คนละฟากฟ้า - บทที่ 35
เช้าวันเสาร์ที่พราวพรายและสุนิสาไม่ได้ไปทำงาน เนื่องจากเป็นวันหยุดที่อรรณพเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวที่กรุงเทพฯ สุนิสาจึงไม่ได้ไปไหน ขณะที่พราวพรายกำลังซักผ้าอยู่หลังบ้านสุนิสาก็เดินหน้าตื่นเข้ามาหา

“มีผู้ชายหนุ่มๆคนนึงมาขอพบพราว เขาบอกว่าแม่พราวฝากของมาให้”
“เหรอ”
พราวพรายรีบล้างมือแล้วเดินออกไปพบแขกของเธอที่นั่งรออยู่ในห้องเอนกประสงค์ เมื่อเห็นเธอชายหนุ่มผู้นั้นก็รีบลุกขึ้นยืนแนะนำตัวเอง

“คุณพราวพรายใช่ไหมครับ ผมชื่อเขตต์ ธีปจิตร คุณป้าจิตราทราบว่าผมจะมาที่นี่ ก็เลยฝากของกับจดหมายมาให้คุณ”

หญิงสาวรับห่อของขนาดไม่เล็กนักจากมือที่ยื่นส่งมาให้แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไร เขาก็บอกด้วยสีหน้าสุภาพว่า “จดหมายคุณป้าอยู่ในห่อของ”

“ขอบคุณค่ะ เชิญนั่งก่อนสิคะ”

เขตต์รอให้พราวพรายลงนั่งก่อนแล้วจึงนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเธอ ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรกันต่อไป สุนิสาก็ประคองแก้วน้ำเย็นออกมาวางให้แขกบนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยๆตรงหน้าเขาแล้วทำท่าจะปลีกตัวเข้าห้องนอนไป

“นั่งคุยกันก่อนสิแอ๋ว” พราวพรายรีบบอกเพื่อน แล้วเธอก็แนะนำคนทั้งสองให้รู้จักกัน “คุณเขตต์คะ นี่แอ๋ว ชื่อจริงชื่อสุนิสา เพื่อนสนิทของฉัน เราพักอยู่ที่นี่ด้วยกัน”
เขตต์ยิ้มให้หญิงสาวรูปร่างผอมบาง ท่าทางเหมือนเด็กผู้ชาย
“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เช่นกันค่ะ”

สุนิสาลอบพิจารณาชายหนุ่มผู้นั้นอย่างสนใจ ลงความเห็นว่าหน้าตาท่าทางของเขาไม่เลวเลย กิริยามารยาทเท่าที่เห็นก็สุภาพนุ่มนวล

“คุณเขตต์มาทำอะไรที่อุบลฯคะ หรือมาเที่ยว” สุนิสาเริ่มซักหาข้อมูล
“ผมมาทำงานน่ะครับ ที่โขงเจียม” เขตต์ตอบยิ้มๆ “รู้จักไหมครับ?”
“อ๋อ รู้จักสิคะ เราเคยไปเที่ยวกันมาแล้วด้วย มีที่เที่ยวเยอะแยะเลย อยู่ห่างจากที่นี่สักร้อยกิโลเมตรเท่านั้น” สุนิสาเป็นคนตอบ
พราวพรายถามเขตต์ว่า “คุณเขตต์มาทำงานอะไรหรือคะ?”
“ผมย้ายมาจากอำเภอประโคนชัยในบุรีรัมย์ มารับตำแหน่งปลัดอำเภอที่โขงเจียม”
หญิงสาวทั้งสองมองเขาอย่างสนใจมากขึ้นกว่าเดิม พราวพรายถามว่า “เพิ่งมาถึงวันนี้หรือคะ?”
“สองสามวันแล้วละครับ เข้าไปที่ทำงานแล้วด้วย พอดีนึกถึงของฝากที่คุณป้าฝากมาให้คุณขึ้นมาได้ก็เลยรีบเอามาให้ก่อน กลัวจะลืม คุณป้ากำชับว่าห้ามลืมเด็ดขาด”
“พราวไม่เปิดจดหมายคุณแม่อ่านก่อนหรือ เผื่อจะมีธุระ” สุนิสาถาม
พราวพรายรีรอ ยังไม่นึกอยากอ่านจดหมายของมารดา เพราะรู้ว่าคงมีแต่เรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ “เอาไว้อ่านทีหลังดีกว่า แม่คงไม่มีธุระอะไรกับเราหรอก”

ระหว่างที่สองสาวพูดกันอยู่ ปลัดอำเภอหนุ่มก็ลอบมองพราวพรายอย่างสนใจ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเพื่อนของบิดาจะมีลูกสาวสวยขนาดนี้ หนุ่มสาวทั้งสามพูดคุยกันด้วยเรื่องทั่วๆไป เกี่ยวกับจังหวัดอุบลราชธานีอีกพักใหญ่ ในที่สุดเขตต์ก็ลุกขึ้นบอกลา สุนิสาและพราวพรายเดินออกไปส่งเขาถึงรถเก๋งโฟร์วิลล์แบบตรวจการของเขา ที่จอดแอบอยู่ใกล้ประตูรั้ว

ก่อนจะขึ้นรถชายหนุ่มกล่าวกับเจ้าของบ้านทั้งสองว่า “ถ้ามีโอกาสเข้ามาที่นี่ ผมจะขอแวะมาเยี่ยมคุณสองคนบ้างได้ไหมครับ?”
คนที่รีบตอบคือสุนิสา “ได้สิคะ มาได้ทุกเวลาเลย ดีเสียอีก พราวเขาจะได้มีเพื่อนคุย ฉันไม่ค่อยได้อยู่เป็นเพื่อนเขาเท่าไร โดยเฉพาะช่วงเสาร์อาทิตย์”

ทันทีที่ชายหนุ่มผู้นั้นขับรถจากไปสุนิสาก็บอกเพื่อนว่า “ผู้ชายคนนี้น่าสนใจนะพราว หน้าตาไม่เลว บุคคลิกก็ดี ท่าทางจะสนใจพราวเสียด้วยสิ”
พราวพรายหัวเราะ “แอ๋วคิดจะจับคู่ให้เราอีกคนแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่จับคู่ เพียงแต่เห็นว่าเขาเข้าท่าดี พราวเองก็ยังว่างอยู่ไม่ใช่เหรอ นายวิชชานั่นก็จบกันไปแล้ว ถึงยังไม่ชอบเขาก็ลองคบกันแบบเพื่อนไปก่อนก็ได้ ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย”

พราวพรายไม่ต่อความกับสุนิสา เธอเดินกลับเข้าไปในบ้าน เปิดห่อของฝากค้นหาจดหมายของมารดาออกมาอ่าน อ่านจบก็ทำหน้ายิ้มๆ นึกขันกับข้อความบางตอนในจดหมายของคุณจิตรา

“.....แม่ฝากกับข้าวแห้งๆที่เก็บไว้กินได้นานมาให้ อย่าลืมขอบอกขอบใจคุณเขตต์เขาด้วยล่ะ ที่อุตส่าห์รับอาสาจะเอาของไปให้พราวถึงบ้าน บอกตรงๆนะ แม่อยากให้พราวลองคบกับเขาดู ท่าทางเขาเป็นคนดีอนาคตไกล ตอนนี้เป็นแค่ปลัดอำเภอ แต่อีกหน่อยก็อาจจะได้เป็นผู้ว่าฯ คุณพ่อกับพ่อเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน ทางบ้านเขาก็มีฐานะ คุยกับเขาดีๆล่ะ อย่าไปทำหน้าตาบึ้งตึง พูดจาแบบมะนาวไม่มีน้ำใส่เขาล่ะ....”

พราวพรายนำจดหมายไปเก็บรวมกันไว้กับจดหมายอีกสองสามฉบับของคุณจิตรา ซึ่งปกติเป็นโรคไม่ชอบเขียนจดหมายหรือโทรศัพท์ถึงใครโดยไม่จำเป็น ข้อความในจดหมายฉบับนี้และของฝากที่ตั้งแต่มาทำงานอยู่อุบลฯ มารดาของเธอไม่เคยส่งมาให้สักครั้ง อ้างว่าอาหารการกินทางนี้อุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว ทำให้หญิงสาวพอจะเดาได้ไม่ยาก ว่าคุณจิตราคงติดใจในคุณสมบัติของชายหนุ่มที่ชื่อเขตต์คนนี้มาก ถึงกับลงทุนทำกับข้าวฝากเขามาให้เธอ เพื่อหาเหตุให้เธอกับเขาได้พบกัน

เก็บจดหมายเรียบร้อยแล้วพราวพรายก็เลิกสนใจเขตต์แต่เพียงแค่นั้น ทั้งๆที่รู้สึกอยู่เหมือนกันว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีบุคลิกลักษณะและการพูดจาที่น่าสนใจไม่น้อยคนหนึ่ง ที่สำคัญคือเธอรู้สึกถูกชะตากับเขา นอกจากนี้ยังคิดว่าเขามีอะไรบางอย่างคล้ายๆนิคด้วย

หลังจากวันนั้นเขตต์ก็แวะมาเยี่ยมพราวพรายและสุนิสาที่บ้านเช่าหลังน้อยนั้นอีกหลายครั้ง บางครั้งก็พบพร้อมกันทั้งสองสาว แต่ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ก็มักจะได้พบแต่พราวพรายคนเดียว เพราะสุนิสาไป ‘เข้าเวร’ ที่ค่ายทหาร พราวพรายบอกชายหนุ่มผู้นั้นแต่เพียงกว้างๆ ว่าสุนิสามีธุระหรือมีญาติสนิทที่ต้องไปดูแลเป็นครั้งคราว แม้จะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริงแต่หญิงสาวก็จำเป็นต้องบอกเขาอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เพื่อนเสื่อมเสีย

เขตต์เป็นผู้ชายที่รู้การควรไม่ควร ถ้ามาที่บ้านแล้วพบว่าสุนิสาไม่อยู่เขาก็จะอยู่พูดคุยกับพราวพรายไม่นานแล้วลากลับไป บางครั้งก็จะชวนเธอไปนั่งรถเล่นหรือทานอาหารนอกบ้าน เมื่อกลับมาส่งเธอเขาก็จะไม่เข้ามาในบ้าน แต่จะลากลับเลย เพราะไม่อยากให้เพื่อนบ้านมองหญิงสาวที่เขาสนใจไปในทางไม่งาม ที่ขลุกอยู่ในบ้านตามลำพังสองคนกับเขา การกระทำของเขตต์ทำให้พราวพรายรู้สึกชอบเขามากขึ้น ส่วนสุนิสานั้นเชียร์เขตต์อย่างออกหน้าออกตา แล้วยังโทรศัพท์ทางไกลไปเล่าเรื่องเขตต์ให้อมรารับรู้อีกคนด้วย

พราวพรายเองก็ยอมรับว่าชื่นชมเขตต์ไม่น้อย ตอนนี้เธอยังไม่ได้ชอบเขาแบบหนุ่มสาว แต่ก็คิดว่าอาจจะชอบเขาได้ไม่ยากในวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเธอพร้อมที่จะตกลงปลงใจกับผู้ชายสักคนหนึ่ง เขตต์เป็นผู้ชายอบอุ่นและมั่นคงคล้ายๆนิค เขาปฎิบัติต่อเธอและสุนิสาอย่างดี แม้แต่คุณจิตราผู้ไม่ชอบพูดโทรศัพท์ก็ยังลงทุนโทร.มาหาลูกสาวถึงที่ทำงานหลายครั้ง เฝ้าซักเฝ้าถามถึงความคืบหน้าในความสัมพันธ์ของเธอกับเขตต์ ถ้าไม่ได้ชอบอัธยาศัยของชายหนุ่มผู้นั้นอยู่บ้าง พราวพรายคงต่อต้านมารดาเต็มที่ด้วยการทำเฉยเมยใส่เขา หรือไม่ก็พยายามผลักไสเขาให้ออกไปห่างเธอ

ความสัมพันธ์ระหว่างเขตต์กับพราวพรายก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ เขตต์กลายเป็นแขกพิเศษที่พราวพรายรอคอย ปกติเขาจะอยู่ที่อำเภอโขงเจียม จะเข้ามาที่ตัวเมืองอุบลฯก็เฉพาะบางเสาร์หรืออาทิตย์เท่านั้น ตอนนี้เมื่อมีการสังสรรค์กันหญิงสาวก็ไม่ต้องรู้สึกน้อยหน้าเพื่อนอีกแล้ว เขตต์จะไปร่วมด้วยเสมอถ้าเขาไม่ติดภารกิจ ทั้งอรรณพและเพื่อนฝูงในแวดวงของเขาต่างก็ต้อนรับเขตต์อย่างดี นอกจากในฐานะคู่หมายของพราวพรายแล้ว ยังในฐานะเพื่อนข้าราชการที่บางครั้งต้องทำงานประสานกันด้วย

ส่วนนิคนั้นหลังจากกลับจากเวียงจันทน์ เขายังต้องเดินทางมาอุบลฯเดือนละตรั้ง แต่ก็ไม่เคยเฉียดกรายเข้าไปที่ออฟฟิศของจอห์น ถ้ามีเรื่องจำเป็นที่ต้องติดต่อกันเขาก็จะใช้โทรศัพท์แทน เลิกงานแล้วเขาก็ออกไปดื่มเหล้ากับเพื่อนฝูงตามปกติ แต่เขาก็ไม่ค่อยจะมีความสุขนัก มีอะไรบางอย่างที่หนักหน่วงอยู่ในหัวใจโดยไม่รู้สาเหตุ หลายครั้งเขาคิดถึงพราวพราย คิดถึงเสียงหัวเราะ เสียงบ่นหรือเสียงชวนทะเลาะของเธอ คิดถึงคำพูดคำจาและการกระทำที่บางครั้งเหมือนเด็กซนๆ ที่ทำให้ความเครียดของเขาหายไป

บางครั้งนิคก็อยากแอบไปดูพราวพรายว่าเป็นอย่างไร สุขสบายดีหรือเปล่า ที่สำคัญคือตอนนี้ก็ตั้งสองเดือนกว่าแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าเธอเลย เธอได้พบผู้ชายไทยดีๆสักคนหรือยัง แต่ก็เพียงแค่คิดเท่านั้น เขาตัดสินใจไปแล้วที่จะถอยห่างจากเธอ เพื่อให้โอกาสเธอได้พบผู้ชายดีๆชาติเดียวกับเธอสักคน ตั้งแต่วันที่เสนอเรื่องการทดลองอยู่ด้วยกันแล้วเธอปฏิเสธ ที่สำคัญก็คือคำยืนยันของพราวพรายที่จะเลือกแต่ผู้ชายไทยเท่านั้น เพราะเธอไม่เชื่อว่าความรักหรือการแต่งงานกับผู้ชายต่างชาติจะมั่นคงยืนยาว

นิคไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ตั้งแต่วันจากกันที่สนามบินเวียงจันทน์จนถึงวันนี้ แม้จะไม่ได้พบเห็นพราวพรายอีกเลยด้วยเจตนาของเขาเองที่จะไม่พาตัวไปหาเธอ แต่ทำไมเขาจึงคิดถึงเธออยู่ตลอดเวลา เมื่อถามตัวเองว่ารักเธอหรือเปล่าชายหนุ่มก็ตอบไม่ได้ รู้แต่เพียงว่ามันมีอะไรที่ลึกซึ้งหน่วงหนักอยู่ในหัวใจยามที่คิดถึงเธอ แม้เขาจะทำงานอย่างหนัก นำกองกำลังออกไปปฏิบัติการในพื้นที่เสี่ยงภัยอยู่เดือนละหลายครั้ง ซึ่งเป็นงานที่อันตรายและเครียดที่ทำให้ไม่มีเวลาจะนึกถึงอะไรหรือใคร แต่ทันทีที่เสร็จสิ้นภารกิจหรืออยู่ว่างๆกับตัวเองเขาก็จะคิดถึงพราวพราย

หลายครั้งที่เขากับเพื่อนๆนายทหารที่สนิทกันออกไปสังสรรค์ดื่มกินกันที่ร้านอาหารดาวทอง ซึ่งเป็นร้านอาหารเวียตนามมีชื่อที่ตั้งอยู่หน้าค่าย นิคมีโอกาสได้พบปะพูดจากับสาวเวียตนามคนสวยที่ชื่อ เหงียน ฟาย เธอพูดภาษาอังกฤษได้ดีเพราะจบการศึกษาจากต่างประเทศ พวกเพื่อนๆยุให้เขาจีบเธอ โดยทุกคนลงความเห็นว่าเธอชอบเขา ก่อนหน้านี้นิคเองก็เคยสนใจแม่สาวเหงียน ฟายคนนี้บ้างเหมือนกัน ตามประสาชายหนุ่มที่หัวใจยังว่าง เพราะนอกจากสวยแล้วเธอยังอ่อนหวานช่างเอาอกเอาใจ นายทหารหนุ่มๆในค่ายสนใจเธอหลายคน แต่เธอก็ไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษนอกจากเขา แต่เมื่อได้รู้จักพราวพรายและมีโอกาสได้ใกล้ชิดเธอมากขึ้นเรื่อยๆ นิคก็เลิกสนใจแม่สาวญวนคนสวยไปเลย

ตั้งแต่กลับจากเวียงจันทน์และกลับมาทำงานที่ค่ายตามปกติ ยามว่างและเวลาที่รู้สึกอ้างว้าง ชายหนุ่มก็มักจะไปนั่งกินเหล้ากินอาหารที่ร้านดาวทองแห่งนี้ พยายามที่จะกลับไปให้ความสนใจกับสาวสวยลูกสาวเจ้าของร้าน เพื่อชดเชยความหน่วงหนักในหัวใจที่เกิดจากผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แต่แม้จะพยายามมากเท่าไรมันก็ไม่ได้ผล เพราะหัวใจของเขาไม่ยอมรับ เหงียน ฟายเป็นได้เพียงเพื่อนคุยเท่านั้น นิคไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอเหมือนที่รู้สึกกับพราวพราย

ตอนนี้เขาทำได้แค่รอวันที่ภารกิจจะส่งเขาไปอุบลฯ แม้จะรู้ว่าคงไม่ได้พบกันเพราะต่างคนก็ต่างพยายามเลี่ยง แต่ความรู้สึกว่าได้อยู่ใกล้เธอเข้ามาอีกหน่อยก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแล้ว มีหลายครั้งยามค่ำคืนที่เขาขับรถผ่านไปทางหน้าบ้านของเธอกับสุนิสา เขาอยากจะจอดรถลงไปเคาะประตูบ้านที่เขารู้ว่าพราวพรายอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่ได้ทำ

คืนหนึ่งหลังจากเสร็จงานที่ฐานทัพในจังหวัดอุบลราชธานี ชายหนุ่มกับเพื่อนอเมริกันอีกสามคนไปเที่ยวที่บาร์วิมานทอง เพื่อนของเขาเรียกพาร์ตเนอร์สาวสวยมาร่วมโต๊ะแต่เขาไม่ได้เรียก เอาแต่นั่งดื่มเหล้าอยู่เงียบๆ ตาจ้องไปที่ฟลอร์ที่มืดสลัวโดยไม่มีจุดหมาย บนฟลอร์เต้นรำมีเพียงไฟดิสโกที่วูบๆวาบๆตามจังหวะเพลง แล้วในช่วงที่ไฟสว่างวาบขึ้นมานั่นเองที่นิคเห็นพราวพราย

เธอกำลังเต้นหรือ “ดิ้น” อย่างสุดเหวี่ยง ผมเผ้าที่ยาวขึ้นกว่าเดิมมากของเธอ สะบัดตัวไปมา ปิดหน้าคลุมหลังไหล่ตามจังหวะการเต้น คู่เต้นของเธอเป็นผู้ชายไทยรูปร่างสูงโปร่ง ท่าเต้นของเขาดูเรียบง่ายเมื่อเปรียบกับท่าเต้นที่ทะมัดทะแมงผาดโผนแบบวัยรุ่นของพราวพราย นิคเฝ้ามองจนเพลงเปลี่ยนเป็นจังหวะวอลซ์ที่ช้าและนุ่มนวล และตอนนี้เขาเห็นฝ่ายชายโอบแขนไปรอบแผ่นหลังของฝ่ายหญิงหลวมๆ แล้วทั้งคู่ก็เต้นตามกันไป พูดคุยกันไป เขาเห็นพราวพรายเงยหน้าขึ้นหัวเราะกับคำพูดของคู่เต้นของเธอ

เต้นกันไปอีกสองสามเพลง พอดนตรีเปลี่ยนเป็นเพลงในจังหวะสโลว์ทั้งคู่ก็หยุดเต้น เดินตามกันลงจากฟลอร์กลับไปที่โต๊ะ ซึ่งห่างจากโต๊ะที่นิคนั่งอยู่ไปสุดมุมห้องด้านหนึ่ง เขามองตามไปเห็นอรรณพกับสุนิสาและอมรากับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ใช่ชลธิศ ผู้กองหนุ่มคนนั้นย้ายจากอุบลฯไปแล้ว นิครู้จากอรรณพเมื่อไม่นานมานี้ว่าชลธิศย้ายออกจากตำรวจตระเวนชายแดนไปเป็นตำรวจภูธร ประจำอยู่ในจังหวัดหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ และแต่งงานไปแล้วกับคู่หมั้นคนนั้นของเขา อรรณพวิจารณ์ว่าการย้ายข้ามสายงานของชลธิศซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก คงเป็นฝีมือของท่านนายพลแห่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติผู้บิดาของลลนาหรือต้อย

ตอนนี้นิคค่อนข้างเชื่อว่าพราวพรายคงกำลังออกเดทกับชายหนุ่มคนที่เธอเต้นรำด้วยคนนั้นมาได้พักหนึ่งแล้ว เห็นได้จากท่าทางสนิทชิดเชื้อของหนุ่มสาวทั้งสองที่บ่งบอกว่าไม่ได้เพิ่งโคจรมาพบกันในคืนนี้ ไม่ว่าจะโดยฝีมือของอรรณพหรือใครก็ตาม แล้วชายหนุ่มก็พบว่าใจของเขาหายวาบ เมื่อคิดว่าพราวพรายอาจจะได้พบผู้ชายคนที่เธอพอใจแล้ว ผู้ชายไทยที่เหมาะสมกับเธอที่เธอจะเดินเคียงคู่ไปกับเขาได้ โดยไม่ต้องหวาดระแวงสายตาติฉินนินทาของใคร

อีกครู่ต่อมานิคก็ลุกออกไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังของบาร์วิมานทอง หลังจากนั้นก็ยืนสูบบุหรี่อยู่เงียบๆในความสลัว ห่างออกมาจากบริเวณห้องน้ำเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังยืนสูบบุหรี่ทอดสายตาไปไกลโดยไม่มีจุดหมาย ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นทางเบื้องหลัง

“อ้าว..นิค!”

ชายหนุ่มหันขวับไปตามเสียงแล้วก็เห็นพราวพราย ที่กำลังยิ้มกว้างเหมือนดีใจที่ได้พบเขา ยืนอยู่ตรงหน้า

“นึกแล้วว่าต้องเป็นคุณ เห็นข้างหลังก็รู้แล้ว มาเที่ยวที่นี่เหมือนกันหรือ”
“คุณออกมาทำอะไรข้างนอกนี่”
พราวพรายหัวเราะเต็มที่จนเห็นฟันขาวแวววาวซี่เล็กๆกลมมน “มาเข้าห้องน้ำน่ะสิ ถามได้ ดูคุณไม่แปลกใจเลยนะที่พบฉันที่นี่”
“ผมเห็นคุณในบาร์แล้วละ ตอนที่คุณเต้นรำอยู่บนฟลอร์จนกลับไปที่โต๊ะที่อรรณพกับเพื่อนสองคนของคุณนั่งอยู่” นิคอธิบายด้วยเสียงเรียบๆ ดับบุหรี่ที่เพิ่งสูบไปได้เพียงครึ่งมวนโยนทิ้งลงไปในถังขยะที่อยู่ใกล้ตัว
“งั้นคุณก็เห็นแพตตี้กับแฟนเขาแล้วสิ ใช่ไหมล่ะ?” หญิงสาวถามอย่างกระตือรือร้น
“แฟนแพตตี้?”
“ใช่ แพตตี้มีแฟนใหม่แล้ว แต่จะว่าแฟนใหม่ก็ไม่ถูกหรอก พี่เดช เอ้อ..คุณสุรเดชเคยเป็นแฟนกับแพตตี้มาก่อน พอแพตตี้มาเจอพี่บ็อบก็เลยเลิกกันไปโดยปริยาย เขาไปเจอกันใหม่ที่น่าน พี่เดชเป็นปลัดอำเภออยู่แพร่ ก็เลยกลับมาคบกันใหม่”

พราวพรายเล่าให้นิคฟังยืดยาว เพราะอยากให้เขารู้ว่าเพื่อนของเธอเลิกอกหัก เลิกแคร์ผู้ชายเลวๆอย่างชลธิศแล้ว เพื่อนของเธอยังมีผู้ชายดีๆเห็นคุณค่า ส่วนนิคก็ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ใช่เพราะอยากรู้เรื่องของคนอื่น แต่เพราะยังไม่อยากให้เธอหมดเรื่องพูดแล้วผละจากเขากลับเข้าไปหาเพื่อนฝูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายคนนั้นเร็วเกินไปนัก เขายังอยากเห็นหน้าสวยๆ ฟังเสียงหวานๆเวลาอารมณ์ดีของเธอต่อไปอีกหน่อย

“คุณเห็นพวกเราแล้วทำไมไม่เข้าไปที่โต๊ะล่ะ จะได้พบพี่ณพกับคนอื่นๆด้วย” แล้วเธอก็ทำท่าเหมือนฉุกคิดขึ้นมาได้ ทำหน้าล้อๆเขา “อ๋อ..หรือคุณมีคนพิเศษมาด้วย อยู่ๆจะทิ้งไปคุยกับคนอื่นได้ยังไง จริงไหม?”

“เปล่า ไม่มีใครพิเศษ ผมมากับเพื่อนสองสามคนเท่านั้น” ชายหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต้องรีบร้อนออกตัวเช่นนั้น “เพียงแต่ไม่อยากเข้าไปรบกวน เห็นมีคนอื่นที่ผมไม่รู้จักอยู่ด้วย”

“อ๋อ..เพื่อนฉันเองแหละ อีกคนก็พี่เดช”
“เพื่อน?”
“.ใช่...เพื่อน เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน เข้าไปที่โต๊ะสิคะ ฉันจะแนะนำให้รู้จัก”
นิคส่ายหน้าปฏิเสธ “อย่าเพิ่งเลย เอาไว้โอกาสหน้าดีกว่า”
“เราไม่เจอกันนานเหมือนกันนะ” พราวพรายพยายามหาเรื่องมาพูด
ชายหนุ่มพยักหน้า “เกือบสามเดือนแล้วมั้ง ตั้งแต่กลับจากที่โน่น” เขาหมายถึงเวียงจันทน์ “คุณสบายดีหรือ?”
“สบายดี คุณล่ะคะเป็นไงมั่ง เข้ามาอุบลฯบ่อยไหม?”
นิคยักไหล่ “มาตามปกติทุกเดือนแหละ”
“เหรอ? ไม่ยักแวะมาทักทายกันมั่ง ที่ออฟฟิศก็ยังดี”
“ผมไม่ค่อยว่างน่ะ ไม่ได้เข้าไปหาจอห์นด้วย มีอะไรก็ใช้โทรศัพท์หรือวิทยุคุยกัน” นิคไม่บอกหรอกว่าที่ทำเช่นนั้นเพราะเจตนาเลี่ยงที่จะไม่ต้องพบเธอ

คุยกันต่ออีกสองสามคำพราวพรายก็ถามเขาว่า “คุณจะกลับบ้านหรือจะเข้าไปข้างในคะ? ฉันคงต้องกลับเข้าไปหาเพื่อนแล้ว เดี๋ยวพวกเขาจะสงสัยว่าฉันหายตัวไปไหน”

แล้วหญิงสาวก็ออกเดินโดยมีนิคเดินคู่ไปด้วย พอผ่านเข้าไปในบริเวณบาร์ที่มืดสลัว ชายหนุ่มก็หลุดปากถามออกไปโดยไม่ ได้ตั้งใจ “เต้นรำกับผมสักเพลงได้ไหม?”

พราวพรายชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเลี้ยวไปทางที่โต๊ะของเธอตั้งอยู่ มองหน้าผู้ชายที่ทำท่าเคร่งขรึมมองเธออยู่แวบหนึ่งแล้วขยับจะปฏิเสธ แต่อะไรบางอย่างในแววตาของเขาทำให้เธอส่งมือให้เขาจับ

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ก็เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ไม่ใช่หรือ"

นิคโอบร่างพราวพรายเอาไว้หลวมๆ ขณะพาเธอล่องลอยไปในจังหวะสโลว์ที่นุ่มนวลอ่อนหวาน เต้นกันไปได้ครู่หนึ่งเขาก็ก้มลงมองเธอและเธอก็แหงนหน้าขึ้นมองเขา ตาสบตากันในระยะประชั้นชิด เธอได้กลิ่นบุหรี่ กลิ่นเหล้าอ่อนๆและกลิ่นน้ำยาหลังโกนหนวดจากเขา ส่วนเขาก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆเหมือนกลิ่นดอกไม้ ที่เคยได้กลิ่นนานมาแล้วตอนที่เธอเมาหลับจนเขาต้องช่วยสุนิสาอุ้มเธอไปส่งบ้าน ต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกแปลกๆ

“ผมคิดถึงคุณมาก” เป็นประโยคที่หลุดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจของนิค
“ฉันก็เหมือนกัน...” พอนึกขึ้นได้ว่าหลุดอะไรออกไป พราวพรายก็รีบแก้โดยเร็ว “เอ้อ..คิดถึงวังเวียงมาก คิดถึงตอนที่เราไปเล่นอะไรต่ออะไรที่โน่น แล้วที่ฉันเล่นน้ำจนไม่สบายด้วย”

พราวพรายพยายามกลบเกลื่อน เธอมองหน้าเขาในแสงไฟสลัวแล้วก็ต้องยอมรับว่า คิ้วหนาดกดำที่เป็นรูปเหมือนปีกนกและตาที่คมเฉียบทำให้นิคเป็นผู้ชายที่หน้าตาคมสันคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาโกนหนวดโกนเคราจนสะอาดเกลี้ยงเกลาเหมือนในขณะนี้ ส่วนนิคก็มองหน้าสวยใสที่ล้อมรอบด้วยผมหยิกยาวประบ่าสีน้ำตาลเข้ม ประดับด้วยดวงตาหวานหยาดเยิ้มวาววามทรงเสน่ห์ และริมฝีปากเย้ายวนที่อยู่ตรงหน้าอย่างเผลอไผล แล้วเขาก็ลืมตัวก้มลงประทับริมฝีปากลงไปบนหน้าผากลาดนูนของพราวพราย

หญิงสาวตกใจยันอกของเขาเอาไว้ “นิค!!”
ชายหนุ่มก้มศีรษะให้เธอนิดหนึ่ง “ขอโทษ ผมลืมตัวไปหน่อย”
“ฉันอยากกลับไปที่โต๊ะ” เธอบอกค่อยๆ ไม่กล้าสบตาเขา

ในที่สุดแม้ไม่อยากพาตัวไปพบเพื่อนฝูงของพราวพราย แต่ด้วยมารยาทของสุภาพบุรุษ นิคก็จำเป็นต้องพาหญิงสาวไปส่งถึงโต๊ะ ที่เพื่อนๆของเธอและผู้ชายสามคนนั่งคอยอยู่

“อ้าว..นิค มาเจอกันจนได้” อรรณพทักทายเสียงดังอย่างดีใจ “นั่งก่อนสิ คุยกันสักครู่ก่อน”

พันตรีอรรณพเจ้ากี้เจ้าการจัดให้นิคนั่งลงตรงข้ามชายหนุ่มแปลกหน้า ที่พราวพรายนั่งลงบนเก้าอี้ติดกับเขา ก่อนจะแนะนำว่า “รู้จักกันไว้สิ นิคเป็นทหารอเมริกัน ทำงานอยู่ในเวียตนาม นิค รู้จักปลัดสุรเดชเพื่อนสนิทของแพตตี้ ส่วนคนนี้เป็นปลัดอำเภอเหมือนกันชื่อปลัดเขตต์ เพื่อนสนิทของคุณพราว”

ผู้ชายทั้งสามที่อายุใกล้เคียงกันกล่าวคำทักทายกันตามมารยาท นิครับเหล้าที่อรรณพชงส่งมาให้ คุยกันอีกพักหนึ่งชายหนุ่มก็ขอตัวกลับไปหาเพื่อนที่คอยอยู่ที่โต๊ะอีกด้านหนึ่ง



Create Date : 22 มีนาคม 2564
Last Update : 22 มีนาคม 2564 21:51:15 น.
Counter : 717 Pageviews.

7 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณSweet_pills, คุณสันตะวาใบข้าว, คุณหอมกร, คุณเริงฤดีนะ, คุณ**mp5**

  
ขอโทษนะคะที่หายไปนานเลย เข้าบล็อคไม่ได้ค่ะ เปลี่ยนเครื่องใหม่ เลยหาข้อมูลเดิมไม่เจอ
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 22 มีนาคม 2564 เวลา:21:53:13 น.
  
ขอบคุณค่ะ ได้อ่านจุใจเลย
อย่าหายไปอีกนะคะ
โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 22 มีนาคม 2564 เวลา:22:44:26 น.
  
มาอ่านต่อครับ พี่ตุ้ย
พระเอกนิคของเรา จะอกหักไหม
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 23 มีนาคม 2564 เวลา:0:03:17 น.
  
ขอบคุณค่ะคุณตุ้ย อย่ามาหลอกกันเลย
ตัวละครสองตัวนี้เริ่มรู้ใจตัวเองแล้วว่า
ต่างก็มีกันและกันอยู่ในใจนะคะ ดูออกค่ะ



โดย: หอมกร วันที่: 23 มีนาคม 2564 เวลา:13:07:13 น.
  
ขอบคุณพี่ตุ้ยมากค่ะ

โดย: Sweet_pills วันที่: 24 มีนาคม 2564 เวลา:0:13:05 น.
  
ขอต้อนรับกลับบล็อกค่ะ

ต่างมีใจให้กัน..ไม่ไม่กล้าเอ่ย
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 29 มีนาคม 2564 เวลา:7:19:43 น.
  
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ
โดย: **mp5** วันที่: 30 มีนาคม 2564 เวลา:10:01:13 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
มีนาคม 2564

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com