คนละฟากฟ้า - บทที่ 79
ดิ๊กซึ่งทำงานอยู่ในสายการข่าวของทหาร ในประเทศแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้มาหลายปี มีสายสนกลในเครือข่ายที่ทำให้เขาสามารถเข้าถึงข่าวสารข้อมูลต่างๆได้ไม่ยาก ไมว่าจะเกี่ยวกับคนหรือสถานการณ์ต่างๆ เริ่มต้นสืบเสาะหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพราวพราย ทันทีที่เดินทางกลับถึงบ้านในประเทศลาว

ในช่วงสองสัปดาห์หลังจากนั้นเขาเดินทางเข้าออกประเทศไทยหลายครั้ง ติดต่อทั้งหน่วยงานราชการของไทยและแหล่งข่าวของเขา จนได้ข้อมูลมาหลายอย่าง รวมทั้งข้อมูลสำคัญบางอย่างที่นิวเจอร์ซี่ด้วย เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการมากพอแล้ว ชายหนุ่มก็นำข้อมูลเหล่านั้นมาประมวลเข้าด้วยกันด้วยตัวเองอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วก็ได้คำตอบที่ต้องการ


พราวพรายซึ่งกำลังเคลียร์โต๊ะทำงานของเธอเพื่อเตรียมตัวกลับที่พัก เพราะขณะนั้นใกล้เวลาเลิกงานแล้ว เอื้อมมือไปรับโทรศัพท์ที่โอปะเรเตอร์ที่ออฟฟิศหน้าโอนเข้ามาให้

“ฮัลโหล” เธอตอบรับโทรศัพท์
เสียงผู้ชายที่ตอบกลับมาเป็นเสียงที่ไม่คุ้นหู “คุณพราวพรายใช่มั้ยครับ”
“คะ?”
“คุณพราว ผมดิ๊กนะ ดิ๊กเพื่อนนิคน่ะ จำผมได้หรือเปล่า”

หญิงสาวสะดุ้งวาบเมื่อได้ยิน ทำไมเธอจะจำเพื่อนสนิทของนิคคนนี้ไม่ได้ ใจของเธอเต้นรัวไม่รู้ว่าดิ๊กมีจุดประสงค์อะไรที่โทรศัพท์มาหาเธอ เขารู้ที่ทำงานของเธอได้อย่างไร

“เอ้อ จำได้สิคะ สวัสดีค่ะ คุณดิ๊ก”
“คุณพราวเลิกงานกี่โมง”

พราวพรายเหลือบดูนาฬิกาข้อมือ “เอ้อ..อีกสองสามนาทีค่ะ คุณโทร.มาจากไหนคะ”

“ในลอนดอนนี่แหละ ผมมาธุระที่นี่ รู้ว่าคุณพราวทำงานอยู่ที่บีบีซี เลยอยากขอเลี้ยงอาหารสักมื้อเย็นนี้ ถ้าคุณว่าง”

หญิงสาวอึกอักอยากจะปฏิเสธ เธอไม่ต้องการพบดี๊กหรือใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับนิค ไม่อยากจะเจ็บปวดอีกแล้ว เห็นหน้าเพื่อนสนิทของนิคมีแต่จะเตือนความทรงจำ ที่เกี่ยวกับคนตายให้คุกรุ่นขึ้นมาอีก

ดิ๊กซึ่งคงจะรู้ว่าเธอไม่อยากพบเขารีบย้ำว่า “ผมขอพบคุณพราวหน่อยได้ไหม เย็นนี้หลังเลิกงาน”

เขานิ่งคิดแล้วรีบรวดรัดว่า “ผมมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับคุณพราว อาจจะกระทันหันไปหน่อย แต่ผมไม่มีเวลามาก ผมจะออกจากลอนดอนคืนพรุ่งนี้”

พราวพรายปฏิเสธไม่ออก ได้แต่อึกอักถามเขาว่า “จะพบกันที่ไหนคะ”

“ผมพักที่โรงแรมใกล้ๆกับบีบีซีนี่แหละ” ดิ๊กเอ่ยชื่อโรงแรมที่อยู่ห่างออกไปจากออฟฟิศของพราวพรายเพียงสามช่วงตึก “ผมขอเชิญคุณพราวทานอาหารเย็นที่ห้องอาหารในโรงแรม ผมจะรออยู่ตรงล้อบบี้นะครับ”

ดิ๊กวางโทรศัพท์ไปแล้วหลังจากนัดแนะเวลากันเป็นที่เรียบร้อย ส่วนพราวพรายนั่งงงอยู่อีกเดี๋ยวหนึ่ง ก็รีบเก็บของบนโต๊ะทำงาน ล็อคโต๊ะแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ เมื่อมองเห็นหน้าที่ซีดเผือดของตัวเองในกระจก เธอก็ลงมือล้างหน้าจนสะอาด ซับจบแห้ง ควักตลับแป้งและลิปสติกสีอ่อน ออกมาแต่งหน้า พอไม่ให้ซีดเซียวจนเกินไป ใจก็กังวลกับเรื่องสำคัญที่ดิ๊กเกริ่นเอาไว้

ชายหนุ่มผู้นั้นนั่งรออยู่แล้วที่เก้าอี้ชุดหนึ่งในหลายชุด ที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ตรงบริเวณล้อบบี้ เขาเจาะจงเลือกชุดเก้าอี้ที่อยู่ตรงมุมในสุดของห้อง ไกลจากเก้าอี้ชุดอื่นๆ ซึ่งขณะนี้มีคนนั่งอยู่เพียงประปราย เมื่อเห็นพราวพรายเดินตรงเข้ามา ดิ๊กก็ลุกขึ้นยืนต้อนรับ กล่าวคำทักทายก่อนจะเชิญเธอให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ตรงข้ามกับเขา เจตนาจัดให้เธอนั่งหันหน้าเข้าผนังตึกเพราะรู้ว่าทันทีที่ได้ยินเรื่องสำคัญจากปากเขา เธอจะต้องมีอาการผิดปกติ ซึ่งเธอคงไม่ต้องการตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นในที่นั้น

ดิ๊กอดสังเกตไม่ได้ว่าพราวพรายยังคงสวยงามสะดุดตา เหมือนเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ดูสงบเสงี่ยมเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ไม่ดูเปรี้ยวจิ๊ดเหมือนสมัยก่อน แววตาของเธอสุขุมขึ้น แต่มีความเศร้าแฝงอยู่ลึกๆ เธอแต่งกายเรียบๆด้วยเสื้อและกระโปรงติดกันสีช็อคโกแล็ตเหลือบทอง ที่ขับผิวสีชาใส่นมของเธอให้ผุดผ่องเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น เข็มขัดเส้นใหญ่สีทองที่คาดอยู่รอบเอวเล็กๆ ทำให้เห็นทรวดทรงที่ยังโปร่งบางเหมือนเดิม

ผมของเธอที่เขาเคยเห็นพองฟูเหมือนรังนกกระจอกหรือบางครั้งก็ยาวเลยบ่าลงมาเล็กน้อย ตอนนี้ยาวกว่าเดิมมาก ผมหยักโศกยาวสลวยที่ปรกอยู่ตามหลังไหล่ ทำให้พราวพรายดูสวยหวานเป็นผู้หญิงมากขึ้น แต่สีหน้าของเธอนั่นสิที่ซีดเผือด มีรอยวิตกกังวลอยู่ในดวงตาคู่สวยที่เขาคิดว่านิกกี้ถอดแบบมาจากเธอ

“คุณพราวสบายดีหรือครับ”
“ค่ะ สบายดี คุณสมพรล่ะคะ เป็นยังไงบ้าง” หญิงสาวถามถึงภรรยาของดิ๊กตามมารยาท
“สบายดีครับ”
พราวพรายฝืนใจถามเขาว่า “ลูกชายคงโตมากแล้วสินะคะ”

ดิ๊กยิ้มกว้าง “เกือบห้าขวบแล้ว ผมมีลูกอีกคนแล้วนะ ผู้ชายเหมือนกัน ตอนนี้เกือบสามขวบแล้ว”

“ดีจังเลย” ดิ๊กเห็นแววเศร้าในดวงตาของอีกฝ่าย เขารู้ว่าเธอคงคิดถึงลูกชายตัวน้อยของเธอ

“ตอนนี้คุณดิ๊กยังทำงานอยู่ที่หลวงพระบางเหมือนเดิมหรือเปล่าคะ หรือย้ายกลับอเมริกาแล้ว”

“ผมยังอยู่ที่เดิม แต่ต้องเข้ามาที่ ดี.ซี. บ่อยกว่าเก่า ประมาณเดือนละครั้ง”
“พาคุณสมพรมาอเมริกามั่งหรือเปล่าคะ?”
“เขาจะมาปีละครั้งช่วงคริสต์มาส พาลูกมาเยี่ยมปู่กับย่า”

คนทั้งสองพูดคุยกันในทำนองนี้อยู่อีกครู่หนึ่ง จนกระทั่งพนักงานเสิร์ฟนำกาแฟ แซนด์วิชและขนมเค้กที่ดิ๊กสั่งไว้มาวางให้ บนโต๊ะกระจกรูปกลมตรงหน้า ระหว่างที่ต่างคนต่างจิบกาแฟ พราวพรายซึ่งกังวลกับเรื่องสำคัญที่ดิ๊กบอกว่าจะพูดด้วย ตัดสินใจถามเขาตรงๆ ตามนิสัยใจร้อนของเธอ

“คุณมีเรื่องจะพูดกับฉันไม่ใช่หรือคะ”

“ครับ” ชายหนุ่มพยายามสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย ว่าพร้อมที่จะรับฟังเรื่องสำคัญของเขามากน้อยแค่ไหน ก่อนที่จะเริ่มต้นว่า “ผมรู้ว่าคุณพราวคงไม่อยากให้ผมพูดถึงเพื่อนผม แต่..”

“ดิ๊กคะ!” สีหน้าที่เผือดอยู่แล้วของพราวพรายยิ่งเผือดมากขึ้น มีน้ำตาจางๆคลออยู่ในดวงตา “ฉันไม่...”

ชายหนุ่มมองเธออย่างสงสาร เธอคงเจ็บปวดมากเพียงแค่ได้ยินเขาพาดพิงถึงนิค แต่ก็ไม่มีทางเลือก เขาจำเป็นต้องขุดคุ้ยแผลเก่าที่ยังไม่ตกสะเก็ดของเธอออกมา เพื่อที่เธอและเพื่อนของเขาจะได้มีโอกาสปรับความเข้าใจกันเสียก่อนที่จะสายเกินไป ตอนนี้จากข้อมูลที่ได้มาดิ๊กเชื่อว่ายังไม่สาย

“คุณพราว สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้อาจจะทำให้คุณพราวตกใจอย่างเดียว หรือทั้งตกใจและดีใจพร้อมกันไปก็ได้ ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง”

หญิงสาวมองหน้าดิ๊กอย่างไม่เข้าใจอยู่เดี๋ยวหนึ่ง พยายามทำใจให้สงบก่อนบอกเขาว่า “พูดมาเถอะค่ะ คุณมีอะไรอยากเล่าให้ฉันฟังก็เล่ามาเถอะ ฉันอาจจะกระทบกระเทือนใจบ้าง แต่ไหนๆคุณก็อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว ยังไงๆฉันก็ควรต้องฟังไม่ใช่หรือคะ”

ดิ๊กยกกาแฟขึ้นดื่มช้าๆจนหมดถ้วย ใช้เวลานั้นคิดทบทวนหาคำพูดที่จะไม่ทำให้พราวพรายตกใจมากจนเกินไป “เอางี้นะ คุณพราว ขอผมถามตรงๆดีกว่า คุณรู้เรื่องเกี่ยวกับนิคมากน้อยแค่ไหน”

คำถามของเขานำความพิศวงมาให้หญิงสาว “หมายความว่ายังไงคะ”
“คุณรู้ข่าวครั้งสุดท้ายของมันเมื่อไร”

“สี่ปีที่แล้ว ตอนที่รู้..รู้..”

แล้วเธอก็ไม่สามารถพูดจนจบได้เพราะสะอื้นไห้ออกมาเสียก่อน ทำให้อีกฝ่ายใจวาบลงด้วยความสงสาร เพิ่งแน่ใจเต็มที่ตอนนี้เอง ว่าพราวพรายไม่รู้มาก่อนเลยว่านิคยังไม่ตาย

“ตอนที่รู้ข่าวว่าเครื่องฮอของมันถูกยิงตก ทหารทุกคนบนเครื่องรวมทั้งเจ้านิคเสียชีวิตหมด เพราะถูกทั้งระเบิดทั้งไฟคลอกเป็นตอตะโก ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร”

ดิ๊กต่อประโยคของเธอที่ขาดหายไปให้จนจบ แม้จะเห็นหญิงสาวยกสองมือขึ้นปิดหน้าร่ำไห้ เหมือนไม่อยากได้ยินสิ่งที่เขากำลังพูด ที่เป็นเหมือนการใช้มีดกรีดลงไปบนแผลเก่า ที่กลายเป็นแผลเรื้อรังที่ยังไม่ยอมหาย

“ผมมาขอพบคุณพราวเพราะเรื่องนี้แหละ แต่ตอนนี้อยากให้คุณทำใจให้สงบแล้วฟังที่ผมจะพูดให้ดี”

ชายหนุ่มหยิบกระดาษทิชชูบนโต๊ะสองสามแผ่นส่งให้พราวพราย ซึ่งรับไปแล้วใช้มันซับน้ำตาจนแห้ง ตาแดงก่ำของเธอมองสบตาเขาอย่างฉงน

“คุณพราว ผมกำลังจะบอกคุณว่า นิคไม่ได้อยู่ในกลุ่มทหารที่ถูกไฟคลอกตาย มันกับพลทหารอีกคนกระเด็นหลุดออกจากเฮลิคอปเตอร์ ก่อนเครื่องจะระเบิด ได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกพวกไอ้กงจับตัวไป”

พราวพรายตกตะลึงจังงังอ้าปากค้าง จ้องหน้าดิ๊กเขม็งด้วยดวงตาที่พร่าพราย หน้าซีดเผือดปราศจากสีเลือด นิ่งค้างอยู่ในท่านั้นหลายนาที กว่าจะละล่ำละลักออกมาได้

“ดิ๊ก นี่คุณพูดอะไรออกมา คุณหมายความว่า..ว่ายังไง นิค..นิค..”

ดิ๊กเอื้อมไปกุมมือของพราวพรายที่วางอยู่บนโต๊ะ มือนั้นเย็นเฉียบแล้วเริ่มสั่นเทา จนเขาต้องบีบเอาไว้

“หมายความว่านิคยังไม่ตาย”
“ยัง..ไม่..ตาย?” เสียงของเธอสั่นตาเบิกกว้าง หน้าขาวเผือดปราศจากสีเลือด
“ครับ มันยังไม่ตาย”

ขาดคำของดี๊กพราวพรายก็ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นยืนเนื้อตัวสั่นระริก แล้วดูเหมือนจะทรงกายไม่ไหว หญิงสาวซวนเซแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ศิรษะพับลงไปบนโต๊ะตรงหน้า แล้วก็ฟุบหน้าร้องไห้คร่ำครวญอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มซึ่งตกใจกลัวเธอจะเป็นลม รีบกวักมือเรียกพนักงานเสิร์ฟที่อยู่ใกล้ๆร้องขอบรั่นดี เมื่อได้มาแล้วก็ร้องเรียกพราวพรายแล้วส่งแก้วบรั่นดีให้

“คุณพราว ทำใจดีๆไว้ จิบบรั่นดีสักนิด จะได้ดีขึ้น”

พราวพรายซึ่งน้ำตายังไหลพรากๆ ทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายราวกับหุ่นยนต์ ในขณะที่ดิ๊กเฝ้ามองอาการปริเวทนาของเธออย่างเป็นห่วง รู้สึกตื้นตันใจแทนเพื่อน ขณะเดียวกันก็นึกดีใจที่ตัดสินใจไม่ผิด ดั้นด้นเดินทางมาเล่าเรื่องนี้ให้พราวพรายฟัง เขาแน่ใจว่าเธอยังรักเพื่อนเขาอยู่อย่างแน่นแฟ้น ส่วนนิคนั้นเขาเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว ว่ายังรักผู้หญิงคนนี้อยู่มั่นคงเหมือนเดิม แม้ตอนนี้เขาจะคบผู้หญิงคนใหม่แล้วก็ตาม

หญิงสาวร้องไห้คร่ำครวญเงียบๆอยู่อีกพักใหญ่ แล้วในที่สุดก็หยุดร้องไห้ ดิ๊กเห็นสีหน้าที่เผือดขาวราวกับกระดาษเมื่อครู่นี้มีสีแดงระเรื่อ แววตาของเธอก็เปลี่ยนไปจากที่แดงก่ำแห้งผากและสิ้นหวัง กลายเป็นแวววับตื่นเต้นดีใจ มีความหวังขึ้นมาทันทีราวกับกดสวิชต์

เธอถามเขาอย่างร้อนรนต้องการคำยืนยัน “ นิคยังไม่ตายจริงๆหรือคะ ดิ๊ก คุณหลอกให้ฉันดีใจหรือเปล่า ถ้ายังไม่ตายแล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนล่ะคะ ”

“เดี๋ยวก่อน คุณพราว ฟังผมให้จบก่อน นิคถูกขังอยู่ในคุกของพวกเวียตกงนานเกือบสองปี ไม่มีใครรู้ว่ามันยังมีชีวิตอยู่ หลังสงครามสงบมีการแลกเปลี่ยนเชลยศึกกัน มันจึงถูกปล่อยตัวกลับบ้าน”

ตาของพราวพรายมีแววตกใจ น้ำตาเริ่มคลอขึ้นมาอีก คร่ำครวญอยู่ในใจอย่างแสนสงสารว่า ‘โธ่..นิค นิคจ๋า ทำไมโชคร้ายยังงี้ !!’ แล้วต่อมาเธอก็เริ่มคิดว่าถ้ายังไม่ตาย แล้วทำไมเขาไม่พยายามติดตามหาเธอ หรือว่า..หรือว่า!?

เมื่อเห็นสายตาที่คล้ายจะถามว่านิคกลับมาตั้งสองปีแล้วเขาไปอยู่เสียที่ไหน ชายหนุ่มก็รีบอธิบายโดยเร็วว่า “ตอนที่ถูกคุมขัง มันถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรมสารพัดวิธี ตอนที่กองทัพไปรับตัวมันมา สภาพของมันดูไม่ได้เลย ผอมเหลือแต่กระดูก เดินก็แทบจะไม่ได้ สุขภาพทรุดโทรมขนาดหนัก ต้องเข้ารับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสุขภาพ ในโรงพยาบาลทหารอยู่เกือบปี มันเพิ่งกลับไปทำงานได้ปีกว่าเท่านั้น”

น้ำตาของพราวพราวหลั่งไหลออกมาอีก แต่คราวนี้เป็นน้ำตาของความสงสารอย่างสุดซึ้ง “โธ่..นิค” เธอคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดกับความทุกข์ทรมานของคนที่เธอรัก

“คุณพราวอย่าร้องไห้อีกเลยนะ ตอนนี้มันโอเคเหมือนเดิมแล้ว”
“นิคอยู่ที่ไหนคะ”

“ที่วอชิงตัน ดี.ซี ตอนนี้มันประจำการอยู่ที่นั่น มันคงดีใจแทบตายถ้าได้พบคุณ”

“หรือคะ” พราวพรายยิ้มอย่างดีใจ แต่แล้วเมื่อนึกขึ้นได้สีหน้าของเธอก็สลดลงทันใด “แต่..แต่ เขา...เขาคงไม่อยากพบฉันหรอกค่ะ”

“ทำไมมันจะไม่อยากพบคุณ? คุณกับนิคแต่งงานกันแล้วไม่ใช่หรือ”
พราวพรายตกใจสะดุ้งวาบ “คุณรู้หรือคะ รู้ได้ยังไง? หรือนิคบอกคุณ”

“ผมเพิ่งรู้จากมันเมื่อไม่นานนี้เอง แต่คุณพราวอย่าเข้าใจผิด มันไม่ได้ตั้งใจจะเล่าให้ผมฟังหรอก เมื่อเดือนที่แล้วผมไปกินเหล้ากับมัน พูดกันถึงเรื่องเก่าๆ ว่ามันควรจะขอคุณแต่งงานตั้งแต่ตอนโน้นแล้ว มันก็เลยระเบิดออกมาว่ามันกับคุณแต่งงานกันแล้วเงียบๆ เพราะคุณไม่อยากให้ทางบ้านรู้”

หญิงสาวพยักหน้า ตาตกลงมองพื้นโต๊ะ “ค่ะ ตอนนั้นฉันเคยขอร้องเขาไม่ให้บอกใคร จนกว่าจะคุยกับทางบ้านให้รู้เรื่องก่อน”

“ถ้างั้นตอนนี้คุณกับนิคก็ควรจะพบกันได้เสียทีไม่ใช่หรือ” ดิ๊กเลียบเคียงถาม

พราวพรายนิ่งอึ้ง “ความจริงฉันก็อยากพบเขาสักครั้ง แต่ก็คงพบไม่ได้อีกแล้ว”
“ทำไมล่ะ คุณพราว”

“เราหย่ากันไปนานแล้วละค่ะ” เธอตัดสินใจบอกดิ๊กไปตามตรง “นิคไม่ได้บอกคุณหรือ”

“บอกเหมือนกัน แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นความจริงหรือเปล่า ตอนนั้นมันเมามาก”

“เชื่อเถอะค่ะ เราหย่าขาดจากกันแล้วจริงๆ ก่อนหน้าที่เขาจะเกิดเรื่องนั่น”


ชายหนุ่มมองหน้าซีดเศร้าของพราวพรายอย่างสงสาร “เท่าที่ผมเห็น คุณกับมันรักกันมาก ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรร้ายแรงถึงขนาดต้องหย่ากัน”

พราวพรายอึ้งไปนาน รู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ เธอบอกดิ๊กด้วยน้ำเสียงอ่อนๆว่า

“ความจริงฉันกับเขาเข้าใจกันดี ไม่ได้มีเรื่องขัดใจกัน แต่การแต่งงานของเราเป็นเรื่องที่ทางบ้านของฉันรับไม่ได้ ฉันจดทะเบียนสมรสกับนิคโดยปิดบังทางบ้าน ต่อมาพอทางบ้านรู้ แม่ฉันก็เสียใจมากจนล้มป่วย แม่ฉันรับเรื่องนี้ไม่ได้และยื่นคำขาดให้ฉันเลือก ถ้าเลือกนิคฉันก็ต้องขาดจากทางบ้านชั่วชีวิต ฉันจึงจำเป็นต้องเลือกพ่อแม่เอาไว้ก่อน ทั้งๆที่ไม่อยากทำอย่างนั้นเลย

นิคยอมปล่อยฉันกลับไปหาครอบครัวของฉันก็จริง แต่ฉันรู้ว่าเขาเจ็บปวดมาก ฉันเองก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าเขาหรอก แต่คุณเองก็แต่งงานกับผู้หญิงเอเซีย คุณคงรู้ว่าครอบครัวคนเอเซียผูกพันกันมาก เราถูกอบรมสั่งสอนมาให้เชื่อฟังกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ ดิ๊กคะ แม่ฉันป่วยหนักเพราะฉัน ทำท่าจะไม่ยอมรักษาตัวด้วยซ้ำ เมื่อถูกยื่นคำขาดฉันก็ไม่มีทางทำอะไรได้ พ่อแม่ย่อมต้องมาก่อนเสมอ ซึ่งคงแตกต่างไปจากในประเทศคุณ ฉัน..ฉัน” แล้วหญิงสาวก็ร้องไห้เงียบๆ

ดิ๊กถอนใจยาวมองผู้หญิงคนที่กำลังเช็ดน้ำตาป้อยๆอยู่ตรงหน้า อย่างสงสารและเข้าใจ เขาเข้าใจทั้งนิคและพราวพราย

“ผมเข้าใจเรื่องครอบครัวคนเอเซีย ความจริงพ่อแม่ของสมพรก็ไม่อยากให้เราแต่งงานกัน เขาหาคู่ไว้ให้สมพรแล้วด้วยซ้ำ แต่ถึงไม่อยากได้ลูกเขยต่างชาติ พวกเขาก็ไม่ได้ขัดขวางอะไรมากนัก อาจจะเป็นเพราะพ่อแม่สมพรต้องพึ่งสมพรมากก็ได้ ตอนโน้นเขาเป็นคล้ายๆเสาหลักของครอบครัว ทำงานส่งน้องสองคนเรียนหนังสือแทนพ่อแม่ เพราะพ่อเขาพิการทำงานไม่ได้ เมื่อสมพรยืนกรานจะแต่งงานกับผม พวกเขาก็เลยต้องยอมตามใจ ส่วนกรณีของคุณกับนิคแตกต่างออกไป ซึ่งผมก็พอจะเข้าใจ”

แววตาของพราวพรายเศร้าหมองเมื่อบอกดิ๊กว่า “แต่นิคคงไม่เข้าใจหรอกค่ะ เขายอมหย่าให้ฉันโดยดีก็จริงแต่เขาก็เจ็บปวดมาก เขาคงเข้าใจผิดคิดว่าฉันไม่รักเขาไม่แคร์เขาเลย พอถึงเวลาต้องเลือกฉันกลับไม่เลือกเขา ทำเหมือนไม่เห็นคุณค่าของเขา ตลอดเวลาสี่ปีที่คิดว่าเขาตายไปแล้ว ฉันเฝ้าแต่เสียใจที่ไม่มีโอกาสได้ขอโทษเขา”

หญิงสาวหยิบกระดาษทิชชูตรงหน้าขึ้นซับน้ำตา ก่อนจะพูดต่อว่า “ฉันโทษตัวเองอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่นิคตาย ถ้าฉันไม่หย่ากับเขาๆอาจจะยังไม่ตายก็ได้ ฉันรู้จากจอห์นว่าช่วงก่อนเกิดเรื่องเขาเครียดมากและไม่สนใจใยดีกับตัวเอง เขาอาสาออกไปทำงานวันนั้นทั้งๆที่ไม่ใช่เวรของเขา”

“ผมว่าคุณไม่ควรโทษตัวเองยังงั้น ไม่ใช่ความผิดของคุณ”

พราวพรายเช็ดน้ำตาจนแห้ง ฝืนยิ้มเมื่อบอกดิ๊กว่า “ฉันเคยพยายามจะคิดอย่างที่คุณว่าแต่ก็ทำไม่ค่อยได้ ตอนนี้ฉันดีใจมากที่เขายังไม่ตาย ถ้าเจอนิค คุณก็ช่วยบอกเขาด้วยแล้วกัน ว่าฉันดีใจมากที่รู้ว่าเขายังไม่ตาย และฉันขอโทษที่ทำให้เขาต้องเจ็บปวดมาตลอด”

ดิ๊กเลิกคิ้ว ถามว่า “ทำไมคุณไม่บอกมันเองล่ะ”

“ คงไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันกับเขาไม่ควรพบกันอีก นอกจากเราจะไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว เราก็ยังจากกันนานเกินไปด้วย ฉันไม่อยากพบเขาอีกแล้ว”

เธอพยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นเมื่อพูดต่อว่า “ฉันอยากให้เขามีชีวิตใหม่ ที่ไม่มีฉันคอยทำเรื่องวุ่นวายให้เขาเหมือนที่ผ่านมา ฉันกับเขาไม่เหมาะสมกันหรอกค่ะ เรามีอะไรแตกต่างกันหลายอย่าง”

“งั้นหรือ” ชายหนุ่มทำหน้ายิ้มๆแล้วถามว่า “นอกจากเหตุผลที่พูดมานี่ มีเหตุผลอื่นอีกไหมที่ไม่อยากพบมัน เช่นตอนนี้คุณพราวแต่งงานหรือมีใครใหม่แล้ว”

หญิงสาวหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย “ยังไม่มีใครหรอกค่ะ ตอนนี้ฉันมุ่งมั่นกับงานเท่านั้น ไม่อยากจะคิดเรื่องอะไร แล้วอีกอย่าง..ฉันคงไม่เหมาะกับชีวิตแต่งงานด้วย ฉันเป็นคนเรื่องมาก ใครแต่งงานกับฉันก็คงไม่มีความสุขเท่าที่ควร”

เธออยากจะถามถึงนิคเหมือนกันว่าเขาแต่งงานใหม่หรือยัง แต่ก็ไม่กล้าถามเพราะกลัวจะได้ยินคำตอบว่าเขาคนนั้นแต่งงานใหม่ หรืออาจจะมีลูกกับภรรยาคนใหม่ไปแล้วด้วยซ้ำ

ส่วนดิ๊กนั้นลอบถอนใจอย่างโล่งอก กับคำตอบของพราวพรายที่ว่ายังไม่มีผู้ชายคนใหม่ ความจริงสายสืบของเขาทั้งในสหรัฐฯและลอนดอนให้ข้อมูลตรงกันมาก่อนแล้ว ว่าพราวพรายยังไม่ได้แต่งงานใหม่ และยังไม่ได้คบใครเป็นเรื่องเป็นราว

แต่ดิ๊กซึ่งเป็นคนรอบคอบยังไม่มั่นใจเต็มร้อย เขาคิดว่าคนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดคือเจ้าตัวเอง เขาจึงจำเป็นต้องดั้นด้นมาถึงที่นี่ มาถามเธอตรงๆให้ชัดเจนไปเลย เพราะไม่อยากให้ข้อมูลผิดๆแก่นิค ไม่อยากให้เพื่อนเกิดความหวังแล้วกลับต้องผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าพราวพรายบอกว่าเธอมีผู้ชายคนใหม่แล้ว เขาก็จะจบเรื่องเพียงเท่านี้ โดยที่เพื่อนของเขาไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องที่เขามาที่นี่



 



Create Date : 19 กรกฎาคม 2566
Last Update : 19 กรกฎาคม 2566 21:06:02 น.
Counter : 418 Pageviews.

4 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณสองแผ่นดิน, คุณnewyorknurse, คุณหอมกร, คุณเริงฤดีนะ, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณJohnV, คุณhaiku

  
ส่งกำลังใจค่ะ
รออ่านตอนต่อไปด้วยนะคะ

โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 19 กรกฎาคม 2566 เวลา:21:49:11 น.
  
สวัสดี ยามดึก จ้ะ น้องดอยสะเก็ด

มาอ่านก่อนไปนอนเลย จ้ะ อ่านแล้ว ก็สงสาร พระเอก นางเอก
คู่นี้เหลือเกิน แต่ตอนนี้ คงจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง แน่ อิอิ ตอนต่อไป
นิคคงมาหาแพรวพราย และปรับความเข้าใจกันได้ หย่าแล้ว ก็จด
ทะบียนใหม่ได้ ไม่เห็นจะยากเลยเนาะ อิอิ

โหวดหมวด งานเขียน ฯ
โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 19 กรกฎาคม 2566 เวลา:22:35:29 น.
  
บทหน้าตอนจบมั๊ยคะ คุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 20 กรกฎาคม 2566 เวลา:6:54:24 น.
  
โอเค
ผู้ช่วยนางเอก และพระเอก
ดิ๊กเป็นอัศวินม้าขาว
มาsafe ที่พราว+นิค

ใกล้ๆจะพบเจอกันเสียที

คาดว่า พราวอาจจะหึงหวง
มีงอนเมื่อรู้ว่านิคมี นพ.หญิงจูดี้ เข้ามาดามหัวใจ
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 20 กรกฎาคม 2566 เวลา:14:57:38 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
กรกฏาคม 2566

 
 
 
 
 
 
2
3
4
6
7
8
9
10
12
13
15
16
17
18
20
21
22
24
25
26
27
28
30
31
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com