ชีวิตก็คือละครหรือนิยายเรื่องหนึ่ง
|
||||
คนละฟากฟ้า - บทที่ 69 พราวพรายนั่งรอนิคจนถึงสี่ทุ่มเขาก็ยังไม่กลับมา ไม่แน่ใจว่าป่านนี้เขายังประชุมอยู่หรือเปล่า หรือประชุมเสร็จแล้วออกไปดื่มเหล้าดับความกลุ้มกับปัญหาที่เธอนำมาให้ แต่เธอก็ตั้งใจว่าจะรอเขาเพราะเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันช่างแสนสั้นจนไม่อยากจะเสียมันไป ปัญหาชีวิตที่ร้ายแรงที่สุดตั้งแต่ลืมตาดูโลก ทำให้หญิงสาวต้องใช้ความคิดอย่างหนัก ว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับเรื่องระหว่างเธอกับนิค แม้สมองจะยังมึนงง หัวใจจะเจ็บปวดรวดร้าวกับวาจาของมารดา ที่ตั้งแต่น้อยคุ้มใหญ่พราวพรายไม่เคยได้ยินคำพูดแบบนี้ออกจากปากคุณจิตรา ชีวิตของเธอเดินมาถึงทางสองแพร่งในวันนี้ จะเลือกเดินทางซ้ายหรือทางขวาก็เห็นแต่ความมืดมนธ์และความอ้างว้าง แม้มารดาจะไม่ได้ยื่นคำขาดให้เธอเลิกกับนิค บอกให้เธอตัดสินใจเอาเอง แต่ความหมายก็ไม่ได้แตกต่างกัน เพราะคุณจิตราพูดไว้ชัดเจนแล้วว่าถ้าเลือกนิคก็คือการตัดขาดจากครอบครัว แต่ถ้าเลือกครอบครัวเธอก็จะไม่มีนิคอีกต่อไป ไม่มีนิค! ไม่มีนิคอย่างนั้นหรือ? คิดไปคิดมาแล้วในที่สุดก็อดคิดไปถึงคำพูดของมารดาในวันนั้นไม่ได้ ทั้งๆที่อยากจะลืมคำพูดหรือคำบริภาษที่เหมือนมีดคมกริบ ที่กรีดหัวใจของเธอให้ขาดวิ่นเป็นบาดแผลฉกรรจ์ ที่ยากจะรักษา “เวรกรรมของฉันที่ลูกสาวแต่ละคนนำแต่ความงามหน้ามาให้ ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว ฉีกหน้าพ่อแม่เสียขาดเป็นชิ้นๆยังไม่พอ ยังโกหกหลอกลวงตีสองหน้า” “ฉันไม่เคยนึกไม่เคยฝันมาก่อนเลย ว่าลูกสาวสองคนที่ฉันอบรมบ่มสอนมาตั้งแต่เกิด ให้เป็นกุลสตรีที่มีความอาย มีความยับยั้งชั่งใจ จะมีพฤติกรรมเช่นนี้ ไม่เคยนึกเคยฝันว่าเวลาความอยากมันเข้าสิง คนเราจะหมดยางอาย ไม่นึกถึงชื่อเสียงหน้าตาของพ่อแม่ ไม่สนใจขนบธรรมเนียมประเพณีกฏเกณฑ์ของสังคม นึกอยากจะยกตัวเองให้ผู้ชายคนไหนก็ทำได้หน้าตาเฉย ขอให้ได้สมใจหายอยากก็พอแล้ว” “พ่อแม่หาผู้ชายดีดี มีชาติมีตระกูลให้ ก็ไม่แยแสสนใจ อวดเก่งอวดดีจะเลือกเอง แล้วก็ได้กระโหลกกะลามาเพราะความใฝ่ต่ำ” "ไอ้พวกทหารอเมริกันมันวิเศษมาจากไหน ลูกเต้าเหล่าใคร มีกำพืดอย่างไรก็ไม่รู้ หรือไม่แคร์ว่ามันจะเป็นใคร ขอให้ถูกใจก็พอแล้ว” “เราเป็นคนไม่ใช่สัตว์ จะได้นึกอยากสมสู่อยู่กินกับใครก็ทำได้โดยไม่ต้องคิดอะไร” “ฯลฯ” คำพูดของมารดาราวกับใบมีดคมกริบที่แล่นทะลุผ่านเข้ามาในหู แล้วทะลวงตรงเข้าไปทิ่มแทงหัวใจจนเลือดไหลทะลัก พราวพรายจำได้ว่าเธออยากจะกรีดร้องออกมาให้สุดเสียง ให้สมกับความเจ็บปวดและอับอายที่ประเมินปริมาณไม่ได้ อยากจะล้มตายลงไปตรงหน้ามารดาเสียเดี๋ยวนั้น จะได้ไม่ต้องทนฟังคำบริภาษที่รุนแรงจากบุพการี ผู้แต่ก่อนแต่ไรไม่เคยใช้วาจาน่าเกลียดอย่างนี้กับลูกคนไหน หญิงสาวไม่เข้าใจว่ามารดาเห็นดีเห็นงามได้อย่างไร ที่อยากให้เธอเลิกกับนิค ไม่คิดบ้างเลยหรือว่าการหย่าร้างจะทำให้เธอต้องกลายเป็นแม่ม่าย ที่จะเป็นตราประทับไปชั่วชีวิต ใช่ว่าจะกลับมาเป็นสาวน้อยคนเดิมได้เมื่อไหร่ ยกเว้นจะทำไม่รู้ไม่ชี้ตีสองหน้า หลอกคนอื่นที่ไม่รู้ความจริงเท่านั้น แต่จะหลอกไปได้สักกี่น้ำ ในเมื่อหลักฐานทางราชการทั้งแต่งทั้งหย่ายังต้องปรากฏอยู่ในทะเบียนราษฏร์ วันหนึ่งเมื่อมีคนล่วงรู้จะมิยิ่งเสียหายหนักกว่านี้อีกหรือ ถ้าเพียงแต่บิดาของเธออยู่บ้าน ไม่ได้ไปราชการต่างประเทศ พราวพรายเชื่อว่าเหตุการณ์จะไม่เป็นเช่นนี้ คุณพนัสเป็นคนมีเหตุมีผล สุขุมรอบคอบและมองการณ์ไกล ต่างกับคุณจิตราที่มีนิสัยหุนหันพลันแล่น ใจร้อน เมื่อโกรธขึ้นมาก็มักจะทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ต้องการเอาชนะอย่างเดียว ซึ่งความจริงเป็นนิสัยที่พราวพรายรับมามากกว่าพี่น้องอีกสองคน หญิงสาวคิดต่อไปว่าถ้าบิดาอยู่บ้าน ท่านคงจะไม่ยอมให้มารดาใช้วิธีการแตกหักแบบนี้ แม้จะเสียใจที่เธอกระทำการโดยพลการไม่เห็นหัวอกพ่อแม่ แต่ท่านก็คงจะใช้วิธีการที่นุ่มนวล ซักถามความต้องการของลูกและคงจะเรียกตัวนิคมาพบ แล้วในที่สุดก็จะใช้วิธีแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ในเมื่อเรื่องราวก็ล่วงเลยมาถึงขั้นนี้แล้วท่านก็คงจะเลยตามเลย อาจจะขอให้ทำพิธีแต่งงานให้ถูกต้องตามประเพณีและเป็นที่รับรู้ของสังคมเท่านั้น แม้มารดาของเธอจะไม่พอใจแต่ก็คงเกรงใจบิดาจนไม่กล้าคัดค้าน แล้วทุกอย่างก็จะลงเอยด้วยดี แต่คุณจิตราเองก็อาจจะรู้แกวอยู่เหมือนกัน จึงได้สั่งห้ามการติดต่อกับบิดา เธอคงต้องการจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยด้วยตัวเอง ในแบบที่เธอต้องการก่อนที่คุณพนัสจะกลับมา พราวพรายถามตัวเองว่าจะกล้าฝืนคำสั่งของมารดา หาทางติดต่อบิดาได้หรือไม่ เพื่อขอให้ท่านรีบกลับมาจัดการเรื่องนี้ก่อนที่จะสายเกินไป แต่แล้วเมื่อคิดว่าคุณพนัสไปต่างประเทศด้วยเรื่องราชการ เพื่อผลประโยชน์ทางการค้าของประเทศ ควรหรือที่จะเอาปัญหาส่วนตัวไปรบกวนให้ท่านต้องเดือดเนื้อร้อนใจ จนอาจจะต้องทิ้งงานที่รับผิดชอบอยู่ กลับมาแก้ปัญหาที่บุตรีผู้ไม่รู้จักโตสร้างขึ้นมา นอกจากนี้ลูกทุกคนต่างก็รู้ว่าคุณพนัสนั้น เป็นคนที่ทำงานอย่างเสียสละและทุ่มเท งานมาก่อนเรื่องส่วนตัวเสมอ ควรแล้วหรือที่เธอจะเห็นแก่ตัวโทรศัพท์ไปรบกวนให้ท่านต้องรีบร้อนกลับมาโดยทิ้งงานไว้กลางคัน ซึ่งอาจจะทำให้ประวัติการทำงานที่ได้รับการยกย่องเชื่อถือ จากผู้บังคับบัญชาและผู้ที่เกี่ยวข้องมาตลอด จนได้รับตำแหน่งรองปลัดกระทรวงของกระทรวงที่เป็นลูกหม้ออยู่เมื่อไม่นานมานี้ เมื่อคนเก่าเกษียณอายุราชการไป เมื่อคิดอย่างไรก็ไม่เห็นทางออกที่ไม่จะทำความเดือดร้อนให้บิดา พราวพรายก็พยายามคิดหาทางออกทางอื่นต่อไป ทางออกที่จะไม่ต้องสูญเสียคนทั้งหมดที่เธอรัก หรือว่าเธอจะทำอย่างเดียวกับเจิดจรัส ยืนหยัดอยู่กับนิคต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ใครจะเป็นจะตายก็ช่าง ทนฟังเสียงกร่นด่าและเสียงคร่ำครวญของมารดาให้ได้ แล้วในที่สุดคุณจิตราก็ต้องยอมรับสภาพไปเอง แต่แล้วพราวพรายก็ต้องถอนใจยาวอย่างหนักอก เธอจะทำเช่นนั้นได้จริงหรือ เธอกับพี่สาวไม่เหมือนกัน เจิดจรัสนั้นมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่สนใจกับใครหรืออะไรทั้งนั้น นึกอยากทำอะไรก็ทำได้หน้าตาเฉย สามารถเพิกเฉยกับอะไรก็ตามที่ไม่สมัครใจ เจิดจรัสมีเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายหลากหลาย สามารถแหกกฏกติกาหรือข้อห้ามต่างๆได้โดยไม่สะดุ้งสะเทือน แต่ด้วยวิธีการที่ไม่หักหาญ ในขณะที่เธอทำอย่างนั้นไม่ได้ พราวพรายเป็นคนเถรตรงไม่ปากอย่างใจอย่าง ใจของเธอละเอียดอ่อนกว่าเจิดจรัส ซึมซับความรู้สึกของผู้อื่นได้มากกว่า แคร์กับพ่อแม่พี่น้องมากกว่า และที่สำคัญคือกลัวมารดาอย่างที่สุด นิคจะยอมหย่าให้ไหมถ้าเธอจะบอกเขาว่า เป็นการหย่าชั่วคราวเท่านั้น แยกจากกันไปสักพักหนึ่ง เมื่อเหตุการณ์ต่างๆคลี่คลายลงแล้วค่อยกลับมาจดทะเบียนสมรสกันใหม่ และตอนนั้นไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เธอก็จะยึดมั่นอยู่กับเขา จะไม่ยอมให้เรื่องทางบ้านมาเป็นอุปสรรคอีกต่อไป แต่ตอนนี้เธอจำเป็นต้องเลิกกับเขาเสียก่อน เพื่อไม่ให้มารดาที่กำลังป่วยอยู่ ต้องมีอาการทรุดหนักลงไปกว่านี้ ถ้าเธอบอกเขาแบบนี้เขาจะเห็นด้วยไหม พราวพรายวนเวียนคิดหาทางออกหรือผ่อนหนักเป็นเบาอยู่นาน ก็ยังไม่พบช่องทางที่เหมาะสม นิคก็ยังไม่กลับสักทีแม้จะเลยสองยามไปแล้ว ในที่สุดเธอก็ขึ้นเตียงแล้วผล็อยหลับไป ไม่รู้ว่านิคกลับมาบ้านเมื่อไหร่ วันรุ่งขึ้นนิคกับพราวพรายก็ลงนั่งพูดกันอีกครั้งหนึ่ง แม้จะไม่อยากทำร้ายจิตใจเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะทำร้ายเขาก็คือการทำร้ายตัวเองด้วยเหมือนกัน แต่เธอก็จำเป็นต้องพูดให้เขาเข้าใจว่า เขาต้องเซ็นหนังสือหย่าให้ เพื่อที่เธอจะนำไปแสดงต่อมารดาให้หมดเรื่องไป หลังจากนั้นถ้าเป็นไปได้ก็ค่อยมาหาทางใหม่กันต่อไป “นิคคะ คุณคิดยังไงกับเรื่องของเรา” ชายหนุ่มอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะตอบโดยไม่มองหน้าเธอว่า “ผมคงไม่หย่าหรอกนะ พราว ผมเลิกกับคุณไม่ได้ ผมรักคุณ” “นิคคะ ฉันเองก็รักคุณนะคะ รักมากด้วย” “เมื่อเราต่างคนต่างก็รักกัน เราก็ไม่ควรจะหย่ากัน จริงไหม ความจริงเรื่องนี้ง่ายนิดเดียวถ้าคุณจะยืนหยัดอยู่กับผม ถ้าคุณแม่โกรธเราก็ไม่ต้องไปโกรธตอบ คุณเคยทำยังไงกับท่านก็ทำต่อไป ส่วนเราก็อยู่กันไปตามแบบของเรา แล้ววันหนึ่งท่านก็อาจจะใจอ่อนยอมรับได้” ความจริงนิคอยากจะบอกพราวพรายว่าเขาไม่เข้าใจจริงๆว่า ในเมื่อเธอแต่งงานกับเขาแล้ว เธอกับเขาก็เป็นครอบครัวใหม่ที่แยกตัวออกไปแล้วจากครอบครัวเดิม เธอจึงไม่ควรจะยึดโยงอยู่พ่อแม่ของเธอมากจนเกินไป ถึงเธอจะมีหน้าที่ต่อพ่อแม่ในฐานะลูก แตในขณะเดียวกันเธอก็มีหน้าที่ต่อเขาในฐานะภรรยาด้วยไม่ใช่หรือ เมื่อแต่งงานสร้างครอบครัวใหม่ด้วยกันแล้ว ทั้งเขาและเธอต่างก็มีหน้าที่ต่อกันในฐานะสามีภรรยา คนอื่นนอกจากนี้แม้แต่พ่อแม่ก็กลายเป็นคนนอกไปแล้วทั้งนั้น แม้จะเรียนรู้เรื่องระบบครอบครัวของคนเอเซียมาบ้าง ว่ามีสายใยความผูกพันที่แน่นเหนียวตัดกันไม่ค่อยจะขาด ซึ่งเขาก็พอจะยอมรับได้ แต่ไม่ใช่ในเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เพราะถ้ายอมรับก็เท่ากับทำลายสถาบันครอบครัวของตัวเองที่ช่วยกันสร้างขึ้นมา ให้สิ้นสลายไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นกับพราวพรายเพียงคนเดียวเท่านั้น ว่าเธอจะเข้มแข็งและรักเขามากพอที่จะยืนหยัดอยู่กับเขาต่อไปหรือไม่ “นิคคะ ความจริงฉันไม่อยากเล่าให้คุณฟังหรอก แต่ก็จำเป็นต้องเล่า คุณรู้ไหมว่าแม่ฉันยื่นคำขาดให้ฉันเลือก แม่บอกว่าถ้าเลือกคุณฉันก็ต้องตัดขาดจากพ่อแม่พี่น้อง ห้ามกลับไปเหยียบบ้าน ท่านตายเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องไปเผา คุณจะให้ฉันทำอย่างไร คุณเองก็คงพอจะรู้มาบ้างว่าคนเอเซียส่วนใหญ่ ถูกอบรมสั่งสอนมาตลอดชีวิต ว่าพ่อแม่มีพระคุณอย่างที่สุด ลูกมีหน้าที่ต้องทดแทนบุญคุณ” “แม้ว่าการทดแทนบุญคุณที่ว่านั่น จะหมายความเราว่าต้องเลิกกันงั้นหรือ ถ้าถามผม ผมก็คิดว่าลูกสามารถทดแทนบุญคุณพ่อแม่ได้ด้วยวิธีอื่นอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทดแทนด้วยการทำลายครอบครัวใหม่ของตัวเอง” “คุณกำลังจะบอกฉันว่าแม้พ่อแม่จะตัดขาด ฉันก็ไม่ควรจะแคร์หรือคะ” “ไม่ใช่ไม่แคร์ เพียงแต่ไม่เก็บเอามาเป็นอารมณ์ ไม่ต้องเต้นตามไป เราเป็นลูก เมื่อลูกไปหาแล้วไม่ต้อนรับเราก็กลับ แล้วค่อยไปใหม่ก็ได้นี่ ไปให้เห็นหน้าเห็นความจริงใจบ่อยๆ ในที่สุดท่านก็จะใจอ่อนไปเอง” “แต่ฉันทำไม่ได้ค่ะ นิค คุณยังไม่รู้จักแม่ฉัน แม่เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ไม่ใช่คนที่จะใจอ่อนกับอะไรง่ายๆอย่างที่คุณคิดหรอกค่ะ” ชายหนุ่มถอนใจยืดยาวอย่างหนักอก ถึงจะเข้าใจเรื่องความผูกพันของครอบครัวคนเอเซียพอสมควร แต่เขาก็รับไม่ได้อยู่ดี นิคอดคิดไม่ได้ว่าความผูกพันที่พราวพรายยกขึ้นมาอ้างนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถ้ามองในแง่ดีมันก็ดีเฉพาะกับคนในครอบครัวเท่านั้น มันทำให้พ่อแม่ลูกหลานใกล้ชิดช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน รวมทั้งยึดมั่นกับรากเหง้าของครอบครัว แต่ในอีกแง่หนึ่งมันก็เหมือนกับการรักพวกรักพ้อง ซึ่งบางครั้งมากเกินไปจนทำให้คนที่อยู่วงนอกแม้จะมีความสำคัญเพียงใด ก็ต้องถูกกันให้ห่างออกและลดความสำคัญลงไป กลายเป็นเพียงตัวเลือกตัวหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่ตัวหลัก เมื่อมีสถานการณ์ที่ต้องเลือกเกิดขึ้น อย่างในกรณีของเขากับครอบครัวของพราวพราย “เอาละ เมื่อคุณคิดว่าไม่ว่าจะทำอย่างไร แม่คุณก็ไม่มีทางจะยอมรับผมได้ แล้วคุณพ่อคุณล่ะจะช่วยเราได้ไหม?” “ถ้าตอนนี้คุณพ่ออยู่ อย่างน้อยแม่ก็ต้องปรึกษาคุณพ่อ แม่คงไม่กล้าตัดสินใจเรื่องสำคัญแบบนี้คนเดียวหรอกค่ะ” ชายหนุ่มทำท่าโล่งใจเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคำตอบของพราวพราย “งั้นเราก็คงต้องพึ่งคุณพ่อคุณ" “แต่ตอนนี้คุณพ่อไม่อยู่นี่คะ นิค กว่าจะกลับก็อีกตั้งเกือบสามอาทิตย์” “ก็ไม่เป็นไรนี่ พอท่านกลับมาคุณก็รีบพาผมไปพบท่าน ดีไหม?” “อีกสามอาทิตย์น่ะหรือคะ” “สามอาทิตย์ก็ไม่เป็นไรนี่พราว เรื่องของเรารอได้ไม่ใช่หรือ?” พราวพรายทอดถอนใจ “แม่คงไม่ยอมรอจนคุณพ่อกลับหรอกค่ะ ก่อนฉันจะมาอุบลฯแม่บอกว่า ให้เวลาฉันมาจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยไม่เกินสองอาทิตย์ ตอนนี้ก็หมดไปอาทิตย์นึงแล้ว แม่กำชับว่าถ้าได้ใบหย่าก่อนสองอาทิตย์ก็ให้ส่งไปรษณีย์ไปให้แม่ ส่วนฉันจะทำงานต่อไปจนครบกำหนดก็ไม่ว่า ขอเพียงให้แน่ใจว่าเราหย่ากันแล้วเท่านั้น” “ที่พูดมาทั้งหมดนี่หมายความว่ายังไง หรือคุณกำลังพยายามเกลี้ยกล่อมผม ให้เห็นดีเห็นงามไปด้วยกับความต้องการของแม่คุณ” “เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้เห็นดีเห็นงามที่จะหย่ากับคุณหรอก เพียงแต่บอกให้คุณรู้ว่าแม่ฉันต้องการอะไรเท่านั้น” “แล้วคุณไม่คิดบ้างหรือว่าสิ่งที่แม่คุณต้องการน่ะมันเกินไป ไร้เหตุผล” เสียงของเขาเริ่มกร้าวขึ้น “เราแต่งงานกันแล้วอย่างถูกต้องตามกฏหมาย คุณเองก็โตแล้ว บรรลุนิติภาวะแล้ว ทางบ้านคุณไม่มีสิทธิจะมาเจ้ากี้เจ้าการสั่งให้คุณเลิกกับผม ถ้าจะต้องเลิกกันจริงๆก็มีแต่เราสองคนเท่านั้นที่จะตัดสินใจกันเอง ว่าจะอยู่หรือจะเลิกกัน ไม่ใช่คนอื่น” “แม่ฉันเป็นคนอื่นหรือคะ นิค” เสียงของพราวพรายเริ่มสั่น “การแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคนเท่านั้น นอกจากนี้ถือว่าเป็นคนอื่น ไม่ว่าพ่อแม่คุณหรือพ่อแม่ผม” นิคยืนยันอย่างหนักแน่น พราวพรายซึ่งหน้าเผือดขาวเงียบไปนานกว่าจะเรียบเรียงคำพูดออกมาได้ “นิคคะ มันยากสำหรับฉันนะคะ ที่จะทำใจให้คิดว่าพ่อแม่เป็นคนอื่นที่ไม่จำเป็นต้องแคร์ วัฒนธรรมและการอบรมเลี้ยงดูของเราแตกต่างกัน ถึงจะแต่งงานแยกบ้านไปแล้ว เราก็ยังต้องติดต่อมีความสัมพันธ์กับพ่อแม่พี่น้องอยู่เหมือนเดิม สังคมของเราเป็นสังคมครอบครัว ยึดโยงกันอย่างแน่นเหนียว แม้จะโตเป็นผู้ใหญ่มีครอบครัวแล้ว เราก็ยังต้องฟังเสียงพ่อแม่อยู่บ้างตามสมควร ความจริงคุณก็คงรู้เรื่องพวกนี้มาบ้างแล้วก่อนที่จะถูกส่งมาทำงานที่นี่” “พราว ที่คุณพูดมาทั้งหมดนั่นน่ะผมเข้าใจ และยอมรับได้ที่ว่าคุณกับพ่อแม่คุณยังต้องติดต่อไปมาหาสู่กัน ช่วยเหลือกันตามสมควร แต่ไม่ใช่ในเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผมรับไม่ได้ เมื่อถึงเวลาหนึ่งพ่อแม่ต้องเป็นฝ่ายยอมรับและเคารพสิทธิในการตัดสินใจของลูกบ้าง” แล้วนิคก็ลุกขึ้นยืน “เอาละ ผมต้องไปทำงานแล้ว คุณลองเอาสิ่งที่ผมพูดนี่ไปคิดดูให้ดีก็แล้วกัน” “แต่เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องนะคะ ฉันจะกลับวันนี้แล้ว” พราวพรายท้วง อีกฝ่ายเลิกคิ้ว “คุณจะไปตอนไหนล่ะ ตอนเย็นดีไหม?” “แต่เราต้องตกลงกันให้ได้เสียก่อนที่ฉันจะกลับ” “ตอนนี้ผมไม่มีเวลาจะคุยกับคุณแล้ว อีกสักครู่ผมจะต้องเข้าประชุม” พูดจบนิคก็เดินลงจากบ้านขึ้นรถขับออกไปด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด ปล่อยให้พราวพรายนั่งกังวลกับปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกต่อไปอยู่ตามลำพัง กลับไปตามอ่านตอนที่แล้วด้วยคราบ
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 23 พฤษภาคม 2566 เวลา:21:25:36 น.
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด
อ่านแล้ว ครูไม่ชอบเลย ที่แพรวพราย อ่อนแอมากขนาดนั้น คนที่ น่าสงสารมาก คือ นิค จ้ะ เขาเป็นพระเอกที่มีเหตุผลและคำพูดของเขา เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีได้อย่างแน่นอน จ้ะ ขอบใจที่เขียนนิยายที่มีปมปัญหา ให้คนอ่านได้ขบคิดตามไป ด้วย จ้ะ จะคอยติดตามต่อไป จ้ะ โหวดหมวด งานเขียน ฯ โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 24 พฤษภาคม 2566 เวลา:8:27:54 น.
ชื่นชอบขนบธรรมเนียมของไทยเราที่เชื่อฟัง ผู้ใหญ่ แต่บางเรื่องผมว่าก็ไม่ถูกต้องเหมือนกันนะ อย่างเรื่องนี้ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณแม่ถึงไม่ชอบนิคจนถึงต้องตัดขาด เดี๋ยวต้องตามไปอ่านตอนเก่าสักหน่อยละครับ ทำให้ผมนึกถึงรุ่นเด็กสมัยนี้ เค้าใช้เหตุผลเป็นที่ตั้ง ไม่ค่อยเชื่อฟังผู้ใหญ่กันแล้ว ผมว่ารอปรึกษาพ่อดีกว่า
โดย: The Kop Civil วันที่: 24 พฤษภาคม 2566 เวลา:10:55:14 น.
|
ดอยสะเก็ด
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]
Group Blog
All Blog
Friends Blog
|
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |