คนละฟากฟ้า - บทที่ 31
ก่อนเที่ยงวันรุ่งขึ้นนิคและพราวพรายก็ออกจากวังเวียง มุ่งหน้าไปหลวงพระบาง ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณกว่าร้อยกิโลเมตร เส้นทางช่วงนี้ยิ่งสูงชันและหักโค้งเป็นข้อศอก มากกว่าช่วงจากเวียงจันทน์มาวังเวียงเสียอีก โค้งหักงอเป็นข้อศอกมากขึ้น บางโค้งก็มีลักษณะเกือบครึ่งวงกลม ตัวของพราวพรายเอียงไปเอียงมาตามจังหวะที่รถวิ่งผ่านโค้ง

“คุณรู้ไหมว่าลาวมีโค้งบนเขาทั่วประเทศมากกว่าหกหมื่นโค้ง จากเวียงจันทน์ถึงหลวงพระบางก็สามพันกว่าโค้งเข้าไปแล้ว คุณเมารถบ้างหรือเปล่า” นิคชวนคุย
พราวพรายส่ายหน้า ตอบอย่างภูมิใจว่า “ไม่หรอก ฉันไม่เคยเมารถหรือเมาอะไรเลย”
ชายหนุ่มทำเสียงกระแอมในคอเมื่อเย้าว่า “แน่ใจหรือ? เหล้าล่ะเคยเมาไหม?”
อีกฝ่ายค้อนขวับ “อย่ายั่วนะ ใครบ้างล่ะกินเหล้าแล้วไม่เมา หรือว่าคุณไม่เคยเมา”
นิคหัวเราะชอบใจที่ยั่วเธอสำเร็จ “คุณนี่โกรธง่ายเหมือนเด็กๆเลยนะ แต่ก็ดีที่ถึงจะโกรธง่ายแต่ก็หายเร็ว”
“นี่รู้อะไรมั้ย นิค เดี๋ยวนี้คุณเปลี่ยนไปนะ” หญิงสาววิจารณ์เขาบ้าง
เขารู้ตัวเหมือนกันว่าเปลี่ยนไป แต่ก็อยากจะรู้ว่าเธอเห็นเขาเปลี่ยนไปในแง่ไหน “เปลี่ยนยังไง?”
“อารมณ์ดีขึ้นรู้จักยิ้ม รู้จักชวนคุย ไม่เหมือนแต่ก่อน” พราวพรายจารไน
“แต่ก่อนผมเป็นยังไง”
“ชอบทำหน้าดุ มองคนอื่นด้วยสายตาดูถูก ยิ่งเวลาไว้หนวดไว้เครายิ่งดุเหมือนโจรสลัดเลย”
“หน้าดุน่ะไม่เถียง หน้าตาผมมันเป็นยังงั้นอยู่แล้ว แต่เรื่องดูถูกคนน่ะไม่น่าจะเป็นผมนะ” นิคไม่เห็นด้วย
“ทำไมจะไม่ใช่คุณ ก็ไอ้ที่ชอบทำตาดุๆ แล้วก็เก๊กท่าเหมือนไม่เห็นใครอยู่ในสายตาของคุณนั่นไง ที่ทำให้ฉันเกลียดขี้หน้าคุณ” พราวพรายได้โอกาสก็บรรยายเสียเลย

ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่งก็แก้ตัวว่า “ผมไม่ยักรู้ว่าคุณมองผมแบบนั้น ความจริงผมเป็นคนเฉยๆมากกว่า ตาผมก็ไม่ได้หวานเหมือนตาคุณ คุณเลยเข้าใจผิด” แล้วเขาก็ย้อนถามเธอบ้าง “ตอนนี้คุณคงหายเกลียดขี้หน้าผมมั่งแล้วใช่มั้ยล่ะ ก็คุณชมว่าผมดีขึ้นนี่”
“อืมม์ ตอนนี้ฉันไม่ค่อยหมั่นไส้คุณเท่าไหร่แล้วละ ดูไปดูมาคุณก็น่ารักเหมือนกัน ใจก็ดีอีกต่างหาก”
นิคยิ้มชอบใจ ถึงเป็นผู้ชายเขาก็ชอบคำชมเหมือนกัน “หมายความว่าตอนนี้คุณไม่ว่าผมดุอีกแล้วใช่มั้ย?”

พราวพรายนิ่งคิดประเด็นที่เขาถามแล้วตอบว่า “คุณก็ยังดุอยู่ดีแหละ แต่ก็เลือกดุในเรื่องที่มีเหตุมีผล นี่ฉันหมายถึงในกรณีที่เกี่ยวกับฉันเท่านั้นนะ ตอนแรกๆฉันโมโหนะที่คุณชอบดุฉัน แต่หลังๆนี่เข้าใจแล้วละว่าทำไมต้องดุ พอเข้าใจแล้วก็เลยเลิกโกรธ”
นิคละสายตาจากถนนข้างหน้ามามองเธอแวบหนึ่ง “เข้าใจว่าไง”
“เข้าใจว่าคุณเป็นผู้ใหญ่กว่าฉันเยอะ เวลาพ่อดุฉันยังไม่โกรธเลย พอถูกคุณดุฉันก็เลยทำใจให้คิดว่าคุณเหมือนพ่อ เพราะคุณก็อายุมากแล้ว เลยยอมให้คุณดุ ดีมั้ยล่ะ”

ชายหนุ่มเหลียวมาเห็นดวงตาระยิบระยับแพรวพราวของเธอที่บอกให้เขารู้ว่าเธอแกล้งตอบ ทำให้เขาทั้งฉุนและขันจนลืมตัว ใช้มือข้างที่ว่างโยกหัวเธอไปมาอย่างมันเขี้ยว
พราวพรายผลักมือเขาออกไป “โอ๊ย อย่านะ เดี๋ยวฉันก็เวียนหัวหรอก ดีไม่ดีเกิดไข้กลับขึ้นมาอีกจะว่าไง”

นั่งกันไปเงียบๆ ฟังเพลงบรรเลงจากเทปอยู่ด้วยกันพักใหญ่ หญิงสาวก็ถามขึ้นมาว่า “เราจะพักกันที่ไหน โรงแรมหรือว่าเกสต์เฮาส์” เธอหมายถึงในหลวงพระบาง ที่ตกลงกันว่าจะอยู่เที่ยวสักสองวันแล้วค่อยเดินทางกลับเวียงจันทน์

“ผมจะพาคุณไปพักที่บ้านเพื่อนผม”
“ คุณมีเพื่อนอยู่ที่หลวงพระบางด้วยหรือ”
“มีสิ ผมไปพักกับมันทุกครั้งแหละ ถ้ามาหลวงพระบาง มันทำงานอยู่ที่นี่หลายปีแล้ว เมียเป็นคนลาว สวยด้วยเรียบร้อยด้วย” นิคเล่าไปเรื่อยๆ
“เขาจะมีห้องให้เราพักหรือ? บอกก่อนนะว่าฉันไม่นอนห้องเดียวกับคุณหรอก”
นิคเหลียวมามองพราวพรายอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ ตั้งแต่มานี่เราก็นอนห้องเดียวกันตลอด ไม่มีปัญหาอะไรไม่ใช่หรือ บ้านเพื่อนผมเป็นยังไงถึงต้องมีข้อแม้”
ปากของพราวพรายยื่นออกไปเกือบจรดจมูกเมื่อตอบว่า “เฮ่อ ไม่น่าซื่อบื้อเลย คุณเพิ่งบอกฉันหยกๆว่าเมียเขาเป็นคนลาว คุณไม่รู้หรอกหรือว่าไทยกับลาวน่ะเป็นบ้านพี่เมืองน้อง มีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน ถ้าเรานอนห้องเดียวกันเมียเขาจะคิดยังไงล่ะ เพื่อนคุณน่ะฉันไม่ห่วงหรอก แต่เมียเขาสิ”
“อ้าว..ไม่เห็นยากเลย ผมก็บอกว่าคุณเป็นแฟนผมสิ ได้มั้ยล่ะ” นิคแกล้งยั่วจะให้เธอโกรธ
หญิงสาวหันมาทำตาขวาง “บ้าสิ บอกงั้นได้ไง ถึงเป็นแฟนกันก็นอนห้องเดียวกันไม่ได้ เข้าใจมั้ย?”
“ไม่เข้าใจหรอก” นิคแกล้งตอบ “แต่เอางั้นก็ได้ บ้านมันมีหลายห้อง”
“เขารู้มั้ยว่าเราจะมาพักบ้านเขา?”
“รู้สิ ผมโทรคุยกับมันตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“ ถามจริงๆ คุณบอกหรือเปล่าว่าฉันเป็นใคร” พราวพรายยังกังวลไม่เลิก
“บอกสิ บอกว่าคุณเป็นแฟนผม” เขาแกล้งตอบ
ขาดคำของนิคหญิงสาวก็ฟาดโครมลงไปบนแขนของเขาที่อยู่ใกล้ๆ
“ไหนตอบอีกทีซิ บอกเขาว่าไง”
“โอ๊ย ผมเจ็บนะ มือคุณหนักยังกะอะไร”
“ถ้าไม่อยากโดนอีกก็รีบบอกมาซะดีๆ”
“คุณเนี่ยแยกแยะไม่ออกเลยนะว่าอะไรพูดจริงอะไรพูดเล่น ผมบอกว่าเป็นเพื่อน พอใจหรือยังล่ะ แต่เพื่อนผมมันจะยอมเข้าใจด้วยหรือเปล่าไม่รู้นะ” ชายหนุ่มทำหน้ายิ้มๆ

นั่งกันไปเงียบๆได้พักใหญ่พอนึกอะไรขึ้นมาได้ พราวพรายก็รีบเปิดกระเป๋าถือที่วางอยู่บนตัก หยิบกระเป๋าเครื่องสำอางเล็กๆพร้อมกระจกส่องหน้าออกมา แล้วเริ่มแต่งหน้าแต่งตาอย่างเร่งรีบเป็นการใหญ่

นิคหันมามองอย่างสงสัย “จะแต่งหน้าไปทำไมน่ะ เดี๋ยวก็มืดแล้ว”

หญิงสาวเหลือบสายตาจากกระจกบานเล็กที่ถืออยู่ในมือ ไปมองเขาอย่างฉุนๆ “เรื่องของฉัน ก็เดี๋ยวต้องเจอเพื่อนคุณกับเมียเขาไม่ใช่เหรอ ทำไมฉันจะต้องเอาหน้าซีดๆเหมือนไก่ต้มไปให้พวกเขาดูล่ะ เมื่อกี้คุณก็เพิ่งบอกอยู่หยกๆว่าเมียเขาสวย ฉันก็ต้องอยากสวยมั่งสิ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ ซักอยู่ได้”

พอเข้าใจแล้วนิคก็นึกขันจนอยากจะหัวเราะก้ากออกมา “สวยตายละ โปะเข้าไปซะขนาดนั้น หน้าตาสะอาดๆไม่ชอบ กลับไปชอบไอ้แบบเขรอะๆ”
พราวพรายทำตาเขียว “ช่างฉัน ไม่ต้องปากมากมาว่าฉันหรอก”
ชายหนุ่มอมยิ้ม ขำความอยากสวยของพราวพราย แล้วก็อดไม่ได้ต้องยั่วเธอต่อ “พอได้ยินว่าเมียเพื่อนผมสวยก็ทนไม่ได้เลยนะ ต้องรีบโปะหน้าแข่งกับเขา ต้องสวยกว่าเขาให้ได้หรือไง”
ผลก็คือเขาถูกทุบโครมตรงต้นแขนจนร้องโอยออกมา “นี่แน่ะ ปากดีนัก ยังไงฉันก็ต้องสวยกว่าเขาอยู่ดีแหละย่ะ เครื่องสำอางที่ฉันใช้เนี่ย ยี่ห้อแพงๆทั้งนั้น รู้เอาไว้ซะด้วย เลิกออกความเห็นซะที”

รถมาถึงตัวเมืองหลวงพระบางในตอนค่ำ พราวพรายเหลียวมองไปรอบๆอย่างตื่นเต้น “เมืองน่ารักจัง มีภูเขาล้อมรอบเลยเนอะ มีแม่น้ำด้วยแฮะ”
“แม่น้ำที่คุณเห็นนั่นน่ะคือแม่น้ำคาน”
“อ้าว ไม่ใช่แม่น้ำโขงหรอกหรือ?”
“แม่น้ำโขงอยู่อีกด้านหนึ่ง เห็นสะพานเหล็กโน่นมั้ย สะพานศรีสว่างวงค์ไง คุ้นๆไหมล่ะชื่อนี้น่ะ”
“คุ้นสิ เจ้าศรีสว่างวงค์ไง ไม่รู้ว่าคนเดียวกับที่เป็นเจ้ามหาชีวิตหรือเปล่า”
“ถ้าผมจำไม่ผิด คำว่าเจ้ามหาชีวิตน่าจะเป็นชื่อที่คนลาวเรียกกษัตริย์ของพวกเขานะ พรุ่งนี้จะพาคุณไปดูวังเจ้ามหาชีวิต ตอนนี้รู้สึกว่าจะทำเป็นพิพิธภัณฑ์”

บ้านของเพื่อนนิคเป็นเรือนไม้สองชั้นค่อนข้างใหญ่ ตั้งอยู่บนเนินเตี้ยๆใกล้กับลำน้ำคาน มีต้นไม้ดอกไม้ขึ้นอยู่รอบบ้าน เพื่อนของนิคออกมาต้อนรับถึงรถ เขาเป็นชายอเมริกันร่างใหญ่ รุ่นราวคราวเดียวกับนิค

“ดิ๊ก นี่มิสพราวพราย เพื่อนกู คุณ..นี่ดิ๊กเพื่อนผม รู้จักกันเสียสิ”

พราวพรายยื่นมือออกไปสัมผัสมือหนุ่มอเมริกันหน้าตายิ้มแย้มแจ่ม ใสผู้นั้น ไม่ทันเห็นว่านายดิ๊กยักคิ้วให้เพื่อนของเขาเป็นทำนอง ‘เข้าใจ’

สองหนุ่มสาวเดินตามดิ๊กเข้าไปในบ้าน ภรรยาของดิ๊กซึ่งกำลังทำอะไรง่วนอยู่ในครัวเดินออกมาต้อนรับ นิคทักทายหญิงสาวผู้นั้นอย่างสนิทสนมแล้วแนะนำผู้หญิงสองคนให้รู้จักกัน “เมียเจ้าดิ๊ก ชื่อสมพร” แล้วหันไปบอกสมพรว่า “เพื่อนผม ชื่อพราวพราย”

พราวพรายทักทายภรรยาของดิ๊กที่คงจะอายุมากกว่าเธอไม่เกิน 2-3 ปี สมพรเป็นผู้หญิงลาวตัวเล็กๆบางๆ ผิวสองสีค่อนข้างคล้ำของเธอเปล่งปลั่งเนียนละเอียด รูปหน้าค่อนข้างแบนแต่ตากลมโตดำสนิทใสแจ๋วเหมือนตาเด็ก เวลายิ้มเห็นลักยิ้มบุ๋มสองข้างแก้ม ไว้ผมยาวประบ่าไม่ได้ดัด พราวพรายนึกในใจว่าภรรยาของดี๊กสวยและมีกิริยาท่าทางสุภาพอ่อนโยน ที่สำคัญคือหญิงสาวผู้นั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่ประมาณห้าหกเดือน

“เดี๋ยวเชิญรับประทานอาหารเย็นด้วยกันนะคะ “

สมพรพูดภาษาไทยชัดเจนจนพราวพรายนึกว่า นิคเข้าใจผิดหรือเปล่าที่บอกว่าเธอเป็นคนลาว
ภรรยาของดิ๊กคงเห็นสีหน้าสงสัยของพราวพรายเลยอธิบายว่า “ฉันพูดภาษาไทยคล่องเพราะเคยไปเรียนหนังสือที่เมืองไทยหลายปีค่ะ”
“สมพรไปเรียนวิชาครูที่จังหวัดแถวอีสาน จบแล้วก็กลับมาเป็นครูที่นี่” นิคซึ่งยังยืนอยู่ด้วยช่วยอธิบายเพิ่มเติม
พราวพรายมองหญิงสาวคนนั้นอย่างสนใจ “ถ้านิคไม่บอกไว้ก่อนล่วงหน้า ฉันต้องนึกว่าคุณเป็นคนไทยแน่เลย”

นิคบอกสมพรให้ช่วยจัดห้องพักให้พราวพรายแล้วก็เดินออกไปหาเพื่อนที่นั่งกินเหล้าอยู่ตรงเก้าอี้หมู่หน้า บ้าน ปล่อยผู้หญิงสองคนไว้ด้วยกัน

เมื่อเห็นเขาดิ๊กก็รินวิสกี้ส่งให้ เหลียวหน้าเหลียวหลังก่อนจะถามด้วยเสียงเบาๆ เพราะกลัวผู้หญิงที่อยู่ข้างในจะได้ยิน

“ทำไมต้องแยกห้องกันนอนวะ แฟนมึงไม่ใช่หรือ?”
“เฮ้ย..ไม่ใช่ เขากับกูไม่มีอะไรกัน”
ดิ๊กยักไหล่ “ถ้าไม่ใช่แฟนแล้วทำไมมาค้างอ้างแรมด้วยกันล่ะวะ อย่าปิดดีกว่าน่า”
“ไม่ต้องถามมากหรอก ไอ้เวร กูบอกเมียมึงแล้วให้จัดห้องให้เขาต่างหาก กูนอนที่เก้าอี้ยาวตัวนั้นได้”
“ตามใจ แต่ถ้าเป็นกู ไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆหรอกวะ สวยซะขนาดนั้น บั้นท้ายเชิดงอนยังกะสาวนิโกร เซ็กซี่น่าดู” นายดี๊กยกนิ้วโป้งประกอบคำพูด “ถามจริงๆเถอะ ไปหลอกเขามาจากไหนวะ?”

นิคทำหน้าหงิกกับคำบรรยายถึงพราวพรายของเพื่อน “ทะลึ่งนักนะมึง ให้เกียรติเขาบ้างสิ”
นายดิ๊กทำหน้าเหรอหรา "กูไปว่าอะไรเขาล่ะ ชมต่างหาก เอ๊ะ..ไอ้นี่ชักจะยังไงซะแล้ว พูดนิดพูดหน่อยไม่ได้ หรือคนนี้จะเอาจริง”
“เขาไม่ได้คิดอะไรกับกูหรอกน่า เลิกพูดถึงเขาได้แล้ว”
“หนอย..อย่ามาอำ กูไม่เชื่อหรอก ถ้าผู้หญิงเขาไม่ชอบเขาจะตามมาถึงนี่ทำไมล่ะวะ ไอ้โง่เอ๊ย”
นิคไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับเพื่อนปากเปราะ เสยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “เมียมึงจะคลอดเมื่อไหร่”
“อีกสามเดือนมั้ง กูน่ะอยากให้คลอดวันนี้พรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำ ทำไมท้องนานนักก็ไม่รู้”
“ทำเป็นวัยรุ่นใจร้อนไปได้ คลอดแล้วจะให้ใครเลี้ยง เมียมึงต้องกลับไปทำงานไม่ใช่หรือ?”
“แม่ยายจะมาช่วยเลี้ยงให้ บ้านเขาอยู่ใกล้ๆนี่แหละ กูบอกเมียกูให้ลาออกจากงานมาเลี้ยงลูก แต่เขายังไม่ยอมออก อ้างว่าห่วงนักเรียน อีกไม่กี่เดือนก็จะสอบไล่แล้ว พูดยังไงก็ไม่ฟัง ดื้อฉิบหาย”

นิคอดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงพราวพรายที่ดื้อไม่แพ้กัน ในสายตาของเขาผู้หญิงเอเซียส่วนใหญ่สุภาพเรียบร้อย แต่บทจะดื้อขึ้นมาพวกเธอก็ดื้อหัวชนฝาจนผู้ชายอกสามศอกต้องยอมแพ้

ดิ๊กกับนิคนั้นรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เรียนหนังสือโรงเรียนเดียวกันมาตลอด แม้แต่เรียนทหารก็เรียนด้วยกัน ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายก็สนิทสนมกันดี ชายหนุ่มทั้งสองเคยทำงานในหน่วยงานเดียวกันหลายปี จนกระทั่งดิ๊กแยกไปทำงานด้านการข่าว ส่วนนิคยังอยู่ในหน่วยรบเหมือนเดิมแต่ก็ไม่เคยขาดการติดต่อกัน ต่างก็รู้ตื้นลึกหนาบางเรื่องส่วนตัวของกันและกันเป็นอย่างดี

ชายหนุ่มทั้งสองคบหากันได้ยาวนาน ทั้งๆที่นิสัยใจคอหลายอย่างไม่เหมือนกัน ดิ๊กนั้นเป็นคนสนุกสนานพูดจาโผงผาง ค่อนข้างเป็นหนุ่มเจ้าสำราญจีบผู้หญิงไม่เลือกหน้า แต่ในที่สุดเมื่อมาเจอสาวลาวคนสวย ตอนที่ถูกส่งมาทำงานที่ประเทศลาว เขาก็ยอมหยุดพฤติกรรมเจ้าชู้ ตกลงปลงใจแต่งงานกับเธอโดยไม่สนใจความแตกต่างทุกด้าน ทั้งภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณีและสังคมระหว่างเขากับเธอ

“มึงเป็นไงมั่งล่ะ นิค?” ดิ๊กถาม หลังจากดื่มกันต่อไปอีกครู่
“ก็เรื่อยๆ” อีกฝ่ายตอบ
“งานที่โน่นเป็นไงมั่งวะ ยังรบกันหนักอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“ถามทำไมวะ มึงอยู่ฝ่ายข่าวก็ต้องรู้อยู่แล้วนี่หว่า”
“กูหมายถึงมึงน่ะแหละ ยังทำซ่าอาสาออกแนวหน้าอยู่หรือเปล่า?”
นิคยักไหล่ “คงงั้นมั้ง”
“ทำไมไม่ลองขอย้ายงานดูมั่งล่ะ”
“ย้ายไปไหน? อยู่ยังงี้ก็ดีแล้วนี่หว่า มีอะไรให้ตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา”

“ระวังให้ดีเถอะ ตื่นเต้นอยู่บ่อยๆคงได้ตายเข้าสักวัน” ดี๊กยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มก่อนพูดต่อว่า “กูว่ามึงอยู่ภาคสนามนานไปแล้ว ทำไมไม่หาทางย้ายมาทำงานข่าวแบบกูมั่งล่ะ? พ่อมึงก็ตำแหน่งออกใหญ่โต ช่วยได้สบายอยู่แล้ว"

“ก็กูไม่ได้กลัวตายเหมือนมึงนี่หว่า” นิคทำหน้ายิ้มๆแหย่เพื่อน “กลัวเมียเป็นม่าย มึงเคยบอกยังงั้นไม่ใช่หรือ?”

อีกฝ่ายยักไหล่ “แหงละ กูสงสารเมียกูเว้ย นั่งห่วงกลัวกูตายอยู่ทุกวัน แล้วอีกอย่างกูก็อยากจะมีลูกด้วย ขืนร่อนไปทำงานที่โน่นทีที่นี่ที เมื่อไหร่จะได้มีลูกซะทีล่ะ ว่าแต่มึงเถอะ เมื่อไหร่จะมีเมียเป็นเรื่องเป็นราวซะที มึงกับกูก็อายุเท่ากัน ลูกกูกำลังจะเกิดอยู่แล้ว มึงก็ยังลอยไปลอยมา ไม่เอาจริงกับใครสักคน”
นิคยกเหล้าขึ้นดื่มอีกก่อนตอบทีเล่นทีจริงว่า “เนื้อคู่ยังไม่เกิดมั้ง ไม่ต้องมายุ่งกับกูมากนักหรอก กูไม่ได้คิดจะอยู่เป็นโสดไปตลอดชาติหรอกวะ เพียงแต่ยังไม่พบใครที่อยากแต่งงานด้วยเท่านั้น”

“จริงน่ะ?” นายดิ๊กไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ “ยายคุณพราวคนนี้ล่ะวะ ไม่สนเขามั่งหรือ?”
ชายหนุ่มอึกอัก “เขาไม่สนกูหรอก”
ดิ๊กหัวเราะก้ากชอบอกชอบใจ “โธ่..ไอ้กร๊วก ทำเป็นเลี่ยงบาลี กูไม่ได้ถามว่าเขาสนมึงหรือเปล่า กูถามมึงนั่นแหละว่าชอบเขาหรือเปล่า สงสัยว่ะ”
“สงสัยอะไร?”
“สงสัยว่าคนนี้จะพิเศษน่ะสิ ดูมึงแปลกๆว่ะ มาเที่ยวนี้หน้าตาหายขรึมไปเยอะเลยนี่หว่า แถมยังรู้จักพูดเล่นพูดหัว เหมือนไม่ใช่ไอ้จอมซีเรียสคนเก่า”
“พูดบ้าๆ ไม่เห็นมีอะไรสักหน่อย กูก็ยังเหมือนเดิม” อีกฝ่ายพยายามแก้ตัว
“อ๊ะ อ๊ะ ไม่ต้องแก้ตัวหรอกวะ ไม่ชอบเขาแล้วพาเขามาพบเพื่อนพบฝูงทำไม ทำท่าแคร์เขามากอีกต่างหาก”

นิคทำหน้าเจื่อนๆ “เลิกพูดได้แล้ว กินเหล้ากันต่อดีกว่า”

ดิ๊กรู้ว่าเพื่อนเริ่มเขินก็เลยเลิกแหย่ เปลี่ยนไปพูดคุยเรื่องอื่นทั่วๆไป ซึ่งเป็นวีรกรรมเดิมๆซ้ำๆซากๆ ตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่นอยู่ด้วยกันจนถึงการพบกันครั้งหลังสุดเมื่อประมาณสามเดือนที่แล้ว รอให้สมพรมาเรียกไปรับประทานอาหารเย็น




 



Create Date : 28 มิถุนายน 2563
Last Update : 28 มิถุนายน 2563 1:14:16 น.
Counter : 1356 Pageviews.

9 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณkatoy, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณSweet_pills, คุณหอมกร, คุณสองแผ่นดิน, คุณhaiku, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณร่มไม้เย็น, คุณInsignia_Museum, คุณ**mp5**, คุณschnuggy

  
ดอยสะเก็ด Literature Blog ดู Blog
ขอบคุณนะคะคุณตุ้ย ที่จัดให้คามคำเรีกร้อง

โดย: หอมกร วันที่: 28 มิถุนายน 2563 เวลา:19:13:36 น.
  
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจ หายไปนานเลยครับ
โดย: **mp5** วันที่: 1 กรกฎาคม 2563 เวลา:16:21:42 น.
  
แวะมาเยี่ยมครับพี่
โดย: panwat วันที่: 24 สิงหาคม 2563 เวลา:15:21:29 น.
  
จำได้ว่าเคยอ่านนิยายเมื่อ 7-8 ปีก่อน แล้วก็ฝังใจในพล็อตมาก จำชื่อเรื่องไม่ได้ งมหาในgoogle นานมากค่ะ จนมาเจอว่า วันวานที่หวานหวาม คือเรื่องที่ฝังใจค่ะ แต่ผู้แต่งปิดล็อคแล้ว อยากให้เอาไปลงขาย ebook ที่ meb จังค่ะ อยากอุดหนุนมากๆ เพราะตอนอ่านเสียน้ำตา แล้วอ่านจบก็ปิดไปแบบไม่อยากอ่านแล้ว แต่ตั้งแต่วันนั้นเรื่องนี้ก็เป็นนิยายที่ฝังใจมาตลอด ทั้งๆ ที่เราอ่านนิยายใหม่ๆ เดือนนึงไม่ต่ำกว่า 10-20 เรื่อง เลยอยากขอความกรุณาผู้แต่งช่วยเอามาขายเป็น ebook หน่อยได้ไหมคะ อยากอ่านจริงๆ ค่ะ
โดย: ตูน IP: 223.207.227.219 วันที่: 8 ตุลาคม 2563 เวลา:0:40:27 น.
  
โทรมาคุยกันได้นะคะคุณตูน

081-496-4048 ค่ะ สะดวกทุกวัน
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 25 พฤศจิกายน 2563 เวลา:19:45:11 น.
  
นิยายเรื่องนี้มี ebook ไหมค่ะ
โดย: มิ้งค์ IP: 171.5.229.37 วันที่: 15 ธันวาคม 2563 เวลา:21:19:51 น.
  
ตอบคุณมิ้งค์

หมายถึงเรื่องคนละฟากฟ้าใช่ไหมคะ
ยังไม่เคยเอานิยายเรื่องไหนไปขายทาง ebook เลยค่ะ
แต่ตอนนี้มีคนแนะมาหลายคนก็เลยคิดจะเข้าไปศึกษา
กฏเกณฑ์ดูก่อนค่ะ

ขอบคุณที่สนใจนะคะ
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 25 ธันวาคม 2563 เวลา:19:19:51 น.
  
สวัสดีปีใหม่ครับ พี่ตุุ้ย

โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 2 มกราคม 2564 เวลา:22:40:26 น.
  
รออุดอยู่นะค่ะ
โดย: มิ้งค์ IP: 171.5.228.72 วันที่: 9 เมษายน 2564 เวลา:10:41:39 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
มิถุนายน 2563

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
29
30
 
 
28 มิถุนายน 2563
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com