happy memories
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2557
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
19 ตุลาคม 2557
 
All Blogs
 
เสพงานศิลป์ ๑๕๓





ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto










นิทรรศการพระราชประวัติและภาพอริยาบทอันน่าประทับใจของสมเด็จพระสังฆราช.


เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ ๓ ตุลาคม และครบรอบการสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และวัดบวรนิเวศวิหาร โดยท่านเจ้าคุณพระประกาศพุทธกิจ ได้จัดให้มีการแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับพระราชประวัติ และภาพอิริยาบถอันน่าประทับใจขณะประทับ ณ ห้องมหากรุณาธิคุณ ชั้น ๖ อาคารวชิรญาณ-สามัคคีพยาบาร เพื่อย้อนระลึกถึงพระเมตตา พระกรุณา ของพระองค์ที่มีต่อพวกเราชาวไทย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชน และประชาชนทั่วไปเข้าชมนิทรรศการดังกล่าวตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทุกวันเวลา ๙.oo-๑๕.oo น.จนถึงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๗



ภาพและข้อมูลจากเวบ
chulalongkornhospital.go.th













นิทรรศการ 'คิดถึง..สมเด็จย่า ครั้งที่ ๑๘'


งานนิทรรศการ 'คิดถึง..สมเด็จย่า ครั้งที่ ๑๘' เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณใน สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ ปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด 'สุขภาพพลานามัย' สื่อถึงพระราชปณิธานและพระราชกรณียกิจอันทรงคุณค่ายิ่งผ่านนิทรรศการภาพถ่ายหาชมได้ยากโดยแบ่งออกเป็น ๕ โซน


เริ่มต้นจากโซนที่ ๑ อโรคยา ปรมาลาภา (ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ) สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงอภิบาลพระโอรสธิดาให้มีพระพลานามัยสมบูรณ์ มีสุขภาพที่ดี มีพระราชดำริว่า "ต้องร่างกายแข็งแรงก่อน แล้วจิตใจจึงเข้มแข็งทำอะไรก็ได้" เมื่อมีโอกาสจะทรงกีฬาอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้เพื่อ 'สุขภาพ' คือ ความปราศจากโรค และเพื่อ 'พลานามัย' คือ ภาวะของร่างกายที่แข็งแรง และไม่มีโรค






ถัดมาโซนที่ ๒ 'สมเด็จย่าทรงอภิบาลพระราชนัดดา' เมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปเจริญพระราชสัมพันธไมตรีในต่างประเทศ 'สมเด็จย่า' ทรงรับอภิบาลพระราชนัดดา ทรงสอนให้ช่วยเหลือพระองค์เองมากที่สุดเท่าที่จะทำได้


โซนที่ ๓ 'การทรงกีฬาเพื่อออกกำลังพระวรกาย' ทรงให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เพื่อจิตใจจะได้เข้มแข็ง เรื่องนี้ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างที่ดี ด้วยสุขภาพพลานามัยเป็นสิ่งสำคัญต่อการที่จะทรงประกอบพระราชกรณียกิจในการเยี่ยมประชาชนชาวไทย ในสมัยที่จราจรไม่คับคั่ง จะทรงม้าจากกองพันทหารม้า สนามเป้า ไปตามถนนสายต่าง ๆ ทรงออกกำลังพระวรกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะทรงแบดมินตัน กอล์ฟเล็ก และทรงม้า






โซนที่ ๔ 'กีฬาเปตอง' เมื่อทรงมีพระชนมายุสูงแล้วสมเด็จย่าทรงกีฬาเปตองอย่างสม่ำเสมอ ในคราเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรยังที่ต่าง ๆ โปรดจัดแข่งขันกีฬาเปตองระหว่างข้าราชบริพารและข้าราชการที่รับเสด็จในการประทับแรม ด้วยทรงพระราชวินิจฉัยว่าเป็นการกระชับสัมพันธไมตรี และความสามัคคี และพระราชทานรางวัลเพื่อเป็นกำลังใจแก่ผู้แข่งขัน


โซนที่ ๕ 'พระเมตตาต่อผู้เจ็บป่วย' ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจที่เป็นประโยชน์ต่อการสังคมสงเคราะห์ ทรงช่วยเหลือกิจการการแพทย์ พยาบาล การสาธารณสุข การศึกษา การพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างใกล้ชิด ทรงริเริ่มโครงการแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ พอ.สว. เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๒ ให้โอกาสผู้อยู่ในท้องถิ่นห่างไกลคมนาคม ได้รับการดูแลจากแพทย์อาสา ให้ปราศจากโรค มีเรี่ยวแรงทำมาหาเลี้ยงชีพ เกื้อหนุนตนเอง และครอบครัวได้






โซนที่ ๖ 'เวลาเป็นของมีค่า' สมเด็จย่าไม่ทรงปล่อยเวลาว่างให้เปล่าประโยชน์ เมื่อมีเวลาว่างจะทรงงานฝีพระหัตถ์ ทรงมุ่งมั่นประกอบพระราชกรณียกิจสม่ำเสมอ ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นธรรมดาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อต้องประทับรักษาพระองค์ในโรงพยาบาลก็ทรงใช้เวลาว่างในการทรงงานฝีพระหัตถ์ เพื่อพระราชทานสำหรับหารายได้มอบให้การกุศล


โซนที่ ๗ 'การทำให้ชีวิตมีสุข' สมเด็จย่าโปรดดอกไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดอกไม้ภูเขา ทรงเก็บมาจัดใส่ภาชนะต่าง ๆ และทรงนำมาทับแห้งเป็นงานฝีพระหัตถ์ เช่น ที่คั่นหนังสือ บัตรอวยพร การปลูกดอกไม้ก็เป็นงานอดิเรกที่โปรด และเป็นการออกกำลังพระวรกายไปด้วย พระราชทานพระราชดำริกับข้าราชบริพาร และผู้มาเฝ้าทูลละอองพระบาทว่า 'เพื่อให้ชีวิตมีสุข ต้องหมั่นสำรวจตัวเอง คือฝึกอบรมจิต นำธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวัน'






โซนที่ ๘ 'โครงการณรงค์ป้องกันโรคหัวใจในพระราชูปถัมภ์' สมเด็จย่าเคยทรงประชวรด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ครั้งนั้นทรงปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดและทรงหายในระยะเวลาอันสั้น ทรงตระหนักถึงภัยโรคพระหทัยที่เกิดแก่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญต่อการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคหัวใจแก่ประชาชนทั่วไป จึงทรงรับ 'โครงการรณรงค์ป้องกันโรคหัวใจ มหาวิทยาลัยมหิดล' เป็นโครงการในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ปัจจุบันดำเนินโครงการโดยศูนย์โรคหัวใจสมเด็จพระบรมราชินีนาถ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล






อีกหนึ่งความน่าสนใจในงานคือ 'โซนการให้ความรู้โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน จากโรงพยาบาลศิริราช' เนื้อหากล่าวถึงสาเหตุการเกิดโรคไปจนถึงวิธีการบำบัดรักษา การสาธิตการทำงานของอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโดยตรง ตลอดจนการสาธิตวิธีช่วยเหลือผู้ป่วยเบื้องต้น


นิทรรศการครั้งนี้ร่วมกันจัดโดยบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด, บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดให้เข้าชมระหว่างวันที่ ๑๖-๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๗ ณ แกรนด์ฮอลล์ ชั้น ๑ สยามดิสคัฟเวอรี่






มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จากฝีมืออันประณีตของชาวบ้านและช่างฝีมือในโครงการพัฒนาดอยตุง จัดทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับนำมาจำหน่ายในงานนี้โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น 'ผ้าทอมือ' คัดมาเฉพาะชิ้นคุณภาพเยี่ยม งานเซรามิกเนื้อดีหลายรูปแบบ ไม้ดอก-ไม้ประดับนานาพันธุ์







ภาพและข้อมูลจากเวบ
เฟซบุคกรุงเทพธุรกิจวันอาทิตย์














ย้อนรอย ๕oo ปีท่าเตียนกรุงเทพฯ บทที่ ๑


เมื่อความเจริญคืบคลานเข้ามา "ท่าเตียน" ที่เคยรุ่มรวยทางวัฒนธรรมและโลดแล่นในประวัติศาสตร์ก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากการรับรู้ของสังคม ปัญหาคือทำอย่างไรดี รากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในพื้นที่เก่าแห่งนี้จะยังคงดำรงอยู่ไปพร้อมกับกระแสของความเจริญที่เข้ามาได้อย่างไม่ลืมตัวตน สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) จึงได้จัดนิทรรศการ "ท่าเตียน กรุงเทพฯ บทที่ ๑" เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ของชุมชนท่าเตียนที่มีมานานถึง ๕oo ปี นับตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน ในระหว่างวันนี้-๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ณ มิวเซียมสยาม (ท่าเตียน)


รูปแบบของนิทรรศการเน้นสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เพราะเป็นเมืองหน้าด่านที่จะมีเรือสินค้ามากมายนำสินค้าทางการเกษตร ตลอดจนสินค้าต่างประเทศเข้ามาขายในเมือง โดยมีป้อมวิไชยเยนทร์เป็นด่านเก็บภาษี จนเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาแตก และสร้างราชธานีใหม่ กรุงธนบุรี มาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ยังคงเป็นสถานที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับวัง วัด ตลาด จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าท่าเตียนเป็นพื้นที่รุ่มรวยทางวัฒนธรรมมาตั้งแต่อดีต ทั้งทางด้านคมนาคม การค้า ศิลปวัฒนธรรม การเมืองการปกครอง จนกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักเดินทางชาวต่างชาติหมายปอง


วันเปิดนิทรรศการ ราเมศ พรหมเย็น ผู้อำนวยการ สพร. เข้าร่วมเป็นประธานในการเปิด พร้อมจัดการเสวนาพูดคุยถึงท่าเตียนในอดีตจนถึงปัจจุบัน ณ มิวเซียมสยาม


ปรามินทร์ เครือทอง นักประวัติศาสตร์ ที่ปรึกษาพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ กล่าวถึงนิทรรศการว่า ท่าเตียนมีบทบาทสำคัญตั้งแต่ปลายสุโขทัย ราวปี พ.ศ. ๑๘oo ทันทีที่การค้าทางบกในสมัยสุโขทัยเริ่มถดถอย เนื่องจากทางค้าทางเรือของชาวจีนและเปอร์เซียเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเริ่มเข้ามาที่ "เส้นทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา" ในช่วงอยุธยาตอนต้น จึงเกิดชุมชนท่าเตียนราวปี พ.ศ. ๑๙oo ในฐานะพื้นที่โบราณในสมัยอยุธยา ท่าเตียนเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินทัพ โดยจะใช้เมื่อครั้งกองทัพต้องการยกทัพไปรับศึกพม่าทางด่านเจดีย์สามองค์และเมืองเพชรบุรี เป็นจุดตั้งทัพก่อนไปต่อยังแม่น้ำท่าจีน และทางการค้ายังเป็นด่านเก็บภาษีเรือ และจุดพักเรือทุกลำต้องหยุดเพื่อบอกรายละเอียดของการเดินทาง สินค้า และผู้โดยสาร ก่อนเข้าไปอยุธยา จากบทบาทสำคัญและปัจจัยต่าง ๆ ยิ่งทำให้ท่าเตียนเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเรื่อย ๆ


"จนกระทั่งมีการอพยพเข้ามาของชาวเวียดนาม จากเมืองฮาเตียน (พุทธไธมาศ) ในสมัยกรุงธนบุรี นำโดย องเชียงชุน มาตั้งถิ่นฐาน สันนิษฐานกันว่าชื่อท่าเตียนนั้นมาจากคำว่า ฮาเตียน โดยในตอนหลังองเชียงชุนได้กระทำผิดร้ายแรง จนพระเจ้าตากรับสั่งให้ประหารชีวิต ต่อมาในครั้งศึกปฏิวัติของพระยาจักรี ได้เซ็นสัญญาลับกับองเชียงสือ ณ เมืองฮาเตียน ประเทศเวียดนาม เพื่อหยุดรบและหันมาเข้าร่วมศึก เมื่อก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ได้สำเร็จ จึงทำให้ชาวไทยมีสายสัมพันธ์อันดีกับชุมชนฮาเตียน ทำให้ชาวเวียดนามอพยพเข้ามาอยู่ที่ท่าเตียนมากขึ้นในช่วงรัชกาลที่ 1" ผู้เชี่ยวชาญกล่าวถึงประวัติศาสตร์ท่าเตียน และยังได้เผยถึงจุดกำเนิดสำคัญของกรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ที่วัดโพธิ์ ภายในนั้นมีต้นโพธิ์ใหญ่ที่พระยาจักรีเคยนั่ง ก่อนที่จะข้ามฝั่งไปตีกรุงธนบุรี แสดงให้เห็นว่าท่าเตียนเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และเกิดขึ้นมาก่อนวัด วัง ที่อยู่บริเวณนั้นอีกด้วย


ทางด้านสถาปัตยกรรมเองกำลังเกิด มีความสงสัยกันว่าตึกรามบ้านช่องที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ถ้าย้อนไปในอดีต ได้รับอิทธิพลมาจากอะไร การใช้งานต่างๆ สะท้อนสิ่งใดได้บ้าง รณฤทธิ์ ธนโกเศศ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระเจ้าเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้อธิบายผ่านการนำเสนอภาพเก่าก่อนกำเนิดกรุงเทพฯ ว่า จุดสำคัญที่จะต้องกล่าวถึงคือ อะไรที่ทำให้ท่าเตียนเป็นอย่างทุกวันนี้ และจะก้าวต่อไปในอนาคตอย่างไรในสภาวะการเปลี่ยนแปลงอย่างสูง ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า ในสมัยที่มีการขุดคลองลัดและใช้พื้นที่ ซึ่งสถาปนิกหลายท่านได้ตั้งคาดเดาว่า ทำไมทำเลที่ตั้งของกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์จึงเป็นที่ดอน เพราะพื้นที่ดังกล่าวเกิดจากดินที่มาจากการขุดแม่น้ำในสมัยอยุธยา แลนด์มาร์กสำคัญที่โดดเด่น คือ ป้อมวิไชยประสิทธิ์ สันนิษฐานว่า ฝรั่งเศสเป็นผู้ออกแบบ ในคราวเดียวกัน เราก็ใช้ป้อมแห่งนี้รบกับฝรั่งเศส และฝั่งตรงข้ามกันคือ ป้อมวิไชยเยนทร์ ที่เป็นด่านเก็บภาษี


"กรณีของการขุดแม่น้ำและการสร้างป้อมวิไชยประสิทธิ์และป้อมวิไชยเยนทร์ คือจุดกำเนิดของกรุงรัตนโกสินทร์ อันเป็นที่มาของนิทรรศการท่าเตียน กรุงเทพฯ บทที่ ๑ ครั้งนี้นั่นเอง"


"ปัจจุบันท่าเตียนยังปรากฏสถาปัตยกรรมกลิ่นอายในยุค พ.ศ. ๒๔๘o-๒๕oo หรือยุคเพลินวานให้เห็นอยู่ ได้แก่ ตึกแถวเรือนไม้ อาคารปั้นหยา อาคารเหล่านี้เหลืออยู่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ของหน่วยงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ส่วนในพื้นที่อื่นๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว โดยเปลี่ยนไปเป็นสถาปัตยกรรมยุคหลัง พ.ศ. ๒๕oo และสถาปัตยกรรมร่วมสมัยทั้งหมด ทั้งนี้เราไม่ได้ห้ามการเปลี่ยนแปลง แต่การเปลี่ยนแปลงต้องอยู่บนพื้นฐานหลักการที่เหมาะสม และจะเป็นเรื่องราวของกรุงเทพฯ ในบทต่อไป" รณฤทธิ์กล่าวปิดท้าย


การจัดแสดงนิทรรศการที่ไม่เพียงแต่จัดแสดงในมิวเซียมสยามเท่านั้น แต่ครั้งนี้ยังหมายถึงสถานที่จริง รวมถึงสถานที่ที่รายล้อมท่าเตียน ที่ถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการซึ่งมีอาณาเขตพื้นที่กว่า ๑o ไร่ โดยใช้เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ที่จะจำลองให้เห็นบรรยากาศและหลายเหตุการณ์สำคัญ เมื่อครั้งที่ท่าเตียนเป็นแหล่งชุมชนใหญ่ จากเมืองท่าสู่เมืองเที่ยวในปัจจุบัน โดยต้องดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น พิมพ์คำว่า "Tha Tian" จากนั้นสามารถเยือนพื้นที่จริง แล้วนำสมาร์ทโฟนขึ้นมาส่องที่จุด AR ที่กำหนดไว้ในแผนที่ ซึ่งมีทั้งหมด ๕ จุด ได้แก่ โปรดสำแดง (ป้อมวิไชยเยนทร์), ตำนานท่าเตียน, มหาวิทยาลัยแห่งแรก (วัดโพธิ์), ประตูช่องกุด และวัดอรุณฯ-เขื่อนริมน้ำ.





แผนที่มิวเซียมสยาม







ภาพและข้อมูลจากเวบ
ryt9.com
artbangkok.com














ว่าด้วยอำนาจแห่ง 'สี'


โลกใบนี้เต็มไปด้วยสีสัน ไม่น้อยเลยที่เราใช้สีในการสื่อความหมายต่าง ๆ โดยเฉพาะ "เฉดสี" ในเชิงศิลปะนั้นสามารถสะท้อนมุมมอง ความคิด ออกมาในเป็นสัญลักษณ์ และอารมณ์บางอย่าง ดูเหมือนว่าพลังอำนาจแห่งสีได้เข้าไปมีบทบาทในด้านต่างๆ อย่างยากจะหลีกเลี่ยง ด้วยความสำคัญของสีตามที่กล่าวอ้างมานี้ มหาวิทยาลัยศิลปากร ศูนย์กลางการเรียนรู้และพัฒนาวงการศิลปะของไทยมายาวนาน จึงคิดค้นและพัฒนาสีคุณภาพ โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสี "ศิลปากรประดิษฐ์" และ "วิจิตรรงค์" หวังผลักดันให้ผู้ที่มีใจรักด้านศิลปะได้รู้จักสีคุณภาพที่พัฒนาโดยคนไทย เพื่อคนไทยระดับมาตรฐานสากล


เมื่อทุกอย่างประจวบเหมาะ ตัวแทนเจ้าของสีแบรนด์ไทย ผศ.ชัยชาญ ถาวรเวช อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร จึงจับมือลงนามข้อตกลงกับ ปรีญาณี สุพุทธิพงศ์ รองบอสใหญ่แห่งกลุ่มบริษัทนานมี ให้เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสีศิลปากรประดิษฐ์และสีวิจิตรรงค์ ได้แก่ สีน้ำ สีอะคริลิก และสีน้ำมัน อันเป็นการต่อยอดสีศิลปะของคนไทยให้ได้รับความนิยมแพร่หลายยิ่งขึ้นทั้งในและขยายไปสู่ภูมิภาคเอเชีย ซึ่งในวันเปิดตัวสีคุณภาพราคาย่อมเยายังได้ชักชวน ๑๒ ศิลปินมากฝีมือร่วมสร้างสรรค์ผลงานศิลปะจากสีแบรนด์ไทยแล้วจัดแสดงนิทรรศการ โดยรายได้จากการจำหน่ายภาพจะนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ต่อไป


หนึ่งในศิลปินที่มีโอกาสใช้สีวิจิตรรงค์ผ่านผลงานจิตรกรรมไทยร่วมสมัยแนวถนัด "บอย" สุวัฒน์ชัย ทับทิม บอกว่า เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยที่ สมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานนามให้ เป็นสีของคนไทยคุณภาพสูงระดับเกรดอาร์ติสต์นำเข้า เพราะคณะวิทยาศาสตร์ ม.ศิลปากร ได้คิดค้นและพัฒนามาอย่างยาวนาน อย่างผลงานจิตรกรรมไทยร่วมสมัยต้องการสีสดใส สีทองที่ใช้ก็ใกล้เคียงกับสีทองที่เป็นประกายจริง ๆ


"เอกลักษณ์ในงานของผมคือการใช้เส้น งานจิตรกรรมไทยเส้นต้องสวย ต้องเด็ดขาด ตรงนี้สีวิจิตรรงค์สามารถลากได้ยาว เขียนได้อย่างต่อเนื่องและเด็ดขาด จังหวะสโตรกของเส้นสามารถรองรับแนวความคิดและเทคนิคที่เราใช้ได้ดีมาก ผมเป็นศิษย์เก่าศิลปากรมีโอกาสเห็นสีนี้ตั้งแต่เริ่มพัฒนาขึ้นมา จนทุกวันนี้คุณภาพสู้สีต่างประเทศได้เลย อย่างภาพ "เทพอาชา ๑" ที่นำมาร่วมแสดงครั้งนี้สร้างสรรค์ขึ้นจากสีวิจิตรรงค์ ใช้ม้าเป็นลัญลักษณ์แทนคนที่มีจิตใจมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากม้ากัณฐกะ ซึ่งเป็นม้าทรงของเจ้าชายสิทธัตถะกำลังเสด็จออกบวช ละแล้วซึ่งกิเลสเพื่อแสวงหาความรู้แจ้งเห็นจริง" ศิลปินอิสระ กล่าว


เช่นเดียวกับศิลปินผู้โปรดปรานสีน้ำ กิตติศักดิ์ บุตรดีวงศ์ ที่มองลึกถึงคุณสมบัติของสีน้ำวิจิตรรงค์คุณภาพสูงว่า สีน้ำที่ดีต้องมีคุณลักษณะโปร่งใส นุ่มนวล สวย เท่าที่ลองใช้ดูก็ได้ผลงานออกมาอย่างน่าพอใจ การมีสีของตัวเองคุณภาพดีราคาย่อมเยาน่าจะเป็นแรงกระเพื่อมให้วงการศิลปะตื่นตัว เพราะที่ผ่านมาศิลปินรุ่นใหม่ที่รายได้ไม่สูงต่างโอดครวญเรื่องค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสีในการสร้างสรรค์ผลงาน ซ้ำขายภาพได้ยากขึ้น แต่ด้วยความรักในเส้นทางนี้ต่อให้มีอุปสรรคก็ต้องฟันฝ่า เพราะศิลปะเป็นเรื่องของความรัก เมื่อรักที่จะทำแล้วผลงานออกมาดีแน่นอน


ภายในงานยังได้ล้อมวงเล็กเสวนาหัวข้อ "สีสัน สร้างสุข" โดยศิลปินผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการศิลปะ รศ.สุธี คุณาวิชยานนท์,อ.ชลิต นาคพวัน และ อ.สุรพร เลิศวงศ์ไพฑูรย์ โดย อ.ชลิต เปิดประเด็นว่าสีอยู่ในชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจนตาย และสามารถเปลี่ยนอารมณ์คนได้ เห็นได้จากความรู้สึกแตกต่างกันเมื่อเห็นสีเข้มและสีอ่อน สีเข้มให้ความรู้สึกนิ่ง สงบ ผิดกับสีอ่อนหรือฉูดฉาดที่ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา หรือแม้แต่การเมืองก็ยึดสีเป็นสัญลักษณ์แย่งชิงมวลชน แสดงให้เห็นว่าสีสามารถกำหนดนัยต่าง ๆ ที่สังคมกำหนดขึ้นหรือสะท้อนอารมณ์บางอย่าง


ทว่าในแง่ของคนทำงานศิลปะสีสันนั้นสำคัญมาก อ.สุรพร บอกว่า หากพูดถึงสีจะนึกถึงงานจิตรกรรม ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์มีการพัฒนาสีเป็นประเภทต่าง ๆ ขณะที่เวลาพูดถึงงานประติมากรรมจะไม่พูดถึงสีแต่จริง ๆ ก็มีสีไม่ว่าจะเป็นสีของดินเผา สีของหินอ่อน หรือแม้แต่สีของเหล็กและไม้ และแม้ว่าปัจจุบันศิลปะร่วมสมัยบางชิ้นจะไม่ค่อยเกี่ยวกับการใช้สีสัน หันมาใช้วิดีโอ หรือแสงต่าง ๆ แทน แต่ก็ไม่หลุดไปจากสีอยู่ดี โดยเฉพาะแสงเลเซอร์ต่าง ๆ ก็มีสีเพื่อแสดงอารมณ์ต่าง ๆ


ทั้งนี้ เมื่อยุคสมัยแปรเปลี่ยนไปกติกาบางอย่างของการใช้สีอาจถูกลดทอนลง ศิลปินบางคนไม่ใส่ใจเฉดสีสื่อความรู้สึกแต่มุ่งทำงานตามที่ตัวเองถนัด ซึ่ง รศ.สุธี มองว่าความเข้าใจในทฤษฎีเฉดสีจะมีประโยชน์ในแง่ของผู้เริ่มฝึกฝนฝีมือเพื่อพัฒนาไปสู่ความเชี่ยวชาญ และเมื่อผ่านจุดนี้ไปแล้วทฤษฎีอาจไม่จำเป็น ความรู้สึกเกี่ยวกับสีในสไตล์ส่วนตัวจะค่อย ๆ แสดงออกมาซึ่งไม่มีอะไรถูกหรือผิด วัดกันที่ผลงานมากกว่า...



ภาพและข้อมูลจากเวบ
komchadluek.net














นิทรรศการศิลปะและการแสดง ครั้งที่ ๓


เทศกาลศิลปะการแสดง ครั้งที่ ๓
วันที่ : ๑๘ กรกฎาคม - ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๗
สถานที่: ห้องสตูดิโอ ชั้น ๔, ห้องอเนกประสงค์ ชั้น ๑ และห้องออดิทอเรียม ชั้น ๕
โดย หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครร่วมกับเครือข่ายทางด้านศิลปะการแสดง


หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครร่วมกับกลุ่มศิลปินสาขาศิลปะการแสดงร่วมกันจัดงานเทศกาลศิลปะการแสดงครั้งยิ่งใหญ่ เทศกาลศิลปะการแสดง ครั้งที่ ๓ หรือ P.A.F. : Performative Art Festival # 3 ระหว่างเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม ๒๕๕๗ ที่ห้องสตูดิโอ ห้องอเนกประสงค์ และห้องออดิทอเรียม หอศิลปกรุงเทพฯ สี่แยกปทุมวัน


โดยในปี ๒๕๕๗ นี้นับเป็นปีที่สามที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครร่วมมือกับเครือข่ายทางด้านศิลปะการแสดงในการร่วมกันจัดเทศกาลศิลปะการแสดงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นอีกพื้นที่ในการเผยแพร่งานศิลปะการแสดง และเป็นสื่อกลางระหว่างศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานและประชาชน ให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และแนวคิด เพื่อให้สังคมเกิดพลวัตรอย่างสร้างสรรค์


ซึ่งภายใต้เทศกาลฯ ในครั้งนี้การแสดงจะมีความหลากหลายจากศิลปินชาวไทยและต่างชาติ และนอกเหนือจากการแสดงทั้งละครเวที ละครร้อง ศิลปะการแสดงสด และศิลปะการเต้นแล้วนั้น ยังประกอบด้วยการเสวนาโดยศิลปิน และการอบรมเชิงปฏิบัติการด้านศิลปะการแสดงสด ศิลปะการเต้น และบูโตอีกด้วย โดยตลอดเทศกาลฯ ผู้ชมจะได้รับชมการแสดงจากคณะศิลปินหลายกลุ่มที่มีรูปแบบการแสดงที่แตกต่างกันอย่างหลากหลาย ทั้งนี้เทศกาลฯ จะประกอบไปด้วย


๑. โครงการ “Connecting ASEAN Plus” 2014 วันที่ ๑๘ – ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗

๒. เงา – ร่าง (Shade Borders) วันที่ ๑๕-๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๗

๓. ละครร้อง ศรีบูรพา บันทึกแห่งอิสรา วันที่ ๒๘ – ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๗

๔. สนทนาและฝึกปฏิบัติการศิลปะแสดงสดกับแรนดี้ เกรดฮิลล์ วันที่ ๓ – ๖ กันยายน ๒๕๕๗

๕. ละครเวที เพลงรัก ๒๔๗๕ วันที่ ๑๘ กันยายน - ๕ ตุลาคม ๒๕๕๗

๖. Hipster the King วันที่ ๑o – ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๗

๗. เทศกาลศิลปะแสดงสดนานาชาติเอเชียโทเปีย ครั้งที่ ๑๖ / ๒o๑๔ วันที่ ๒๘ ตุลาคม -๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗

๘. เทศกาลละครกรุงเทพ ๒๕๕๗ วันที่ ๑-๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๗

๙. มหกรรมการเต้นนานาชาติ ๒o๑๔ วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน – ๓ ธันวาคม ๒๕๕๗

๑o. THE 9th INTERNATIONAL BUTOH FESTIVAL THAILAND 2014 วันที่ ๔-๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๗


เทศกาลศิลปะการแสดง ครั้งที่ ๓ นี้ได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายด้านการแสดง อาทิ มูลนิธิเพื่อนศิลปะ พระจันทร์เสี้ยวการละคร นิตยสารไรท์เตอร์ กลุ่มศิลปินเอเชียโทเปีย เดโมเครซี่สตูดิโอ เครือข่ายละครกรุงเทพ กลุ่มละคร B-Floor และกลุ่ม Butoh Co-Op ประเทศไทย ที่จะมาร่วมสร้างสรรค์พื้นที่ทางศิลปะการแสดงให้สมบูรณ์ขึ้นที่หอศิลปกรุงเทพฯ เพื่อเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์และถ่ายทอดความรู้จากศิลปินมาสู่ผู้ชม


ผู้ที่สนใจเข้าชมการแสดงสามารถติดตามรายละเอียดต่าง ๆ อาทิตารางการแสดง (วันที่และเวลา) รวมทั้งราคาบัตรได้ที่ bacc.or.th และ Facebook: หอศิลป์กรุงเทพฯ


สอบถามเพิ่มเติม
ฝ่ายกิจกรรม หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
โทรศัพท์ o๒-๒๑๔-๖๖๓o-๘ ต่อฝ่ายกิจกรรม ๕๓o โทรสาร o๒-๒๑๔-๖๖๓๙
อีเมล activity@bacc.or.th
เว็บไซต์ bacc.or.th / Facebook: หอศิลป์กรุงเทพฯ



ภาพและข้อมูลจากเวบ
portfolios.net














โครงการออกแบบสื่อ สารคดี และภาพยนตร์สร้างสรรค์เพื่อสร้างเสิรมอัตลักษณ์ชาติ


โครงการนี้เป็นการออกแบบ และผลิตสื่อต่าง ๆ ที่นำเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ด้านศิลปวัฒนธรรมประเพณี สาระแห่งบุคคลในประวัติศาสตร์ เนื้อหาทางโบราณคดีเรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องที่อธิบายยาก หลายอย่างโดนเก็บทับถม สะสมเป็นพันปี บางอย่างเข้าใจผิดเพี้ยนไปบ้างก็เยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวต่าง ๆ ในชุมชน อันเป็นประวัติศาสตร์ที่เราควรรู้ถิ่นฐานที่เกิดของเราเอง แต่ในปัจจุบันมีใครบ้างที่รับรู้และเข้าใจ เราลืมรากเหง้าและลืมภูมิหลังก็เท่ากับว่าเราขาดฐานแข็งแกร่งที่มุ่งสู่อนาคต โครงการนี้จึงจุดประกายให้เกิดพลังในการถ่ายทอดสื่อใหม่ ๆ เพื่อการรับรู้เข้าใจทั้งคนในชาติด้วยกันเอง ทั้งเยาวชน นักเรียน นักศึกษาที่เข้าถึงแหล่งข้อมูลที่ง่าย สวย น่าสนใจ


จุดประสงค์โครงการมีดังนี้

๑. สร้างเสริมอัตลักษณ์ชาติด้วยการนำเสนอสื่อสร้างสรรค์ต่าง ๆ เพื่อให้คนไทยเยาวชนไทยและนานาอารยะประเทศได้รับรู้ตระหนัก ซาบซึ้งถึงมรดกที่งดงามของชาติ

๒. เผยแพร่แง่มุมประวัติศาสตร์ที่เคยฝังกลบอยู่ในดิน และห้องสมุดที่ยากต่อการค้นหาสู่การพัฒนารูปแบบการนำเสนอแนวใหม่ที่ง่ายต่อการรับรู้ ประหยัดเวลา มีความงดงาม และทันสมัยโดยมีพื้นฐานอัตลักษณ์ไทย

๓. ผลิตเผยแพร่อัตชีวประวัติของคนที่มีคุณต่อแผ่นดินโดยคัดเลือก และเก็บรวบรวมเพื่อสานต่อการค้นคว้าในอนาคต อีกทั้งนำแนวทางด้านศิลปะและการออกแบบไปดำเนินการให้เกิดความงดงาม รับรู้ง่ายไม่น่าเบื่อ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนไทยรุ่นต่อรุ่นอันมีผลต่อการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ของคนไทยรุ่นใหม่

๔. เป็นการปฏิรูปการศึกษายุคใหม่ที่มีเครื่องมือสื่อใหม่ในการอธิบายองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่อธิบายยากในทางประวัติศาสตร์ในทางวรรณกรรม ในทางโบราณคดี และความเข้าใจในปรัชญาที่ลึกซึ้งให้ง่ายต่อการรับรู้ด้วยการออกแบบสื่อสิ่งแนวใหม่ให้อธิบายง่าย น่าฟังและน่าดูเผยแพร่ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียนตลอดจนสื่อต่างๆ ทั้งโครงการหรือสื่อออนไลน์ต่าง ๆ

๕. เผยแพร่สู่นานาอารยะประเทศเพื่อความมั่นใจในการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนก่อเกิดแรงบันดาลใจให้กับคนทั้งโลกว่าไทยและอาเซียนยิ่งใหญ่เกรียงไกรและมีความลึกซึ้งทางวัฒนธรรมมากเพียงใด

๖. ส่งเสริมให้เกิดการเพิ่มเติมเนื้อหาในสื่อต่าง ๆ ทางโทรทัศน์ที่สามารถนำเรื่องดีๆ มานำเสนอสร้างเสริมความรักชาติหวงแหนแผ่นดินเข้าใจวิถีแห่งแผ่นดินเกินจนสามารถปกป้องชุมชนให้เข้มแข็งต่อไปได้


นำเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ในวิถีชุมชน วัฒนธรรม ศิลปะประเพณีในรูปแบบที่น่าสนใจ เช่นการผลิตภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องเพลงกล่อมไทย การออกแบบอินโฟกราฟิก เรื่องความเข้าใจในการเคลื่อนขยายของมานุษยวิทยาของชุมชนหนึ่งการออกแบบสารคดีในการอธิบายเรื่องยาก ๆ ให้ง่ายต่อการเข้าใจเช่น สารคดีการค้นพบคนโบราณในยุคสมัยพิมายทวาราวดีด้วยแอนิเมชั่นแนวใหม่ การออกแบบภาพยนตร์การเดินทัพของพระนเรศวรในการชนะศึกสงครามกับพม่ารามัญ การอธิบาย ประติมากรรม สัมฤทธิ์ยุคโบราณว่ามีที่มาจากอิทธิพลใดบ้างมีลักษณะเฉพาะอย่างไร ในยุคเวลานั้นสามารถเป็นส่วนสำคัญในการอ้างอิงเพื่อต่อยอดความรู้ต่อไป และเป็นความรู้จากอดีตที่สามารถปรับใช้ในอนาคตต่อไป โครงการทั้งหมดจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้โดยคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร



ภาพและข้อมูลจากเวบ
komchadluek.net














การบ่มเพาะมูลค่าเพิ่มทางศิลปวัฒนธรรม
และเศรษฐกิจด้วยแนวทางศิลปะและการออกแบบ


ทรัพย์สินทางศิลปวัฒนธรรมและประเพณีของประเทศไทย มีความหลากหลาย ละเอียดลึกซึ้ง มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน อันเป็นอัตลักษณ์ของประเทศที่ทรงคุณค่ามหาศาล


การสร้างเสริมทรัพย์สินเหล่านี้ให้มีมูลค่าเพิ่มต่อยอดจากเดิมจึงมีความสำคัญมากอันเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมของการพัฒนาประเทศอย่างสร้างสรรค์ มีทิศทางส่งเสริมการเพิ่มพูนรายได้ประชาชาติของคนไทยอย่างสมดุลและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งปัจจัยสำคัญของความสำเร็จเหล่านี้คือ กระบวนการสร้างสรรค์บ่มเพาะสิ่งที่เป็นอยู่แห่งรากฐานประเทศสู่การเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ และทรัพย์สินทางปัญญาให้มีมูลค่าสูงขึ้น


การบ่มเพาะมูลค่าเพิ่มทางศิลปวัฒนธรรมและเศรษฐกิจด้วยแนวทางศิลปะและการออกแบบ ภายใต้แนวคิด แรงบันดาลใจแห่งประเทศไทย (Thailand Inspiration) จึงเป็นอีกข้อเสนอแนะหนึ่งของการพัฒนาประเทศในอีกมิติ และมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจ






จุดประสงค์โครงการ

๑. เพื่อต่อยอดภูมิปัญญาของชุมชนออกสู่การพัฒนาแบรนด์สินค้านานาชาติ โดยมีอัตลักษณ์ในแบบฉบับของไทย

๒. ส่งเสริมให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยการนำปราชญ์ความคิดของไทยสู่การพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน และให้ได้รับความนิยมในระดับนานาชาติ

๓. ส่งเสริมให้เกิดการแปรรูปผลิตภัณฑ์ของไทยให้ร่วมสมัยทัดเทียมสินค้าในระดับโลก เพื่อเพิ่มมูลค่าและยกระดับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของไทยด้วยการออกแบบที่ดี

๔. เป็นแหล่งรวมศาสตร์ต่าง ๆ และภูมิปัญญาของชาติ โดยคัดเลือกในหมวดเฉพาะด้านที่มีคุณประโยชน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีศักยภาพในการสร้างเสริมสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า และได้รับความนิยมระดับโลก

๕. เป็นแหล่งบ่มเพาะภูมิปัญญา คนสร้างสรรค์ คนต้นแบบลิขสิทธิ์ทางปัญญาเพื่อสร้างสรรค์ทั้งบุคคลากรที่มีคุณภาพและผลงานที่มีคุณภาพไปพร้อมกัน


ขั้นตอนตัวอย่างการสร้างมูลค่าเพิ่มมีดังนี้

๑. การสำรวจและคัดสรรผลิตภัณฑ์ชุมชน สาระสำคัญทางวัฒนธรรม ประเพณีของประเทศไทยเลือกเฟ้นในโครงการที่สามารถต่อยอดสู่การพัฒนาให้ร่วมสมัยและบ่มเพาะสู่อนาคตได้ อธิเช่น ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยที่มีการพัฒนาให้มีลวดลายที่ทันสมัย การประยุกต์การนำไปใช้อย่างมีคุณภาพและได้รับความนิยมในระดับนานาชาติ โดยมีมูลค่าที่สูงขึ้นจากเดิมด้วยการบ่มเพาะจากการออกแบบ

๒. มีการจัดตั้งกลุ่มนักออกแบบจากนักศึกษา เยาวชน เอกชน นักออกแบบมืออาชีพจากหลายสาขาสำหรับความร่วมมือในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้ทันสมัยและร่วมสมัยมีอัตลักษณ์โดยอาจเสนอให้มีเจ้าภาพ ๑ สถาบันต่อ ๑ ชุมชน ต่อ ๑ ผลิตภัณฑ์ในการพัฒนาแบรนด์ต้นแบบ โดยอาจจะอยู่ในแผน CSR ขององค์กรต่าง ๆ ทั่วถึงโครงการ

๓. มีกระบวนการสร้างสรรค์และบ่มเพาะผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ โดยวางแผนครบทุกมิติ ๓๖o องศา มีสถานที่และศูนย์สร้างสรรค์ประจำชุมชนโดยให้มีความร่วมมือจากองค์กรต่าง ๆ มีการพัฒนาแบรนด์ของชุมชนให้ก้าวสู่ระดับนานชาติจาก ๕,ooo ชุมชนเกิดต้นแบบ ๕oo แบรนด์ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว ยกตัวอย่างเช่น การออกแบบวงจรสินค้าทางการเกษตร “ยางพารา” โดยอาจมีการจัดตั้งกลุ่มสหกรณ์การแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่ผลิตผลจากยาง ณ ชุมชนแห่งหนึ่ง โดยนำวัตถุดิบมาแปรรูปในทุกมิติ มีกระบวนการส่งเสริมครบถ้วนทั้งการตลาด การจัดจำหน่าย การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์ การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ สำหรับชุมชน “ยางพารา” โดยเฉพาะ นี่คือ ตัวอย่างนะครับสำหรับ ๑ ชุมชน ยังมีผลิตภัณฑ์การเกษตร และการพานิชย์ต่าง ๆ อีกนับร้อยนับพันที่มีโอกาสแปรรูปได้ทั้งหมด






โดยภารกิจรัฐที่ควรสนับสนุนมีดังนี้

๑. การสนับสนุนโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และภูมิปัญญาของชาติในทุกมิติกระจายวงกว้างทั้งประเทศ

๒. การสนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์บ่มเพาะผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม

๓. การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของหน่วยงานรัฐต่อการเสริมสร้างและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนให้บรรลุเป้าหมาย

๔. รัฐควรสนับสนุนทางการตลาด การเชื่อมสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์สู่การจัดจำหน่ายระดับนานาชาติ กิจกรรมโรดโชว์ กิจกรรมการจัดแสดงงานระดับโลก กิจกรรมการส่งเสริมการพัฒนาการค้าให้มีมูลค่าสูงแทนมูลค่าต่ำ

๕. การส่งเสริมสถาบันการศึกษาที่มีหน้าที่เหล่านี้อย่างเต็มรูปแบบ เต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยมีเยาวชน นักเรียน นักศึกษา มีส่วนร่วมในการเลือกเฟ้นเสนอความคิดระดมสมองให้กับชุมชนต้นแบบต่าง ๆ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ส่งผลต่อการจับคู่นักออกแบบกับชุมชนที่ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างมีคุณภาพไปพร้อมกันทั้งคนและผลิตภัณฑ์


ทรัพย์สินทางปัญญา ทางศิลปวัฒนธรรมของชาติมีมหาศาล มีความหลากหลาย แต่การฟื้นฟูให้โครงการต่าง ๆ มีการพัฒนาต่อยอดทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญมาก จากการสำรวจเบื้องต้นให้เห็นว่าบางผลิตภัณฑ์ บางเรื่องราวทางศิลปวัฒนธรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชน ขาดการเหลียวแลจนทำให้เสียโอกาสที่ดีของชาติไป แทนที่คนไทยจะได้ลืมตาอ้าปาก มีเศรษฐกิจพื้นฐานจากความสามารถตามอัตลักษณ์ของชุมชน แต่กลับต้องเผชิญความยากลำบาก จนล้มหายตายจากกันไป ขาดการสืบทอดจนบางอย่างเรื่องดีๆ ได้สูญสลายไป เป็นเรื่องน่าเสียดายถ้าเราปล่อยปละละเลยศิลปวัฒนธรรมดีๆ โดยไม่ได้รับการพัฒนานะครับ



ภาพและข้อมูลจากเวบ
komchadluek.net














บางกระดี่ ชีวิตดี๊ดี


ไปเที่ยวบางกระดี่ แบบชีวิตดี๊ดี กันเถอะ ^^

เดือนตุลาคมนี้ มีความพิเศ๊ษพิเศษตรงที่เรามี Sook Travel ถึง ๒ รอบ โดยรอบที่ ๒ นี้ เราจะพาคุณไปทัวร์กันที่บางกระดี่ค่ะ ซึ่งในครั้งนี้เราก็จะไปเรียนรู้ดูชมวิถีชีวิตเรียบง่าย สไตล์ชาวมอญ เรียนรู้วัฒนธรรม เที่ยวชมพิพิธภัณฑ์และการละเล่นพื้นบ้าน พร้อมอิ่มอร่อยไปกับอาหารท้อ ถิ่นของคนที่นี่


Sook Travel ตอน ตะลอนทัวร์ ตะลอนทัวร์บางกระดี่ ชีวิตดี๊ดี จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๗ เวลา ๗.๓o - ๑๖.oo น.


***เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ***


อยากสมัครร่วมทัวร์กับเราทำได้ดังนี้

๑. สมัครได้เฉพาะทางโทรศัพท์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคมเป็นต้นไปที่ คุณอภิสิทธิ์ เพียรหอม โทร o๒-๒๗o-๑๓๕o-๔ ต่อ ๑o๗, o๘๙-๘๙๒-๑๓๙o

๒. ผู้ลงทะเบียนร่วมทัวร์มีค่าอาหารกลางวันท่านละ ๑oo บาท (เด็กอายุต่ำกว่า ๘ ปี ฟรี) ชำระค่าอาหารได้โดยการโอนเงินเข้าบัญชี ธนาคารกสิกรไทย เลขบัญชี ๗๙๙-๒-๘๗๔๖o-๗ ชื่อบัญชี นายอิทธิชัย เตชะวานิชชัย

๓. จำกัดครอบครัวละไม่เกิน ๔ ท่าน / ท่านละ ๑ กิจกรรม และขอสงวนสิทธิ์ในการจองตามลำดับเท่านั้นค่ะ

กำหนดการ “SOOK TRAVEL ตอน บางกระดี่ ชีวิตดี๊ดี”

วันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๗

ณ แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร

๘.oo – ๘.๓o น. ผู้เข้าร่วมกิจกรรมลงทะเบียน ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ

๙.๓o – ๑o.oo น. เดินทางถึงบ้านมอญบางกระดี่ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ ไหว้ พระพุทธรูปยืนไม้แกะสลักจากไม้ ทั้งต้น เจดีย์ โบสถ์ แบบมอญ อายุเก่าแก่ ชมสถาปัตยกรรมภายในวัดซึ่งเป็นศิลปะแบบพื้นบ้านเกิด จาก พลังศรัทธาของชาวบ้าน สมัยปลายรัชกาลที่ ๓ ถึงต้นรัชกาลที่ ๔ อายุกว่า ๑๓๕ ปี

๑o.oo - ๑๑.๓o น. เข้าบ้านแส้ แลดนตรีมอญ
• ชมการสาธิตและทดลองทำแส้ปัดยุงโบราณด้วย “ดอกจาก”
• ร่วมเรียนรู้และฟังการขับกล่อมดนตรีจากวงปี่พาทย์มอญวงเดียวในประเทศไทย “วงหงฟ้ารามัญ”

๑๑.๓o – ๑๒.๓o น. ชมศูนย์ศิลปวัฒนธรรมมอญบางกระดี่ พิพิธภัณฑ์แห่งแรกของชุมชน
• พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมข้าวของเครื่องใช้ที่แสดง ถึงวิถีชีวิตของชุมชนตั้งแต่อดีต พร้อมแสดงแผนผัง ชุมชนมอญบางกระดี่

๑๒.๓o น. – ๑๓.๓o น. ลิ้มรสอาหารกลางวันไทยมอญ

๑๓.๓o น. – ๑๔.๓o น. ชมการเล่น “สะบ้ามอญ” การละเล่นพื้นเมืองของชาวไทยมอญ
• การละเล่นที่เป็นกุศโลบายของชาวมอญที่ทำให้หนุ่มสาวได้มาพบกันเป็นเทศกาล

๑๔.๓o น. – ๑๕.๓o น. ปิ้งขนมจาก ตำงาดำกวน
• ผู้เข้าร่วมกิจกรรมลงมือปิ้ง “ขนมจาก” สูตรพื้นบ้านมอญด้วยตัวเอง และลองทำ “งาดำกวน” จาก สูตรต้นตำรับมอญ

๑๕.๓o น. – ๑๖.oo น. สรุปกิจกรรม “เล่าสู่กันฟัง หลังหนึ่งวันที่บางกระดี่”

๑๖.oo น. – ๑๖.๓o น. อุดหนุนของฝากชุมชน

๑๖.๓o น. – ๑๗.๓o น. เดินทางกลับศูนย์เรียนรู้สุขภาวะโดยสวัสดิภาพ


หมายเหตุ : กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม



ภาพและข้อมูลจากเวบ
thaihealthcenter.org














โครงการ "อ่านเขียน เรียนรู้


ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น จำกัด และโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี่ ขอเชิญนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และนิสิต นักศึกษา ส่งผลงานเข้าร่วมการประกวด โครงการ “อ่าน เขียน เรียนรู้ : ชิงทุนการศึกษาธนาคารกรุงเทพ ผ่านงานวิจารณ์วรรณกรรม” ชิงทุนการศึกษามูลค่ารวมกว่า ๒,ooo,ooo บาท


วัตถุประสงค์

๑. เพื่อส่งเสริมการอ่านงานสร้างสรรค์ภาษาไทยร่วมสมัยชั้นเลิศ ที่มีรางวัลชมนาดการันตี
๒. เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ – ๖ และผู้ที่กำลังศึกษาระดับปริญญาตรี ที่มีความสามารถด้านการอ่าน และการเขียนภาษาไทยได้ศึกษาจนจบระดับปริญญาตรีทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ผู้ชนะการชิงทุนการศึกษาเป็นผู้เลือกสถาบันด้วยตนเอง
๓. เพื่อให้เยาวชนเห็นความสำคัญของการอ่านและการเขียน
๔. เพื่อส่งเสริมงานเขียนของเยาวชน สร้างนักวิจารณ์วรรณกรรมรุ่นใหม่


ลักษณะของทุนการศึกษา

๑. เป็นทุนการศึกษาที่ให้กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ – ๖ และผู้ที่กำลังศึกษาระดับปริญญาตรี ที่มีความประสงค์จะศึกษาจนจบระดับปริญญาตรี จำนวน ๓o ทุน
๒. เป็นทุนการศึกษาที่ให้เปล่า โดยไม่มีภาระผูกพันใด ๆ กับภาคีพันธมิตรทั้งสิ้น
๓. เป็นทุนการศึกษาให้แก่ผู้ชนะจากโครงการฯ ชิงทุนการศึกษา สามารถเลือกสถานศึกษาได้เองโดยอิสระโดยมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกติกาที่ภาคีพันธมิตร กำหนดเป็นเงื่อนไขไว้ดังต่อไปนี้


คุณสมบัติของผู้มีสิทธ์ิเข้าร่วมชิงทุนการศึกษา

๑. เป็นผู้ที่กำลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6 และผู้ที่กำลังศึกษาระดับปริญญาตรี ที่มีความประสงค์จะศึกษาจนจบระดับปริญญาตรี
๒. เป็นผู้ได้อ่าน หนังสือรางวัลชมนาด และเรื่องที่เข้ารอบซึ่งได้รับการจัดพิมพ์ (รายชื่อหนังสือตามเอกสารแนบท้าย) ได้เข้าใจเพื่อสรุปใจความสำคัญ และจับประเด็นของเรื่องได้แม่นยำ
๓. ต้องลงทะเบียนสมัครโครงการฯ ชิงทุนการศึกษา ผ่านเว็บไซต์ //www.praphansarn.com และเขียนสรุปใจความสำคัญให้ได้ประมาณอย่างน้อย ๒ หน้า A4 ขนาดฟอนท์ 14 point โดยคณะกรรมการคัดกรองคือ กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น
๔. ผ่านการคัดเลือกและตัดสินของคณะกรรมการฯ ตามกติกาและช่องทาง ตลอดจนวัน เวลา สถานที่ประกาศชื่อผู้ได้รับทุนการศึกษา ได้ตามข้อกำหนดของภาคีพันธมิตร จนได้ฉันทามติเป็นบุคคลผู้ได้รับทุนการศึกษาตามโครงการฯ จากคณะกรรมการตัดสิน เป็นที่สุดอย่างครบถ้วน
๕. ปัจเจกบุคคลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับภาคีพันธมิตร ไม่มีสิทธ์ิเข้าร่วมโครงการฯ ชิงทุนการศึกษา หากพบภายหลังจะถูกตัดสิทธิ์ทันที


กติกาในการส่งบทสรุปใจความสำคัญเข้าร่วมโครงการฯ ชิงทุนการศึกษา
กำหนดให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ชิงทุนการศึกษา ได้อ่านหนังสือรางวัลชมนาด และเรื่องที่เข้ารอบซึ่งได้รับการจัดพิมพ์ (รายชื่อหนังสือตามเอกสารแนบท้าย)


ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ชิงทุนการศึกษา เลือกส่งสรุปใจความสำคัญของหนังสือที่แนบท้ายโครงการฯ มาจำนวน ๑ เรื่อง ความยาวประมาณไม่น้อยกว่า ๒ หน้า A4 ขนาดฟอนท์ 14 point มาที่ โดยแนบไฟล์สรุปใจความสำคัญของหนังสือมาที่ //www.praphansarn.com เลือกหัวข้อ “ส่งบทสรุปใจความสำคัญ”ภายในวันที่ ๑๖ ต.ค. - ๑๕ ธ.ค. ๕๗ โดยคณะกรรมการจะพิจารณาบทสรุปใจความสำคัญ เพื่อคัดเลือกผู้ผ่านเข้ารอบจำนวน ๓o คน ซึ่งจะถือว่าการตัดสินจากคณะกรรมการรอบคัดเลือกถือเป็นอันสิ้นสุด (คณะกรรมการรอบคัดเลือกจะเป็นที่ปรึกษาและบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น)


Webmaster จะนำบทสรุปใจความสำคัญของผู้ผ่านการคัดเลือก จำนวน ๓o คน มาโพสต์ลงบนเว็บไซต์ให้สาธารณะ - ชุมชนคนรักหนังสือบน //www.praphansarn.com ในกระดานข่าว “ชิงทุนการศึกษาธนาคารกรุงเทพ” ซึ่งสร้างเป็นแบนเนอร์หน้าโฮมเพจเด่นชัด ให้ได้รับทราบโดยทั่วกัน
ผู้ที่ผ่านรอบคัดเลือก ๓o คน ต้องมีความพร้อมเพื่อเข้าค่ายรับการอบรมวิจารณ์วรรณกรรมในค่ายนักเขียนเยาวชน จากคณะกรรมการรอบตัดสิน ระยะเวลาการเข้าค่าย ๓ วัน ๒ คืน และต้องนำหนังสือชมนาดที่เขียนส่งเข้าประกวด ติดตัวมาเข้าค่ายด้วย และงดใช้อุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด
ทุนการศึกษาสำหรับผู้ที่ชนะการชิงทุนการศึกษา


ผู้ที่ผ่านเข้ารอบคัดเลือกการชิงทุนการศึกษาฯ จำนวน ๓o คน และผ่านการเข้าค่ายรับการอบรมวิจารณ์วรรณกรรม ในค่ายนักเขียนเยาวชน จากคณะกรรมการรอบตัดสิน โดยจะจัดสรรทุนการศึกษาดังต่อไปนี้

ประเภทที่ ๑ ทุนการศึกษา ๑oo,ooo บาท จำนวน ๑o ทุน
ประเภทที่ ๒ ทุนการศึกษา ๖o,ooo บาท จำนวน ๑o ทุน
ประเภทที่ ๓ ทุนการศึกษา ๔o,ooo บาท จำนวน ๑o ทุน
รวมทั้งสิ้น ๓o ทุน เป็ นจำนวนเงิน ๒ooo,ooo บาท
(ทางธนาคารฯ จะดูรายละเอียดในการจ่ายเงินตามลำดับขั้นตอนของธนาคารฯต่อไป)


รางวัลเสริมสร้างกำลังใจ

ผู้ผ่านเข้ารอบ ๓o คน จะได้รับรางวัลเสริมสร้างกำลังใจจำนวน ๒ ,ooo บาทต่อคน เมื่อประกาศผลการคัดเลือกบน praphansarn.com ภายใน ๑๕ วันทำการ รวมทั้งสิ้น ๖o,ooo บาท (ทางประพันธ์สาส์นเป็นผู้รับผิดชอบ) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากภูมิลำเนา มายังกทม. และเตรียมตัวเข้าค่ายนักเขียนเยาวชนร่วมกันต่อไป


ระยะเวลาของโครงการ

ทำการประชาสัมพันธ์ / พร้อมประกาศรับสมัคร ๑๖ ต.ค. - ๑๕ พ.ย. ๕๗
เปิดรับ “บทสรุปใจความสำคัญ” หนังสือรางวัลชมนาด ๑๖ ต.ค. - ๑๕ ธ.ค. ๕๗
คณะกรรมการชุดที่ ๑ รอบคัดเลือก พิจารณาบทสรุปใจความสำคัญ ๑๖ ธ.ค. ๕๗ - ๑๕ ม.ค. ๕๘
ประกาศรายชื่อผู้ผ่านรอบคัดเลือก ๓o คน ผ่านทางเว็บไซต์ ๓๔ ม.ค. ๕๘ praphansarn.com และ //www.bangkokbank.com
ผู้ผ่านรอบคัดเลือก ๓o คน เข้าค่ายรับการอบรมวิจารณ์วรรณกรรมในค่ายนักเขียนเยาวชน เดือนกุมภาพันธ์ ๕๘
ทำการประชาสัมพันธ์งานแถลงข่าวประกาศชื่อผู้ได้รับทุนการศึกษา ๒๓ ม.ค. – ก.พ. ๕๘


หมายเหตุ

วันสิ้นสุดการรับบทสรุปใจความสำคัญ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยพิจารณาจากการลงทะเบียนที่ //www.praphansarn.com ภายในเวลา ๒๔.oo น. ทางคณะผู้ดำเนินงาน ขอสงวนสิทธ์ิในการขยายกำหนดระยะเวลาโครงการฯ ตามเหตุปัจจัยสุดวิสัยตามความเหมาะสมด้วย การตัดสินของคณะกรรมการโครงการฯ ถือเป็นอันสิ้นสุด



ภาพและข้อมูลจากเวบ
contestwar.com














นิทรรศการ Nature-Culture ณ โบทเฮาส์ บาย มนทาระ ภูเก็ต


เมื่อเร็ว ๆ นี้ มิสมารี-ลอร์ เฟลอรี ผู้จัดการทั่วไป โบ๊ทเฮาส์ บาย มนทาระ หาดกะตะ ได้เปิดตัวนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะที่มีชื่อว่า “Nature-Culture” โดยคุณชมพู่ แซ่แต้ ศิลปินชาวภูเก็ต โดยนิทรรศการจะจัดแสดง ณ บริเวณล็อบบี้ของรีสอร์ทจนถึงสิ้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๗







ภาพและข้อมูลจากเวบ
ryt9.com














'IN WHITE : เห็นผลได้ในสองสัปดาห์'


ละครนิเทศ จุฬาฯ "WHITE : เห็นผลได้ในสองสัปดาห์"

คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญชมการสดงละครเวที ประจำปี ๒๕๕๗ เรื่อง "WHITE : เห็นผลได้ในสองสัปดาห์" ในวันที่ ๓๑ ตุลาคม - ๒ พฤศจิกายน และ วันที่ ๗-๙ พฤศจิกายน และ ๒๕๕๗ ณ โรงภาพยนตร์สกาล่า จำหน่ายบัตรที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ และ nitadechula.net สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ฝ่ายขายบัตรละครนิเทศจุฬาฯ โทร. o๙-๖๖o๕-๖๑๒๕ เฟซบุค



ภาพและข้อมูลจากเวบ
chula.ac.th














ริเวอร์ซิตี้ คอลเลกเทเบิ้ล โชว์ ๒o๑๔


“ริเวอร์ซิตี้” จัดแสดงงานของสะสมถ่ายทอดประวัติศาสตร์ สมัยรัชกาลที่ ๕


นายวรพงศ์ สุขธีรอนันตชัย (ที่ ๓ จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ และนางสาวพีรญา วงศรานุชิต (ที่ ๓ จากขวา) ผู้จัดการฝ่ายการตลาดศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ ร่วมเปิดงาน “ริเวอร์ซิตี้ คอลเลคทิเบิ้ลส์ โชว์ ๒o๑๔” (River City Collectibles Show 2014) เพื่อจัดแสดงของสะสมถ่ายทอดประวัติศาสตร์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) และภูมิภาคเอเชียตะวันออก เก่าแก่อายุมากกว่า ๑oo ปี


โดยได้รับเกียรติจาก นางสุดารัตน์ วัชรคุปต์ เหล่าวิชยา (ยืนกลาง) รองอธิบดีกรมหม่อนไหม นายธงชัย ลิขิตพรสวรรค์ (ที่ ๑ จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการสำนักพิมพ์ต้นฉบับ และตัวแทนจากสมาคมเผยแพร่และส่งเสริมศิลปวัตถุ ร่วมในพิธีเปิดงานดังกล่าว ณ แกรนด์ฮอลล์ ชั้น ๑ ศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้


สำหรับผู้สนใจสามารถชมงาน “ริเวอร์ซิตี้ คอลเลคทิเบิ้ลส์ โชว์ ๒o๑๔” ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๗



สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อบริษัท พีอาร์ โฟกัส จำกัด

ประภาส จรสรัมย์ โทร: 0837012838, 02-654-7551-2

ปิยดา ภูไทย โทร: 0809811971, 02-654-7511-2



ภาพและข้อมูลจากเวบ
bangkokbiznews.com














“เท่าฝาหอย” ของ “จอม สุดยอดแฟนพันธุ์แท้เปลือกหอยสองสมัย”


นิทรรศการเดี่ยวศิลปะครั้งแรกของ จอม ปัทมคันธิน ผู้ที่หลายคนรู้จักเขาในนาม “จอม สุดยอดแฟนพันธุ์แท้เปลือกหอยสองสมัย”


จอมเป็นนักสังขวิทยา, นักสะสมเปลือกหอย และนักเดินทาง ผู้รักการวาดภาพ เป็นบุตรชายของ สมนึก ปัทมคันธิน นักธุรกิจและนักสะสมเปลือกหอยชาวภูเก็ต เป็นผู้ร่วมก่อตั้งพิพิธภัณฑ์เปลือกหอยในประเทศไทย คือ ที่จังหวัดภูเก็ตในนาม บริษัทภูเก็ต ซีเชลล์ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว โดยพิพิธภัณฑ์เปลือกหอยนี้เป็นความใฝ่ฝันของสมนึก ผู้เป็นพ่อมาตั้งแต่วัยหนุ่ม เขาเกิดที่ จ. เชียงใหม่แต่เติบโตขึ้นท่ามกลางธรรมชาติของท้องทะเลอันดามันและหาดราไวย์ที่จังหวัดภูเก็ต


ห้องเรียนธรรมชาติเมื่อครั้งวัยเยาว์ ความทรงจำเมื่อครั้งวิ่งเล่นบนชายหาด การทำประมงตามธรรมชาติ ก่อนที่สึนามิและการเปลี่ยนแปลงจะตามมา จะถูกถ่ายทอดผ่านภาพลวดลาย สีสัน และรูปทรงของเหล่าเปลือกหอยหลากหลาย


การเกิดขึ้นของนิทรรศการคร้้งนี้ส่วนหนึ่งเกิดมาจากความมั่นใจที่จอมได้รับจากนักจัดนิทรรศการทางศิลปะกลุ่มหนึ่ง ที่เคยเชิญเขาให้เข้าร่วมนิทรรศการ Nature Diaries เมื่อปลายปี 56 ณ หอศิลป์ตาดูไทยยานยตร์


“ความสำเร็จเล็ก ๆ จากครั้งนั้นผลิดอกออกใบมาเป็นนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกในคราวนี้และแรงบันดาลใจมาจากความทรงจำวัยเยาว์ของผมกับคุณพ่อที่มีเปลือกหอยเป็นสื่อกลางมานับแต่ผมจำความได้รวมถึงคลื่นสึนามิ (Tsunami) ที่ถล่มชายฝั่งรอบทะเลอันดามันเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๗ นั้นได้พัดพาเอาคราบสกปรกในท้องทะเลออกไป เปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์ในท้องทะเลชายฝั่งบางพื้นที่ และ "คืนมา" ซึ่งสรรพชีวิตหลายอย่างในทะเลที่เคยมีและหายไปนาน


เหมือนสึนามิได้หอบเอาไข่ของหอยบางชนิดกลับมาเติบโตในท้องทะเลรอบเกาะภูเก็ตอีกครั้ง ผมเพิ่งค้นพบว่าเปลือกหอยเบี้ยตัวจิ๋วชนิดแรกที่เป็นซากเกยหาดที่ผมเดินเก็บกับพ่อตอนอายุได้สักสามสี่ขวบนั้นได้กลับมามีบนหาดราไวย์ที่ผมเติบโตมาอีกครั้ง เป็นหอย เบี้ย ursellusและอีกหลากหลาย เป็น connection เล็ก ๆ เป็นความทรงจำอันแสนพิเศษระหว่างผมกับพ่อที่ทำให้ผมสนใจเหล่าเปลือกหอย ศิลปะ และการเดินทางมาจนถึงทุกวันนี้ครับ”






ส่วนผลงานที่จัดแสดงในนิทรรศการจะมีความน่าสนใจอย่างไรบ้างนั้น จอมได้แนะนำเพื่อเป็นการเชื้อเชิญให้ทุกคนไปชมว่า


“งานศิลปะในนิทรรศการนี้มันมีความหลากหลายมากในหลายๆ ส่วน ผมฝึกฝนวาดรูปด้วยตนเอง จากพ่อ จากครู จากผู้รู้ชี้แนะ ใครหรืออะไร ๆ ก็แทบจะเป็นครูสอนผมได้ทั้งนั้น ผมอยากค้นพบ "ความสุข" จากการวาดภาพ ชอบทดลอง เลยลองวาดดูทั้งเทคนิคสีน้ำ สีอะคริลิก และสีบาติก ซึ่งล้วนแล้วให้อิทธิพลและบรรยากาศที่แตกต่างกัน


ผมรู้สึกบ้ามาก ที่กล้านำเสนอตนเองผ่านนิทรรศการในครั้งนี้ (หัวเราะ) เพราะไม่เคยได้ผ่านการเรียนรู้จริงจังจากสถาบันศิลปะไหน ๆ เลย อาศัยเพียงตาดูหูฟังฟังจากพ่อตัวเองมากที่สุด และ เดินทางไปชื่นชมและถามไถ่เรื่องราวของการวาดภาพจากอาจารย์ที่ผมรักหลายท่านที่ท่านล้วนเมตตาบอกเล่าเรื่องราวชีวิตและผลงานให้ฟัง ทำงานให้ดูตรงหน้าอย่างเปิดเผย ผมถือประสบการณ์เหล่านั้นเป็นครู


และผมเพียงเป็นคนวาดภาพประกอบเรื่องราวชีวิตคนรอบข้างและเปลือกหอย ที่ถ่ายทอดจากใจผมออกมาโดยไม่มีรูปแบบอะไรที่งดงามหรือชัดเจนเพียงพอเลย เพียงรู้ว่าภาพที่วาดออกมาไม่เคยงามได้เท่าเสี้ยวของภาพที่เห็นอยู่ในใจเลยสักครั้งในชีวิต เป็นเด็กน้อยที่แทบไม่ได้เติบโตขึ้นมาเลยในโลกของศิลปะที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ ผมยังเป็นเด็กห้าขวบคนเดิมที่เดิน ๆ วิ่ง ๆ ริมทะเลยามน้ำลดกับพ่ออยู่ (หัวเราะดัง) และไม่เคยก้าวข้ามความสนุกในการขีด ๆ เขียน ๆ อะไรไปตามประสาในตอนนั้นไปได้เลย”


นิทรรศการ เท่าฝาหอย | shells
วันที่ ๑๕ ตุลาคม-๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ เวลา ๑๑.๓o - ๒o.๓o น.
เปิดนิทรรศการในวันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เวลา ๑๖.๓o น.
ณ มิตรไนซ์ แกลเลอรี่ โชคชัย ๔ ซอย ๑๘ ลาดพร้าว กรุงเทพฯ
(หยุดทุกวันอาทิตย์และวันจันทร์) สอบถาม โทร. o๘๗-๖๗๕-๖๖๖๔



ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th














Emotional season


นิทรรศการ: Emotional season

โดย กมล หอมกลิ่น

นิทรรศการระหว่างวันที่ ๓-๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๗

สถานที่: People’s Gallery P1-P2 ชั้น ๒

Bacc หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

พิธีเปิดนิทรรศการ วันศุกร์ที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.oo น.


Emotional season: ในฤดูกาลที่ผ่านพ้นไป ร่อยรอยในประสบการณ์กำลังบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ ในความทรงจำไม่ว่าดีหรือร้าย หยาดฝนหล่นลงเป็นหยาดสุดท้ายของฤดูกาล มันกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ฤดูกาลใหม่ ใจและจิตความคิดของมนุษย์ก็เช่นกัน ทั้งกักขังและเดินทาง อุดมคติจึงกลายเป็นความฝันล่อหลอกให้เดินทางไปสู่ความสำเร็จในเชิงอุปทาน สุดปรารถนา รักใคร่ ครอบครองความหวัง ปรารถนา นานาสรรพสิ่งเป็นจริงดั่งหวัง มนุษย์จึงกลางเป็นแมลงอวิชา บินโผลเข้าไปในภวังค์แห่งความรกร้าง ท่ามกลางสายหมอกเดียวดาย ไร้พันธนาการสิ่งจับต้องใด ๆ พาหนะแห่งอวิชชาจึงเป็นร่างมนุษย์ที่เต็มไปด้วยปรารถนา บรรเลงเพลงชีวิตในทำนองรุกเร้า สุดท้ายคำตอบมันเป็นเพียงคำสั้น ๆ ว่า สุญตา ในบริบทมนุษย์







ภาพและข้อมูลจากเวบ
fineart-magazine.com














Monday 2 Monday


WTF เเกลลอรี่มีความยินดีขอเชิญท่านเข้าร่วมงานเปิดเเละชมนิทรรศการศิลปะร่วมสมัยที่มีชื่อว่า “Monday 2 Monday” โดย ศิลปินสองท่าน Varsha Nair (กรุงเทพ, ประเทศไทย) เเละ Lena Eriksson (บาเซล, ประเทศสวิซเซอร์เเลนด์)นิทรรศการครั้งนี้เกิดขึ้นจากโครงการ Monday 2 Monday ที่เริ่มก่อตั้งขึ้นตั้งเเต่ปี ๒o๑๑ โดยศิลปินทั้งสองท่านที่อยู่ห่างไกลกัน เเต่พยายามที่จะสร้างช่องทางการสื่อสารขึ้นอย่างสม่ำเสมอเเละต่อเนื่อง เป็นการสร้างให้เห็นภาพของบทสนทนาที่เกิดขึ้นมายาวนานกว่า ๓ ปีในรูปเเบบภาพยนตร์ นำเสนอผ่านวีดีโอสองช่องเเละงานศิลปะจัดวางบนชั้นสองเเละสามของ WTF เเกลลอรี่


ถึงเเม้ว่าบทสนทนาจะมีจุดริเริ่มมาจากการเเสดงออกทางอารมณ์ส่วนตัวระหว่างศิลปินทั้งสองท่านอย่างไม่มีการตั้งค่าผลลัพท์ หรือระยะเวลาที่ชัดเจนไว้ล่วงหน้า ยกเว้นกฎที่ว่าต้องมีการสื่อสารเกิดขึ้นทุกวันจันทร์ โปรเจ็ค Monday 2 Monday ได้ถูกพัฒนากลายเป็นโซ่ทางความคิด ซึ่งถือว่าเป็นเส้นทางเดินสำคัญของศิลปะเเละขั้นตอนหลักในการริเริ่มความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งเเสดงให้เห็นถึงความเพียรพยายาม เเละพันธสัญญาส่วนตัวระหว่างศิลปินทั้งสองท่าน


บทสนทนาที่มีความเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นในรูปเเบบตัวต่อตัว หรือการบันทึก ต่างมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานระหว่างกลุ่มศิลปินหรือองค์กรทางวัฒนธรรมทั่วโลก เเละได้กลายเป็นคอนเซ็ปต์ที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการศิลปะร่วมสมัยในปัจจุบัน การเเลกเปลี่ยนเหล่านี้เป็นการเเสดงให้เห็นว่าศิลปะเเละบทสนทนาสามารถเกิดขึ้นได้อย่างมีเเบบเเผนเเละเป็นนโยบายด้วยเช่นกัน


เพื่อเป็นการลดช่องว่างระหว่างระยะทางระหว่างเมืองบาเซลเเละกรุงเทพฯ การที่ต้องอยู่ห่างกันเป็นจุดริเริ่มการคิดสร้างพิ้นที่ทำงานร่วมที่ศิลปินทั้งสองสามารถเเลกเปลี่ยนความคิดอย่างมีอิสระ โดยการเปิดพื้นที่กว้างเต็มที่ในด้านการเเลกเปลี่ยนความคิด ทั้งเรื่องส่วนตัวเเละการทำงาน หัวข้อสนทนาถูกเลือกมาจากเรื่องที่มีความหมายสำคัญต่อทั้งสอง ณ เวลานั้น ๆ ถูกนำมาเเชร์ในทุกวันจันทร์ อาทิเช่น การสูญเสีย การปลอบใจ ความเป็นเพื่อน ครอบครัว ประวัติศาสตร์ ปัญหาสังคมเเละการเมือง เศรษฐกิจ เอกลักษณ์ ปรัชญา ศีลธรรม โลกาภิวัฒน์ เเละขั้นตอนการทำงานศิลปะที่ประสบความสำเร็จเเละล้มเหลวของทั้งสอง


ข้อความที่ได้ส่งหากันมักจะสั้น คล้ายโทรเลข ส่วนมากตรงไปตรงมา บางครั้งมีการเเทรกมุขตลกเเละการประชดเสียดสี อาจดูเหมือนเป็นจดหมายรักที่ไม่มีอารมณ์ความลุ่มหลงเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นการพูดเเสดงออกให้เห็นความเป็นมิตรภาพอย่างลึกซึ้งของคน ๆ หนึ่ง ที่เพียรหยอดความซื่อสัตย์ ความเห็นอกเห็นใจ เเละความพยายามอย่างที่สุดที่จะทำนุบำรุงความสัมพันธ์ที่ห่างไกลกันนี้ไว้ให้ได้ด้วยความต้องการที่จะติดต่อสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอ


Lena Eriksson เกิดที่เมือง Brig ประเทศสวิสเซอร์เเลนด์ เเละพึ่งได้รับปริญญามหาบัณฑิตในสาขา Art in Public Sphere จาก Lucerne School of Art and Design ประเทศสวิสเซอร์เเลนด์ Lena ทำงานศิลปะภาพเขียน, วีดีโอ, การเเสดง เเละงาน concept เเละนิยมทำงานศิลปะร่วมกับศิลปินท่านอื่น ในปี ค.ศ. ๒oo๔ ถึง ๒oo๙ เธอได้ก่อตั้ง Lodypop พื้นที่ศิลปะขึ้น โดยใช้เป็นพื้นที่ทางความคิดที่จัดเเสดงนิทรรศการศิลปะโดยศิลปินทั้งในเเละนอกประเทศสวิสเซอร์เเลนด์


Varsha Nair เกิดที่เมืองกัมพาลา ประเทศอูกันดา จบการศึกษาทางศิลปะจาก Baroda School of Art, Maharaja Sayajirao University ประเทศอินเดีย Varsha ทำงานศิลปะร่วมกับผู้อื่นด้วยใช้สื่อที่หลากหลาย เเละใช้วิธีการที่เเตกต่าง ทั้งการผลิต การเขียน การจัดการ เเละการนำคนเเละสิ่งของมารวมกัน Varsha เคยเเสดงงานเดี่ยวเเละกลุ่ม ในะระดับนานาชาติ เเละประเทศไทยที่เธอพำนักอยู่ตั้งเเต่ปี ค.ศ. ๑๙๙๕


นิทรรศการครั้งนี้เกิดขึ้นได้ด้วยการสนับสนุนจาก The Swiss Arts Council Pro Helvetia เเละสถานเอกอัครราชฑูตสวิสเซอร์เเลนด์ประจำประเทศไทย


ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรเจ็ค : //monday2monday.tumblr.com/

นิทรรศการ : Monday 2 Monday
ศิลปิน : Varsha Nair เเละ Lena Eriksson
วันที่ : ๑o ตุลาคม – ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
สถานที่ : WTF เเกลลอรี่กรุงเทพ (สถานีรถไฟฟ้า BTS ทองหล่อ)
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ : สมรัก ศิลา
เบอร์โทร : o๒-๖๖๒-๖๒๔๖, o๘๙-๙๒๖-๕๓๗๔
เว็บไซต์ : //www.wtfbangkok.com
อีเมล : somrak@wtfbangkok.com



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














สัพเพสัตตา


งานชุดนี้เป็นการรวบรวมงานที่ผมสร้างขึ้นต่างกรรมต่างวาระ เคยแสดงบ้าง ไม่เคยแสดงบ้าง เคยแสดงแล้วไม่มีคนไปดูบ้าง หรือหลายคนไม่ได้เคยเห็น การใช้พื้นที่ครั้งนี้ เพื่อเสนอให้เห็นความหลากหลาย ของอารมณ์ รู้สึก และความคิด ที่ผมมีต่อชีวิตและสังคม ดั่งคำสวดต์ แผ่เมตตา “สัพเพสัตตา สรรพสัต์ทั้งหลายเอ๋ยจงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย อย่าได้กดขี่ ขูดรีดเอาเปรียบ ขดโกง เข่นฆ่ากันและกันเลย เพราะเราต่างเกิดมา ร่วมทุกข์ทั้งสิ้น


โลภอะไรนักหนา
อยากอะไรกันนักหนา
โกงอะไรกันนักหนา
เดี๋ยวก็ตายห่ากันหมดแล้ว
อยู่ร่วมกันได้ไหม แบ่งปัน สาธุ”


ขอเชิญร่วมงานเปิดนิทรรศการศิลปะ โดย วสันต์ สิทธิเขตต์ ในวันเสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ณ รีเบลอาร์ตสเปช สุขุมวิท ๖๗ เริ่ม ๖ โมงเย็นเป็นต้นไป



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com




บล็อกนี้อยู่ในหมวดศิลปะ



บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor

yle: none;border-spacing: none;}TD {border: none;border-color: none;background: none;}


Create Date : 19 ตุลาคม 2557
Last Update : 19 ตุลาคม 2557 17:39:11 น. 0 comments
Counter : 1716 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.