนกวน ป่วนรัก วันที่: 27 เมษายน 2566 เวลา:22:20:52 น.
|
ดอยสะเก็ด
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]
Group Blog
All Blog
Friends Blog
|
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
ดีที่คุณพ่อ พราวสนใจอย่างอื่น แล้วความลับของพราวเป็นแบบไหน
หนอ 555