happy memories
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2557
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
14 ตุลาคม 2557
 
All Blogs
 
เสพงานศิลป์ ๑๕๒





ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto








พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓



หลวงสิทธิ นายเวร ผู้ภักดี เป็นศรีสุรยวงศ์ของแผ่นดิน


บุคคลสำคัญในรัชกาลที่ ๕ นั้นทุกคนร็จักสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในรัชกาลที่ ๕ เป็นอย่างดี อาทิตย์นี้จึงขอตามรอยถึงคุณูปการของมหาบุรุษต้นแบบผู้มีความสำคัญยิ่ง เมื่อครั้งยังรับราชการเป็นหลวงสิทธิ นายเวร ในแผ่นดินรัชกาลที่ ๓ บุคคลผู้นี้เป็นบุตรชายคนใหญ่ของ สมเด็จเจ้าพระยามหาประยูรวงศ์ (ดิศ) กับท่านผู้หญิงจันทร์ ได้เข้าถวายตัวเป็น นายไชยขรรค์ มหาดเล็กในรัชกาลที่ ๒ และได้ช่วยทำงานด้านพระคลังและกรมท่าอยู่กับบิดาจนมีความรู้ความสามารถจนมีความชอบเป็น หลวงสิทธิ นายเวร โดยช่วยเหลือบิดาในด้านทหารเรือ ด้วยเหตุที่เป็นคนหนุ่มหัวสมัยใหม่จึงสนใจเรียนรู้ในวิทยาการใหม่ ๆ กับชาวตะวันตก ซึ่งได้เรียนวิธีการต่อกำปั่นแบบใหม่ จนเป็นที่ยกย่องว่าเป็นนายช่างไทยที่สามารถต่อเรือแบบฝรั่งได้สำเร็จเป็นคนแรก เรือลำแรกนั้นได้น้อมเกล้าฯ ถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ซึ่งพระองค์ได้พระราชทานชื่อว่า "เรือแกล้วกลางสมุทร" ด้วยความเชี่ยวชาญในเรื่องการค้าขายกับต่างประเทศ และการต่อเรือรบกับเรือหลวงออกค้าขายทางทะเล ทำให้ประเทศมีรายได้จากการค้าขายนั้น ทำให้ในรัชกาลสามารถเก็บเป็นเงินถุงแดงสำรองในพระคลังข้างที่ ซึ่งภายหลังสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้นำเงินถุงแดงออกใช้ในกรณีเกิดเหตุการณ์วิกฤต ปากน้ำเมื่อร.ศ. ๑๑๒





พระยาศรีสุริยวงศ์



ด้วยคุณูปการต่อความทันสมัยเป็นผู้ฝักใฝ่สนใจศึกษาศิลปวิทยาของตะวันตกมาจากการช่วยบิดาดูแลกรมท่าและชาวต่างชาตินั้น ทำให้มีความรู้ด้านภาษาจนเจรจาความได้เป็นอย่างดีและได้ช่วยเหลือสนับสนุนพวกมิชชันนารีที่เข้ามาตั้งแต่รัชกาลที่ ๓ เป็นอย่างดีนั้น บุตรชายของสมเด็จเจ้าพระยามหาประยูรวงศ์(ดิศ)ผู้นี้ จึงมีความชอบในราชการมีบรรดาศักดิ์สูงขึ้นตามลำดับจากนายไชยขรรค์ เป็นหลวงสิทธิ์นายเวร เป็น จมื่นไวยวรนาถภักดีศรีสุริยวงศ์ เพียงคนเดียว และ พระยาศรีสุริยวงศ์ ตามลำดับ





เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์รับชาวต่างประเทศ



โดยเฉพาะพระยาศรีสุริยวงศ์ นั้นได้รับราชการด้านการทหารสนองพระราชดำริใน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ด้วยพระองค์มีพระราชดำริให้ทำการจัดกรมทหารแบบยุโรปขึ้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระยาศรีสุริยวงศ์ ควบคุมบังคับบัญชาทหารที่จัดตั้งขึ้นใหม่ เรียกว่า “ทหารอย่างยุโรป” ซึ่งมีการจัดตั้งโรงทหารอยู่ที่บ้านพระยาศรีสุริยวงศ์ โดยมีสนามฝึกหัดทหารอยู่ข้างวัดบุปผาราม





ตราพระยาศรีสุริยวงศ์



ต่อมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ พระยาศรีสุริยวงศ์ได้รับมอบหมายให้ทำการจัดเลกหมู่ทหารฝึกหัดยุทธวิธีแบบตะวันตกเพิ่มขึ้น ประกอบการใช้เรือสำเภาค้าขายและทำการสงครามได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบเรือรบ พระยาศรีสุริยวงศ์ ซึ่งมีความรู้ด้านการต่อเรือมาแต่รัชกาลที่ ๓ นั้นจึงได้ทำการต่อเรือกลไฟ ให้เป็นเรือรบและต่อเรือพาหนะของหลวงเพิ่มขึ้นอีกหลายลำ เช่น เรือระบิลบัวแก้ว เรือแคลิโดเนีย





ตราสุริยมณฑล



ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว นั้นทรงเป็นผู้บัญชาการทหารเรือวังหน้า ในพ.ศ. ๒๓๙๔ - พ.ศ. ๒๔๐๘ พร้อมกับทรงแต่งตั้งให้พระยาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้บัญชาการทหารเรือวังหลวงคนแรกใน พ.ศ. ๒๓๙๔ - พ.ศ. ๒๔๑๒ และเลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ สมุหกลาโหม จากการที่เซอร์จอห์น เบาว์ริง เข้ามาทำสนธิสัญญาสัมพันธ์ไมตรีกับประเทศสยามในรัชกาลที่ ๔ นั้น พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ได้เป็นข้าหลวง ๑ ใน ๕ คนที่ทรงแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาข้อสัญญากับเซอร์จอห์น เบาว์ริง ในการทำสนธิสัญญาให้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี และเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ได้เป็นผู้แทนฝ่ายสยามในการทำสนธิสัญญาลักษณะเดียวกันกับนานาประเทศด้วย อีกทั้งยังได้รับให้เป็นแม่กองในการขุดคลอง สร้างถนน และอาคารหลายแห่ง ในตอนปลายรัชกาลที่ ๔ จนทำให้ประเทศมีความทันสมัยอย่างชาวต่างประเทศ สมกับราชทินนามที่บุคคลผู้นี้ได้รับมาแต่แรกว่า “ภักดีศรีสุริยวงศ์” เป็นคนเดียวที่เป็น “ศรีสุริยวงศ์ของแผ่นดิน” มาทุกรัชกาล





เงินถุงแดงที่ใช้ฝรั่งเศส





ถนนเจริญกรุง





เรือสุริยมณฑล





เรือยงยศอโยชณิยา รัชกาลที่ ๔ กลไฟรุ่นแรก





เรือสำเภาหลวงที่ต่อออกค้าขายในรัชกาลที่ ๓





เรืออรรคราชวรเดช-ในรัชกาลที่ ๔





เรือหลวงที่ต่อใหม่



ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com
wikipedia.org













ศาลาสุทธสิริโสภา : วิมานของผู้หลงไหลในเสียงเปียโน และดนตรีคลาสสิก


“...ศาลาสุทธสิริโสภา สร้างขึ้นมาเพื่อเสียงดนตรี โดยเสียงดนตรี และด้วยเสียงดนตรี ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่และมั่นคงที่อยากจะให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ ๆ แบ่งปันและส่งต่อพระพรที่เราได้รับมามากมายในรูปแบบต่าง ๆ ด้วยการช่วยเหลือผู้อื่นผ่านเสียงดนตรี เพื่อให้ดนตรีในสถานที่แห่งนี้ได้สร้างคน สร้างสังคม และสร้างเราต่อไป...” (พารณี และพิณนรี ยนตรรักษ์ ผู้จัดการศาลาสุทธสิริโสภา)






เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๗ คือวันที่ณัฐ ยนตรรักษ์ นักเปียโนฝีมือชั้นครูของเมืองไทย ได้จัดงาน ๔o ปีแห่งดนตรีกาลของณัฐ ยนตรรักษ์ ณ ศาลาสุทธิสิริโสภา ซอยลาดพร้าว ๔๑ แยก ๗-๒ ในวันดังกล่าว ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษให้เกียรติเป็นประธานของงาน โดยมีแขกผู้มีเกียรติไปร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ ม.ร.ว. สุนิดา กิติยากร คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี คุณกมลวัน บุณยัษฐิติ คุณเอกกมนและคุณรมิดา หุตะสิงห และอีกมากมายที่ไม่สามารถจะกล่าวชื่อได้หมดในที่นี้






ซึ่งในช่วงค่ำของวันนั้น ณัฐและครอบครัว คือคุณน้ำตาล (พ-วงเดือน) และลูก ๆ อีกสามคน ได้แก่ ลูกนัท ลูกตาล และลูกจันทร์ ได้ร่วมกันเล่นดนตรีและร้องเพลงให้กับแขกผู้มีเกียรติได้รับชมและฟัง โดยนำเสนอเพลงต่อไปนี้

-Sonata for Two Pianos in D major K.448 (เล่นด้วยเปียโนสองตัว) ผลงานของ Wolfgang Amadeus Mozart

-บัวขาว ผลงานของท่านผู้หญิงพวงร้อย (สนิทวงศ์) อภัยวงศ์

-“Melaguena” from the Spanish Suite Andalucia (เล่นเปียโนสี่มือโดยลูกสาวสองคนของณัฐ และพ-วงเดือน) ผลงานของ Ernesto Lecuona Transcribed by Luis Sucra

-แค่ฝัน (เล่นโดยเปียโนและฮาร์ป) ผลงานของ ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์

-ใต้แสงจันทร์ (เล่นโดยเปียโนสองตัว) ผลงานของ ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์

-Suite for Two Pianos “Scaramouche” (เล่นโดยเปียโนสองตัว) ผลงานของ Darius Mihaud






ณัฐบอกว่าจัดงานนี้ขึ้นมาเพื่อขอบพระคุณผู้ให้การสนับสนุนผลงานด้านการดนตรีของตนเองที่มีสืบเนื่องมายาวนานถึง ๔o ปี (ขณะนี้ครูเปีนโนผู้นี้มีอายุ ๖o ปีแล้ว) นอกจากจะผู้ฟังและผู้ชมจะประทับใจในท่วงทำนองของเสียงดนตรีที่หวานจับใจ และเข้มแข็งทรงพลังแล้ว ยังประทับใจกับความน่ารักของบุคคลในครอบครัวดนตรี “ยนตรรักษ์” ด้วย และเหนือสิ่งอื่นใดคือ ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ศาลาสุทธสิริโสภานี้งดงามและดูอลังการยิ่งนัก






ศาลาหลังนี้สร้างจากไม้สักทองเก่าแก่ (จากความอนุเคราะห์ของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่) ณัฐเขียนเล่าในสูจิบัตรของงานการแสดงดนตรีครั้งนี้ว่า “...พลับพลาที่ชาวอิสราเอลสร้างขึ้นเวลาเดินทางอยู่ในเขตทุรกันดารเพื่อเก็บหีบพระบัญญัติ การสร้างนี้เป็นนิมิตที่พระเจ้ากำกับชนชาตินี้ให้ทำ ผมจึงสนใจว่าวิหารของกษัตริย์โซโลมอนนั้นเป็นอย่างไร ก็ค้นพบใน ๑ พงษ์กษัตริย์ บทที่ ๖ ว่า ในตัวพระนิเวศน์นั้นมีสัดส่วนกว้าง ๙ เมตร ยาว ๑๘ เมตร สูง ๘ เมตร ซึ่งตรงกับสัดส่วนของศาลาสุทธสิริโสภา เพียงแต่ของเราเล็กกว่า ๑ เมตร....วิหารขอกษัตริย์โซโลมอนบุด้วยไม้สนซีดาร์ทั้งหมด แต่เมืองไทยมีไม้สักทอง เราใช้ไม้สักทองดังกล่าวแล้ว แต่ที่เพดานนั้นเป็นไม้สนซีดาร์ที่ผมได้มาจากร้านของเก่าที่เชียงใหม่ เป็นเพดานจากพระราชวังแห่งหนึ่งในอินเดีย...”






ตะลอนเที่ยวสัปดาห์นี้นอกจากจะพาคุณไปฟังเพลงไพเราะจากเปียโนและฮาร์ปจากครอบครัวยนตรรักษ์แล้ว ก็ขอพาคุณชมและสัมผัสกับความงดงามอลังการของศาลาสุทธสิริโสภาแห่งนี้ด้วย ครอบครัวยนตรรักษ์บอกว่าขอเรียนเชิญคุณ ๆ ผู้รักเสียงดนตรีคลาสสิกทุกท่านไปเยือนศาลาสุทธสิริโสภาด้วย ลูกสาวสองคนของณัฐ-น้ำตาล (ในฐานะผู้จัดการศาลาแห่งนี้) ฝากบอกผู้รักเสียงดนตรีว่า อยากให้คุณ ๆ ได้ไปสัมผัสความงดงามของศาลานี้ และหากคุณ ๆ มีความประสงค์จะใช้ประโยชน์จากศาลาแห่งนี้เพื่อกิจกรรมที่ช่วยสร้างสรรค์สังคมแล้วละก็ ศาลาสุทธสิริโสภายินดีต้อนรับทุกเมื่อ






สำหรับคุณ ๆ ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมทางดนตรีกับณัฐ ยนตรรักษ์ ซึ่งมีเป็นประจำ หรือต้องการจะเข้าไปใช้สถานที่ของศาลาสุทธสิริโสภากรุณาติดต่อผู้จัดการศาลาสุทธสิริโสภา ที่โทรศัพท์หมายเลข o๒-๕๔๑-๘๖๖๒ หรือ o๘o-๔o๗-๘๒๓๑ หรือ salasudasirisobha.com















ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com
เฟซบุคสิริโสภา














เปิดใจ 'ป้าอ๊อด' คู่ชีิวต 'ถวัลย์ ดัชนี' กับโปรเจกท์เปิด 'บ้านรั้วเขาควาย' เพื่อศิลปิน


หากพูดกันถึงผลงานของ “อ.ถวัลย์ ดัชนี” ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์(จิตรกรรม) พ.ศ. ๒๕๔๔ ผู้ล่วงลับ คนทั่วไปมักจะนึกถึง “บ้านดำ” ที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่ ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย เพราะเป็นสถานที่ซึ่งคนทั่วไปรู้จักกันดีในฐานะที่เป็นพิพิธภัณฑ์เก็บงานศิลปะ ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม ศิลปะแบบล้านนา ไม้แกะสลักที่มีลวดลายงดงาม และสิ่งของสะสมต่างๆของ “ศิลปินเอก” ผู้นี้


แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าสถานที่ซึ่งเป็นทั้งบ้านที่ อ.ถวัลย์ ใช้อยู่อาศัย และที่ทำงานสร้างสรรค์ผลงานศิลปะออกมาให้ชาวโลกได้ชื่นชมนั้น ตั้งอยู่ที่ไหน และเป็นอย่างไร…..“คำตอบ” อยู่ภายในหมู่บ้านนวธานี ถ.เสรีไทย เขตคันนายาว กรุงเทพฯ นี่เอง!!!


คนที่ผ่านไปมาในหมู่บ้านนี้จะคุ้นตากันดีกับบ้านที่อยู่ในรั้วซึ่งประดับไปด้วยสิ่งที่ดูแปลกตาไปกว่าบ้านหลังอื่นๆนั่นคือ “เขาควาย” เป็นสิบ ๆ ชิ้น และบ้านหลังนี้ก็ได้รับการตั้งชื่อแบบตรงไปตรงมาว่า “บ้านรั้วเขาควาย” ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือ อ.ถวัลย์ และสิ่งที่อยู่ในบ้านหลังนี้ก็เป็นตัวบ่งบอกเรื่องราว แนวคิด และตัวตนของ อ.ถวัลย์ ได้เป็นอย่างดี


เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ อ.ถวัลย์ ไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านรั้วเขาควายแห่งนี้เพียงคนเดียว แต่มีคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันมานานกว่า ๓o ปี เธอคือ “ทิพยชาติ วรรณกุล” หรือ “ป้าอ๊อด” ซึ่งเชื้อเชิญให้ “ทีมข่าวแนวหน้า” เข้าไปเยี่ยมชมภายในบ้านหลังนี้ ซึ่งทุก “ตารางนิ้ว” อบอวลไปด้วยบรรยากาศของศิลปะ


เพียงแค่ก้าวแรกก็รู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของบ้านหลังนี้ ซึ่งที่พื้นบ้านมี “ขนสัตว์” มากมายหลายชิ้น หลายชนิด วางอยู่เต็มไปหมด ดูแล้วคล้ายกับพรม มีสิ่งของสะสมในบ้านมากมาย ทั้งหนังสัตว์สต๊าฟ หัวสัตว์ ซากสัตว์ป่าหายาก งู จระเข้ มีกะโหลกศีรษะของสัตว์ชนิดต่าง ๆ ส่วนมากเป็นสัตว์ที่มีกะโหลกคล้ายมนุษย์ เช่น ลิง ชะนี ใน “ห้องน้ำ” ก็ประดับด้วยเปลือกหอยน้อยใหญ่หลากหลายชนิด


สำหรับสิ่งที่สะกดสายตาของแขกผู้มาเยือนได้ดีที่สุด คือ บรรดาภาพวาดจากฝีมือของศิลปินแห่งชาติที่แขวนอย่างเป็นระเบียบเอาไว้ที่ฝาผนัง


“ป้าอ๊อด” บอกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เก็บเป็นของสะสม แต่เป็นการเก็บเอาไว้เพื่อใช้ในการทำงานเขียนรูป เพราะ อ.ถวัลย์ จะนำไปดูลักษณะของกะโหลก หรือเขี้ยว กรามของสัตว์ เพื่อช่วยในการวาดรูป ซึ่งได้มาจากทั้งใน และต่างประเทศ


“ป้าอ๊อด” ยังเล่าว่า อยู่กินฉันท์สามีภรรยากับ อ.ถวัลย์ ที่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่ช่วง พ.ศ. ๒๕๒๖ หลังจากที่ อ.ถวัลย์ สิ้นพันธะกับ มากาเร็ต ฟันเดอร์ฮุค ที่มีบุตรด้วยกัน ๑ คน คือ ดอยธิเบศร์ ดัชนี ส่วน “ป้าอ๊อด” กับ อ.ถวัลย์ ไม่มีลูกด้วยกัน ไม่ได้จดทะเบียนสมรส เนื่องจาก “ไม่ชอบผูกมัด” แต่ในเรื่องของทรัพย์สินหรือมรดกต่างๆหลังจากที่ อ.ถวัลย์ เสียชีวิตไปแล้ว “ป้าอ๊อด” ยืนยันว่าตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไร


“บ้านเก่าของป้าตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน เยื้องกันไปนิดหน่อย ส่วนความสัมพันธ์กับ อ.ถวัลย์ เริ่มจากเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกัน และเกิดความประทับใจ จากการที่ได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน โดยเฉพาะชวนกันออกกำลังกาย จนกระทั่งพัฒนามาเป็นความรัก และตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วยกันในที่สุด ซึ่งป้าไม่ใช่ศิลปิน แต่ทำหน้าที่ดูแลศิลปิน เป็นคนดูแลการกำหนดราคาภาพวาด หรือการติดต่อขายภาพให้กับ อ.ถวัลย์ ทั้งหมด” ป้าอ๊อด ย้อนความหลังให้ฟัง


“ป้าอ๊อด” เล่าว่า กิจวัตรประจำวันตอนที่ อ.ถวัลย์ ยังมีชีวิตอยู่ คือ ทุกเช้าเรา ๒ คน พากันออกไปกินกาแฟ กินข้าว ซื้อหนังสือพิมพ์ สนทนากับเพื่อน ๆ บางวันก็อยู่กับเพื่อนๆจนถึงเที่ยง จึงค่อยเดินกลับบ้าน มาเขียนรูปต่อ ซึ่ง อ.ถวัลย์ ไม่ทำอย่างอื่นนอกจากเขียนภาพ และสิ่งที่ อ.ถวัลย์ ทำทุกวัน คือ “ดรอว์อิง” หรือวาดลายเส้น ซึ่งจะเป็นภาพที่ออกมาจากอารมณ์ความรู้สึกในขณะนั้น


“เวลาที่อาจารย์แกคิดภาพนี่ อย่าไปยุ่งเชียว แกไม่คุยกับใคร จะมุ่งมั่นใช้สมาธิอย่างมาก แต่หลังจากที่คิดได้แล้วว่าจะวาดรูปอะไร ทีนี้ล่ะ คุยไม่หยุดเลย คุยไปก็วาดไปด้วย” ป้าอ๊อด เล่า


ป้าอ๊อด เล่าต่อว่า ปกติ “บ้านรั้วเขาควาย” จะไม่เปิดให้ใครเข้าไปง่ายๆ ไม่ว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่ไหนติดต่อเข้ามา ถ้า อ.ถวัลย์ ไม่ว่าง ก็ไม่ได้พบ แล้วโทรศัพท์ในบ้านก็จะไม่รับ จะดึงสายออกจากตัวเครื่อง ให้ ป้าอ๊อด เป็นคนรับ เป็นคนติดต่อ คุยธุระกับคนข้างนอก แม้แต่ “บ้านดำ” ที่เชียงราย ป้าอ๊อดก็เป็นคนดูแล จ่ายค่าจ้างให้ช่าง ให้พนักงาน ตอนที่ อ.ถวัลย์ นอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ก็ยังกำชับให้จ่ายค่าจ้างให้ช่างอย่าได้ขาด


ป้าอ๊อด บอกว่า ทุกวันนี้ยังทำใจลำบากกับการจากไปของ อ.ถวัลย์ เพราะอยู่ด้วยกันมากว่า ๓o ปี จนมาถึงวันหนึ่ง ตื่นขึ้นมาก็ไม่เจอกันแล้ว ทุกวันนี้บางครั้งก็ยังคงพูดคุยกับ อ.ถวัลย์ เหมือนกับตอนที่ยังอยู่ ซึ่งแม้ อ.ถวัลย์ จะจากบ้านไปรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาล แต่ที่โต๊ะทำงานก็ยังได้รับการดูแลจาก ป้าอ๊อด ที่ยังจัดเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือไว้พร้อมสรรพ เพื่อรอให้ อ.ถวัลย์ กลับมาเขียนภาพต่อ


“ก็เตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่กลับมา...” พอเล่าถึงตรงนี้ ป้าอ๊อด ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา แล้วขอเวลาพักกับเรานิดหน่อย ก่อนที่จะให้สัมภาษณ์ต่อ


ในช่วงท้ายของการพูดคุยกัน ป้าอ๊อด เปิดเผยถึง “โครงการสำคัญ” ในอนาคตว่าจะเปิดบ้านรั้วเขาควายให้คนทั่วไปได้เข้าชม “ฟรี” เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ สร้างกำลังใจให้กับศิลปิน และผู้ที่สนใจศิลปะให้เข้ามาชม เข้ามาดื่มด่ำกับศิลปะที่เป็นผลงานของศิลปินแห่งชาติ


นอกจากนี้ยังมีแนวคิดที่จะ “ยกสินทรัพย์” ที่เป็นภาพถ่าย ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลให้เป็นสมบัติของแผ่นดินต่อไป เพื่อให้ทุกคนได้ชื่นชมร่วมกัน


หลังการนั่งสัมภาษณ์เสร็จสิ้นลง ป้าอ๊อด ได้พาเราเดินขึ้นไปดูจุดต่าง ๆ ของบ้านรั้วเขาควายชนิดทุกซอกทุกมุม ซึ่งทุกจุดแฝงไปด้วยเรื่องราวของศิลปะ ทำให้ผู้มาเยือนอย่างเรารู้สึกได้ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่อัดแน่นอยู่ในบ้านหลังนี้ทำให้บ้านดูแคบลงไปถนัดตา


ที่สำคัญ คือ อยากให้ “บ้านรั้วเขาควาย” แห่งนี้ รีบเปิดให้เข้าประชาชนได้เข้าชมโดยเร็ว เพราะนอกจากจะเป็นการเปิดให้เข้าชมงานศิลปะระดับสุดยอดแล้ว ยังถือเป็นการเปิดให้ได้เรียนรู้ รับรู้ถึงชีวิต ตัวตน และความเป็นอยู่ของ “ศิลปินเอก” ที่ชื่อ “ถวัลย์ ดัชนี” อีกด้วย







ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com
เฟซบุค Thawan Duchanee














ลิเกทรงเครื่องเรื่องที่น่ารู้
ขุนอิน


รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ เป็นสำนวนสมัยก่อนที่จะถูกเปรียบเทียบให้มองว่าเป็นอาชีพที่เจ้าชู้ ใครที่มีลูกสาวก็จะไม่ให้คบหากับคนทำอาชีพเหล่านี้ เพราะจะทำให้น้ำตาเช็ดหัวเข่าได้จากความเจ้าชู้ แต่ถามว่าทำไมถึงต้องเป็นรถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ ด้วยล่ะที่เจ้าชู้ อาชีพอื่น ๆ อย่างพวกปี่พาทย์ราดตะโพน เขาไม่เจ้าชู้กันเลยหรือ ถ้าจะว่ากันจริง ๆ แล้วนั้นคนเรามันจะเจ้าชู้หรือไม่ ก็น่าจะอยู่ที่นิสัยของคนนั้น ๆ มากกว่า แต่การที่คนโบราณเขาเปรียบเทียบสำนวนคำเอาไว้เป็นแบบนี้ ก็เพราะว่าอาชีพของพวก รถไฟ เรือเมล์ ลิเก และตำรวจนั้นจะต้องเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ ได้พบปะพูดคุยกับผู้คนมากหน้าหลายตา จึงทำให้มีโอกาสที่จะเป็นคนเจ้าชู้ได้มากกว่าอาชีพอื่น ๆ อย่าง ชาวไร่ ชาวนา เถ้าแก่โรงสี หรือข้าราชการอื่น ๆ


ยิ่งโดยอาชีพลิเกแล้วนั้นต้องบอกว่าเปอร์เซ็นต์ความเจ้าชู้นั้นมีมากกว่าคนขับหรือนายตรวจตั๋วรถไฟ และเรือเมล์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเนื่องจากว่าจะมีรูปร่างหน้าตาดีแถมยักคิ้วลงเสน่ห์และร้องรำทำเพลงให้คนได้ดูได้ฟังกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นพระเอกไม่ต้องจีบผู้หญิงก็แทบจะวิ่งเข้ามาหาแล้วล่ะครับ แต่อย่างไรก็ตามอาชีพที่เป็นศิลปินลิเกนั้นก็ต้องบอกว่าเป็นอาชีพของคนที่เป็นผู้อนุรักษ์และสืบสานศิลปะของไทยเราที่มีมากันแต่สมัยโบราณและที่สำคัญอาชีพนักแสดงลิเกยังได้รับความนิยมอยู่จนถึงในปัจจุบันนี้ ซึ่งผิดกับโขนละคร หุ่นกระบอก ที่ต้องบอกว่าหาดูได้ยากยิ่งเป็นเพราะว่าไม่ค่อยมีใครจะจัดหรือหาไปแสดงตามงานต่าง ๆ กันนั่นเองและนับวันก็ยิ่งจะหายและหมดไปตามกาลสมัยนิยมนั่นแหละครับ


จากที่ผมเขียนมาในข้างต้นนั้นยุคสมัยนิยมได้กลืนกินการเล่นหรือการแสดงแบบไทย ๆ ให้เงียบหายไปหลายอย่าง แต่บางอย่างก็ยังพอหลงเหลือให้เราได้ชมกันอยู่บ้าง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็จะมี "ลิเกทรงเครื่อง" โดยเอาแค่ชื่อเด็ก ๆ ในสมัยนี้ได้ยินกันแล้วนั้นก็อาจจะทำหน้างง ๆ แล้วยกมือยืนขึ้นถามว่า คุณครูครับ "มันคืออัล...ไล" คำนี้เป็นศัพท์สมัยนิยมที่ผมจำมาจากในสติ๊กเกอร์ไลน์ แหละครับ หรือแปลง่ายๆว่า " ลิเกทรงเครื่องมันคืออะไรครับคุณครู ผมรู้จักแต่ลิเกคณะไชยยา มิตรชัย กับลิเกคณะกุ้ง สุทธิราช วงศ์เทวัญ ครับคุณครู" โธ่เอ๋ย เจ้าเด็กน้อย แบบนี้เจ้าคงไม่รู้จักลิเกคณะหอมหวล แน่ ๆ เบย... คุณครูนึกอยู่ในใจครับ


เอา นอกเรื่องซะเยอะมาเข้าเรื่องกันดีกว่าครับ คือในยุคปัจจุบันนี้เราจะพบเห็นการแสดงลิเกกันอยู่บ่อยตามงานวัดงานบวชงานศพ หรือช่องเคเบิลทีวี ก็จะมีอยู่บ้าง และบอกได้ว่าเป็นการแสดงมหรสพของไทยเราที่ยังได้รับความนิยมกันอยู่ ยิ่งโดยเฉพาะพื้นที่ต่างจังหวัดในเขตภาคกลางนั้นยังคงมีงานให้แสดงกันอยู่ตลอดทั้งปี แถมหลายท่านที่เป็นพระเอกลิเกก็กลายเป็นดาราไปซะหลายต่อหลายคน โดยลิเกที่เราได้พบเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้ ความจริงแล้วเป็นการแสดงที่ศิลปินไทยเราในสมัยก่อนเอาแบบอย่างมาจากทางพวกแขกโดยชื่อนั้นคำว่า "ลิเก" นั้นมาจากคำว่า "ซิเกร" เป็นภาษาเปอร์เซีย จริง ๆ แล้วศัพท์ของคำนี้ก็คือชื่อบทสวดสรรเสริญพระอัลเลาะห์ ในภาษาอาหรับที่ชื่อว่า "ซิกรุ" หรือ Zakhur แต่ถ้าเป็นแขกมุสลิมนิกายชีอะห์ นั้นจะเรียกบทสวดนี้ว่า "ดิเกร์" โดยกรมพระยาดำรงค์ราชานุภาพ ท่านทรงบันทึกไว้ว่า คำว่า "ดิเกร์" ได้แปลงมาเป็นคำว่า "จิเก" แล้วก็เพี้ยนมาเป็นคำว่า "ยี่เก" แล้วก็กลายมาเป็นคำว่า "ลิเก" จนถึงในยุคนี้นั่นแหละครับ


ในสมัยแรกลิเกจะแบ่งออกเป็น ๔ แบบคือ ๑ ลิเกบันตน ๒ ลิเกลูกบท ๓ ลิเกทรงเครื่อง ๔ ลิเกป่า ซึ่งสังเกตได้ว่าลิเกในปัจจุบันไม่ได้มีอยุ่ใน ๔ แบบนี้ โดยที่ลิเกบันตนกับลิเกป่าจะใช้เครื่องดนตรีประกอบการแสดงเป็นกลองรำมะนา และฉิ่ง ฉาบ คล้ายกับการแสดงลำตัด ส่วนลิเกลูกบท และลิเกทรงเครื่องนั้นใช้วงปี่พาทย์ประกอบในการแสดง ซึ่งก็เหมือนกับลิเกในปัจจุบันนี้นั่นเอง แต่การแสดงลิเกลูกบทนั้นจะมีการแสดงที่ไม่เป็นเรื่องราวต่าง ๆ แต่จะเป็นการแสดงที่ต่างกันออกไปเป็นชุด ๆ ส่วนการแสดงลิเกทรงเครื่องนั้นจะแสดงกันเป็นเรื่องราวต่าง ๆ ในบทวรรณคดี จึงทำให้สันนิษฐานได้ว่าการแสดงลิเกในปัจจุบันนี้มีพัฒนาการมาจากลิเกทรงเครื่อง นั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามลิเกทั้ง ๔ แบบนี้ในปัจจุบันคงหาชมได้ยากยิ่งหรืออาจจะไม่มีให้เราได้เห็นแล้วก็เป็นไปได้ แต่ว่าในการแสดงลิเกทรงเครื่องนั้นยังคงพอมีให้พวกเราได้ดูได้ชมกันอยู่บ้าง ส่วนจะเป็นคณะของใคร อยู่ที่ไหน แสดงที่ใด และจะเล่นกันยังไง เอาไว้ฉบับหน้าผมจะมาเขียนให้ได้อ่านกันอีกครับ



ภาพและข้อมูลจากเวบ
komchadluek.net














ทอดน่องท่องย่านเก่า เล่าเรื่องฟิน เถ้า ฮง ไถ่


สำหรับเมืองที่มีแม่น้ำไหลผ่าน หรืออยู่ติดแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เช่นทะเลสาบ ฯลฯ ผมคิดว่าทางเดินเลียบริมน้ำ เป็นสิ่งบ่งชี้ความเจริญทางจิตใจของผู้คนในเมืองนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี ในฐานะเขยเมืองโอ่ง ผมคิดว่าได้ซอกแซกไปเห็นแง่มุมต่างๆ ของราชบุรีมาพอสมควร จนวันหนึ่งถึงนึกขึ้นได้ว่า ยังไม่ได้สัมผัสบรรยากาศริมน้ำแม่กลอง ช่วงที่ไหลผ่านตัวเมืองราชบุรีเลย จึงตัดสินใจชวนคนข้างกาย ไปเดินทอดน่องท่องย่านเก่าริมน้ำแม่กลอง จากศาลากลางราชบุรีเก่า ซึ่งปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติราชบุรี เลียบเรื่อยไปตามถนนวรเดช จนถึง “โคยกี๊” ย่านตลาดเก่าของชุมชนชาวจีนเมืองโอ่ง มองเห็นเรือเมล์ลอยลำอยู่ใต้สะพานรถไฟเก่าแก่ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ได้บรรยากาศย้อนยุค (Retro) สุดแสนสุนทรียะ






อัตลักษณ์ราชบุรี ไม่ว่าจะเป็นลายผ้าจกของชาวไท-ยวน (โยนก) บ้านคูบัว ดอนแร่ และหนองโพ หรือโอ่งมังกรของชาวจีนที่อพยพเข้ามาพึ่งบรมโพธิสมภารตั้งแต่ศตวรรษก่อน ถูกสำแดงให้ประจักษ์ได้ตลอดทางเดินเลียบริมน้ำ ในหลากหลายรูปแบบงานศิลปะทั้งสไตล์คลาสสิกและร่วมสมัย แต่ที่ชอบใจคือเสาไฟฟ้ารูปมังกรคาบแก้ว ที่ดูดี มีสกุล ไม่เคอะเขิน และบอกเล่าความเป็นมาของเมืองนี้ ที่มีดินดีเป็นดินเหนียวสีแดง-ดำ เหมาะแก่การปั้นโอ่งลายมังกร เป็นฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจของราชบุรีแต่ไหนแต่ไรมาได้เป็นอย่างดี






ที่น่าสนใจคือยามปกติย่านนี้จะเงียบสงบ เหมาะแก่การมาออกกำลังกาย หรือมาพักผ่อนสูดอากาศบริสุทธิ์ริมน้ำ ถึงขั้นมีคนมาเปิดบริการนวดแผนไทย ตั้งเตียงผ้าใบเรียงรายริมฝั่งแม่กลอง ผุดผ่องในอารมณ์กันทั้งคนนวดและคนถูกนวด พูดอย่างวัยโจ๋ว่า “ฟินสุด ๆ” (กระปุกดอทคอม อธิบายว่า “ฟิน” มาจาก "ฟินาเล่" ที่แปลว่า จบแบบสมบูรณ์แบบ มักใช้พูดตอนรู้สึกว่าสิ่งนั้น หรือเรื่องนั้นมันดี...สุดยอด) ซึ่งต้องยอมรับว่าพื้นที่นี้มัน “ฟิน” จริง ๆ เพราะยามไม่ปกติ ที่นี่คือแหล่งชุมนุมของคนรักงานศิลปะมารวมตัวกันรังสรรค์โลกสวยด้วยไอเดียบรรเจิด ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม หนังสั้น เพลงการงานดนตรี ไปจนกระทั่งกิจกรรม Eat Art ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการทำ “เค้กโอ่ง” ด้วยตัวเอง โดยผสมเค้กให้เป็นสีต่าง ๆ ตามใจชอบลงในภาชนะเซรามิกร่วมสมัย ทำเสร็จแล้วก็หม่ำฝีมือตนเองได้เลย ภายใต้ชื่องานสุดฟินอีกเช่นกันว่า “งานติดศิลป์...บนราชบุรี” นิทรรศการศิลปะบนถนนที่จัดต่อเนื่องกันมาหลายปี โดยมี “เถ้า ฮง ไถ่ คาเฟ่” และ ดีคุ้นสท์ แกลเลอรี่ (Tao Hong Tai-d Kunst cafe & gallery) ตรงหัวมุมถนนวรเดชตัดกับถนนสฤษดิ์เดช เป็นศูนย์กลางงาน และมี "ติ้ว" วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ เจ้าของเถ้า ฮง ไถ่คาเฟ่ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ สร้างสรรค์งานติดศิลป์...บนราชบุรีขึ้นมา






เอ่ยชื่อ “เถ้า ฮง ไถ่” ชาวราชบุรีจะรู้จักดีว่าเป็นผู้บุกเบิกงานเครื่องปั้นดินเผาเป็นรายแรกๆ ตั้งแต่ราว ๘o ปีก่อน จนทำให้สมญานาม "เมืองโอ่ง” อยู่คู่กับราชบุรีมาเนิ่นนาน ครั้นยุคสมัยเปลี่ยนไป นับวันคนไทยจะใช้โอ่งกันน้อยลง “เถ้า ฮง ไถ่” ยุคที่สอง จึงขยับตัวจากการผลิตโอ่งในฐานะภาชนะคู่ครัวเรือน สู่การเป็นเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านและสวน ด้วยการบุกเบิกทำเซรามิกสีเขียวไข่กา และสีน้ำเงินขาว ขยายตลาดจากกลุ่มครัวเรือนสู่กลุ่มโรงแรม รีสอร์ท จนกระทั่งเมื่อราวสิบปีที่ผ่านมา ถึงยุคของ "ติ้ว" วศินบุรี ทายาทรุ่นที่สาม พกดีกรีปริญญาตรีและโทด้านเซรามิกจากเยอรมนี กลับมาพลิกโฉม “เถ้า ฮง ไถ่” ให้กลายเป็นโรงงานผลิตเครื่องเซรามิกแบบไร้ขีดจำกัด ทั้งดีไซน์และสีสันที่โดนใจคนรุ่นใหม่ โดยไม่ทิ้งคนรุ่นเก่าที่มีรสนิยมคลาสสิก






โรงงานเซรามิก เถ้า ฮง ไถ่ ที่ ต.เจดีย์หัก อ.เมือง จ.ราชบุรี จึงกลายเป็นสถานที่ของคนทุกเพศทุกวัย จะมาหาซื้อเครื่องเซรามิกได้ตั้งแต่กระถาง อ่างบัว แจกัน โอ่ง โต๊ะ เก้าอี้ ไปจนกระทั่งที่ใส่เทียนหอม หรือตุ๊กตาประดับฝาผนัง นานวันเข้า ก็กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ว่าด้วยศิลปะเซรามิก สำหรับนักเรียน นักศึกษา ครูอาจารย์และชาวบ้าน จวบจนวันนี้ “เถ้า ฮง ไถ่” ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของราชบุรีอย่างปฏิเสธมิได้ เพราะยากที่ใครจะจินตนาการ (สมัยนี้เรียก “มโน”) ไปได้ว่า โรงงานโอ่งอะไรหวา...จะสวยปานนี้ แถมมีร้านกาแฟและแกลเลอรี่แสดงงานศิลปะให้สุนทรียะในอารมณ์อีกต่างหาก วันที่ผมไปเยือน กำลังมีนิทรรศการแสดงเดี่ยว ผลงานเครื่องเคลือบดินเผาและภาพถ่าย ชุด "ภาชนะรูปแมว และ การผจญภัยของจ๊างน้อย" โดย ธาตรี เมืองแก้ว ซึ่งจะจัดแสดงไปจนถึงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายนนี้ ณ แกลเลอรีที่โรงงานเถ้า ฮง ไถ่ ต.เจดีย์หัก และที่ ดีคุ้นสท์ แกลเลอรี่ ในเถ้า ฮง ไถ่ คาเฟ่ ที่หัวมุมถนนสฤษดิ์เดช ใกล้ศาลากลางเก่าราชบุรี






เห็นชีวิตและงานเพื่อบ้านเกิดเมืองนอนของ "ติ้ว" วศินบุรี แล้ว ภาพและเสียงของ “ทิพเดช” ตัวละครเอกในบทจินตภาพการแสดงชุด “ศรีสชชนาไลย” โดยอาจารย์นคร พงษ์น้อย ก็ผุดพรายขึ้นในมโนสำนึก ตอนที่ว่า “ศรีสชชนาไลยเป็นที่อยู่ของคนดี...จะขอลาท่านยุธิษเสถียรไปทำบุญที่นั่น แล้วขออยู่ต่อปั้นหม้อปั้นไหไปตามประสา มือข้าจับดาบไม่ถนัด มือทั้งสองของข้าช่ำชองแต่จะสัมผัสก้อนดินจากฝั่งแม่ยม...ข้ามิปรารถนาอื่นใดอีกแล้ว เช้ามาก็จะไปทำเครื่องสังคโลกที่เตาป่ายาง ตอนดึงดินขึ้นรูปหม้อไห ข้าจะนึกถึงความกลมกลึงของเจ้า-บุษปะธารา...ค่ำลงก็กลับมานอนในเมืองศรีสชชนาไลย มีเจ้าอยู่แนบข้าง ข้ามิปรารถนาอื่นใดอีกแล้ว แม้แต่แก้วสัตตพิธรัตน์”


ด้วยใจชื่นชม เถ้า ฮง ไถ่ และวศินบุรี สุพานิชวรภาชน์-ทิพเดชแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง



ภาพและข้อมูลจากเวบ
komchadluek.net














แคนล่อง คะนองลำ


หอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน ภูมิใจนำเสนอที่สุดแห่งความเป็น “ศิลป์อีสาน” ผ่านนิทรรศการ “แคนล่อง คะนองลำ” (Joyful Khaen, Joyful Dance) เปิดเผยทุกเบื้องลึกของ “หมอลำ” ความบันเทิงรื่นเริงครื้นเครงอันเป็นอีกหนึ่ง อัตลักษณ์แห่ง “วัฒนธรรมอีสาน” พร้อมพาทุกท่านเดินทางย้อนกลับไป ณ จุดกำเนิดของหมอลำที่มีภูมิสัมพันธ์เชื่อมโยงกับพุทธศาสนาและพิธีกรรมอย่างแนบแน่น เรียนรู้และทำความรู้จักกับวิวัฒนาการหมอลำที่เกิดขึ้นในยุคสมัยต่าง ๆ สอดคล้องกับประวัติศาสตร์สังคมไทย ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของ “กลอนหมอลำ” ทั้ง “หมอลำพื้น” และ “หมอลำกลอน” จวบจนในยุคสงครามเย็นที่อิทธิพลภายนอกเข้ามามีบทบาททำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของหมอลำจาก “ศิลปะการแสดงท้องถิ่น” สู่การเป็น “กระบอกเสียง” และ “เครื่องมือทางการเมือง” ก่อนออกเดินทางสู่ “โลกแห่งความบันเทิงยุคใหม่” กับการผสมผสานเข้ากับการแสดงและดนตรีในหลากหลายรูปแบบ ปิดท้ายด้วยเรื่องราวของ “หมอลำ” ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ซึ่งกลายเป็นการแสดงที่ได้รับความนิยมในวงกว้าง รวมถึงเส้นทางการส่งออกความบันเทิงแบบท้องถิ่นสู่ความโด่งดังในระดับนานาชาติ นิทรรศการ “แคนล่อง คะนองลำ” เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๗-วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ เวลา ๙.oo-๒o.oo น. โดยไม่เสียค่าเข้าชม ณ หอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน ซ.เกษมสันต์ ๒ (สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ)



ภาพและข้อมูลจากเวบ
banmuang.co.th
กระทู้พันทิป














ภาพวาดประกอบวรรณกรรมเยาวชนอันโด่งดัง
“โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง”


จากรูปประกอบวรรณกรรมเยาวชนอันโด่งดัง “โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง” ผลงานของชิฮิโระ อิวาซากิ (Chihiro Iwasaki) ศิลปินภาพสีน้ำและนักวาดภาพประกอบชื่อดังชาวญี่ปุ่น จะถูกนำมาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย


เจแปนฟาวน์เดชั่น กรุงเทพฯ ร่วมกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะชิฮิโระแห่งเมืองอะซูมิโนะ (Chihiro Art Museum Azumino) จะจัดแสดงภาพเขียนสีน้ำจำนวนมากกว่า ๔o ชิ้นของชิฮิโระ อิวาซากิ ระหว่างวันที่ ๕ ตุลาคม – ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ณ ผนังโค้ง ชั้น ๓ – ๕ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร


ผู้จัด: เจแปนฟาวน์เดชั่น กรุงเทพฯ และพิพิธภัณฑ์ศิลปะชิฮิโระแห่งเมืองอะซูมิโนะ
ผู้จัดร่วม: หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
นิทรรศการ : ผลงานสีน้ำของชิฮิโระ อิวาซากิ (Chihiro Iwasaki) Chihiro Iwasaki and Picture Books of Japan from the Chihiro Art Museum Collection
ศิลปิน : ชิฮิโระ อิวาซากิ (Chihiro Iwasaki)
วันที่ : ๓ ตุลาคม – ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗
สถานที่ : ผนังโค้ง ชั้น ๓ – ๕ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ สำนักงานหอศิลปกรุงเทพฯ : o๒-๒๑๔-๖๖๓o - ๘







































ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th
เฟซบุค Art Bangkok Thailand














'แช่งน้ำ' นาฏกรรมร่วมสมัยในมหกรรมศิลปะการแสดงนานาชาติ


ภาควิชาศิลปะการแสดง มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ร่วมกับกรุงเทพมหานคร จัด มหกรรมศิลปะการแสดงนานาชาติ IF International Performing festival ครั้งที่ ๑ ตามหนังสือความร่วมมือระหว่าง ๒ องค์กร ที่จะร่วมสถาปนากรุงเทพมหานครให้เป็นนครมหาแห่งศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ พร้อมเป็นศูนย์กลางทางศิลปะแห่งเอเชีย มหกรรมครั้งนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑-๕ ตุลาคม ที่ผ่านมา ณ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร และ Black Box theater และ Studio ภาควิชาศิลปะการแสดง คณะนิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ ซึ่งมีศิลปินจากทั่วโลกส่งผลงานเข้าจัดแสดงมากมาย ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา โปรตุเกส จีน อินเดีย เวียดนาม ไทย ฯลฯ


งานมหกรรมมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ ณ ลานด้านหน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ได้รับเกียรติจาก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มาร่วมเป็นประธานในพิธี ในการนี้ ทางภาควิชาศิลปะการแสดง มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้เปิดการแสดงชุด “แช่งน้ำ” โดย BU Theater Company ที่นับเป็นไฮไลต์สำคัญ สร้างจากวรรณกรรมลิลิตเก่าแก่ที่สุดของไทย สู่นาฏกรรมไทยร่วมสมัยที่คิดค้นต่อยอดความงามทางนาฏศิลป์ และความเข้มขลังของพิธีกรรมโบราณ สะท้อนบริบททางสังคมไทยที่เปลี่ยนไป


ชุด “แช่งน้ำ” กำกับการแสดงโดย ผศ.พรรณศักดิ์ สุขี ผู้อำนวยการศิลป์ คณะละครมหาวิทยาลัยกรุงเทพ มีความยาวเกือบ ๑ ชั่วโมง แบ่งออกเป็น ๓ ได้แก่ บูชาพระรัตนตรัย พิธีกรรมแช่งน้ำ และอวยพรแด่ผู้ที่กระทำความดีต่อแผ่นดิน ผ่านลีลานาฏศิลป์อันเข้มขลัง ผู้กำกับได้กล่าวถึงการแสดงชุดสำคัญนี้ว่า ลิลิตโองการแช่งน้ำ เป็นพิธีกรรมที่มีความเข้มขลัง และยังไม่เคยมีใครนำมาทำเป็นนาฏกรรมไทยร่วมสมัย โดยครั้งนี้เป็นประดิษฐกรรมทางการแสดงชิ้นใหม่ เพื่อให้คนดูได้ตีความตามความเข้าใจผ่านประสบการณ์ความรู้สึกของตนเอง


“พิธีกรรมแช่งน้ำ สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความสามัคคีเป็นปึกแผ่น และเพื่อให้ประชาชน รวมทั้งข้าราชการทั้งหลาย มีความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนยุคสมัยปัจจุบันสามารถตีความได้กว้างกว่านั้น กล่าวได้ว่า เราทุกคนล้วนรักแผ่นดินของเรา ไม่ว่าจะมีเรื่องราวที่ทำให้เกิดความแตกแยก ท้ายที่สุดแล้วด้วยวัฒนธรรมและความกลมเกลียว ไม่ว่าอุปสรรคใด ๆ เราก็จะสามารถกลับมาเป็นปึกแผ่นได้ดังเดิม”


นักวิชาการละครผู้นี้ยังกล่าวถึงความรู้ความเข้าใจของคนไทยเกี่ยวกับลิลิตโองการแช่งน้ำว่า นักประวัติศาสตร์เองก็ยังถกเถียงถึงข้อสรุปจุดกำเนิดของพิธีกรรมดังกล่าว หรือมีเพียงกลุ่มคนวัยหนึ่งเท่านั้นที่รู้จักพิธีกรรมแช่งน้ำว่ามาจากวรรณคดีเก่าแก่ สำหรับเด็กรุ่นใหม่นั้นยังไม่รู้จักเท่าที่ควร เนื่องจากไม่มีความรู้ความเข้าใจวรรณคดีไทยอย่างลึกซึ้ง ดังนั้น การนำมาทำเป็นการแสดงร่วมสมัย น่าจะจุดประกายแก่เยาวชนได้หันมาสนใจ รวมไปถึงการสืบค้นทางประวัติศาสตร์ และหาความสำคัญของพิธีกรรมว่าเกี่ยวของกับจิตวิญญาณของสยามประเทศอย่างไร


ทั้งได้เผยถึงจุดประสงค์หลักของการจัดมหกรรมกรรมศิลปะการแสดงนานาชาติ ครั้งที่ ๑ ด้วยว่า เพื่อปลุกความตื่นรู้งานวัฒนธรรมระดับมหภาค ที่ต้องการให้สังคมและรัฐบาลได้เข้าใจงานศิลปะการแสดง เพื่อแปลงต้นทุนทางวัฒนธรรมมาขับเครื่องเศรษฐกิจอย่างสร้างสรรค์ ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าการก้าวเข้าสู้ประชาคมอาเซียน หน่วยงานรัฐให้ความสำคัญในมิติการค้าเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้พูดถึงมิติความมั่นคงทางการเมืองและมิติทางสังคมวัฒนธรรม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากในการที่จะผลักดันสนับสนุนมิติทางการค้า เพราะศิลปะการแสดงคือ วัฒนธรรม อารยธรรม ที่สามารถเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้


ในฐานะบทบาทอาจารย์ อยู่ในแวดวงนักวิชาการละคร มีความใกล้ชิดกับนักเรียนและครูบาอาจารย์แวดวงเดียวกัน บ่อยครั้งรับรู้ได้ถึงมุมมองงานศิลปะที่เปลี่ยนไปมาก ทั้งด้านอุดมการณ์และอุดมคติ ขาดจินตนาการที่ถือว่าเป็นมาตรฐานแห่งความดี ความงาม และความจริง ปัจจุบันมีการมองศิลปะคับแคบอยู่แค่ตัวเองหรือในรั้วมหาวิทยาลัย "น้อยคนมากที่จะเห็นถึงอุดมการณ์และอุดมคติในการที่จะทำงานศิลปะการแสดงเพื่อช่วยพัฒนาประชาชนและประเทศชาติ” ผศ.พรรณศักดิ์ สุขี ผู้กำกับการแสดงชุด “แช่งน้ำ” นาฏกรรมสะท้อนวัฒนธรรม กล่าวทิ้งท้าย.



ภาพและข้อมูลจากเวบ
thaipost.net
blog.eduzones.com














บลู เอเลเฟ่นท์ จัดกิจกรรมช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม


เชฟนูรอ โซ๊ะมณี สเต็ปเป้ ผู้ก่อตั้งและเชฟแห่งภัตตาคารบลู เอเลเฟ่นท์ และหนึ่งในฐานะฑูตกิตติมศักดิ์ของโครงการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งเต้านม และเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญอย่างแท้จริงเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนการควบคู่ไปกับการมีสุขภาพที่ดี ดั่งประโยคคลาสิคที่ว่า “You are what you eat” เข้ามาเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เชฟนูรอในการสร้างสรรค์เมนูสุขภาพ “Health & Beauty” ครั้งนี้ โดยเชฟได้เลือกสรรและใช้วัตถุดิบ ผัก และสมุนไพรที่ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคจากสุรกิจฟาร์มในการปรุงเมนูพิเศษนี้ถึง ๗o% โดยเมนูพิเศษทั้ง ๕ คอร์สนี้ จะถูกรังสรรค์ขึ้นภายในเดือนตุลาคมนี้เท่านั้น ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งจาการขายเมนู Health & Beauty นี้ จะนำสมทบทุนให้กับศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถ เพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม






โดยอาหารทั้ง ๕ คอร์สของเมนู Health & Beauty นี้ ได้นำวัตถุดิบออร์แกนิค อาทิ ใบทองหลาง เนื้อ และ กุ้ง มาสร้างสรรค์รายการเมนูพิเศษ ได้แก่ ไส้กรอกไก่ปลาแนมกับใบทองหลางเกษตรอินทรีย์ ไข่ตุ๋นเกษตรอินทรีย์ ปลาแซลมอน เนื้อวากิวเกษตรอินทรีย์ย่างสมุนไพร กับตำถั่ว และ กุ้งเกษตรอินทรีย์อัลมอนด์ เป็นต้น


เมนู “Health & Beauty” มีให้บริการทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็นในราคา ๑,๙๘o++ บาทต่อท่าน ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งจากการขายเมนูพิเศษนี้จะมอบให้กับศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถ เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม ต่อไป


สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสำรองโต๊ะได้ที่ ภัตตาคารบลู เอเลเฟ่นท์ ถนนสาทร โทร. o๒-๖๗๓-๙๓๕๓ –๘ หรือ อีเมล์ cooking.school@blueelephant.com.















ภาพและข้อมูลจากเวบ
wikalenda.com
matichon.co.th
lifestyleasia.com














วิถีที่กำลังจะเลือนหายของชาวเวิ้ง


MEAL Photography เชิญชม "เวิ้ง" นิทรรศการภาพถ่าย เกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวเวิ้งนาครเกษม

โดย กานตชาติ เรืองรัตนอัมพร

วันนี้ - ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ตั้งแต่เวลา ๑๑.oo -๑๘.oo น.

ณ ร้านหนังสือพิทยาคาร เวิ้งนาครเกษม ซอย ๑ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ

โทร. o๘๑-๔๒๓-๗๑๕๘, o๘๙-o๑o-๓๖๙o


"นิทรรศการ “เวิ้ง” Before Gone เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจหลีกหนีได้ตามกระแสทุนนิยมที่เข้ามามีอิทธิพล บีบคั้นวิถีชีวิตและผู้คนให้มีอันต้องเปลี่ยนแปลงไป ประวัติศาสตร์ที่ยืนยาวมาหลายชั่วอายุคนจึงถึงจุดเปลี่ยนที่ไม่มีทางหวนกลับมาได้อีก


ภาพแสดงความเคลื่อนไหว วิถีชีวิตผู้คนในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนที่จะเปลี่ยนตลอด ๔-๕ เดือนที่ผ่านมาถูกนำมาจัดแสดงในสถานที่ ที่ครั้งหนึ่งเป็นทั้งบ้านและร้านค้าที่ใช้ประกอบหาเลี้ยงชีพ เป็นเสมือนการใช้เวลาร่วมกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะต้องแยกย้ายจากกันไปในไม่ช้า ขอให้ผู้ชมทุกท่านใช้เวลาสำรวจ สัมผัสเศษเสี้ยวที่ยังเหลืออยู่ของคนเวิ้งก่อนที่จะหายไปในเวลาอันสั้นนี้"



ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th














ททท. เชิญโหวต Viral Clip สนุก โดนใจ ผลงานนักศึกษา
หัวข้อ “รักษ์เกาะไทยไปเกาะเสม็ด”


หลังจากที่ ททท. ได้พาคณะสื่อมวลชน และนักศึกษา ลงพื้นที่เกาะเสม็ด จ.ระยอง เพื่อร่วมทำกิจกรรมทริปต้นแบบ “TRIP & TREAT ปี ๒ ” สานต่อโครงการ CSR HOLIDAY เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบ CSR Holiday กิจกรรมในปีนี้จัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปท์ TRIP & TREAT @SAMED – รักษ์เกาะไทยไปเกาะเสม็ด พร้อมจัดกิจกรรมการประกวดเฟ้นหานักการตลาดยุวชนรุ่นใหม่ มาร่วมสร้างสรรค์ “คลิป” สนุก ๆ โดนใจ เพื่อสร้างกระแสการท่องเที่ยวทางเลือกใหม่ให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่ม Voluntourist ชิงเงินรางวัลรวม ๒๓o,ooo บาท


ไฮไลท์ในการจัดกิจกรรมในปีที่ ๒ นี้ คือ การประกวดทีมประชาสัมพันธ์ จัดทำ viral clip เพื่อสร้างกระเเสการท่องเที่ยวแบบ CSR โดยเลือกเกาะเสม็ดเป็นโครงการนำร่อง เพื่อที่จะพัฒนากิจกรรมฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวไปสู่หมู่เกาะ และทะเลไทยอื่นๆ เนื่องจากเกาะเสม็ดเป็นเกาะที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมากติดอันดับ ๑ ใน ๑o ของบรรดาเกาะไทย ทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ททท.จึงเปิดโอกาสให้นักศึกษา ๖ ทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายจากผู้เข้าแข่งขันทั่วประเทศ ได้ร่วมเรียนรู้เคล็ดลับเด็ด ๆ ในคลาสเวิร์กช็อปติวเข้มโดยกูรูด้านต่างๆ ที่มาแชร์ความรู้และเทคนิคการทำ Viral Clip ให้โดนใจ อาทิ ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ – นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องทะเลและสิ่งแวดล้อม คุณก้องพันธุ์ อุปถัมภ์รุ่งพงศ์ จาก Far East DDB Agency - กูรูด้าน Viral VDO คุณธนบูรณ์ สมบูรณ์ นักการตลาดโซเชียลมีเดีย ผู้ก่อตั้งเว็บไซด์ CreativeMOVE.com


หลังจากที่น้อง ๆ นักศึกษาทั้ง ๖ ทีมได้เก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์จากกูรูชั้นนำ ตอนนี้น้อง ๆ ได้วางแผนทริปเพื่อส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยว แบบ ๒ วัน ๑ คืน ให้มีความสร้างสรรค์และฟื้นฟูสภาพแวดล้อม แบบ “CSR Holiday” พร้อมเผยแพร่ไอเดีย Viral Clip สนุกโดนใจผ่านทางโซเชียลมีเดียกันแล้ว เชิญร่วมชมผลงานและร่วมกันโหวตให้กับคลิปที่ชื่นชอบ ได้ทาง //csrholidaythailand.com/tripandtreat/vote.php ตั้งแต่วันนี้ - ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๗ (จนถึงเที่ยงคืน)


★ชมผลงานของแต่ละทีมได้ที่นี่★

▶ คลิปที่ ๑
ทีม : เป็นต่อน / มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ชื่อผลงาน : เฝิด อิ่ม เพ็ด ฉั่น
https://www.youtube.com/watch?v=tRDuNdGvkdc&feature=youtu.be


▶คลิปที่ ๒
ทีม : Remaerd / มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ชื่อผลงาน : เมื่อใจมันเซ ทะเลคือจุดหมาย
https://www.youtube.com/watch?v=RqCO476M9PU


▶คลิปที่ ๓
ทีม : HELPMEN! / มหาวิทยาลัยบูรพา
ชื่อผลงาน : Samed In Peace
https://www.youtube.com/watch?v=D8ATg4ntCQ8


▶ คลิปที่ ๔
ทีม : ฮาคูน่า มา ทาท่า / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ชื่อผลงาน : สุดสาครรวมพลัง ยับยั้งคำสาปยักษ์
https://www.youtube.com/watch?v=yZiJtg-_RLE


▶ คลิปที่ ๕
ทีม : Sea View / มหาวิทยาลัยบูรพา
ชื่อผลงาน : ไปเสม็ดเสร็จแล้วยิ้ม
https://www.youtube.com/watch?v=w7xVwEoP1lI


▶ คลิปที่ ๖
ทีม : Eye-Catcher / มหาวิทยาลัยศรีปทุม
ชื่อผลงาน : ปล่อยน้อง
https://www.youtube.com/watch?v=FplCc3t1eBE



ผู้ร่วมโหวตยังมีสิทธิ์ลุ้นรับของรางวัลพิเศษจากโครงการ และทีมใดจะคว้ารางวัลชนะเลิศไปครอง


ติดตามข่าวสารของโครงการนี้เพิ่มเติมได้ที่ เฟสบุ๊ก เฟซบุค Trip&Treat นอกจากนี้ยังสามารถค้นหาแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์วันหยุดให้สนุกสานมีคุณค่ากับกิจกรรม CSR Holiday รูปแบบอื่น ๆ ได้ทาง csrholidaythailand.com




ภาพและข้อมูลจาก
การท่องเที่ยววแห่งประเทศไทย
เฟซบุค Trip&Treat














โครงการประกวด ริชมอนด์ ลากเส้น เล่นสี กับน้องน้ำใจ ประจำปี ๒๕๕๗


ลดใช้พลังงาน เพื่อโลกของเรา จัดขึ้นเพื่อปลูกฝังให้เยาวชนคนรุ่นใหม่มีใจรักในการอนุรักษ์พลังงาน


คุณสารนิต อังศุสิงห์ ท่านผู้ช่วยผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง ให้เกียรติเป็นประธานในการเปิดงานโครงการประกวด ริชมอนด์ ลากเส้น เล่นสี กับน้องน้ำใจ ประจำปี ๒๕๕๗ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ลดใช้พลังงาน เพื่อโลกของเรา จัดขึ้นเพื่อปลูกฝังให้เยาวชนคนรุ่นใหม่มีใจรักในการอนุรักษ์พลังงาน โดยสื่อสารผ่านงานศิลปะ ซึ่งมี คุณธนพงศ์ ธนเดชากุล รองนายกเทศมนตรีนครนนทบุรี


และคุณวรุตร์ จิวะมาวิน รองผู้จัดการโครงการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พร้อมทั้ง คุณลักษณ์วรรณ วงศ์วรการ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มโรงแรมริชมอนด์ ร่วมให้การต้อนรับ ณ ห้องริชมอนด์ แกรนด์ บอลรูม โรงแรมริชมอนด์ รัตนาธิเบศร์







ภาพและข้อมูลจากเวบ
bangkokbiznews.com














Harper’s Bazaar Art The Collaboration


ศูนย์การค้าเกษร “ART CURATOR” ที่รวบรวมงานศิลปะและนิทรรศการชั้นนำมาจัดแสดงจับมือนิตยสาร Harper’s BAZAAR ประเทศไทยเปิดพื้นที่ “เกษร เอเทรียม แกลอรี่” (GAYSORN ATRIUM GALLERY) สะท้อนรสนิยมแห่งงานศิลปะครั้งใหม่กับนิทรรศการ “Harper’s Bazaar Art The Collaboration” ผลงานศิลปะข้ามสายพันธุ์ที่ผสมผสานผสานระหว่างอินสตอลเลชั่นอาร์ตชิ้นยักษ์ขนาดใหญ่กว่า ๑o เมตร และภาพวาดที่ใช้เทคนิคการดรอว์อิ้งจากเส้นด้าย และเหล็กเส้น ผสานดนตรีด้นสดแนวทดลองที่ประกอบด้วยเพลงโฟล์ก ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ และบทกวี ผ่านการตีความของ ๓ ศิลปินร่วมสมัยระดับแนวหน้าของไทยได้แก่ วิชญ์ พิมพ์กาญจนพงศ์ ศิลปินอินสตอลเลชั่นอาร์ตชื่อดัง, โน้ต - กฤษดา ภควัตสุนทร ศิลปิน นักวาดภาพประกอบที่น่าจับตามอง และตุล ไวฑูรเกียรติ นักร้องนำวงอพาร์ตเมนต์คุณป้า และกวีขวัญใจ คนรุ่นใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Life on the Line” ที่ให้คุณได้มาร่วมตั้งคำถามและค้นหาคำตอบเกี่ยวกับความเป็นไปของชีวิตมนุษย์ ด้วยมุมมองที่สะท้อนผ่านความตาย และชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย



ภาพและข้อมูลจากเวบ
ryt9.com
เฟซบุค Harper's Bazaar Thailand














บทสนทนาในจิตใจฉัน


นิทรรศการจิตรกรรมและวาดเส้น “บทสนทนาในจิตใจฉัน” (Dialogue in my mind) ผลงานโดย สมชาย วัชระสมบัติ (Somchai Wacharasombat) จัดแสดงระหว่างวันที่ ๓ – ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๗ ณ หอศิลป์จามจุรี


นิทรรศการ “บทสนทนาในจิตใจฉัน” (Dialogue in my mind)
ศิลปิน สมชาย วัชระสมบัติ (Somchai Wacharasombat)
ลักษณะงาน จิตรกรรมและวาดเส้น
ระยะเวลาที่จัดแสดง ๓ – ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๗
พิธีเปิดนิทรรศการ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.๓o น.
ห้องนิทรรศการ ห้องนิทรรศการชั้น ๑ ห้อง ๒
ติดต่อศิลปิน o๘๙-๑๕๕-๕๔๕


แนวความคิด

ผมเห็นสัตว์ประหลาดในทุกที่
มองลงไปในแม่น้ําเห็นสัตว์ประหลาดไหลลงมาจากท่อน้ําทิ้งลงสู่แม่น้ํา
มองไปที่ถนนผมเห็นสัตว์ประหลาดวิ่งเต็มไปหมดตามท้องถนน
มองไปบนท้องฟ้าผมเห็นสัตว์ประหลาดอยู่บนยอดตึกใหญ่ๆในเมืองหลวง
มองไปรอบตัวผมเห็นสัตว์ประหลาดในรูปแบบต่าง ๆ
มีทั้งแบบมีชุดเครื่องแบบ ทั้งแบบที่ดูน่ายกย่อง แบบที่ดูน่าสะอิดสะเอียน แบบที่ดูน่ากลัว แบบที่ดูปกติ
สิ่งเหล่านี้เหมือนสัตว์ประหลาดรอบตัวผม
หรือบางทีผมต่างหากที่เป็นสัตว์ประหลาด แต่ผู้คนและสิ่งอื่นรอบตัวผมเป็นปกติ


I see monsters everywhere
Looking into the river, I see the monsters slipping out from a sewer into the river.
Looking on the road,I see the monsters are running around.
Looking up into the sky , I see the monsters at the top of the capital buildings.
Looking around, I see the monsters in various identities, in uniform who worth praising or those with disgusting look, or some are awesome and in normal shapes.
These surroundings look like the monsters for me or maybe, I myself, am the monster, but the others around me are normal.


เปิดให้เข้าชมทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา ๑o.oo – ๑๙.oo น.
เสาร์, อาทิตย์ และวันหยุดราชการ เวลา ๑๒.oo – ๑๘.oo น.
ปิดให้บริการในเทศกาลวันปีใหม่และวันสงกรานต์



















ภาพและข้อมูลจากเวบ
contestwar.com












ภาพจาก agoda.com



๕ สุดยอดสมุนไพรไทยเพื่อการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย
และ ShareHerb.com : เว็บไซด์สุขภาพดีบนทางเลือกใหม่


สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ขอเรียนเชิญท่านเข้าร่วมแถลงข่าว “๕ สุดยอดสมุนไพรไทยเพื่อการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย และ ShareHerb.com : เว็บไซด์สุขภาพดีบนทางเลือกใหม่” และงานสัมมนา “นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ธรรมชาติไทย-ญี่ปุ่นเพื่อสุขภาพ (Thai-japan Innovative Natural Products for Health)” ที่กำลังจะจัดขึ้น ในวันที่ ๑๖ ตุลาคมศกนี้ ณ ห้องบอลลูมซี โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสร้างความเป็นเอกลักษณ์ความน่าสนใจของ ๕ สมุนไพรไทยที่เป็นสุดยอด เพื่อชูความโดดเด่นของสมุนไพรไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในตลาดโลก โดยเฉพาะสามารถส่งออกสินค้าแข่งขันกับประเทศคู่ค้าในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้อย่างเต็มภาคภูมิ


นอกจากนี้ในงานยังมีการเปิดตัวเว็บไซด์ ShareHerb.com เป็นการพัฒนาเว็บไซต์ข้อมูลด้านสุขภาพร่างกายที่สอดคล้องกับความต้องการของประชากรวัยรุ่นวัยทำงาน และประชากรผู้สูงอายุ เพื่อใช้เป็นแหล่งข้อมูลด้านพืชสมุนไพรและการแพทย์ทางเลือกในการดูแลสุขภาพ ซึ่งได้ออกแบบและพัฒนาระบบระบบตรวจสอบย้อนกลับสมุนไพรและผู้ประกอบการเพื่อยื่นขอ อย. สำหรับตรวจสอบหาแหล่งที่มาของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้ผลิตภัณฑ์ให้กับผู้บริโภค อีกทั้งงานสัมมนาจะนำเสนอความก้าวหน้าของนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ธรรมชาติของไทยและญี่ปุ่นเพื่อสุขภาพ


โดยงานแถลงข่าวและงานสัมมนาดังกล่าวนี้จะจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๗ ณ ห้องบอลลูมซี โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ เวลา ๙.๓o -๑๒.oo น. (งานแถลงข่าว) และเวลา ๑๓.๓o -๑๖.๓o น. (งานสัมมนา) จึงใคร่ขอเรียนเชิญท่านสื่อมวลชน ร่วมเป็นเกียรติในงานแถลงข่าวตามวันและเวลาดังกล่าว


ติดต่อรายละเอียดได้ที่ : คุณรมณีย์ สงสำเภา โทร o๘๑-๙๘๕-o๖๗o E-mail: sher1616@gmail.com


กำหนดการแถลงข่าว

“๕ สุดยอดสมุนไพรไทยเพื่อการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย และ ShareHerb.com : เว็บไซด์สุขภาพดีบนทางเลือกใหม่”ณ ห้องบอลลูมซี โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ
วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๗
เวลา ๙.๓o -๑๒.oo น.


๙.๓o-๑o.oo น. : ลงทะเบียน และรับประทานอาหารว่าง

๑o.oo-๑o.๑๕ น. : ShareHerb.com เว็บไซด์ให้ข้อมูลการดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพรไทยและการแพทย์ทางเลือก โดย นายภูวนัย วรรณสอน Webmaster เว็บไซต์ ShareHerb.com

๑o.๑๕-๑๑.๔๕ น. : ๕ สุดยอดสมุนไพรเพื่อการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย โดย

๑) รองศาสตราจารย์ ดร.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ คณะการแพทย์แผนตะวันตกออก มหาวิทยาลัยรังสิต

๒) เภสัชกรสมนึก สุรชัยธนาวนิช กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

๓) รองศาสตราจารย์ ดร.ภกญ.นพมาศ สุนทรเจริญนนท์ ภาควิชาเภสัขวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

๔) นายธนโชติ ธรรมชาติ หัวหน้าโครงการผลิตและพัฒนาสมุนไพร มหาวิท่ยาลัยมหิดล

ดำเนินการเสวนาโดย นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย และประธานสมาพันธ์สุขภาพและความงาม

๑๑.๔๕-๑๒.oo น. : ถาม-ตอบ ปัญหาและข้อสงสัย

๑๒.oo น. : จบงานแถลงข่าวและร่วมรับประทานอาหาร







ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com




บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor




Create Date : 14 ตุลาคม 2557
Last Update : 14 ตุลาคม 2557 9:19:35 น. 0 comments
Counter : 4510 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.