happy memories
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
14 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 
เสพงานศิลป์ ๑๖๒





ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto









โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ชุด ศึกอินทรชิต ตอน นาคบาศ


ความงามของศิลปกรรมไทยทุกศาสตร์สมัยราชสำนักอยุธยาและต้นกรุงรัตนโกสินทร์ หากถามคนเรียนศิลปะไทย.. ศิลปะยุคไหนของไทยได้ชื่อว่าสวยงามสุดยอดเป็นหัวใจแห่งศิลปะ เขาจะต้องบอกว่า ศิลปะยุครุ่งเรืองของไทยคือยุคอยุธยาเป็นมหาอาณาจักร ในย่านนี้ไม่มีใครงามเกิน สุดสาคร ชายแสม ผู้ออกแบบฉากและอุปกรณ์ประกอบฉากให้กับการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ กล่าวกับ 'กรุงเทพวันอาทิตย์'


ฉากที่ปรากฏในการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ชุด ศึกอินทรชิต ตอน นาคบาศ ตามบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ ครั้งนี้ก็เช่นกัน อ.สุดสาครฟื้นความรุ่งเรืองของศิลปกรรมไทยทุกศาสตร์สมัยราชสำนักอยุธยา จำลองมาให้ติดตราตรึงใจอีกครั้ง


"เราไปสืบค้นจากศิลปกรรม ศิลปวัตถุที่เหลืออยู่ตามพิพิธภัณฑ์ งานจิตรกรรมเราศึกษาจากวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี ราวสมัยพระเจ้าปราสาททอง อีกสมัยคือต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ยุคฟื้นฟูฝีมือช่าง" อ.สุดสาคร กล่าว






จิตรกรรมฝาผนังที่วัดใหญ่สุวรรณาราม ได้ชื่อว่าเป็นงานฝีมือสุดวิจิตรของช่างเขียนชั้นครู มีทั้งภาพเขียนลายซุ้มเรือนแก้ว ลายเฟื่อง ลายลงรักปิดทอง และลายประดับ 'เสา' เป็นแบบแผนศิลปะการผูกลายสมัยอยุธยาอันละเอียดลออ ประติมากรรมลอยตัวและฝีมือการเขียนลวดลายลงบนประติมากรรม ล้วนปรากฎอยู่ในการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ชุด ศึกอินทรชิต ตอน นาคบาศ ครั้งนี้ทั้งสิ้น


ความยิ่งใหญ่อลังการเริ่มตั้งแต่ ฉากรำเบิกโรงการแสดงเบิกโรง ชุด ระบำนารายณ์เจ็ดปาง ด้วยการสร้างงานประติมากรรมลอยตัว 'พระนารายณ์ทรงสุบรรณ' เป็นรูปพระนารายณ์อวตาร ๔ กร ประทับเหนือพญาครุฑ ความสูงรวมกว่า ๗ เมตร มาเป็นประธานในฉากนี้ โดยลายเส้นที่ปรากฏเป็นภาพใบหน้าพระนารายณ์ ได้แรงบันดาลใจจากลายเส้นของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งวงการช่างเขียนไทยนับถือว่าเป็นลายเส้นภาพใบหน้าพระนารายณ์ที่เขียนได้งดงามที่สุด


"สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเป็นโอรสของรัชกาลที่สี่ เป็นพระอนุชาของรัชกาลที่ห้า พวกเราชาวช่างเรียก 'สมเด็จครู' คือเป็นครูของช่างไทย ท่านเป็นนายช่างใหญ่ของกรุงสยาม รัชกาลที่ห้าโปรดงานของท่านมาก รับสั่งว่า 'ดีไซน์ของเธอมานั่งในหัวใจฉัน' ท่านเก่งทุกเรื่อง สถาปัตย์ จิตรกรรม ประติมากรรม ดนตรี วรรณกรรม แม้ท่านไม่ได้รับว่าเป็นครูเรา แต่เรานับถือท่านเป็นแบบอย่าง เป็นครู งานของท่านกลั่นกรองชั้นเยี่ยมแล้ว นารายณ์เจ็ดปางท่านก็ทรงนิพนธ์ไว้ เราก็ต้องนำศิลปกรรมที่ท่านทรงออกแบบไว้มาให้ประชาชนได้เห็นประวัติศาสตร์ศิลป์อย่างเยี่ยม" อ.สุดสาคร กล่าว






อ.สุดสาครเล่าว่า ลายเส้นบนใบหน้าพระนารายณ์ครั้งนี้ เชิญผู้รู้หลายท่านมาช่วยกันสร้างสรรค์งาน โดยได้รับความช่วยเหลือจาก ช่างเขียนลาย กรมศิลปากรและดัดแปลงสีพระพักตร์นิดหน่อย จากเดิมพระนารายณ์ต้องมีพระพักตร์สีม่วงเข้มดูน่าเกรงขาม มาเป็น สีกลีบบัวโรยเพื่อให้ดูอ่อนโยนรับกับความน่ารื่นเริงยินดีของการแสดงเบิกโรง


"ประติมากรรมพระนารายณ์อวตารปางนี้ดูองอาจ เข้มแข็ง มีชีวิตชีวา มีพลัง ผ้าผ่อนภูษาทรง สังวาลย์ เราเอาความรู้จากงานศิลปกรรมอยุธยามาช่วยเสริมให้ดูดี เราไม่ได้ลอกงานท่านทุกอณู แต่ยกท่านเป็นแรงบันดาลใจ ยกย่องครูบาอาจารย์ แล้วนำมาทำให้วิจิตรงามอย่างไทยโบราณจริง ๆ" อ.สุดสาคร กล่าว






ในสัดส่วนรูปทรงของ พญาครุฑ ก็ย้อนอดีตกลับไปศึกษาจากงานต้นแบบที่งามที่สุดเช่นกัน


"รูปแบบครุฑ ศึกษาจากโขนเรือสมัยรัชกาลที่สาม เรือนารายณ์ทรงสุบรรณองค์เก่า เวลานี้เก็บรักษาไว้ที่อู่เรือพระราชพิธี เดิมโขนเรือแกะไม้รูปพญาครุฑองค์เดียว แล้วรัชกาลที่สี่ทรงเติมพระนารายณ์สี่กรขึ้นไปบนครุฑ" อ.สุดสาคร เล่า


รัชกาลที่สามทรงให้แกะไม้รูปพญาครุฑตามแบบอย่างสมัยอยุธยา (ราวสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง) โดยมีพระราชประสงค์ตามที่ปรากฏความในพระราชพงศาวดารว่า "ไว้เป็นเกียรติยศสำหรับแผ่นดิน"


ปัจจุบัน ครุฑโขนเรือต้นแบบในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ได้รับการเก็บรักษาไว้ที่ 'พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา' จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


"เป็นโขนเรือซึ่งใช้บูชาในโรงเรือพระราชพิธีสมัยอยุธยาที่คูไม้ร้อง แต่พอพม่าล้อมเมือง พระเจ้าเอกทัศก็ให้ย้ายเรือพระราชพิธีไปที่คลองคูจาม (คลองตะเคียน) แล้วพม่าก็ตามไปยิงถล่มจมพินาศ ไฟไหม้หมด น่าเสียดายมาก...ความงามของเรือรูปสัตว์ นี่คือประวัติของโขนเรือ" อ.สุดสาคร เล่า






ประติมากรรมลอยตัว 'พระนารายณ์ทรงสุบรรณ' ลอยเด่นอยู่กลางเวทีในการแสดงเบิกโรง ชุด 'ระบำนารายณ์เจ็ดปาง' ระบำซึ่งนำมาจากบทละครดึกดำบรรพ์เรื่อง 'กรุงพาณชมทวีป' บทพระนิพนธ์ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เนื้อหากล่าวสรรเสริญพระนารายณ์ที่อวตารลงมาปราบยุคเข็ญตามลำดับต่าง ๆ รวมทั้งการอวตารลงมาเป็นปางที่ ๗ เป็น พระราม กษัตริย์แห่งกรุงอโยธยาเพื่อปราบท้าวทศกัณฐ์ในเรื่องรามเกียรติ์


ที่นั่งชมการแสดงโขน มีระยะห่างจากเวทีต่างกันไป แต่ถ้าอยู่ใกล้พอ ความงามวิจิตรใน ฉากที่ ๑ ท้องพระโรงกรุงลงกา จะสะกดสายตาตั้งแต่ซุ้มเรือนแก้วเหนือราชบัลลังก์ของทศกัณฐ์ ต้นไม้เงินต้นไม้ทอง เครื่องราชูปโภค ลายจิตรกรรมบนผ้าม่านและฉัตร ล้วนแล้วแต่มีวิธีสร้างลวดลายระดับราชสำนัก โดดเด่นกว่าทุกปีที่ผ่านมา


"ลายจิตรกรรมบนผ้าม่าน เดิมเป็นม่านปักหักทองขวาง ระดับเจ้าฟ้าหรือมหากษัตริย์ ใช้ทองคำมารีดให้บาง พันกับด้าย เป็นเส้นเล็ก ๆ ใช้สำหรับปักลาย เรียก 'หักทองขวาง' ถ้าระดับชั้นต่ำลงมา คือ 'ทองแผ่ลวด' คือใช้กระดาษ แต่นี่เราทำเทียมเป็นปิดทองลายฉลุ เพราะเราใช้เสมอจริงไม่ได้ ปักเป็นลายโคมราชวัตร มีสังเวียนล้อม และมีช่อแทงท้อง ลายกระจังสีเขียวเล็ก ๆ เรียงรอบ"






"ลาย 'หักทองขวาง' บนฉัตรเช่นกัน เราทำเทียมโดยใช้สีเขียนลงไป แล้วเอาความร้อนเป่าให้สีฟูตัว แล้วเราก็เอาทองคำเปลวปิดลงไป สอดกระจกเข้าไป เพราะหักทองขวางเขาต้องตัดกระดาษข่อย เย็บกลึงให้เรียบร้อย แล้วใช้ดิ้นทองปักทบไปทบมา เป็นดอกนูนขึ้นมา ยามต้องแสงก็จะดูมลังเมลืองมีมิติสวย" อ.สุดสาคร เล่ารายละเอียด


ฉากที่ ๑ คือการเล่าเรื่องทศกัณฐ์ประทับอยู่บนราชบัลลังก์ แวดล้อมด้วยท้าวพญาเสนามารน้อยใหญ่ ทศกัณฐ์ปรารถถึง 'อินทรชิต' ซึ่งทูลลาไปชุบ 'ศรนาคบาศ' ให้เรืองฤทธิ์ และต้องการหาผู้ออกทำศึกขัดตาทัพไว้ก่อน ครั้นเห็น 'วิรุญมุข' โอรสของวิรุญจำบัง มีศักดิ์เป็นหลานปู่ของตน จึงใช้ให้ออกรบขัดตาทัพ วิรุญมุกจึงกราบถวายบังคมลาออกมาจัดทับไปรบกับฝ่ายพระราม






สำหรับฉากไฮไลต์ในปีนี้ คือ ฉากที่ ๓ โพรงไม้โรทัน คำว่า ‘โรทัน’ เป็นชื่อของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ในป่าบนเขาอากาศ เป็นสถานที่ซึ่งพวกนาคและสัตว์มีพิษ เช่น แตน ต่อ มาคายพิษลงในบ่อหน้าต้นไม้โรทัน ในฉากนี้เองที่ 'อินทรชิต' เข้าไปประกอบพิธีชุบศรนาคบาศในโพรงไม้ ฝูงนาคได้ออกมาคายพิษลงในบ่อ แต่ 'พญาชามพูวราช' ซึ่งแปลงกายเป็นพญาหมีได้เข้าไปทำลายพิธีจนอินทรชิตไม่สามารถประกอบพิธีชุบศรนาคบาศได้สำเร็จ ฉากนี้ผู้ชมจะได้เห็นความลึกลับและความน่ากลัวของป่า


"เราต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่าป่านี้ต้องครึ้มไปด้วยบรรยากาศแห่งความน่าสะพรึงกลัว ตามท้องเรื่องป่าโพรงไม้โรทันเป็นปีศาจ อินทรชิตถึงต้องการเข้าไปชุบศรที่นั่น มีธารพิษที่พญานาคต้องมาคายพิษสำหรับชุบศร เราใช้ภาพถ่ายป่าธรรมชาติจากหลาย ๆ แห่งผสมกับบทบรรยายลักษณะป่าที่น่ากลัวของรัชกาลที่หนึ่ง มาเป็นข้อมูลอ้างอิงในการทำฉาก" อ.สุดสาคร กล่าว






นอกจากความงามของงานสร้างชิ้นมหึมา ศิลปกรรมบนของประกอบฉากชิ้นเล็ก ๆ ในทุกฉาก ล้วนมีรายละเอียดไม่น้อยไปกว่ากัน เช่น พานพระศรี ความงามของหางเสือลูกศรที่วาดเป็นลายขนไก่ฟ้า นาคสะดุ้ง-ใบระกาบนซุ้มเรือนแก้ว แม้กระทั่งซุ้มประตูเหนือกำแพงเมือง(ตอนวิรุญมุขตรวจพล) ก็ร่างขึ้นจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ 'พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา' เนื่องจากตัวทรงไม่มีแล้ว แต่อ.สุดสาครใช้วิธีศึกษาจากซากรากฐาน ถ้ารากฐานเป็นย่อมุม แล้วทรงทั้งหมดจะเป็นอย่างไร ร่วมกับการค้นคว้าจากภาพจิตรกรรมเก่า ๆ และหลักฐานทางโบราณคดี


"เรานำความงามความวิเศษชั้นเยี่ยมของศิลปกรรมมาใส่ไว้ในงานนี้ ศิลปกรรมที่เราสร้างเป็นประติมากรรมแล้ว น่าเก็บรักษา แต่เสียดายที่เป็นวัสดุไม่ถาวร ถ้าเราสามารถเก็บให้เป็นถาวรได้มากกกว่านี้ มันคือศิลปกรรมชิ้นหนึ่งที่ปรากฏในรัชกาลนี้ ที่เป็นแบบไทยประเพณีแท้ ๆ ซึ่งไม่มีใครสร้างแล้ว มีแต่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงมีพระอัจริยภาพ มีรสนิยมที่จะรักษางานของชาติไว้ ท่านทรงคิดไกลมาก" อ.สุดสาคร กล่าว






ความวิจิตรที่โดดเด่นอีกแขนงของการแสดงโขนครั้งนี้ คือ เครื่องแต่งกาย อันงามระยับ


"นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวณีย์ให้มีการฟื้นฟูการทอผ้ายกของนครศรีธรรมราช ที่มีการทอสืบทอดกันมาแต่โบราณ แต่ได้สูญหายไปกว่า ๑oo ปี โดยได้พัฒนาฝีมือให้กับสมาชิกของศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง อำเภอเชียรใหญ่ และศูนย์ศิลปาชีพบ้านตรอกแค อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้มีการจัดทำผ้าทอขึ้นมาใหม่ โดยทอจากสมาชิกรวมกว่า ๔o ชีวิต จนได้ผ้ายกทองจำนวนมากถึง ๔๓ ชิ้น มาใช้สำหรับการแสดงในครั้งนี้ โดยเป็นผ้าที่งดงามมาก มีการจัดองค์ประกอบของผ้าตามแบบราชสำนัก ซึ่งสมาชิกของศูนย์ฯ มีการพัฒนาฝีมือและสามารถทำออกมาได้วิจิตรบรรจง จนในปีนี้เราได้นำมาใช้เป็นผ้านุ่งของตัวพญานาค จำนวน ๑๒ ชุด โดยผ้าที่ใช้เป็นลายผ้าที่มีกรวยเชิง ​๓-๔ ชั้น และมีสังเวียนรอบ นับเป็นการช่วยพัฒนาฝีมือให้กับสมาชิกของศูนย์ศิลปาชีพฯ ทดแทนการสั่งผ้าเข้ามาจากอินเดีย เพราะแต่ละคนสามารถทอออกมาได้งดงามพัฒนาขึ้นมากจากในช่วงปีแรก ๆ" วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ กล่าว






อ.สุดสาคร เล่าด้วยว่า "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงติดตามงาน ทรงหยิบกล้องทอดพระเนตรงานบนเวที เป็นสิ่งที่ทำให้คนทำงานต้องเป๊ะมาก ผลคือความวิจิตรแม้มองระยะไกล"


ทุกครั้งที่ชมการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ คือการได้มีโอกาสชื่นชมอัจริยภาพของบรรพบุรุษไทย


หมายเหตุ : การแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ชุด ศึกอินทรชิต ตอน นาคบาศ เริ่มทำการแสดงแล้ว โดยรอบประชาชน มีจำนวน ๓๔ รอบ รอบนักเรียน จำนวน ๑๖ รอบ รวม ๕o รอบ ระหว่างวันที่ ๗ พฤศจิกายน - ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย บัตรราคา ๔๒o/ ๖๒o/ ๘๒o/ ๑,o๒o และ ๑,๕๒oบาท รอบนักเรียน นักศึกษา บัตรราคา ๑๒o บาท (หยุดการแสดงทุกวันจันทร์) ผู้สนใจสามารถซื้อบัตรเข้าชมได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปที่ไทยทิคเก็ต เมเจอร์ ทุกสาขา หรือ thaiticketmajor.com







ภาพและข้อมูลจากเวบ
bangkokbiznews.com
เฟซบุคกรุงเทพธุรกิจวันอาทิตย์















ร้อยเรื่องเล่าเมืองโบราณ ฉลองชาตกาล ๑oo ปีผู้ก่อตั้ง


เมืองโบราณพิพิธภัณฑ์เอกชนกลางแจ้งแห่งแรกของโลก จัดงาน “๑oo ปี เล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ร้อยเรื่องเล่าเมืองโบราณ” เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑oo ปี ชาตกาล เล็ก และ ประไพ วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณ พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ และปราสาทสัจธรรม และในโอกาสที่กลุ่มบริษัทครบรอบ ๕o ปีเมืองโบราณ พรั่งพร้อมด้วยกิจกรรมสาระและความบันเทิง เปิดให้เที่ยวงานฟรีตลอดทั้ง ๓ วัน ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗

ในงานพบกับกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย อาทิ กิจกรรมเสวนาอดีต ๑oo ปัจจุบัน/นิทรรศการรำลึก ๑oo ปี/กิจกรรมแรลลี่ร้อยเรื่องเล่าเมืองโบราณ/ตลาดร้อยรื่นรมย์ อารมณ์ศิลป์/ขบวนรื่นเริงกลองยาว ร้อยเรื่องราวชาวสยาม และมินิคอนเสิร์ตจากศิลปิน เดอะ สตาร์ เป็นต้น

อีกทั้ง ยังมีกิจกรรมเสวนาในหัวข้อที่น่าสนใจต่าง ๆ มากมาย อาทิ เสวนาเปิดตัวหนังสือ บันทึกความคิด-ร้อยเรื่องเล่าเมืองโบราณ เสวนา กระตุกต่อมคิด ต่อยอดไอเดีย กับ ๒ ศิลปินนักแสดงนักคิดนักเขียน เจี๊ยบ-วรรธนา วีรยวรรธน และ ท็อป-พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร เสวนารำลึก ๑oo ปี เล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ร้อยเรื่องเล่าเมืองโบราณ และกิจกรรมรำลึก เล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ โดยบทกวีจากศิลปินแห่งชาติ อาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์


งานนี้เปิดให้เข้าชมและเที่ยวเมืองโบราณฟรี ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เวลา ๙.oo-๒๑.oo น. ณ เมืองโบราณ สมุทรปราการ (มีรถบริการรับ-ส่งบริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส แบริ่ง) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. o๒-๓๒๓-๔o๙๔-๙ หรือ เฟซบุคเมืองโบราณ และ ancientsiam.com



























ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com
เฟซบุคเมืองโบราณ















เทศกาลศิลปะสีน้ำไทยสู่สีน้ำโลก


เชิญชมงานแสดงภาพเขียนสีน้ำของศิลปินไทยกว่า ๑oo คน จำนวนกว่า ๒oo ภาพ ในวันแรกของนิทรรรศการ วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.oo น.เชิญผู้สนใจร่วมงานเปิดพร้อมชมการวาดภาพสดสีน้ำจากศิลปิน ๓ คน ได้แก่ ดิเรก กิ่งนอก, อดิศร พรศิริกาญจน์ และบัญชา ศรีวงศ์ราช พร้อมกันจัดประมูลภาพ เพื่อนำรายได้มาสนับสนุนและผลักดันงานศิลปะของศิลปินสีน้ำรุ่นใหม่ให้ก้าวไปสู่วงการสีน้ำโลกต่อไป ในนาม "สมาคมสีน้ำไทยสู่สีน้ำโลก"


เทศกาลศิลปะสีน้ำไทยสู่สีน้ำโลก (IWS-Thailand Festival 2014) จัดแสดงระหว่างวันที่ ๑๔–๓o พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ณ เดอะ แกรนด์ฮอลล์ ชั้น ๑ ศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ ท่าน้ำสี่พระยา



ภาพและข้อมูลจากเวบ
เฟซบุค Art Eye View















นิทรรศการจิตรกรรมเอเซีย พลัส


บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดนิทรรศการจิตรกรรมเอเซีย พลัส ภายใต้แนวคิด “ลีลาแสงและสี” โดยนำสุดยอดภาพเขียนจากการประกวดจิตรกรรมเอเซีย พลัส ครั้งที่ ๔ จำนวน ๕๖ ผลงาน มาจัดแสดงให้ชื่นชมฝีแปรงของศิลปินไทยรุ่นใหม่


“… ตลอด ๔ ปีที่เราจัดงานนิทรรศการจิตรกรรมเอเชีย พลัส ผมได้เห็นแสงสีเล็ก ๆ ของศิลปินรุ่นใหม่ที่ผุดประกายขึ้นมาทุกครั้ง ได้เห็นการทำงานศิลปะที่ใช้เทคนิคเฉพาะตัว สร้างรูปแบบที่แปลกสะดุดตา สร้างจังหวะหายใจใหม่ ๆ ให้กับวงการศิลปะไทยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเจตนารมณ์ของเอเซีย พลัส ในการส่งเสริมและกระตุ้นความนิยมในงานศิลป์ของไทย ในปีนี้เราได้รับความสนใจจากศิลปินรุ่นใหม่เป็นจำนวนมากที่ส่งภาพเข้าประกวดถึง ๑๔๓ ภาพ ซึ่งแต่ละผลงานล้วนแต่มีความโดดเด่นแตกต่างกันไป” ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าว


สำหรับศิลปินผู้รางวัลผลงานยอดเยี่ยมไปครองได้แก่ “นายสิทธิวุธ ยาวิชัย” กับผลงานที่ชื่อ “มารผจญ หมายเลข ๑๑” กล่าวถึงรางวัลนี้ว่า “…ผมรู้สึกภูมิใจกับรูปนี้และรางวัลที่ได้มาในครั้งนี้มากครับ ผลงานชิ้นนี้เริ่มต้นจากความคิดที่ผมต้องการแสดงออกเกี่ยวกับความรู้สึกของการต่อสู้ดิ้นรนที่มีอยู่ในจิตใต้สำนึก ผมได้แรงบันดาลใจจากพุทธประวัติ ตอนมารผจญ โดยในภาพผมใช้คลื่นน้ำอันเป็นสัญลักษณ์ของความดีที่ไหลท่วมเหล่ามาร ด้วยรูปธรรมทางจิตรกรรมและเทคนิคประดับกระจก ผมตั้งใจสะท้อนถึงแสงสว่างของการเอาชนะกิเลสภายในจิตใจ ซึ่งนำความสุขสงบมาสู่ชีวิต”



ภาพและข้อมูลจากเวบ
banmuang.co.th




















วาดเพลงกล่อมไทย


นิทรรศการ "วาดเพลงกล่อมไทย" รากแห่งวัฒนธรรมไทย กล่อมใจสู่สากล จัดแสดงระหว่างวันที่ ๑๕ - ๓o พฤศจิกายน ๒๕๕๗ และจะมีพิธีเปิดในวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๖.oo น. ณ ห้องแสดงนิทรรศการชั้นลอย หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน


นิทรรศการ "วาดเพลงกล่อมไทย" รากแห่งวัฒนธรรมไทย กล่อมใจสู่สากล จัดแสดง

‘ภาพประกอบ’ เพลงกล่อมเด็ก และเพลงเด็กร้องเล่นของไทย
‘แอนิเมชั่น’ ประกอบเพลงไพเราะ
‘แอพพลิเคชั่น’ เสริมเกร็ดความรู้ เพลงกล่อมไทย และเพลงเด็กไทย


จัดแสดง ณ ห้องแสดงนิทรรศการชั้นลอย หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน
เวลา ๑o.oo - ๑๙.oo น. (หยุดวันจันทร์)
พิธีเปิดนิทรรศการวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๖.oo น.



ภาพและข้อมูลจากเวบ
contestwar.com















Workshop ใส ๆ ใจคนรักงานปักผ้าพาฝัน และงานดอกไม้ไทย


คลาสเดียว วันเดียวเท่านั้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ กับมหากาพย์งานปักผ้าแสนสวย ๑๒ ภาค ๑๒ เดือน ๑๒ ชิ้น กับครูอ๋าย


ตติยบท ภาคสาม ของมหากาพย์ ๑๒ ภาค ๑๒ เดือน ๑๒ ชิ้นงาน งานปักลวดลายงานดอกไม้ไทย โดยครูอ๋าย นิรมิตาจารย์ ครูงานปักผ้าร่วมสมัย


พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้ และสกุล อินทกุล ขอเชิญคุณ ๆ ร่วมเดินทางไปในโลกแห่งวัฒนธรรมดอกไม้ไทย ผ่านมุมมองของครูอ๋าย นพเก้า เนตรบุตร ผู้จะพาคุณ ๆ เดินทางไปบนเส้นทางสายดอกไม้ ผ่านด้ายฝ้าย แพรไหม ไข่มุก ลูกปัดแก้ว และผ้าลายลูกไม้หวาน เย็บ ๆ ปัก ๆ ถัก ๆ ร้อย ๆ นิรมิต ด้ายฝ้าย แพรไหม ไข่มุก และลูกปัดแก้วอันสวยงาม ให้แปรเปลี่ยนเป็นงานปักที่เปี่ยมล้นด้วยจินตนาการ และรสนิยม


ท่องไปในโลกของวัฒนธรรมดอกไม้ไทยใน ๑๒ เดือน กับ series งานปักผ้าวัฒนธรรมดอกไม้ไทย ที่ครูอ๋ายที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดรวม ๑๒ ชิ้น เที่ยวไปในโลกแห่งจินตนาการของดอกไม้ไทยบนผืนผ้า และแพรไหม กับใจที่แสนสวยงาม โดยมีครูอ๋าย ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ส่วนตัว ณ สถานที่ที่วิเศษสุด พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้ หนึ่งเดียวในโลก ที่เดียวเท่านั้น


คลาสเดียว วันเดียวเท่านั้น สำหรับเดือนพฤศจิกายน กับงานปักผ้ากระทงไทย วันเสาร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เวลา ๑o.oo-๑๘.oo น. ณ พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้

สนใจขอรายละเอียดเพิ่มเติม และลงทะเบียนเรียนได้ที่ พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้
โทร. o๒-๖๖๙-๓๖๓๓-๔ วันอังคารถึงวันอาทิตย์ เวลา ๑o.oo-๑๘.oo น.



ภาพและข้อมูลจากเวบ
เฟซบุคพิพิธภัณฑ์















"แสงสว่างแห่งดวงใจ"


ชมนิทรรศการภาพเขียนโดย ๓ ศิลปินและอาจารย์ผู้มากประสบการณ์


เพื่อหารายได้สมทบทุนมูลนิธิสถาบันแสงสว่าง


วันนี้-๒๙ พ.ย. ที่บริเวณล็อบบี้ ชั้น ๒ โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส


สอบถามโทร.o๒-๒๑๖-๓๗oo



ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com















Power of Pink


โรงพยาบาลบีเอ็นเอช จัดงานเปิดนิทรรศการแสดงภาพเพื่อการกุศล ในชื่อ “Power of Pink” ให้ผู้ร่วมงานได้อิ่มเอมใจในการมีส่วนร่วมช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมกันอีกครั้ง หลังจากที่โครงการ The Art of Care เปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลบีเอ็นเอช ยังคงดำเนินการต่อยอดโครงการด้วยการจัดชั้นเรียนศิลปะวาดภาพสีน้ำขึ้นมา และได้รับเกียรติจากคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยศิลปากรมาเป็นผู้ดำเนินการสอน และได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากประชาชนทั่วไป รวมถึงแพทย์และพนักงานโรงพยาบาลบีเอ็นเอช ทำให้มีผู้สนใจเข้าเรียนศิลปะมากถึง ๓o คน จากทุกเพศทุกวัย


ผู้เรียนจะได้เรียนวาดภาพสีน้ำ ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานจนสามารถใช้เทคนิคการวาดแบบต่าง ๆ เป็นชิ้นงานที่เสร็จสมบูรณ์ โดยมี อ.วงษ์ศวัส วงษ์ประเสริฐ, อ.ขรรค์ชัย แจ่มมั่งคั่ง, อ.สุพจน์ สิงห์สาย และ อ.ปรีชา พรหมปราบทุกข์ มาเป็นผู้สอนและถ่ายทอดความรู้ โดยแต่ละท่านนอกจากจะเป็นอาจารย์พิเศษของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ แล้ว ยังมีผลงานจัดแสดงสร้างชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ และได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย





ผู้บริหาร คณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ และ นฤพนธ์ ชุติวรรณโสภณ ถ่ายภาพร่วมกัน



เมื่อสิ้นสุดคอร์ส นักเรียนผู้เข้าร่วมโครงการทุกท่าน ต่างยินดีมอบผลงานของตนเองให้แก่โรงพยาบาลฯ เพื่อหาเงินบริจาคเข้าโครงการช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเต้านม “บ้านพิงพัก” จนเกิดเป็นนิทรรศการ “Power of Pink” ขึ้น และได้มีพิธีเปิดไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมี พญ.สมสิริ สกลสัตยาทร ที่ปรึกษากลุ่ม ๒, นพ.กฤษณ์ จาฏามระ ผู้ก่อตั้งและประธานมูลนิธิศูนย์เต้านมเฉลิมพระเกียรติและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์โรงพยาบาลบีเอ็นเอช ร่วมด้วย นพ.ปิยภัทร นภวัชรกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบีเอ็นเอช และ นพ.นพรัตน์ พานทองวิริยะกุล รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลบีเอ็นเอช ร่วมเป็นประธานเปิดนิทรรศการ





คณาจารย์จาก ม.ศิลปากร มอบของขวัญที่ระลึกแด่ผู้บริหาร รพ.บีเอ็นเอช



นพ.ปิยภัทร นภวัชรกุล ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้ว่า โรงพยาบาลบีเอ็นเอช ต้องการสนับสนุนโครงการบ้านพิงพักด้วยหวังว่าผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีในช่วงสุดท้ายของชีวิต ในขณะที่ พญ.สมสิริ สกลสัตยาทร กล่าวในฐานะโรงพยาบาลบีเอ็นเอช แสดงความมุ่งมั่นที่จะช่วยสนับสนุนโครงการเพื่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านมต่อ ๆ ไปอีกในอนาคต ร่วมด้วย นพ.กฤษณ์ จาฏามระ ได้กล่าวถึงโครงการ “บ้านพิงพัก” ว่าโครงการนี้จะเป็นที่พักพิงให้แก่คนไข้มะเร็งเต้านมที่ขาดที่พึ่งพา รวมถึงผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย โดยคนไข้จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีประดุจญาติผู้ใหญ่ของเราเองตามพระราชดำรัสของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ปิดท้ายด้วยการมอบภาพวาดโรงพยาบาลบีเอ็นเอชเป็นที่ระลึกจากคณาจารย์ผู้สอนศิลปะ โดยมี อ.วงษ์ศวัส วงษ์ประเสริฐ เป็นตัวแทนกล่าวแสดงถึงความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในโครงการครั้งนี้





พญ.ไอรีน ยินออง ผู้ร่วมโครงการ ถ่ายภาพร่วมกับผู้บริจาคซื้อภาพ



นอกจากคณะผู้บริหาร คณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช ยังได้รับเกียรติจากศิลปินอิสระชื่อดัง นฤพนธ์ ชุติวรรณโสภณ มาร่วมงานครั้งนี้ และได้มอบภาพเขียนเพื่อร่วมโครงการด้วย โอกาสนี้ผู้ร่วมงานยังได้ชมการแสดงชุดพิเศษจาก BNH Belly Dancercise Club นำโดย อลิซาเบธ วิลเลี่ยมส์ คุณครูผู้สอนเต้นระบำหน้าท้อง ที่นำการเต้นระบำหน้าท้องมาประยุกต์กับการออกกำลังกายเพื่อช่วยบำบัดทั้งร่างกายและจิตใจของคนไข้มะเร็งเต้านมหลังผ่าตัดอีกด้วย หลังเสร็จสิ้นพิธีการคณะผู้บริหาร ศิลปิน และแขกผู้มีเกียรติได้เดินชมนิทรรศการที่จัดแสดงและได้ร่วมซื้อภาพบริจาค โดย ณ วันเปิดนิทรรศการ มีผู้สนใจจับจองภาพแล้วเป็นจำนวนมาก ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการหรือร่วมเป็นเจ้าของภาพ ได้ตั้งแต่วันนี้ - ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ บริเวณล๊อบบี้ชั้น ๑ และชั้น ๔ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ o๒-๖๘๖-๒๗oo ต่อ ๑๘๒๕-๑๙๒๘





บรรยากาศในชั้นเรียนศิลปะ ณ รพ.บีเอ็นเอช





บรรยากาศในชั้นเรียนศิลปะ ณ รพ.บีเอ็นเอช











การแสดงจาก BNH Belly Dancercise Club



ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com















บางกอกเทคนิคคัลเลอร์


ครบ ๑๕ ปีหลังจาก “กรุงเทพ ดํา-ขาว” (๒๕๔๒) หนังสือรวมภาพถ่ายเมืองหลวงเล่มแรกของ มานิต ศรีวานิชภูมิ ที่สะท้อนแง่มุมของการเผชิญความเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมระหว่าง ‘เก่า’ ปะทะ ‘ใหม่’, วันนี้เขามากับผลงานชุดใหม่ “บางกอกเทคนิคคัลเลอร์”


หนังสือลําดับที่ ๒ รวมภาพถ่ายสีเต็มตาที่ว่าด้วยเรื่องราวการคลี่คลาย การปรับตัวเข้าหากันระหว่างสิ่งเก่ากับใหม่ เกิดเป็นสภาวะแวดล้อมและภาพลักษณ์แปลกประหลาดตา เช่น ต้นคริสต์มาสยักษ์รูปเทวดาจอมพลัง, ภาพสังคมก้มหน้าอยู่กับอุปกรณ์สื่อสารบนฝ่ามือ และการกลายเป็นเมืองวัตถุนิยมเต็มร้อยที่อยู่กับเรื่อง ‘เนื้อหนังมังสา’ ในรูปป้ายโฆษณาใหญ่ยักษ์ทัศนียภาพใหม่ที่ไร้การต่อต้าน และนี่คือ โฟโต้ไดอารี่ (Photo diary) ที่มานิตมีต่อเมืองเกิดของเขา


มานิต ศรีวานิชภูมิศิลปินภาพถ่ายร่วมสมัยไทย ผลงานของเขาเต็มไปด้วยสีสันและมีเนื้อหาเสียดสีวิพากษ์วิจารณ์สังคม การเมือง และศาสนา มานิตเคยเข้าร่วมแสดงในนิทรรศการและเทศกาลศิลปะนานาชาติสําคัญ ๆ มาแล้วมากมาย ผลงานของเขายังได้รับการสะสมโดยพิพิธภัณฑ์นานาชาติ เช่น Maison Europeenne de la Photographie (ฝรั่งเศส), Deutsche Bank (เยอรมัน), Fukuoka Asian Art Museum (ญี่ปุ่น), Queensland Art Gallery (ออสเตรเลีย), และ Singapore Art Museum (สิงคโปร์) ปี ๒๕๕o มานิตยังได้รับรางวัล Higashikawa Photo Prize จากฮอกไกโดอีกด้วย


นิทรรศการจากหนังสือรวมภาพถ่าย จัดแสดงตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน – ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๗















ภาพและข้อมูลจากเวบ
portfolios.net















เปลี่ยนของรอบตัวให้ทั้งหมดทำจากไม้ งานศิลปะใช้ฝีมือโดยศิลปินชาวอิตาเลียน


มองรอบตัวก็ดูเหมือนทุกอย่างจะปกติดี แต่สำหรับผู้หลงใหลใน 'ไม้' เช่นนี้ เขาสร้างหลายอย่างมาจากมัน


Livio De Marchi ศิลปินชาวอิตาเลียนเป็นคนที่กล่าวถึง จากความสนใจที่มีให้กับศิลปะงานประติมากรรมมาตั้งแต่เด็ก และในวัยเรียนที่เขาฝึกฝนและเก็บเกี่ยวเอาทักษะเหล่านั้นมาสร้างสรรค์งาน เริ่มต้นจากการทดลองแกะหินอ่อนและสำริด จนในท้ายที่สุดเขาก็ยกความตั้งใจทั้งหมดให้กับไม้ วัสดุที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ


ทั้งสิ่ว ค้อน และสองมือก็ทำให้ได้ข้าวของที่ทั้งหมดทำจากไม้ตั้งแต่กระเป๋าถือไปถึงตุ๊กตาหมี เก้าอี้นวมไปถึงรถยนต์ หรืออะไรก็ตามที่เขาอยากทำให้มันเป็น ซึ่งเป็นงานที่ใช้ทั้งเวลาและความชำนาญเฉพาะทาง แล้วผลงานที่ออกมาก็ค่อนข้างมีรูปทรงและมิติเสมือนของจริงอย่างน่ามหัศจรรย์ใจทีเดียว















































ภาพและข้อมูลจากเวบ
portfolios.net















ภาพนิทานบนฝ่ามือ ศิลปะภาพวาดโดยศิลปินชาวรัสเซีย


Svetlana Kolosova ศิลปินและนักดนตรีชาวรัสเซียสร้างงานศิลปะขนาดพอเหมาะ ด้วยการเพ้นท์ภาพลงบนมืออีกข้าง (ที่ไม่ได้ใช้วาด) ของตัวเองแทนผืนผ้าใบ โดยได้แรงบันดาลใจจากนิทานเทพนิยาย อาทิ The Little Mermaid, The Little Match Girlหรือนิทานพื้นบ้านของรัสเซียอย่าง The Snow Maiden ผ่านสีสันสดใสเป็นประกาย


นอกจากการใช้มือข้างหนึ่งเป็นผ้าใบ ข้างหนึ่งจับพู่กันสร้างสรรค์แล้ว งานนี้ยังมีอีกเรื่องที่ยากกว่าปกติคือรอยต่อระหว่างนิ้ว พื้นที่อันจำกัด และไม่เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม ทำให้ศิลปินนั้นต้องออกแบบภาพให้อยู่ในมือ จนออกมาเป็นงานศิลปะขนาดฝ่ามือให้เราได้ชมกัน































































ภาพและข้อมูลจากเวบ
portfolios.net















สระบุรีเลี้ยว(ขวา) “แคนล่อง คะนองลำ”


จากเจตนารมณ์ของ ‘จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม’ ที่มุ่งมั่นอนุรักษ์และพัฒนาวัฒนธรรมอีสาน ด้วยการจัดประกวดหมอลำ “จิม ทอมป์สันฟาร์ม สุดสะแนน แดนอีสาน” ในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อเนื่องด้วย โครงการจัดทำ “พิพิธภัณฑ์หมอลำ” (โครงการระยะยาว) เพื่อรวบรวมองค์ความรู้ทางมรดกวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า รวมถึงสร้างความร่วมมือระหว่างศิลปิน และองค์กรที่เกี่ยวข้องกับหมอลำ ในการร่วมกันส่งเสริมอนุรักษ์และการต่อยอดสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสานอย่างยั่งยืนอีกด้วย


ล่าสุด หอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน ยังได้จัดนิทรรศการ “แคนล่อง คะนองลำ” (Joyful Khaen, Joyful Dance) นิทรรศการที่เปิดเผยทุกเบื้องลึกของ “หมอลำ” ความบันเทิงรื่นเริงครื้นเครง อันเป็นอีกหนึ่งอัตลักษณ์แห่ง “วัฒนธรรมอีสาน” ซึ่งนิทรรศการ ประกอบด้วย ส่วนจัดแสดง ๓ ส่วน










ส่วนที่ ๑ “หมอลำตำอิด” ที่พาผู้ชมเดินทางย้อนกลับไป ณ จุดกำเนิดของ “หมอลำ” ที่มีภูมิสัมพันธ์เชื่อมโยงกับพุทธศาสนาและพิธีกรรมอย่างแนบแน่น โดยแบ่งจุดกำเนิดออกเป็น ๓ สาย ประกอบด้วย หมอลำสายลัทธิบูชาผี (พญาแถน) ตามความเชื่อในการอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ หมอลำสายเกี้ยวพาราสี สะท้อนการแสดงภูมิรู้และความสามารถของชายหนุ่ม อาทิ การดีดพิณ เป่าแคน เพื่อพิชิตใจหญิงสาว (เต้ยสาว) และ หมอลำสายพระพุทธศาสนา ที่ได้รับอิทธิพลจากการอ่านหนังสือผูก การเทศน์ของพระสงฆ์ เป็นต้น










ส่วนที่ ๒ “ม้าโป่งเขา เสาออกดอก” ที่พาผู้ชมเรียนรู้และทำความรู้จักกับวิวัฒนาการหมอลำ ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยต่าง ๆ สอดคล้องกับประวัติศาสตร์สังคมไทย ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของ “กลอนหมอลำ” ทั้ง “หมอลำพื้น” และ “หมอลำกลอน” จวบจนในยุคสงครามเย็นที่อิทธิพลภายนอกเข้ามามีบทบาททำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของหมอลำจาก “ศิลปะการแสดงท้องถิ่น” สู่การเป็น “กระบอกเสียง” และ “เครื่องมือทางการเมือง”


รวมถึงเรื่องราว “โลกแห่งความบันเทิงยุคใหม่” ที่อิทธิพลจากภายนอกอีสานและดนตรีสมัยใหม่ ถูกนำมาผสมประยุกต์เข้ากับหมอลำ จนกลายเป็นลำเพลินและลำหมู่แบบต่าง ๆ จนมาสู่ลำซิ่งในปัจจุบัน อีกทั้งยังจัดแสดงวัตถุ เครื่องดนตรี การแต่งกาย และภาพถ่ายที่เกี่ยวข้องกับ “หมอลำ” รวมถึงผลงานวิดีโอ “อีสานโอละนอ” ที่นำเสนอวิวัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของหมอลำประเภทต่าง ๆ ตามพัฒนาการของยุคสมัย โดย ผช.ศ.ทรงวิทย์ พิมพะกรรณ์ และยังมีผลงานภาพถ่ายเกี่ยวกับหมอลำในอดีตที่บันทึกโดย จอห์น คลูเล่ย์ ดีเจพ่อใหญ่ อีกด้วย










ส่วนที่ ๓ "สระบุรีเลี้ยวซ้าย" (ตั้งชื่อล้อ “สระบุรีเลี้ยวขวา”ซึ่งหลายคนเข้าใจกันดี ในยามที่ต้องเดินทางสู่อีสาน) นำเสนอเรื่องราวของ “หมอลำ” ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ซึ่งกลายเป็นการแสดงที่ได้รับความนิยมในวงกว้าง เกิดรายได้ทางเศรษฐกิจสูงมีการบันทึกเสียงและเกิดคณะหมอลำต่าง ๆ มากมาย ดังจะเห็นได้จากแผ่นเสียง เทป ซีดี และภาพถ่ายของหมอลำคณะต่าง ๆ


นอกจากนี้ ยังมีผลงานวิดีโอ “Liminal Zone” โดย ปิยะรัศมิ์ ปิยะพงศ์วิวัฒน์ ที่ได้ติดตามรวบรวมการแสดงของคณะหมอลำที่เคลื่อนไปตามแหล่งอาศัยของคนอีสานที่กระจายออกมาตามเมืองใหญ่ต่าง ๆ รวมถึงกรุงเทพฯ และปิดท้ายด้วย ผลงานวิดีโอบันทึกการแสดงหมอลำของกลุ่มบางกอกพาราไดซ์ นำโดย ดีเจมาฟไซ ที่เปลี่ยน ให้สถานะ ‘ความเป็นอื่น’ อย่างดนตรีหมอลำ ก้าวข้ามความบันเทิงแบบท้องถิ่นสู่ความโด่งดังในระดับนานาชาติ










นิทรรศการ “แคนล่อง คะนองลำ” เปิดให้เข้าชมทุกวัน วันนี้ - ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๙.oo - ๒o.oo น. โดยไม่เสียค่าเข้าชม ณ หอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน ซ.เกษมสันต์ ๒ (สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ)


ก่อนที่จะสัญจรไปจัดแสดงในจังหวัดอื่น ๆ ในภาคอีสาน อาทิ ขอนแก่นและอุบลราชธานี โดยความร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่น และสถาบันการศึกษา รวมถึงการมีส่วนร่วมจากปราชญ์หมอลำในชุมชนอีสานอีกหลายท่าน ก่อนที่จะนำไปติดตั้งเป็นนิทรรศการถาวรที่พิพิธภัณฑ์หมอลำ จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา ต่อไป



ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th















INTERCHANGE


PSG Art Gallery คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ขอเชิญชมนิทรรศการ “INTERCHANGE” A Printmaking Dialogue Between Australia and Thailand.พิธีเปิดนิทรรศการ วันพุธที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.oo น.


นิทรรศการเปิดให้เข้าชมระหว่าง ๒o พฤศจิกายน –๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ (วันจันทร์ – เสาร์ เวลา ๑o.oo-๑๘.oo น. เว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ณ PSG Art Gallery คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ กทม.







ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com















Mythical Reality


ถือเป็นความท้าทายทั้งต่อตัวศิลปินเอง และผู้คนในสังคมกับงานแสดงศิลปะชุด “Mythical reality” โดยศิลปิน วิทวัส ทองเขียว ในครั้งนี้ เพราะศิลปินเองต้องเผชิญในการใช้ความกล้า ก้าวข้ามจากงานรูปแบบเดิม เพิ่มระดับความเข้มข้นในการถ่ายทอดความรู้สึกต่อสิ่งเร้า ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงสิ่งเร้าจากบรรยากาศ หรือ จากเรื่องราวส่วนตัวเท่านั้นแต่เป็นการใช้ผลงานศิลปะตั้งคำถามกับสภาวะความเป็นไป กลไกความคิดของผู้คน โดยที่ศิลปินเชื่ออย่างยิ่งว่า ต้นตอใหญ่มาจากความจริงที่ถูกบิดเบือนโดย “มายาคติ” นิยาม ภาพสร้างของความเชื่อ ที่เป็นจุดเริ่มแห่งความลุ่มหลง เกลียดชัง ปัญหาใหญ่ของมนุษย์


วิทวัส สร้างงานศิลปะชุดนี้โดยใช้สัญลักษณ์คุ้นชินรอบๆตัว นำมาจัดวางใหม่ ประกอบรูป และเปลี่ยนมุมมอง เพื่อสร้างบทบาทให้สัญญะเหล่านั้น ทำหน้าที่ประหนึ่งเหมือนเครื่องหมายคำถามถึงความบกพร่อง ข้อสงสัยภาษาที่งดงามจากทักษะที่ยอดเยี่ยม ถูกสร้างขึ้นผ่านผลงานจิตรกรรมสีน้ำมัน จำนวน ๑๓ ชิ้น ทั้งหมดถูกนำเสนออย่างมีแบบแผน เรียงลำดับความคิด เจาะไปในแต่ละมุมของสังคม โดยเริ่มจากเรื่องราวของการมองเห็นภายนอก ไปสู่ ความเชื่อ ความศรัทธา ค่านิยม ขีดจำกัดการรับรู้ ทัศนคติที่ถูกยัดเยียดจนกลายเป็นภาระ ผลงานทั้งหมดเพิ่มระดับดีกรีขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละชิ้น เหมือนจะลวงอารมณ์ แต่เมื่อถึงผลงานชิ้นสุดท้ายในชุด ความตึงเครียด คำถามที่เข้มข้น กลับ เบาบาง จางลงคล้ายจะเหมือนทิ้งทวนด้วยหมอกควันคาใจ ไม่ได้ต้องการเผาไหม้ความคิดต่าง หรือเพียงเพื่อที่จะบอกว่า “Mythical reality” ที่ศิลปินสร้าง ก็เป็นเพียง “มายาคติ” เท่านั้น “วิทวัส ทองเขียว” ทิ้งปริศนานี้ไว้ให้ผู้ดูมีอำนาจตัดสินใจ


เรียนเชิญทุกท่านร่วมงานเปิดนิทรรศการในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.oo น.


นิทรรศการ : Mythical Reality
ศิลปิน : วิทวัส ทองเขียว
วันที่ : ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ -๑๘ มกราคม ๒๕๕๘
สถานที่ : ชั้น ๒ อาคารใหญ่ หอศิลป์ ศุภโชค ดิ อาร์ท เซ็นเตอร์
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : o๒-๒๕๘-๕๕๘o ต่อ ๔o๑, o๘๖-๘๙๑-๑๘๙๓















ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com















Momentum


Momentum คือ ความสามารถในการเคลื่อนที่ของวัตถุในความเร็วเท่ากัน วัตถุที่มีมวลมากกว่าจะขับเคลื่อนเร็วและแรงกว่าวัตถุที่มวลน้อย คำนิยาม “The momentum “จึงถูกหยิบยกมาเป็นคอนเซ็ปต์หลัก ให้กับงานนิทรรศการส่งท้ายปลายปี ของ หอศิลป์ ศุภโชค ดิ อาร์ท เซ็นเตอร์ เพื่อเปรียบเปรยถึงสภาวะพลังการสร้างสรรค์ของศิลปินที่ไม่หยุดนิ่ง ผ่านผลงานหลากหลายรูปแบบจาก ๕ ศิลปิน ไทยมากความสามารถ ที่มีรูปแบบงานโดดเด่นชัดเจน มีทิศทางเฉพาะตน แตกต่างกันไปตามมิติชีวิต The Momentum คือแรงขับเคลื่อนของชีวิตศิลปิน ที่จะเร็วหรือแรง ทรงพลังแค่ไหน งานศิลปะของเขาและเธอคือคำตอบ






เปี่ยมจันทร์ บุญไตร ศิลปินหญิงมากพรสวรรค์ เอกลักษณ์ของผลงานเป็นที่จดจำ ทั้งความแสบสันต์ประชดประชันสังคมได้อย่างมีอารมณ์ขัน รอบนี้เป็นการเดินทางต่อจากนิทรรศการ Human Noid ในปีที่แล้วศิลปินเพิ่มดีกรีความสนุกเร้าใจให้กับผลงานประติมากรรมของตนเอง ด้วยเทคนิคที่หลากหลาย ผสมผสาน แต่ยังคงการันตีเนื้อหาผลงานที่ ครบรส กลมกล่อม เรียกรอยยิ้มจากผู้ดูได้แน่นอน










ป๋อง แท่งทอง ผลงานในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของนิยามคำว่าศิลปินอย่างเต็มตัวครั้งแรกในชีวิตของเขาประสบการณ์ที่ผูกพันกับงาน Stop motion มาร่วม ๑o ปี ทำให้เขาคนนี้กำลังจะสร้างมิติใหม่ในวงการประติมากรรมเทคนิควิธีการเฉพาะทางที่คิดค้นขึ้นถูกนำมาเป็นกลไกสำคัญสำหรับการสร้างงานขึ้นงานจาก มือ และจบงานพร้อมด้วยร่องรอย ลายนิ้ว เสมือนถ่ายทอด dna ตน ไปบนพื้นผิวผลงานเหล่านั้นความน่ารักจากคาแรคเตอร์ที่เขาสร้าง ซ่อนนัยยะชีวิตสีเทา ความเหงาโดดเดี่ยว การยึดติดกับบางสิ่งตลอดมางานศิลปะครั้งนี้ของเขาจึงคล้ายจะเป็นลายแทงให้ศิลปินตามหาตัวตนในบทบาทที่รอคอย










ณัฐภัทร ดิสสร ศิลปินหน้าใหม่ที่มีสไตล์ส่วนตัวไม่เหมือนใคร การวิจารณ์ ล้อเลียนและเย้ยหยันสังคมคือความท้าทายสำหรับเขา ศิลปินสร้างผลงานให้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน เจตนารอคนมาร่วมเล่นด้วย ผลงานในครั้งนี้จัดเต็มทั้ง ๒ มิติ และ ๓ มิติ อาทิเช่น ผลงานวาดเส้นการ์ตูนความหมายร้ายลึก งานจิตรกรรมสีน้ำมัน กับความจงใจส่วนตัวที่อยากให้เห็นได้ทั้งด้านหน้า และ ด้านหลัง และยังมีจิ๊กซอว์ไม้ขนาดใหญ่ ที่สร้างขึ้นจากตัวละครที่อ้างอิงที่มาจากชีวิตจริงของตัวศิลปินเอง ผลงานของเขาเหมือนเกมส์ทดสอบจิตใจ ช่วงชิงกันระหว่างอำนาจฝ่ายต่ำของมนุษย์ และความรักความเมตตาที่สังคมอาจจะหลงลืม










คียาภัทร เกตุไสว ศิลปินอายุน้อยทักษะเยี่ยมที่ครั้งนี้ถ่ายทอดความชื่นชอบส่วนตัวเขียนภาพบุคคลที่มีบทบาทสำคัญหลากหลาย ทั้งผู้นำการปกครอง ศิลปิน นักร้อง นักแสดง หรือ บุคคลที่ถูกนิยามให้เป็นแรงบันดาลใจของโลก มีส่วนเปลี่ยนแปลงแนวคิดชีวิตผู้คน ผลงานของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ และมีสไตล์การเขียนที่เป็นตัวของตัวเองอย่างดีเยี่ยม ภาพเขียนชุดนี้ มีที่มาเริ่มต้นมาจากสมุดสเก็ตซ์หนึ่งเล่มที่เปรียบเสมือนพื้นที่ฝึกฝนจิตใจของศิลปิน










ปิดท้ายด้วยน้องเล็ก เด็กหญิงเพนท์ฟ้า ชาญชุติวาณิช เด็กน้อยที่เติบโตพร้อมกับพรสวรรค์ที่งดงามเมื่อเริ่มเข้าสู่ระบบการศึกษา การศึกษาแบบ โฮมสคูล โดยครอบครัวคือทางที่เลือกเพื่อมุ่งมั่นเรียนรู้ศิลปะอย่างเต็มที่ พรสวรรค์และใจรักศิลปะของลูกสาวได้รับการประคับประคองด้วยแรงใจจากครอบครัวที่ทุ่มเทผลักดันให้ทักษะของสาวน้อยพุ่งทะยานไกล ผลงานตั้งแต่ระหว่างอายุ ๖ ขวบถึงปัจจุบัน มากกว่า ๑oo ชิ้นจะถูกนำมาโชว์ในงานครั้งนี้ ผลงานที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับวงการศิลปะ และเชื่ออย่างยิ่งว่าเมื่อได้ชมผลงานของเธอ ผู้ดูอาจลืมไปเลยคือผลงานของเด็กหญิงอายุเพียง ๘ ขวบเท่านั้น










เรียนเชิญเข้าร่วมงานเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.oo น.


นิทรรศการ : “The momentum”
ศิลปิน : เปี่ยมจันทร์ บุญไตร, ป๋อง แท่งทอง, ณัฐภัทร ดิสสร, คียาภัทร เกตุไสว, เด็กหญิงเพนท์ฟ้า ชาญชุติวาณิช
วันที่ : ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ -๑๘ มกราคม ๒๕๕๘
สถานที่ : ชั้น ๑-๓ อาคารใหม่ หอศิลป์ ศุภโชค ดิ อาร์ ท เซ็นเตอร์
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : o๒-๒๕๘-๕๕๘o ต่อ ๔o๑, o๘๖-๘๙๑-๑๘๙๓



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com















There are Reasons to Begin


ด้วยการริเริ่มของ Mite-Ugro องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรเพื่อสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่ พร้อมยังเป็นสถานที่พบปะเสวนาแลกเปลี่ยน ของบุคลากรทางศิลปะในเมืองกวางจู ประเทศเกาหลีใต้ รวมถึงยังเป็นสถานที่ที่ร่วมจัดโปรแกรมให้ศิลปินในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พำนัก


ครั้งนี้ Mite-Ugro ได้ร่วมมือกับ Gwangju Cultural Foundation เพื่อเผยแพร่ศิลปะร่วมสมัยของกวางจู เมืองที่ใหญ่เป็นอับดับที่ ๖ ของประเทศ มีวัฒนธรรม วิถีชีวิต และศิลปะของตัวเอง โดยเฉพาะเทศกาลศิลปะ Gwangju Biennale ที่จัดขึ้นเพื่อร่วมเคลื่อนไหวและมีบทบาทต่อวงการศิลปะร่วมสมัยในเกาหลีตลอดมา


นิทรรศการ There are Reasons to Begin เป็นครั้งแรกของการนำเสนอผลงานศิลปะร่วมสมัย โดย ๗ ศิลปินชั้นนำจากเมืองกวางจู ได้แก่ Chanboo Jung, Guhwan Park, Hoyoon Shin, Leenam Lee, Ma C, Sehee Sarah Bark และ Seongheup Ha ซึ่งล้วนเป็นศิลปินแถวหน้าและเสาหลักของแวดวงศิลปะร่วมสมัยในเมืองกวางจู มีผลงานนำเสนอทั้งในประเทศเกาหลี และเป็นที่จับตาในระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็น ภาพถ่าย ผลงานวีดีโอจัดวาง สื่อประสม ฯลฯ


ไทยและกวางจูมีความคล้ายคลึงทางด้านประวัติศาสตร์การเมือง แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือสังคมที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด พร้อมๆกับการปรับตัวทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของเกาหลี นิทรรศการครั้งนี้จึงเป็นการเปิดประตูบานสำคัญให้เราได้รู้จักรูปแบบศิลปะร่วมสมัยในเมืองกวางจู ที่กล่าวได้ว่าเป็นความสำเร็จของการร่วมมือส่งเสริมความก้าวหน้าของวงการศิลปะระหว่างภาครัฐและเอกชนของประเทศเกาหลีใต้


พิธีเปิดนิทรรศการ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.oo น. ณ นำทองแกลเลอรี


นิทรรศการ : There are Reasons to Begin
ศิลปิน : Chanboo Jung, Guhwan Park, Hoyoon Shin, Leenam Lee, Ma C, Sehee Sarah Bark และ Seongheup Ha
วันที่ : ๒๗ พฤศจิกายน – ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
สถานที่ : นำทองแกลเลอรี (Numthong Gallery (BTS:สถานี อารีย์ – ทางออกหมายเลข ๓))
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ : o๒-๖๑๗-๒๗๙๔
Facebook : https://www.facebook.com/NumthongGalleryAtAree



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com















TRANCE


แกลเลอรี่เวอร์ภูมิใจสนอนิทรรศการล่าสุด “TRANCE” นิทรรศการจัดวางเสียงและวีดีทีศน์ โดย “อานนท์ นงค์เยาว์” และ “ปิยะรัศมิ์ ปิยะพงศ์วิวัฒน์” สองศิลปินไทยรุ่นใหม่ที่ทำงานกับสื่อที่หลากหลาย ทั้งดนตรีทดลอง การจัดวางวีดีทัศน์ การจัดวางเสียง ภาพถ่าย และอื่น ๆ โดยมี “ไลลา พิมานรัตน์” เป็นภัณฑรักษ์


“Trance” หมายถึง สภาวะที่บุคคลอยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น แต่เข้าใจและตระหนักได้ถึงสิ่งที่ถูกสื่อสาร อย่างภาวะการตกอยู่ภายใต้การถูกสะกดจิต หรือหมายถึงภาวะที่บุคคลให้ความสนใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาก โดยไม่ทันตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ทั้งยังหมายถึงแนวเพลงอิเลคโทรนิคส์ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อการโน้มน้าวจิตใจ สร้างความเชื่อและความชอบธรรม จนไปถึงขั้นล้างสมอง เหล่านี้คือสภาวะของ “Trance”


นิทรรศการ TRANCE นับเป็นการการทำงานร่วมกันของอานนท์ นงค์เยาว์ และ ปิยะรัศมิ์ ปิยะพงศ์วิวัฒน์ เพื่อนำเสนอ และตั้งคำถามต่อสังคมปัจจุบัน โดยการนำบทเพลงที่ถูกใช้โฆษณาชวนเชื่อ มาสร้างพื้นที่ และความหมายใหม่ให้กับบทเพลงเหล่านั้น นิทรรศการประกอบไปด้วยผลงานสามส่วน การจัดวางเสียง (interactive sound installation) การจัดวางวีดีทัศน์ (video installation) และการจัดวางวัตถุ ภาพถ่าย และเสียง


นิทรรศการ TRANCE เปิดนิทรรศการในวันศุกร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.๓o น. เป็นต้นไป ที่ Yet-Space ถนนจรัญสนิทวงศ์ซอย ๑๑ และจัดแสดงไปจนถึง ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ o๘๙-๙๘๘-๕๘๙o, o๘๔-๓๘๘-๑๔๘๘ หรืออีเมลล์ galleryver@gmail.com



ภาพและข้อมูลจากเวบ
prachachat.net




บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor





Create Date : 14 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2557 21:22:14 น. 0 comments
Counter : 3513 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.