happy memories
Group Blog
 
<<
มกราคม 2558
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
30 มกราคม 2558
 
All Blogs
 
เสพงานศิลป์ ๑๘๓





ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto










สมโภชพระพุทธรังสีสุริโยทัยธรรโมภาสวัดโพธิ์



การจัดงาน"สมโภชพระพุทธรังสีสุริโยทัย ธรรโมภาส" เป็นการย้อนอดีตการสร้างพระเจดีย์ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ซึ่งแต่เดิมรัชกาลที่ ๓ โปรดให้สร้างทั้งสามองค์ต่อมารัชกาลที่ ๔ ขึ้นครองราชย์ ได้โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระเจดีย์ขึ้นอีกพระองค์หนึ่ง รวมเป็นพระมหาเจดีย์สี่รัชกาล ดังที่เห็นกันอยู่ ด้วยเหตุที่ว่าทั้งสี่พระองค์ทันเห็นกัน เป็นบุคคลร่วมสมัยเดียวกัน และเมื่อรัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้สถาปณาเจดีย์ขึ้น โดยสร้างขึ้นตามแบบพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย วัดสวนหลวงสบสวรรค์ พระนครศรีอยุธยาได้พระราชทานนามว่า พระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย แต่ยังไม่แล้วเสร็จ ครั้นใกล้จะเสด็จสวรรคต ได้มีพระราชดำรัสกับรัชกาลที่ ๕ เป็นการส่วนพระองค์ว่า "พระเจดีย์วัดพระเชตุพนฯ นั้น กลายเป็นใส่คะแนนพระเจ้าแผ่นดินไป ถ้าจะใส่คะแนนอยู่เสมอจะไม่มีที่สร้าง ควรจะถือว่าพระเจ้าแผ่นดินทั้งสี่พระองค์นั้น ท่านได้เคยเห็นกันทั้งสี่พระองค์จึงควรมีพระเจดีย์อยู่ด้วยกัน ต่อไปอย่าให้สร้างทุกแผ่นดินเลย"


พระมหาเจดีย์ดังกล่าว มาแล้วเสร็จในรัชกาลที่ ๕แต่สิ่งสำคัญที่บรรจุอยู่ในพระเจดีย์อีกสิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบ นั่นคือ มีพระพุทธรูปเป็นพุทธปฏิมาศิลปะรัตนโกสินทร์ซึ่งเป็นพระราชนิยมในยุครัชกาลที่ ๔ ที่ ๕ เป็นรูปแบบศิลปะที่เหมือนคนจริง ๆ เป็นมนุษย์ธรรมดา พระเศียรไม่มีพระเกตุมาลา เป็นพระเศียรโล้น มีเปลวรัศมี และห่มจีวรเป็นธรรมชาติเหมือนจริง พระพุทธรูปนี้เป็นสิ่งที่รัชกาลที่ ๔ โปรดให้หล่อขึ้นเพื่อเตรียมบรรจุไว้ในพระเจดีย์ สันนิษฐานว่าฝีมือการหล่อเป็นของช่างหลวง มีความงดงามมาก ในสมัยนั้นช่างหลวงที่มีความชำนาญในการหล่อพระพุทธรูป คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ โดยงานฝีมือของพระองค์ปรากฎอยู่ในวัดหลวง ในยุครัชกาลที่ ๔ หลาย ๆ องค์ ซึ่งมีพุทธลักษณะหรือพุทธศิลป์แบบเดียวกัน


โดยการจัดงานครั้งนี้ ได้มีปรารภเหตุว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มีความประสงค์จะรณรงค์ให้ประชาชนเข้ามาไหว้พระในช่วงปีใหม่ เนื่องในเทศกาลท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘จึงต้องการจะเชิญชวนให้คนทั่วไปได้เข้ามาไหว้พระและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดพระเชตุพนฯ จึงได้สนับสนุนการจัดงาน "สมโภชพระพุทธรังสีสุริโยทัย ธรรโมภาส"ขึ้น สิ่งที่พิเศษในการนมัสการ คือ เมื่อครั้งบูรณะปฏิสังขรณ์พระเจดีย์รัชกาลที่ ๔ เราได้อัญเชิญพระพุทธรูปลงมาบูรณะปฏิสังขรณ์ เนื่องจากสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก จากนั้นได้อัญเชิญไปไว้ที่หอสวดมนต์ และเมื่อได้โอกาสจึงจะอัญเชิญขึ้นไปประดิษฐานให้ประชาชนทั่วไปขึ้นไปกราบไหว้ แต่ทางที่จะขึ้นไปมีความยากลำบาก เนื่องจากทางขึ้นในองค์พระเจดีย์จะมีช่องที่รอดได้เฉพาะตัวคน ผู้ที่รูปร่างใหญ่โตอาจจะขึ้นไปลำบาก เพราะฉะนั้นการที่เปิดให้ได้ขึ้นไปกราบไหว้ จึงเป็นสิ่งที่พิเศษ และถือเป็นความท้าทาย ต้องมีศรัทธาและมีสุขภาพแข็งแรง จึงอยากขอเชิญชวนให้ท่านสาธุชนทั้งหลายได้เห็น เพราะพระพุทธรูปที่ประดิษฐานในพระเจดีย์มีความงดงาม มีความอลังการ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญอย่างหนึ่งในวัดพระเชตุพนฯ ที่ควรจะมากราบไหว้ นอกจากพระพุทปฏิมาตามวิหารทิศ ตามพระอุโบสถ หรือวิหารพระนอน ที่เป็นพระพุทธรูปที่ท่านทั้งหลายมาสักการะอยู่เป็นประจำ โอกาสนี้จึงเป็นโอกาสพิเศษที่ท่านจะได้ไหว้พระพุทธรูปทั้งรัตนโกสินทร์


สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ การมาไหว้พระครั้งนี้ มีโอกาสเพียงแค่ ๓ วันเท่านั้น เปิดเป็นกรณีพิเศษคือ วันที่ ๒๓-๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ฉะนั้นจึงขอเชิญชวนท่านสาธุชนทั้งหลายมาชมความงดงาม และมากราบไหว้นมัสการของสำคัญคู่บ้านคู่เมือง ในยุครัตนโกสินทร์ รศ.๗๒คู่กับพระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัยโดยในวันที่ ๒๓ วันแรก จะมีพิธีสมโภชเป็นการใหญ่ มีพระสงฆ์ ๓๐ รูป จากพระอารามต่าง ๆ มารวมกันเจริญพระพุทธมนต์ เจริญชัยมงคลคาถา และอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นไปประดิษฐานบนพระเจดีย์ ประมาณเวลาเย็นๆ ๑๖.๐๐ น. เป็นต้นไป ช่วงเวลาแดดร่มลมตก จึงขอเชิญสาธุชนทั้งหลายมาเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล และจะได้นมัสการพระฯ ส่วนการที่จะเปิดให้ไหว้พระพุทธรูป เปิดทั้ง ๓ วัน ตั้งแต่เวลาเช้าไปจนถึงเวลา ๑ทุ่ม บรรยากาศการจัดงานเป็นการย้อนยุคไปในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งมหรสพต่าง ๆ ได้แก่ โขน การแสดงในยุครัตนโกสินทร์ อาหาร การแต่งกายต่าง ๆ เป็นต้น ถือว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่วัดพระเชตุพนฯ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงขอเชิญทุกท่านมารวมในพิธีอย่างพร้อมเพรียงกันเพื่อเป็นการต้อนรับการเปิดศักราชใหม่อย่างงดงาม



ภาพและข้อมูลจาก
komchadluek.net














คอนเสิร์ตเทิดพระเกียรติพระพี่นาง เยาวชนรวมใจโชว์ดนตรีคลาสสิก



การแสดงคอนเสิร์ตเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในปีนี้ ถือได้ว่าสอดรับภารกิจของสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนาในการสร้างบุคลากรดนตรีรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ เพราะเปิดโอกาสให้วงดุริยางค์เยาวชนสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา (PYO) แสดงความสามารถทางด้านดนตรีสู่สาธารณชนด้วยบทเพลงที่ไพเราะสมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ โดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดมาตุ เสด็จฯ ทอดพระเนตร การแสดงคอนเสิร์ตเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย วันเสาร์ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๘


เพื่อร่วมสำนึกในพระกรุณาธิคุณและน้อมรำลึกองค์พระราชทานพระราชดำริในการก่อตั้งสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา ทรงอุปถัมภ์นักดนตรีและศิลปวัฒนธรรมไทย รวมทั้งสืบสานพระปณิธาน สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ในการเผยแพร่ดนตรีคลาสสิกให้เด็กไทย วีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) รศ.นราพร จันทร์โอชา ประธานคณะกรรมการส่งเสริมกิจการสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา และนันทิยา สว่างวุฒิธรรม อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมบอกเล่าถึงการจัดแสดงคอนเสิร์ตเทิดพระเกียรติครั้งสำคัญ


รศ.นราพร จันทร์โอชา ประธานคณะกรรมการส่งเสริมกิจการสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา กล่าวว่า สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนาได้จัดการแสดงคอนเสิร์ตเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นประจำทุกปี เพื่อรำลึกพระมหากรุณาธิคุณที่มีพระราชดำริก่อตั้งสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา และสนองพระราชปณิธานพระองค์ท่านในการเผยแพร่ความรู้ทางด้านดนตรีคลาสสิก ซึ่งยังไม่แพร่หลายมากในประเทศไทย สำหรับสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนามีภารกิจผลิตบัณฑิตดุริยางคศาสตร์บัณฑิต เน้นด้านดนตรีคลาสสิก ขณะเดียวกันมีบริการทางวิชาการ โดยให้ความรู้ สนับสนุน เผยแพร่ดนตรีคลาสสิก โดยการก่อตั้งวงดุริยางค์เยาวชนสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา (PYO) เปิดรับเยาวชนอายุไม่เกิน ๒๒ ปี สมาชิกในวงมีทั้งนักเรียน นักศึกษา โดยทางสถาบันจัดให้วง PYO ได้มีการแสดงทุกเดือน และในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๙.oo น. เป็นการแสดงเทิดพระเกียรติชุด "American in Paris" ภายใต้การอำนวยเพลงของนอร์แมน ฮเว็น วาทยากรที่มีชื่อเสียงจากวงซิมโฟนีพอร์ตแลนด์ สหรัฐ และศิลปินรับเชิญ โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร ร่วมแสดง


"วงดุริยางค์เยาวชนสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนาแสดงคอนเสิร์ตประจำทุกเดือน ถือเป็นการพัฒนาฝีไม้ลายมือของเยาวชนให้เพิ่มมากขึ้น มีความสามัคคีในการร่วมวงกันมากขึ้น พร้อมใจกันสร้างสรรค์เสียงงดงามให้ผู้ฟัง และได้รับความรู้จากวาทยากรที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศ ทำให้อนาคตในการแสดงดนตรีของเยาวชนไทยก้าวหน้าทัดเทียมนานาชาติ" รศ.นราพรกล่าว


รศ.นราพรกล่าวว่า การแสดงคอนเสิร์ตเทิดพระเกียรติครั้งนี้จะจุดประกายให้เยาวชนสนใจด้านดนตรี เพราะผู้แสดงดนตรีล้วนเป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ จะได้เห็นศักยภาพของเยาวชนด้วยกันเอง เห็นช่องทางการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ หันมาสนใจดนตรีมากขึ้น และเป็นแนวทางในการศึกษาต่อในอนาคต เพราะสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนาได้เปิดรับนักศึกษาเป็นประจำทุกปี ปัจจุบันเห็นว่าเยาวชนยังขาดการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ให้พัฒนาด้านดนตรีให้ดีขึ้น และเปิดโอกาสให้แสดงออกทางด้านดนตรี ซึ่งเป็นกิจกรรมสำคัญช่วยพัฒนาจิตใจและความสามารถของเยาวชน ไม่ไปหมกมุ่นกับอบายมุข


สำหรับความแตกต่างจากคอนเสิร์ตครั้งก่อน รศ.คุณหญิงวงจันทร์ พินัยนิติศาสตร์ อธิการบดีสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา เผยว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงมีความรอบรู้ด้านภาษาฝรั่งเศสและทรงเป็นครูสอนภาษาฝรั่งเศสตลอดพระชนม์ชีพ การแสดงครั้งนี้มีผสมผสานดนตรีแจ๊สในดนตรีคลาสสิก และการแสดงสื่อผสม Visual Design ให้กลิ่นอายฝรั่งเศส ประกอบด้วยเพลงยุคต้นศตวรรษที่ ๒o หลายบทเพลงเป็นบทเพลงประกอบภาพยนตร์ที่คนไทยคุ้นหูและชื่นชอบ อาทิ Summertime, American in Paris และ Cuban Overture บรรเลงเพลงจากบทประพันธ์ของ George Gershwin การแสดงใช้นักดนตรีเป็นเยาวชน ๘o คน เครื่องดนตรี ๘o ชิ้น กลุ่มผู้ฟังเป็นเยาวชนส่วนใหญ่ อยากให้เด็กไทยสนใจดนตรีมากขึ้น ถ้าเล่นแต่เพลงคลาสสิกจะฟังยากหรือเบื่อไปก่อน ดนตรีจะช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้อ่อนโยน


ด้าน โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร นักร้องนักเปียโนขวัญใจคนไทย กล่าวว่า สมัยนี้เยาวชนดนตรีมีความสามารถเยอะ อยากให้คนไทยสนับสนุนเด็กไทย เพราะพวกเขามีความสามารถไม่แพ้ใคร คอนเสิร์ตนี้นอกจากจุดประกายดนตรีให้กับเยาวชน จะสร้างประสบการณ์ให้กับนักดนตรีที่เล่น รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้น้อง ๆ รุ่นใหม่ เพราะความสามารถด้านดนตรีต้องมาจากการฝึกฝน ไม่ได้มาง่าย ต้องได้แรงหนุนจากครอบครัวและผู้ใหญ่ในสังคม เชิญชวนให้มาชมการแสดงคอนเสิร์ต สำหรับคอนเสิร์ตนี้ตนเป็นศิลปินรับเชิญเล่นกับเยาวชน จะบรรเลงเปียโนที่ตนรัก รู้สึกเป็นเกียรติและจะทำให้ดีที่สุด เชิญชวนมาชมการแสดงเทิดพระเกียรติรำลึก สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ.



ภาพและข้อมูลจาก
thaipost.net
บล็อกคุณลูกเสือหมายเลข9














'ดั่งดวงแก้ว ส่องสว่าง ทางสายงาม'



เนื่องในโอกาสอันเป็นมหามงคลยิ่ง วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๖o พรรษา มูลนิธิศาสตราจารย์ ม.ล.ปิ่น มาลากุล ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับ บริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด จัดพิมพ์หนังสือ “ดั่งดวงแก้ว ส่องสว่าง ทางสายงาม” ๖o พระอัจฉริยภาพสมเด็จพระเทพ ฯ แบบอย่างชีวิตที่ เก่ง ดี มีสุข เพื่อเผยแพร่พระอัจฉริยภาพและพระจริยวัตรอันงดงามในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้แก่เด็กและเยาวชน รวมถึงบุคคลทั่วไปได้ถือเป็นแบบอย่าง


หนังสือ “ดั่งดวงแก้ว ส่องสว่าง ทางสายงาม” มีงานเปิดตัวในวันพุธ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๓.๓o-๑๕.oo น. ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น ๕ อาคารนานมีบุ๊คส์เฮาส์ ซอยสุขุมวิท ๓๑ มีเสวนา “ดั่งดวงแก้ว ส่องสว่าง ทางสายงาม” ๖o พระอัจฉริยภาพสมเด็จพระเทพ ฯ แบบอย่างชีวิตที่ เก่ง ดีมีสุข โดย รศ.ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ และ ผช.ศ. ดร.สุกัญญา บำรุงสุข พระสหาย ดำเนินรายการโดย ประวีณมัย บ่ายคล้อย สอบถามและยืนยันเข้าร่วมงานได้ที่ คุณพลอยไพลิน คงประเสริฐ โทร.o-๒๖๖๒-๓ooo ต่อ ๔๓o๓, o๘๕-๑๗๑๑-๓๓o หรือคุณสุวิสา วิฑิตกพัทธ์ โทร.o-๒๖๖๒-๓ooo ต่อ ๕๒๓๓, o๘๔-๑o๖๕o๙๑



ภาพและข้อมูลจาก
komchadluek.net














วัดบุปผาราม ภูมิภักดีของขุนนางสกุล 'บุนนาค'



จากอ่าวไทยขึ้นมาตามแม่นํ้าเจ้าพระยาสายเดิมที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดนั้น นอกจากเป็นเส้นทางนํ้าทะเลขึ้นมาถึงสวนบางกอกแล้ว สายนํ้านี้ยังถูกใช้เป็นเส้นทางเดินเรือไป-มาแต่โบราณ ครั้นกรุงศรีอยุธยาตั้งเป็นราชธานี เส้นทางในคลองก็ถูกใช้เป็นทางเข้าออกของเรือสินค้าขนาดใหญ่ ทำให้พื้นที่สวนบางกอกได้กลายเป็นชุมชนใหญ่มีการสร้างวัดอยู่ตามริมแม่นํ้าเดิมหลายวัด ต่อมาได้มีการตั้งเมืองธนบุรีศรีสมุทรทำหน้าที่ด่านขนอนคอยเก็บค่าผ่านเรือสินค้าเข้า-ออก จึงทำให้เมืองธนบุรีศรีสมุทรเป็นเมืองใหญ่จึงมีการสร้างวัดมากขึ้น การสู้รบในยามสงครามนั้นผู้คนได้พากันหนีข้าศึกแตกพลัดกระจัดกระจายจนวัดถูกทิ้งร้างไปต่อเมื่อมีกรุงธนบุรีในพ.ศ.๒๓๑๑ และกรุงรัตนโกสินทร์ในพ.ศ. ๒๓๒๕ วัดร้างหลายวัดจึงได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์และสร้างใหม่ขึ้น หนึ่งในวัดที่น่าสนใจนี้คือ วัดดอกไม้ เป็นวัดโบราณสร้างมาแต่สมัยอยุธยาด้วยพบเศียรพระพุทธรูปสมัยอยุธยาทำด้วยศิลาทรายแดง





อุโบสถหลังใหม่ที่สร้างแทนคราวถูกระเบิด





เศียรพระพุทธรูปศิลาแดงสมัยอยุธยา





พระประธานวัดบุบผาราม



วัดนี้อยู่ริมแม่นํ้าเจ้าพระยา ถนนอิสรภาพฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุวงศ์ (ดิศ ) พาคนในตระกูลบุนนาค มาตั้งถิ่นฐานอยู่บ้านสวนฝั่งธนบุรีแล้ว ท่านผู้หญิงจันทร์ ภรรยาของเจ้าคุณสมเด็จเจ้าพระยาฯ ได้ปฏิสังขรณ์วัดร้างนั้นขึ้นใหม่ด้วยเป็นวัดอยู่ใกล้บ้าน ต่อมา จมื่นไวยวรนาถ ต่อมาเป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) กับจมื่นราชามาตย์ ต่อมาเป็นเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ ) ผู้เป็นบุตรชายนั้น ได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ต่อจนเสร็จครบถ้วน ครั้งนั้นพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎได้พระราชทานทรัพย์ช่วยปฏิสังขรณ์วัดนี้ไว้ด้วย คณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกายนั้นมีขอบเขตอยู่เพียงวัดบวรนิเวศวิหาร และวัดราชาธิวาสวิหาร จึงเท่ากับทรงแยกสาขาออกไปยังวัดบุปผาราม อีกวัดหนึ่ง ในระยะแรกนั้นเรียกว่า “ออกวัดใหม่” การสร้างถาวรวัตถุของวัดนั้นได้สร้างพระอุโบสถ พระวิหาร ศาลาการเปรียญ กุฏิตึกโบราณ ๒ ชั้น และชั้นเดียว และกำแพงวัด ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างวัดขึ้นใหม่ทั้งหมด ด้วยวัดเก่านั้นถูกทิ้งร้างจนทรุดโทรมมากเกินที่จะปฏิสังขรณ์ไว้ได้ การปฏิสังขรณ์นี้ได้ทำให้ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ผู้ปฏิสังขรณ์ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎจนเป็นที่สนิทสนมคุ้นเคย จนภายหลังได้กลายเป็นกำลังสำคัญในการอัญเชิญพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎขึ้นครองราชย์ตอนปลายรัชกาลที่ 3





ตราสุริยมณฑลแบบฝรั่ง





ตรามงกุฏเหนือสุริยมณฑล





จิตรกรรมฝาผนังวัดบุบผาราม



วัดใหม่นี้เมื่อสร้างเรียบร้อยแล้ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) จึงได้กราบทูลขอคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายจากพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ (รัชกาลที่ ๔) และได้ถวายวัดเป็นพระอารามหลวง ครั้งนั้นได้โปรดพระราชทานนามวัดนี้ว่า “วัดบุปผาราม” ส่วนคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายที่พระราชทานมาครองวัดครั้งนั้น มีพระอมรโมลี (นพ พุทธิสัณหเถระ) เป็นประธานคณะสงฆ์ ต่อมาภายหลังเจ้าพระยาภาณุวงศ์ (ท้วม บุนนาค) และทายาทสายสกุล บุนนาค ได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดนี้ตลอดมาเช่นเดียวกับวัดประยุรวงศาวาส เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๗ วัดบุปผารามได้ถูกระเบิดทำลาย ทำให้พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิตึกโบราณ และกำแพงวัด ได้รับความเสียหายยากแก่การซ่อมแซมพระธรรมวราลังการ (กล่อม อนุภาสเถระ) ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสในขณะนั้น ดำเนินการก่อสร้างพระอุโบสถ ศาลาเปรียญกุฏิ และกำแพงวัดขึ้นมาใหม่ โดยรักษารูปแบบเดิมของพระอุโบสถเก่าไว้ แต่มีลักษณะสถาปัตยกรรมประยุกต์ศิลปไทยกับจีน อันเป็นพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 คงเหลือวิหารเก่าที่สร้างหน้าบันเป็นปูนปั้นลายดอกไม้ มีตราสุริยมณฑลแบบไทยคือตราราชสีห์เทียมรถอันเป็นตราของสมเด็จเจ้าพระยาประยุรวงศ์อยู่ตรงกลาง





หน้าบันตราสุริยมณฑล





สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์(ดิศ)





เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์



ซุ้มประตูหน้าต่างนั้นประดับด้วยลายปูนปั้นปิดทองประดับกระจก บานประตูหน้าต่างด้านนอกเป็นลายตราสุริยมณฑลแบบฝรั่ง คือตรารูปพระอาทิตย์ที่ประภามณฑลล้อมรอบ ซึ่งเป็นตราประจำตัวสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ส่วนภายในนั้นสร้างฐานชุกชีประดิษฐานหมู่พระพุทธรูป มีพระพุทธชินราชจำลองเป็นพระประธาน ฝาผนังเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังโดยแบ่งด้านบนเป็นเรื่องทศชาติ สำหรับช่องประตูหน้าต่างนั้นเขียนลายรดนํ้ามีโคลงสุภาษิตโลกนิติกำกับ ๒๑ ภาพ บานประตูหน้าต่างด้านในเขียนเป็นภาพโต๊ะหมู่บูชาหลายแบบ แต่กรอบซุ้มประตูซุ้มหน้าต่างด้านนอกนั้นหากสังเกตส่วนยอดจะเห็นตราสุริยมณฑลนั้นอยู่ใต้มหามงกุฎเหมือนกับจะบอกให้รับรู้ถึงบุคคลในตระกูลนี้ได้ถวายความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ไว้อย่างมั่นคงมาก่อนแล้ว



ภาพและข้อมูลจาก
naewna.com
wikimedia.org














การเดินทางของกุหลาบ จากดอยสู่วัง



กุหลาบสีสวยดอกโตที่ถูกจัดไว้อวดโฉมอย่างสวยงามในงานพระราชพิธีต่าง ๆ หรือในรั้วในวังที่คนธรรมดาสามัญได้เห็นผ่านข่าวในพระราชสำนักนั้น คงจะมีคนไม่น้อยคิดว่าเป็นกุหลาบแสนแพงที่นำเข้าจากต่างประเทศ แต่ความจริงแล้วกุหลาบเหล่านั้นส่วนใหญ่มาจากแปลงปลูกกุหลาบของโครงการหลวง ที่มีเกษตรกรชาวดอยเป็นผู้ปลูก


เส้นทางกุหลาบจากดอยสู่วัง เริ่มต้นขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๗ ที่ฝ่ายงานไม้ดอก สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ ได้คัดเลือกสายพันธุ์กุหลาบยอดนิยม ๒๘ สายพันธุ์ มาผสมเกสรและเพาะเมล็ด เนื่องจากเล็งเห็นว่ากุหลาบเป็นดอกไม้ที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง และมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ มีการนำเข้าเยอะ จึงควรพัฒนาสายพันธุ์กุหลาบเพื่อให้ได้พันธุ์กุหลาบที่ดีและเหมาะสมกับการปลูกในเมืองไทย เพื่อลดการนำเข้า อีกทั้งเพื่อเป็นการสร้างและพัฒนาบุคลากรด้านไม้ดอกของโครงการหลวงด้วย


ปัจจุบันโครงการหลวงได้พัฒนาสายพันธุ์กุหลาบรวมแล้วราว ๆ ๘o พันธุ์ มีพื้นที่ปลูกอยู่ที่ดอยอินทนนท์ โดยการส่งเสริมของสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ และดอยอ่างขาง โดยการส่งเสริมของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ซึ่งทั้งสองพื้นที่สามารถปลูกกุหลาบได้ทั้งปี


เมื่อกุหลาบออกดอกได้ขนาดพอเหมาะแล้ว เกษตรกรจะตัดดอกแล้วนำมาขายให้โครงการหลวง ดอกกุหลาบจะถูกคัดเกรดบนสถานีเกษตรหลวง โดยแบ่งออกเป็น ๔ เกรด ได้แก่ เกรดเอ็กซ์ตร้า ขนาดดอก ๔ เซนติเมตร ความยาวก้าน ๗o เซนติเมตร เกรดเอ ขนาดดอก ๓.๕ เซนติเมตร ความยาวก้าน ๖o เซนติเมตร เกรดบี ขนาดดอก ๓ เซนติเมตร ความยาวก้าน ๕o เซนติเมตร และเกรดซี ขนาดดอก ๒.๕ เซนติเมตร ความยาวก้าน ๔o เซนติเมตร


หลังแบ่งเกรดแบ่งสีแล้วกุหลาบจะถูกจัดเป็นช่อ ช่อละ ๑o ดอก แล้วส่งเข้าห้องเย็น จากนั้นจะมีรถห้องเย็นมารับไปส่งที่ศูนย์กระจายสินค้าเชียงใหม่ในวันอังคาร พฤหัสบดี และอาทิตย์ กุหลาบส่วนหนึ่งจะแบ่งไว้ที่เชียงใหม่เพื่อขายตลาดทางภาคเหนือ แต่ส่วนใหญ่จะส่งเข้ากรุงเทพฯ ขนส่งโดยรถห้องเย็นอุณหภูมิประมาณ ๕-๘ องศา เข้ามาที่ศูนย์กระจายสินค้า สำนักงานมูลนิธิโครงการหลวง ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วจัดส่งลูกค้าตามออร์เดอร์


เจ้าหน้าที่ฝ่ายตลาดโครงการหลวง กรุงเทพฯให้ข้อมูลว่า ในแต่ละปีมีผลผลิตดอกกุหลาบจากดอยเข้าสู่กระบวนการจัดจำหน่ายของฝ่ายตลาด โครงการหลวง กรุงเทพฯ ปีละประมาณ ๓.๕ แสนดอก คิดเป็นมูลค่าประมาณ ๑o ล้านบาท


๕o เปอร์เซ็นต์ หรือครึ่งหนึ่งของกุหลาบ ๓.๕ แสนดอกนี้ถูกส่งเข้าไปยังวังต่าง ๆ ตามออร์เดอร์ว่าต้องการสีใดจำนวนเท่าใด นอกจากนั้น อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือถูกกระจายไปยังลูกค้าประจำ ได้แก่ การบินไทย โรงแรม และร้านฟลอรีส ยกตัวอย่างโรงแรมดังที่ซื้อกุหลาบจากโครงการหลวงประจำก็คือ โรงแรมโอเรียนเต็ล หากเหลือจากออร์เดอร์ประจำจึงจะส่งไปขายที่ปากคลองตลาด


เจ้าหน้าที่ฝ่ายตลาดโครงการหลวงคนเดิมเล่าอีกว่า สีกุหลาบที่ได้รับความนิยมมากคือสีโทนอ่อน เช่น ชมพูอ่อน ส้มอ่อน ครีม และขาว สีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ สีชมพูทุกเฉดสีที่เป็นไฮไลต์ของโครงการหลวงตอนนี้ คือ สีชมพูไททานิก และ ชมพูแฮปปี้เดย์


ส่วนสีสดฉูดฉาดจะไม่เป็นที่นิยม เพราะในชีวิตประจำวันคนเราใช้สีโทนอุ่น ๆ มากกว่า สีสด ๆ ชัด ๆ จะเป็นตลาดล่าง สีแดงซึ่งเป็นกุหลาบสีแรกที่คนนึกถึงนั้น ความจริงแล้วได้รับความนิยมเฉพาะช่วงเทศกาลวาเลนไทน์และคริสต์มาสเท่านั้น



ภาพและข้อมูลจาก
prachachat.net














ณ B 612 นครสวรรค์



22 มกราคม ผมเข้าเมืองนครสวรรค์ไปรับรูปวาดที่ใส่กรอบไว้ สำหรับส่งไปให้เพื่อนเป็นของขวัญเชื่อมสัมพันธ์ไมตรี...

เพื่อนคนนี้อยู่ร้านหนังสือ “สุนทรภู่” อ.แถลง จ.ระยอง “ร้านหนังสืออิสระ” ที่นักอ่านอิสระประทับใจ

รับรูปแล้วผมขับรถขึ้น “เขากบ” วาดรูปจากมุมสูงมองลงมายังตัวเมืองนครสวรรค์ วาดได้ ๓-๔ รูป ก็ลงมานั่งดื่มกาแฟที่ “ร้านหนังสืออิสระ” นามร้าน “B612” อยู่แถวสี่แยกศรีไกรลาศ ตรงจุดบรรจบแควปิงและน่าน (น่านที่รวมกับยม และปิงที่รวมกับวัง มาก่อนจะถึง “ปากน้ำโพ”)


ชื่อร้าน “B612”เป็นชื่อที่ “พี่อ้วน”, ญามิลา, วิรัตน์ โตอารีย์มิตร เป็นคนตั้งให้ นักอ่านวรรณกรรม คุ้นเคยชื่อนี้ดี เพราะเป็นชื่อดาวของเจ้าชายน้อยจากวรรณกรรม Le Petit Prince,The little prince อองตวน เดอ แซงเตก ซูเปรี


หนังสือในดวงใจของใครต่อหลายคน นักอ่านในเมืองไทย รู้จักเจ้าชายน้อยดี...


ฉันอวดผลงานชิ้นเยี่ยมนี้แก่พวกผู้ใหญ่ และถามเขาว่ารูปของฉันทำให้พวกเขากลัวไหม


พวกเขาตอบว่า “ทำไมหมวกจะทำให้คนกลัวเล่า?”


รูปภาพของฉันไม่ได้เป็นรูปหมวก แต่เป็นงูเหลือมกำลังนอนย่อยช้างที่พวกมันกลืนเข้าไป...


B612 ร้านหนังสือเล็กๆ ที่เพิ่งเปิดกิจการเมื่อ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เป็นร้านหนังสืออีกร้านที่เกิดขึ้นจากความฝัน...มิใช่เกิดขึ้นจากความคิด ...คำนวณทางธุรกิจ


คุณหมอเบ็ธ ทันตแพทย์หญิง สุนันท์ สิงห์ทอง แห่ง รพ. สวรรค์ประชารักษ์ คุณหมอนักกิจกรรมที่ทำงานทั้งงานหลวงและงานราษฎร์ สมัครใจทำสิ่งที่ตนเองเชื่อ รัก และศรัทธา ก่อตั้งกลุ่ม “ช้างน้อย” ดูแลเด็ก ๆ ติดเชื้อ (HIV) จำนวนหนึ่ง (๔o-๕o คน) ดูแลสุขภาพ กายใจ ดูแล ความคิด ความฝัน ของเด็ก ๆ เข้าถึงเด็ก และครอบครัวของเด็ก ๆ


หมอเบ็ธและเพื่อนกลุ่มเล็ก ๆ จัดกิจกรรมเพื่อเด็ก ๆ ต่อเนื่องมาเป็นเวลา ๗ ปีแล้ว จากนิสัยรักการอ่าน บันดาลความฝันเป็นความจริง...


ร้านหนังสือ “B612" คือความฝันที่ปรากฏเป็นรูปธรรม ขายหนังสือที่ตนรัก กาแฟ และชา หอมกรุ่น สะสมตุ๊กตา ผ้านุ่ม ๆ และตุ๊กตาของเล่นเซรามิกเล็ก ๆ น้อย ๆ สถานที่เล็ก ๆ สงบให้หลบมุมมานั่งอ่านนั่งสนทนา


มานครสวรรค์... ขอเชิญแวะร้านหนังสือ “B612” ณ จุด “ต้นเจ้าพระยา” ร้านหนังสือเล็ก ๆ...ธรรมดา...ไม่มีอะไรพิเศษ แต่สำหรับคนรักหนังสือ รักวรรณกรรม ที่นี่ย่อมเป็นที่นัดพบเพื่อนมิตรบางคน


“คุณคือใคร?” เจ้าชายน้อยถาม


“คุณคือใคร คุณคือใคร คุณคือใคร...” เสียงก้องสะท้อน


“จงเป็นเพื่อนฉันเถิด ฉันอยู่คนเดียว


“สวัสดี...พบกันนะ ณ B612”



ภาพและข้อมูลจาก
artbangkok.com














โขนเด็กรร.วัดหนองเครือบุญ สืบสานศิลปวัฒนธรรมไทย



"ที่นี่สอนเด็กให้เล่นโขนมากว่า ๑o ปีแล้ว เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยและความเป็นอยุธยา และภูมิปัญญาท้องถิ่น สอนเด็กให้รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และยังสร้างรายได้ให้แก่นักเรียนอีกด้วย เพราะเด็กอนุบาลถึงชั้น ป.๖ ที่นี่ส่วนใหญ่มาจากฐานะที่ยากจน ถ้าเขาได้เล่นโขนอย่างน้อยไปแสดงงานงานหนึ่งจะได้ไม่ต่ำกว่าคนละ ๒oo บาท ถือว่าเป็นค่าขนม ที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองได้" เจือจันทร์ เสาร์ฤกษ์ ครูผู้ริ่เริ่มและควบคุมการแสดงโขน และรักษาการ ผอ.ร.ร.วัดหนองเครือบุญ กล่าว


เดิมโรงเรียนแห่งนี้ก่อตั้งเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๒ ใช้ศาลาวัดหนองเครือบุญเป็นที่เรียน เปิดสอนชั้นประถมปีที่ ๑-๔ ต่อมา ปี ๒๕๑o นายพี พงษ์ประยูร ผู้ใหญ่บ้านได้บริจาคที่ดิน ๒ ไร่เศษ ให้สร้างอาคารเรียนแบบ ป.๑ ดัดแปลง ๒ ห้องเรียน ใช้เงินงบประมาณและเงินบริจาค เปิดใช้เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๑๑ ซึ่งปี ๒๕๑๗ ได้ต่อเติมอีก ๑ ห้องเรียน เปิดสอนถึงชั้นประถมปีที่ ๖ มีครูและนักเรียนเพิ่มขึ้นตามลำดับ


ปี ๒๕๒๗ สร้างอาคารเรียนแบบ สปช.๑o๘ จำนวน ๒ ห้องเรียน ๑ หลัง ภายหลังได้ ต่อเติมชั้นล่าง ปัจจุบันใช้เป็นห้องพักครูและห้องคอมพิวเตอร์ ปี ๒๕๓o เปิดสอนชั้นเด็กเล็ก ปี ๒๕๓๙ สร้างอาคารพิเศษ ๑ หลัง ๓ ห้องเรียนใช้เป็นโรงอาหารและห้องเรียน ปัจจุบันมีครู ๓ คน นักเรียน ๕๒ คน และมีพนักงานบริการ ๑ คน อยู่ห่าง อ.ภาชี ๖ กม. และห่างจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
๔o กม.


ร.ร.วัดหนองเครือบุญ เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ๓ ปีก่อนกระทรวงศึกษาธิการเคยมีนโยบายจะยุบโรงเรียนที่มีนักเรียนต่ำกว่า ๖o คน และไม่มีการแต่งตั้งผู้อำนวยการโรงเรียน ส่งผลให้ ครูเจือจันทร์ ต้องรักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนมาหลายปี แม้ว่าจะเกษียณในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ แต่ก็พยายามจัดการศึกษา เพื่อพัฒนานักเรียน ให้เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม มีนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน รักษ์ภาษา อนุรักษ์สืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยและภูมิปัญญาท้องถิ่นและให้เป็นผู้มีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ


ครูเจือจันทร์ เล่าว่า ได้ติดต่อ ปู่สังเวียน หอมกิ่งแก้ว ภูมิปัญญาชาวบ้านมาสอนโขนให้นักเรียนต่อมาปู่เสียชีวิตแล้ว โรงเรียนได้ติดต่อ ลุงสมใจ และป้าผ่องศรี แจ้งประจักษ์ ภูมิปัญญา อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา มาช่วยสอนโขนและตัดเย็บชุดให้แก่นักเรียน แรก ๆ สอนเด็กป.๕-๖ ต่อมาได้เพิ่มสอนตั้งแต่ ป.๑ ตามความสมัครใจเพื่อฝึกไว้แสดงแทนรุ่นพี่ที่จบ ป.๖ ออกไป แต่เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่นักเรียนที่จบ ป.๖ ไปแล้ว ยังกลับมาสอนน้องและช่วยแสดงให้แก่โรงเรียนในบางโอกาสอีกด้วย อย่างเช่น ด.ช.ไชยวัฒน์ ศรีเสวก นักเรียนโขนรุ่นแรก ๆ เล่นเป็นยักษ์ ตอนนี้อยู่ ม.๒ โรงเรียนหนองแสงวิทยา ที่มาช่วยแสดงโขนพร้อมกับ ครู คณพศ พูลสมบัติ ที่มาช่วยตีระนาดให้แก่โรงเรียนหลาย ๆ ครั้ง


ครูเจือจันทร์ บอกว่า เป็นห่วงนักเรียนมาก เพราะอีกไม่กี่เดือนจะเกษียณแล้ว จะเหลือข้าราชการครูเพียงคนเดียว คือ นางยุพิน ขันธฤกษ์ ที่เพิ่งมาบรรจุได้ ๓ สัปดาห์ และอัตราจ้าง ๒ อัตรา ที่สำนักงานเขตพื้นที่จ้างให้ ซึ่งกว่าจะมีครูมาบรรจุทดแทน อาจจะต้องใช้เวลานานเป็นเทอม บางครั้งอาจจะนานเป็นปี เกรงว่าจะกระทบกับนักเรียน ซึ่งส่วนใหญ่มีฐานะยากจน หากไม่มีครูสอน อาจจะนำไปสู่การยุบโรงเรียนแห่งนี้ได้


"เด็กที่นี่ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ถ้าโรงเรียนยุบอาจจะต้องเดินทางไปเรียนอีกโรงเรียนหนองเป้าที่อยู่ห่างไป ๗-๘ กิโลเมตร แต่ถ้ามีครูสอน ชุมชนและท้องถิ่นช่วยกันจัดการศึกษาเพื่อพัฒนานักเรียน ให้เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม มีนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน รักษ์ภาษา อนุรักษ์สืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยและภูมิปัญญาท้องถิ่นและให้เป็นผู้มีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ โรงเรียนเล็ก ๆ อย่างวัดหนองเครือบุญก็ยังดำรงสภาพความเป็นโรงเรียนต่อไปได้" รักษาการผอ.ร.ร.วัดหนองเครือบุญ กล่าว


ล่าสุด อาสาจากหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น และคม ชัด ลึก และพันธมิตร ได้นำอุปกรณ์กีฬา การเรียน การสอน และทุนการศึกษาไปให้โรงเรียนวัดหนองเครือบุญ และมีโอกาสชมการแสดงโขนเด็กตอนสุครีบถอนต้นรัง สร้างความสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งโรงเรียนแห่งนี้ทำหัวโขนจำลองขาย และ เคยไปแสดงตามงานต่าง ๆ มานับไม่ถ้วนแล้ว หน่วยงานภาครัฐหรือ เอกชนที่สนใจโขนเด็ก ร.ร.วัดหนองเครือบุญ ไปแสดงสอบถามที่ เจือจันทร์ เสาร์ฤกษ์ รักษาการผอ.ร.ร.วัดหนองเครือบุญ o๘-๙๘o๕-๒๔๖๕ หรือ โทร.o-๓๕๗๕-oo๕๘







ภาพและข้อมูลจาก
komchadluek.net














เสพศิลป์อินเพลงอาร์ท



สิ่งที่ไม่น่าจะเข้ากันแต่ก็นำมาอยู่ด้วยกันได้นับเป็นเสน่ห์ของศิลปะร่วมสมัยชวนให้จุดประกายความคิด ขณะที่เสียงเพลงสื่อใจความผ่านเครื่องดนตรี เนื้อเพลง เส้นเสียง กลายเป็นอารมณ์ จากการตีความ เมื่อทั้ง ๒ สิ่งนี้อยู่ในที่เดียวกัน จุดเชื่อมโยงของกลุ่มคน ๒ สไตล์ แต่มีความเป็นศิลปินเหมือนกันจึงบังเกิดขึ้นในมุมเล็กๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา กับนิทรรศการ "อะ พาร์ท อ็อฟ ยู , อะ พาร์ท อ็อฟ มี" ครั้งที่ ๒ เปิดพื้นที่สังสรรค์ของคนทัศน์ศิลป์ และคนดนตรีเพื่อเกิดแรงบันดาลใจใหม่ได้อย่างอบอุ่นอิ่มใจ ท่ามกลางความนิ่งเคล้ากรุ่นกลิ่นกาแฟของ เดอะ แจม แฟคเทอรี่ ย่านคลองสาน


จุดเริ่มต้นวงโคจรของการพบปะเกิดจากความคิดของ โตคิณ ฑีฆานันท์ ผู้กำกับและนักจัดกิจกรรมดนตรีอิสระ ที่ต้องการหาพื้นที่ให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้แสดงผลงาน เพียงต้องการมุมมองใหม่ มีการต่อยอดความคิดส่งเสริมให้ผลงานศิลปะมีความหลากหลายในการสื่อสาร จนกลายเป็นนิทรรศการสร้างสรรค์ครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มาปีนี้เขามีแนวคิดเรื่องเชื่อมโยงเรื่องการเกิดขึ้นของสิ่งหนึ่งล้วนมาจากสิ่งหนึ่ง ทั้งสองสิ่งนี้เป็นแรงบันดาลใจซึ่งกันและกัน จึงได้หยิบเรื่องของดนตรีนอกกระแสและศิลปะร่วมสมัยมาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ เริ่มจากชักชวน ชล เจนประภาพันธ์ ภัณฑรักษ์อิสระเข้ามารร่วมออกแบบนิทรรศการ จากนั้นชักชวนนักดนตรีให้สร้างสรรค์ผลงานเพลงและส่งต่อไปยังศิลปินรุ่นใหม่ได้รับฟัง เพื่อใช้เพลงเหล่านั้นเป็นแรงบันดาลใจอีกทอดหนึ่ง กลายเป็น ๑ ผลงานศิลป์ และ ๑ ผลงานเพลงที่มีความเกี่ยวข้องกัน






เจ้าของแนวคิดร่วมสมัย ยังบอกความรู้สึกในนิทรรศการครั้งที่ ๒ นี้ด้วยว่า เป็นทางเลือกใหม่ที่จะช่วยให้ศิลปินเกิดความตื่นตัวในการใช้สื่อใหม่ ๆ สร้างสรรค์ผลงาน เป็นศิลปะรูปแบบใหม่ที่มาจากศิลปินต่างศาสตร์ต่างสาขา จุดประกายให้ผู้คนหันมาสนใจและสนับสนุนผลงานทางเลือกใหม่มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ศิลปินรุ่นใหม่มีพื้นที่สร้างสรรค์ผลงานที่มีศักยภาพเป็นที่รู้จัก ซึ่งศิลปินที่เลือกมาแสดงผลงานในครั้งนี้มีอายุน้อยแต่ก็มีคาแรกเตอร์ชัดเจนสร้างสรรค์ผลงานได้น่าสนใจ


โจทย์เพลงที่ให้แก่ศิลปินรุ่นใหม่ถูกตีความออกมาหลากหลายรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบรูปวาด ภายในนิทรรศการจึงอาจประกอบด้วยหลอดไฟ เก้าอี้ ของใช้รอบๆ ตัวที่แฝงความหมายให้คิดตาม เช่นกองหมอนของ สุรเจต ทองเจือ ในชื่อผลงาน “1 Day:Day,2015” ใช้ตัวเลข ๑:๑ พิมพ์ลงที่หมอน ภายในยัดด้วยอุปกรณ์การดำรงค์ชีพ เช่น กล่องโฟม ตั๋วรถ ถุงอาหาร เป็นความถนัดในการสร้างผลงานจากสิ่งของเหลือใช้มาเสนอมุมมองของชีวิตสามัญชน ชีวิตที่ตามกระแสสังคมในลักษณะการใช้ชีวิตวันต่อวัน เฝ้าฝันสิ่งที่อยากได้ตามกำลังพร้อมต้องการเริ่มต้นใหม่ตลอดเวลา เพียงหลับและตื่นขึ้น


“เพลงที่ได้ฟังคือเพลง ยัวร์ เฟซ (Your Face) ของ ฟลาเวอร์ ด็อก ผมตีโจทย์จากทำนองเพลงมีการใช้ทำนองซ้ำ ๆ ในการเริ่มใหม่แต่ละท่อน แต่ว่าในท่อนที่เริ่มซ้ำมีการเปลี่ยนโทนเสียงตลอดเวลา จึงตีโจทย์ว่าการเริ่มใหม่ของตัวโน๊ตก็เหมือนการใช้ชีวิตของคน ๆ หนึ่งทุกวัน มีการเปลี่ยนของตัวโน้ตเปรียบได้กับการเปลี่ยนแปลงในการดำรงชีวิตแต่ละคน การใช้ชีวิตที่ต้องเริ่มใหม่เหมือนเดิมซ้ำ ๆ คือการพักผ่อนวันต่อวัน ชื่อเพลงบอกถึงใบหน้าของคน ๆ หนึ่ง แต่ผมว่าทุกใบหน้ามีเรื่องราวมีภาระหน้าที่แตกต่างกันไป มีความฝันและไม่ได้ล้มตัวนอนด้วยความสุขทุกวัน อาจล้มตัวนอนด้วยภาระว่าพรุ่งนี้จะทำอย่างไรถึงมีข้าวกินก็ใช้กล่องโฟมยัดเข้าไปในหมอนแทนนุ่น พรุ่งนี้ต้องใช้จ่ายหนี้สินก็ใช้บิลต่าง ๆ ยัดเข้าไปแทนที่เช่นกัน หรือบางคนก็หลับสบายโดยไม่คิดอะไรบนหมอนนุ่นก็ได้” สุรเจต กล่าว






ด้านผลงานการจัดวางที่เหนือจริงและไร้เหตุผล “แอส อีฟ น็อตติ้ง แฮปเพ่นเนด” ถูกนำเสนอผ่านแนวคิดของ มาฆะ เสนาวงศ์ ณ อยุธยา ที่ได้รับโจทย์เพลง ดาร์ค อูฉ๋า บลูส์ จูน โดย ยุทธนา กะลัมพะเหติ ใช้การสื่อความหมายผ่านเก้าอี้และกระดาษสีขาว ใส่กลไกให้ขยับเองได้ตลอดเวลา มองแล้วเกิดคำถามต่อหน้าที่และความหมายของวัตถุสามัญธรรมดา แต่เปลี่ยนไปจากความเป็นจริงที่เรารับรู้ เป็นการใช้ความรู้สึกสร้างอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่งให้เหนือจริงในบริบทของศิลปะ โดยโจทย์ที่ได้มาเป็นเพลงสไตล์บลูส์จึงนึกถึงเก้าอี้โยกไปเรื่อย ๆ เวลาได้นั่งฟัง จึงหยิบเก้าอี้ไม้ธรรมดาทำให้โยกได้ จัดวางให้กลมกลืนอยู่ในพื้นที่จัดงาน แต่ก็ทำให้ผู้ชมสะดุดตาหยุดจ้องมองความเคลื่อนไหวได้ทุกคน


ปิดท้ายอีกหนึ่งผลงานสร้างสรรค์ที่เปิดโอกาสให้ผู้ชมสัมผัสและช่วยกันต่อเติมให้มีความหมายได้ กับภาพจิ๊กซอว์ชายหญิงกำลังจูบกันหวานชื่นในชื่อ “Nopporn’s Dream” ของ จุลญานนท์ ศิริพล ศิลปินทัศนศิลป์ที่ถนัดถ่ายทอดผลงานผ่านวิดีโอ แต่ในงานนี้เขาเลือกใช้จิกซอว์กระดาษมานำเสนอให้ผู้ชมหาคำตอบด้วยตัวเอง ตามโจทย์เพลงชื่อ บางสิ่งที่ฉันไม่สามารถพูดกับเธอได้ (Episode IV) โดย สัณห์สรฉัตรธร ปรุณฑริกชาติ เป็นแนวเพลงทำนองใช้เฉพาะกีตาร์และเอฟเฟกต์เสียงเล่าเรื่องราว จินตนาการจากอนาคต ย้อนกลับไปอดีต และเดินทางสู่ปัจจุบัน เมื่อได้ฟัง จุลญานนท์ รู้สึกถึงบรรยากาศของความล่องลอย เหมือนอยู่ในจักรวาล มีอารมณ์ของความรัก จึงแคปภาพคู่รักในวีดีโอรีเมคภาพยนตร์เรื่องข้างหลังภาพของตัวเอง ทำเป็นจิ๊กซอว์ ๑,ooo ตัว ให้ทุกคนช่วยกันเติมเต็มไปพร้อมกับเสียงเพลง


ยังมีผลงานของศิลปินทัศน์ศิลป์ อาทิ ณัฐพล สวัสดี, เล็ก เกียรติศิริขจร, ดุ๊ก ลัทธพล, พงศ์พิชญ์ ปรีชาบริสุทธิ์กุล, จิรัชยา พริบไหว เป็นต้น ร่วมหาคำตอบของการเชื่อมโยงทั้งสองสิ่งให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ภายในนิทรรศการได้บริเวณโครงการ เดอะ แจม ฟคเทอรี่ คลองสาน จนถึงเดือนมีนาคมนี้



ภาพและข้อมูลจาก
komchadluek.net














มนุษย์กับวาทกรรม...ศิลปะแห่งอารมณ์ ความรู้สึก



...มนุษย์ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ มีอิสรภาพและเสรีภาพในการดำรงชีวิต แต่เมื่อมองลึกลงไปภายใต้ภาวการณ์ของการดำรงชีวิตจริง กลับมีสิ่งที่คอยกำกับควบคุมพฤติกรรมการดำรงชีวิตของเราอยู่ตลอดเวลา สิ่งนั้นคือวาทกรรม เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์คิดค้นขึ้น เพื่อควบคุมตัวเองให้ได้ตามแรงปรารถนา...


แนวคิดที่ก่อเกิดเป็นนิทรรศการผลงานศิลปกรรม “มนุษย์กับวาทกรรม” อันเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยที่ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้ในการบำบัดความเครียด บำบัดความรู้สึกของมนุษย์ โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ทวีรัศมิ์ พรหมรัตน์ และอาจารย์อาคม ทองโปร่ง อาจารย์ประจำภาควิชาศิลปะและการออกแบบ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งจัดแสดงอยู่ ณ หอศิลป์ฯ สถานอารยธรรมศึกษา โขง-สาละวิน มหาวิทยาลัยนเรศวร


“ผลงานจิตรกรรมชุด มนุษย์ + ความเครียด = ๑.๖๑๘ เกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่างผมกับผู้ใช้สารเสพติดที่มารับการบำบัด โดยใช้รูปแบบกิจกรรมศิลปะบำบัด ภายใต้เงื่อนไขกฎระเบียบ ผ่านรูปลักษณ์และการเปิดเผยความจริงของมนุษย์ผ่านงานศิลปะ” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ทวีรัศมิ์ พรหมรัตน์ เล่าถึงที่มาของผลงาน


“๑.๖๑๘ คืออัตราส่วนทอง ซึ่งเป็นค่าคงที่ทางคณิตศาสตร์ที่ไม่มีเหตุผลชัดเจน เช่นเดียวกับงานศิลปะที่ไม่มีค่าเหตุผลความงามที่แน่นอนเช่นกัน”


ผลงานจิตรกรรมของผู้ช่วยศาสตราจารย์ทวีรัศมิ์ พรหมรัตน์ เป็นภาพของผู้เข้ารับการบำบัดยืนถือภาพงานศิลปะอันเกิดจากหระบวนการบำบัด ลักษณะภาพ สีสัน อารมณ์ ความรู้สึกจะแสดงผ่านสีหน้าท่าทางของตัวชิ้นงานกับผู้ที่ยืนถือภาพ ซึ่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ทวีรัศมิ์บอกว่า ท้ายที่สุดแล้วงานศิลปะได้ย้อนกลับมาบำบัดความรู้สึกของตัวเองอีกทอดหนึ่ง






สำหรับผลงานของอาจารย์อาคม ทองโปร่ง ก็เป็นเรื่องอารมณ์ ความรู้สึกเช่นกัน แต่เป็นภาวะอารมณ์ที่อยู่ในใจ เป็นความลับ ซ่อนเร้น ไม่สามารถเปิดเผยได้


“ผลงานภาพพิมพ์ชุด Something between you and me ใช้หัวน้ำมันผสมผสานดิจิตอลปรินท์ ซึ่งเมื่อผสมผสานกันเราจะควบคุมไม่ได้ เปรียบเสมือนสภาวะแรงปรารถนาที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคนขณะสนทนากัน ที่เราไม่อาจควบคุม”


ภาพของบุคคล ซึ่งก็คือตัวอาจารย์อาคมและนิสิตจึงมีลักษณะเบลอ เหมือนมีม่านบังอยู่ เมื่อเรามองภาพ จึงเป็นลักษณะตาจ้องตา เกิดการค้นหาคำตอบ ทำปฏิกิริยากัน สะท้อนภาพความจริงแห่งอารมณ์ ความรู้สึกที่อยู่เบื้องลึกของจิตใจมนุษย์ที่เรามิอาจหยั่งรู้ได้


“คุณค่าของงานศิลปะไม่ใช่อยู่ที่การตั้งคำถามว่าฝีมือของผู้สร้างสรรค์เป็นอย่างไร เหมือนหรือไม่ แต่ให้ถามตัวเองว่า เราเห็นแล้วคิดอย่างไร และให้เราโต้ตอบกับงานศิลปะ เหมือนกับเป็นการสนทนากับตัวเอง นั่นเป็นความงามที่หาได้จากงานศิลปะ คือการพิจารณาตั้งคำถามกับตัวเอง และในที่สุดงานศิลปะก็จะช่วยเผยความรู้สึกจากข้างในของเราออกมา” ประโยคทิ้งท้ายของผู้ช่วยศาสตราจารย์ทวีรัศมิ์ พรหมรัตน์


งานศิลปะจึงเป็นสื่อ คือแนวทางนำไปสู่การตั้งคำถาม การค้นหาและค้นพบ เป็นกระบวนการของศิลปะบำบัด ร่วมค้นหาความงามและความจริงได้ในนิทรรศการผลงานศิลปกรรม “มนุษย์กับวาทกรรม” ณ หอศิลป์ฯ สถานอารยธรรมศึกษา โขง-สาละวิน มหาวิทยาลัยนเรศวร ตลอดเดือนมกราคม ๒๕๕๘



ภาพและข้อมูลจาก
nuks.nu.ac.th














วธ.เปิดชมพิพิธภัณฑ์ยามราตรี



วันที่ ๒๓ ม.ค. ๒๕๕๘ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวว่า กรมศิลปากร ได้รายงานความคืบหน้าการจัดกิจกรรมนำร่องในการบูรณาการท่องเที่ยวกับงานมรดกทางศิลปวัฒนธรรมในช่วงกลางคืน โดยร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่สำคัญเป็นการดำเนินการตามแผนการพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เพื่อดึงดูดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์เพิ่มมากขึ้น โดยการจัดกิจกรรมไนท์ทัวร์ (NIGHT TOUR) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์ในช่วงเวลากลางคืน และให้สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาประเทศของนายกรัฐมนตรี “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” และยังเป็นการเสริมสร้างความรู้และเผยแพร่ความงดงามของรูปแบบสถาปัตยกรรม รวมทั้งงานช่างฝีมือของไทยในมิติใหม่ โดยเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ในช่วงกลางคืน ทั้งนี้ จะเปิดตัวกิจกรรมนำร่องที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในวันที่ ๒๒ มกราคม ตั้งแต่เวลา ๑๘.oo-๒o.๓o น.


นายวีระ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามจะเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวและประชาชน ที่เดินทางมาชมพิพิธภัณฑ์ช่วงกลางคืนนั้น สามารถสักการะพระพุทธสิหิงค์ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ และเยี่ยมชมพระที่นั่งต่าง ๆ ภายในบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร รวมถึงโรงราชรถ ที่สำคัญมีการจัดแสดงชุดต่าง ๆ สับเปลี่ยนหมุนเวียนจากสำนักการสังคีต มาให้นักท่องเที่ยวได้ชมทุกครั้ง นอกจากนี้ยังร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร ในการจัดรถให้บริการนักท่องเที่ยวที่เดินชมพิพิธภัณฑ์แล้วสามารถนั่งรถไปชมงานงดงามของสถาปัตยกรรมในช่วงกลางคืนรอบเกาะรัตนโกสินทร์ได้ด้วย อาทิ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) และวัดพระแก้ว เป็นต้น


รมว.วธ. กล่าวต่อว่า ที่สำคัญได้นำสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม อาทิ ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โครงการเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากทุนทางวัฒนธรรม (Creative Fine Arts) ผลิตภัณฑ์จากช่างสิบหมู่ และของดีจากสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร มาจัดแสดงและจำหน่าย เพื่อกระจายรายได้ให้แก่ประชาชนและชุมชน ซึ่งเป็นการสร้างรายได้ให้ประชาชน อย่างไรก็ตามในอนาคตคาดว่าจะขยายกิจกรรมดังกล่าวไปยังโรงละครแห่งชาติ โรงละครวังหน้าและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศ ซึ่งนับว่าเป็นการเปิดมิติการท่องเที่ยวทางเลือกใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ ที่สำคัญเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ประเทศด้วย



ภาพและข้อมูลจาก
chaoprayanews.com


















ภาพและข้อมูลจาก
tkpark.or.th














Toyota Dream Car Art Contest 2015



บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ขอเชิญนักเรียน ประกวดวาดภาพระบายสี “TOYOTA Dream Car Art Contest 2015” ชิงถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ประเภทการประกวด

รุ่นอายุไม่เกิน ๘ ปี
รุ่นอายุ ๘-๑๑ ปี
รุ่น ๑๒ -๑๕ ปี
กำหนดระยะเวลา
ส่งผลงานได้ตั้งแต่วันนี้ - ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘


คณะกรรมการการตัดสิน

อ.สังคม ทองมี ผู้อำนวยการศูนย์ศิลป์สิรินธร ประธานคณะกรรมการตัดสิน
ผศ.สุรชัย เอกพลากร อาจารย์ประจำภาควิชาทัศนศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คุณสุทธิชาติ ศราภัยวานิช นักวาดการ์ตูนอิสระ
คุณทัศไนย ไรวา บรรณาธิการนิตยสาร Car Magazine
คุณสราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ ครีเอทีฟชื่อดังและนักเขียนนามปากกา “นิ้วกลม”


ติดต่อขอรับใบสมัครได้ที่

ผู้แทนจําหน่ายรถยนต์โตโยต้าทั่วประเทศ
The Style by Toyota อาคาร SQ1 สยามสแควร์ ซอย ๗
ซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์ทุกสาขา


ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

เบอร์. o๒-๑๑๕-๑๔๔๔ หรือ o๘๗-๙๑๖-๗๙๔๗
e-mail: toyotadreamcar.th@gmail.com
ติดตามข่าวสารการประกวดได้ที่
Website : //www.dreamcarthailand.com



ภาพและข้อมูลจาก
contestwar.com














เทศกาภาพยนตร์ญี่ปุ่น ๒o๑๕



เป็นประจำเช่นทุกปี ที่คอหนังบ้านเราจะมีโอกาสชมภาพยนตร์ญี่ปุ่น หลากหลายหลากสไตล์ เลือกสรรค์โดย เจแปนฟาว์เดชัน กรุงเทพฯ ปีนี้คัดเลือกมาจำนวน ๑๕ เรื่อง เน้นหัวข้อ "ชีวิต" (LIFE) ที่กรุงเทพฯ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓o มกราคม ถึง ๘ กุมภาพันธ์ ๒o๑๕ ที่โรงภาพยนตร์พารากอนซีนีเพล็กซ์ สยามพารากอน ส่วนที่เชียงใหม่ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๓-๒๑ กุมภาพันธ์ ๒o๑๕ ที่เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ เซ็นทรัลเฟสติวัล บัตรเข้าชมราคา ๑oo บาททุกที่นั่ง ทุกเรื่องมีคำบรรยายอังกฤษ-ไทย


สำหรับโปรแกรมที่เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ สยามพารากอน หลังพิธีเปิดเทศกาลในคืนวันศุกร์ที่ ๓o มกราคม เวลา ๒o.oo น. ฉายภาพยนตร์เรื่อง LUPIN THE THIRD (2014) (๑๒๑ นาที) ภาพยนตร์แนวผจญภัย คอมิดี ดรามา จากการกำกับโดย KITAMURA RYUHEI หลังภาพยนตร์จบลง ผู้กำกับจะมาตอบคำถามสนทนากับผู้ชม โปรแกรมค่ำคืนนี้ สำหรับบัตรเชิญโดยเฉพาะ จากนั้นเข้าโปรแกรมสำหรับบุคคลทั่วไป


เสารที่ ๓๑ มกราคม

๑๑.oo-๑๓.oo น. TUG OF WAR! (2012) (111 นาที) แนวคอมิดี
๑๓.๓o-๑๖.๑o น. THE STORY OF YONOSUKE (2013) (160 นาที) แนวคอมิดี ดรามา
๑๗.oo-๒o.oo น. SAUDADE (2011) (๑๖o นาที) แนวดรามา
รอบฉายผู้กำกับ TOMITMA KATSUYA มาสนทนา


อาทิตย์ ๑ กุมภาพันธ์

๑๑.oo-๑๓.oo น. AKKO-CHAN : THE MOVIE (2012) (๑๒o นาที) แนวคอมิดี
๑๓.๓o-๑๕.๓o น. THE KIRISHIMA THING (2012) (๑o๓ นาที) แนวดรามา
๑๖.oo-๑๘.oo น. THE LIGHT SHINES ONLY THERE (2014) (๑๒o นาที) แนวดรามา


จันทร์ ๒ กุมภาพันธ์
๑๙.oo-๒๑.oo น. CASTING BLOSSOMS TO THE SKY (2012) (๑๖o นาที) แนวดรามา


อังคาร ๓ กุมภาพันธ์
๑๙.oo-๒๑.oo น. HOSPITALITE II (2010) (๙๖ นาที) แนวดรามา


พุธ ๔ กุมภาพันธ์
๑๙.oo-๒๑.oo น. ABOUT THE PINK SKY (2013) (๑๑๒ นาที) แนวดรามา


พฤหัสฯ ๕ กุมภาพันธ์
๑๙.oo-๒๑.oo น. LEAVING ON THE 15TH SPRING (2013) (๑๑๔ นาที) แนวดรามา


ศุกร์ ๖ กุมภาพันธ์
๑๙.oo-๒๑.oo น. UNTIL THE BREAK OF DAWN (2012) (๑๒๙ นาที) แนวดรามา


เสาร์ ๗ กุมภาพันธ์
๑๓.๓o-๑๕.๓o น. LUPIN THE THIRD (2014) (๑๒๑ นาที) แนวผจญภัย คอมิดี ดรามา
๑๖.oo-๑๘.๓o น. HAND IN THE GLOVE (2015) (๗o นาที) แนวคอมิดี


รอบฉาย ผู้กำกับ YUSUKE INABA พร้อมนักแสดงและทีมงานจะมาสนทนากับผู้ชม


อาทิตย์ 8 กุมภาพันธ์
๑๓.๓o-๑๕.๓o น. THE RAVINE OF GOODBYE (2013) (๑๑๗ นาที) แนวดรามา
๑๘.๓o-๒o.oo น. MY MAN (2014) (๑๒๙ นาที) แนวโรแมนติก ดรามา


รายละเอียด เรื่องย่อ สามารถคลิกเข้าไปดูที่ //www.jfbkk.or.th


เทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศที่ถ่ายทำในประเทศไทย ๒o๑๕

แต่ละปีกองถ่ายภาพยนตร์จากต่างประเทศจำนวนมากที่เดินทางเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย นอกจากจะช่วยส่งเสริมภาพพจน์วัฒนธรรมและวิถีชีวิตไทยให้เป็นที่ประจักษ์ในต่างประเทศ กระตุ้นธุรกิจท่องเที่ยวให้เติบโตแล้วยังสร้างรายได้มหาศาลนับพันล้าน กระจายสู่คนไทยในประเทศอีกด้วย จะเห็นได้จากผลพวงภาพยนตร์หลายเรื่องในอดีตที่เคยมาถ่ายทำในประเทศไทย อาทิ THE BEACH, GOODMORNING VIETNAM, ALEXANDER และ LOST IN THAILAND และเป็นประจำทุกปีที่ทางกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศที่ถ่ายทำในประเทศไทย นำภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ ที่เคยเข้ามาถ่ายทำเผยแพร่ให้คนในวงการบันเทิงต่างประเทศทราบ ปีนี้จัดเป็นปีที่ ๓ โดยใช้แนวคิด 'SCENERY, SCENE, SEEN ON SCREEN' ดัน ๑๒ เมืองต้องห้ามพลาดเป็นโลเกชั่นใหม่ให้วงการภาพยนตร์โลก พร้อมกันนี้ยังดึงนักศึกษานานาชาติร่วมชิงชัยแข่งภาพยนตร์สั้น ผลักดันใช้โซเชียลมีเดียโปรโมตทั่วโลก ปี ๒o๑๕ จัดขั้นที่โรงภาพยนตร์พารากอนซีนีเพล็กซ์ สยามพารากอน ตั้งแต่วันที่ ๔ ถึง ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒o๑๕ โดยมีผู้กำกับและนักแสดงจากภาพยนตร์ ๑o เรื่องที่เลือกฉายในเทศกาลเดินทางมาร่วมงานด้วย


ภาพยนตร์ ๑o เรื่อง ที่จะฉายในเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศที่ถ่ายทำในประเทศไทย ๒o๑๕


THE RAILWAY MAN (2013) (อังกฤษ) แนวชีวประวัติ ดรามา
ถ่ายทอดเรื่องราวของอิริค โลแม็กซ์ (โคลิน เฟิร์ธ) เชลยศึกสงครามชาวอังกฤษ ซึ่งเคยถูกกักกันในค่ายเชลยกองทัพญี่ปุ่นที่จังหวัดกาญจนบุรี หลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง เขาพบว่าหนึ่งในผู้คุมทหารญี่ปุ่นยังมีชีวิตอยู่ เขาตามตัวจนเจอ


PERNICIOUS (2015) (อเมริกา) แนวสยองขวัญ
เล่าเรื่องราวสามสาวอเมริกัน เดินทางมาพักผ่อนช่วงฤดูร้อนในไทย แต่กลับต้องพบกับวิญญาณเด็ก 8 ขวบที่ถูกฆ่าในบ้านผีสิง


STRETCH (2011) (ฝรั่งเศส) แนวแอคชั่น คอมิดี
หนังเล่าเรื่องราวของจ๊อกกี้หนุ่ม ชาวฝรั่งเศส หลังจากไม่ผ่านการตรวจสารเสพติดในตัวเขาเดินทางมาอยู่มาเก๊า เข้าแข่งขันอีกครั้ง แต่คราวนี้ครูฝึกขอให้เขายอมแพ้ในการแข่งขัน เรื่องนี้ได้ดาราสาวแฟนบิงบิงจากจีน และเดวิด คาร์ราดีน มาร่วมแสดง


LAST FLIGHT (2014) (จีน) แนวแอคชั่น
เล่าถึงเหตุเกิดผิดปกติในเที่ยวบินสุดท้ายของเครื่องโบอิ้ง 747 ซึ่งออกจากสนามบินบนเกาะเล็ก ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก


BIKERS KENTAL (2013) (มาเลเซีย) แนวแอคชั่น คอมิดี
หนังเล่าถึงการผจญภัยของ BIDIN AL ZAIFA เด็กหนุ่มขี่มอเตอร์ไซค์คันโปรดพร้อมกับคู่หูเดินทางมาประเทศไทย เขาพบทั้งอุปสรรค ทั้งมิตรภาพ และความรัก

ANGELS (2012) (เวียดนาม) แนวแอคชั่น สืบสวน หนังร่วมทุนสร้างไทย/เวียดนาม และกำกับโดยวิชช์ เกาไศยนันท์ ANGELS เล่าถึงคดีฆาตกรรมหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ แองเจิล กลายเป็นศพลอยอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา

THE LOST MEDALLION (2013) (อเมริกา) แนวผจญภัย ครอบครัว
หนังเล่าเรื่องราวการผจญภัยอันเหลือเชื่อของเด็กหนุ่มผ่านกาลเวลา หนังถ่ายทำที่กระบี่และกาญจนบุรี

IT'S ENTERTAINMENT (2014) (อินเดีย) (คอมิดี)
หนังเล่าถึง AKHIL ชายยากจน ซึ่งค้นพบความจริงว่าเขาเป็นลูกชายเศรษฐีและเป็นทายาทรับมรดก แต่แล้วพ่อแท้ ๆ ของเขาก็เกิดเสียชีวิตลง ไม่ทราบว่าเขามีทายาทเลยยกมรดกให้กับสุนัขตัวโปรด

THE PRINCE AND ME : THE ELEPHANT ADVENTURE (2010) (อเมริกา) แนวคอมิดี/โรแมนติก
หนังเล่าถึงชีวิตเจ้าหญิงไมราแห่งนครซางยูน ถูกอภิเษกสมรสคลุมถุงชนกับชายชื่อคาล แต่จริง ๆ แล้วชายหนุ่มที่เธอมีความรักด้วยเป็นควาญช้าง.



ภาพและข้อมูลจาก
thaipost.net
majorcineplex.com














ธรรมชาติของธรรมชาติ ๒



วันที่ : 06 มกราคม - ๒๙ มกราคม ๒๕๕๘
สถานที่: People's Gallery P1-P2 ชั้น ๒
โดย อิศเรศ วงศ์สิงห์ และ จักรกฤษณ์ ศรีสงคราม
นิทรรศการจิตรกรรม ธรรมชาติของธรรมชาติ ๒ เป็นนิทรรศการที่จัดขึ้นต่อเนื่องจากการแสดงนิทรรศการครั้งที่ ๑ ณ หอศิลป์จามจุรี เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งทั้งสองศิลปินได้สร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมที่เกี่ยวกับธรรมชาติมาอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่มาของการจัดแสดงนิทรรศการครั้งนี้


แนวความคิด

อิศเรศ วงศ์สิงห์
ธรรมชาตินั้นประกอบไปด้วยบรรยากาศ สีสัน และแสงเงา พืชพันธุ์ ดอกไม้ ภูเขา ท้องฟ้า สายลม และแสงแดด ฯลฯ ซึ่งเราสามารถรับรู้ได้จากการสัมผัสกับธรรมชาติโดยตรง ทำให้เกิดอารมณ์ ความรู้สึก และสุนทรีย์ ความสุข ความอิ่มเอม และสะท้อนมุมมองที่เป็นสัจธรรมภายใน ผ่านประสบการณ์และการถ่ายทอดออกมาเป็นภาพเขียนสีอะครีลิค


จักรกฤษณ์ ศรีสงคราม
ธรรมชาติของธรรมชาตินั้นมีความจริง มีเสน่ห์และความงดงามปรากฏอยู่ มีการเกิด ดำรงคงอยู่ และเสื่อมสลายไปเป็นวัฏจักรตามกาลเวลาไม่รู้จบสิ้น ถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานจิตรกรรมเทคนิคสีน้ำมัน ด้วยสีสัน จังหวะ มุมมอง และรูปแบบเฉพาะตัวตามความรู้สึกของข้าพเจ้า


ภาพและข้อมูลจาก
bacc.or.th














อยากลืมกลับจำ อยากจำกลับลืม



เป็นการนำสองเรื่องสองเหตุการณ์มานำเสนอนิทรรศการเดียวได้อย่างลงตัว และเป็นคนเรื่องเดียวกันที่มอบทั้ง “เศร้า” และ “สวย” แก่ผู้ชม สำหรับนิทรรศการการ อยากลืมกลับจำ อยากจำกลับลืม [un] forgotten นิทรรศการจัดแสดงผลงานภาพถ่ายของช่างภาพชาวไทย เล็ก เกียรติศิริขจร และสองช่างภาพชาวสวิตเซอร์เเลนด์ Stephanie Borcard และNicolas Metraux


ในด้านที่เศร้านั้นเพราะต่างเป็นเรื่องที่เราทุกคนล้วนไม่อยากให้มันเกิดขึ้นทั้งกับสังคมและครอบครัวของตนเอง และเมื่อเกิดขึ้นก็กลายเป็นความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน ส่วนด้านที่สวย คือมุมมองของช่างภาพ ที่สามารถทำให้เรื่องเศร้าที่พวกเขาอยากเล่าดูสวยงามขึ้นมาได้ในภาพถ่าย


“อยากลืมกลับจำ” ของเล็ก ถ่ายทอดเรื่องราวความเจ็บปวดที่สังคมไทยได้ประสบเมื่อคราวน้ำท่วมครั้งใหญ่ ในปี ๒๕๕๔ อารมณ์ในภาพถ่ายที่ดูเเน่นิ่งเเต่แฝงไปด้วยนัยต่าง ๆ และย้ำเตือนเราว่า


"หนึ่งในสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดภัยพิบัติในครั้งนี้คือการพัฒนาของเขตเมืองในประเทศไทย อย่างไม่เป็นระบบมาอย่างยาวนาน แต่การขาดความเข้าใจในปัญหาและการจัดการที่ผิดพลาด จากนักการเมืองผู้รับผิดชอบทำให้สถานการณ์ยิ่งทรุดหนักลง


ปัญหาการคอรัปชั่นและการเล่นเกมการเมือง ระหว่างพรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน ทำให้ประชาชนรู้สึกว่า ถูกทอดทิ้งอยู่กับความสิ้นหวัง"














ขณะที่ “อยากจำกลับลืม” ของสองช่างภาพชาวสวิต ผู้ได้ตามติดเเละบันทึกภาพอิริยาบถต่าง ๆของผู้ป่วยที่กำลังเผชิญภาวะสมองเสื่อม (อัลไซเมอร์) ณ “บ้านกำลังใจ” บ้านพักฟื้นผู้ป่วยแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ เป็นภาพถ่ายเชิงสารคดีที่แฝงนัยเรื่องราวความเจ็บปวดด้านความทรงจำ














จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งบ้านพักฟื้นแห่งนี้ เริ่มมาจากเรื่องราวส่วนตัวของ “มาร์ติน” เมื่อพ่อของเขากระทำอัตวินิบาตกรรม เนื่องจากความเครียด จากอาการป่วยของภรรยาด้วยโรคอัลไซเมอร์ เขาต้องดูแลมาร์กริท แม่ของเขาตามลำพัง


แต่เนื่องด้วยทางประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดูเหมือนจะไม่จูงใจให้เขาในเรื่องการรักษาแม่ ทั้งเรื่องของระบบและการเงิน เขาจึงไตร่ตรองและตัดสินใจพาแม่มายังประเทศไทย เพื่อปรับวิธีการที่จะรักษาแม่ กระทั่งได้ก่อเกิดบ้านพักฟื้นขึ้น


“โรคนี้จะกลืนกินทุกสิ่ง รวมถึงความทรงจำในช่วงชีวิต ชีวิตกลับกลายเป็นมืดมัว ลืมแม้กระทั่งตัวเอง มันคือสภาวะสิ้นสุด ในการดำรงอยู่" คือสิ่งที่ภาพถ่ายบอกเล่ากับผู้ชม


นิทรรศการ อยากลืมกลับจำ อยากจำกลับลืม [un] forgotten วันนี้ - ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๘ วันจันทร์ถึงศุกร์ เวลา ๘.๓o - ๑๙.oo น. และวันเสาร์ เวลา ๘.๓o - ๑๖.oo น. (ปิดทุกวันอาทิตย์และวันหยุดราชการ) ณ ท้องพระโรง หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ



ภาพและข้อมูลจาก
manager.co.th




บล็อกนี้อยู่ในหมวดศิลปะ




บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor





Create Date : 30 มกราคม 2558
Last Update : 30 มกราคม 2558 21:26:52 น. 0 comments
Counter : 1696 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.