happy memories
Group Blog
 
<<
เมษายน 2558
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
30 เมษายน 2558
 
All Blogs
 
เสพงานศิลป์ ๒o๔





ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto






King 14



ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท



หลากหลายเรื่องราวที่เราได้เห็นความกระจ่างชัดเหมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จากภาพถ่าย เพราะภาพ ๑ ใบ มีเนื้อหาบอกเล่าได้มากกว่าคำพูดนับพัน เหตุนี้เพื่อให้พสกนิกรได้เข้าใจพระราชกรณียกิจ พระจริยวัตรของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากหัวใจไม่ต้องพึ่งคำพูดใด ๆ คณะกรรมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ ๘๘ พรรษามหาราชา และ ๗o ปีทองฉลองราชสมบัติ จึงร่วมกับกรมประชาสัมพันธ์และกลุ่มช่างภาพสื่อมวลชนอาวุโส ช่างภาพส่วนพระองค์ จัดแถลงข่าวกิจกรรม เสวนาประวัติศาสตร์ ชีวิต ผลงาน ประสบการณ์ และภาพถ่าย และเปิดนิทรรศการภาพถ่ายเฉลิมพระเกียรติ “๙๙ ช่างภาพในรัชกาลที่ ๙” เตรียมความพร้อมให้ประชาชนได้ชื่นชมพระบารมีในมุมมองที่แตกต่าง


เสริมศักดิ์ สภานนท์ ผู้เสนอนโยบายและแผนปฏิบัติการ กล่าวถึงรายละเอียดกิจกรรมว่า นิทรรศการภาพถ่ายเฉลิมพระเกียรติเป็นหนึ่งในกิจกรรมมหกรรมก้าวสู่ปีทองที่จัดขึ้นมาต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๙ เริ่มจากนำภาพพระบรมฉายาลักษณ์ที่สะสมไว้มาแสดง ร่วมถึงผลงานของช่างภาพส่วนพระองค์ในสมัยนั้นมาร่วมจัดแสดงภาพพระราชกรณียกิจให้ประชาชนได้เห็น โดยในระยะหลังนี้ได้ขอความร่วมมือจากช่างภาพสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่เคยมีโอกาสตามเสด็จ มาร่วมแสดงภาพความประทับใจด้วย โดยปีนี้มีความพิเศษถือเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่จัดเสวนาประวัติศาสตร์ ชีวิต ผลงาน ประสบการณ์ และภาพถ่าย “ตามรอยเบื้้องพระยุคลบาท” โดยช่างภาพส่วนพระองค์ และช่างภาพทั่วไปที่เคยถวายงานติดตาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในที่ต่าง ๆ จะมาเล่าประสบการณ์การทำงาน ความประทับใจ ความยากลำบากในการถ่ายภาพประวัติศาสตร์เหล่านี้ นับเป็นเรื่องราวของกลุ่มช่างภาพโชคดีจำนวนหนึ่งที่มีโอกาสได้ถวายงานพระองค์ท่าน ซึ่งจะเป็นความรู้และมุมมองที่ดีต่อช่างภาพรุ่นใหม่ นิสิตนักศึกษาที่สนใจเรื่องการถ่ายภาพ และพสกนิกรจะได้เห็นภาพการทรงงาน รวมถึงพระจริยวัตรที่ไม่เคยเห็นที่ไหนอีกด้วย


“หลาย ๆ ภาพที่จะจัดแสดงได้รับความร่วมมือจากช่างภาพรุ่นเก่าที่เก็บรักษาผลงานไว้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๓ มีภาพเก่าที่เชื่อว่าไม่ค่อยมีใครได้เห็นนักคือ ภาพเสด็จฯ ไปไร่ส้มกำนัลจุล ในภาพนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงป้อนส้มแก่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และยังมีอีกหลายภาพที่ทำให้เห็นเรื่องราวการพัฒนาบ้านเมืองของพระองค์ท่าน” เสริมศักดิ์ กล่าว


ด้าน น้อม พงศ์กัญจนานุกูร อดีตช่างภาพส่วนพระองค์ ผู้ถวายงาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มากว่า ๕o ปี บอกเล่าว่า การทำงานของช่างภาพส่วนพระองค์ในสมัยก่อนมีเรื่องราวขั้นตอนทรงคุณค่า แต่ละคนก็มีมุมมองมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน อยากเชิญชวนช่างภาพยุคปัจจุบันมาร่วมชมภาพถ่ายและรับฟังเสวนา เพราะเชื่อว่าเรื่องราวเหล่านี้หาดูยากในปัจจุบัน จะได้ฟื้นฟูความรู้สึกให้แก่ประชาชนผ่านภาพถ่ายทั้งเรื่องพระราชกรณียกิจที่ทรงพัฒนาบ้านเมืองมา การจัดการน้ำ ความอุดมสมบูรณ์ในประเทศไทย ซึ่งคนรุ่นหลังไม่ค่อยรู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวเหล่านี้แล้ว แต่ละภาพที่นำมาจัดแสดงถูกล้างฟิล์มและเก็บรักษาอย่างดีเป็นความสุขของช่างภาพยุคนั้น งานนี้ถือเป็นการส่งต่อความสุขให้ประชาชนอีกทางหนึ่ง


งานเสวนา "ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท” และนิทรรศการภาพถ่ายเฉลิมพระเกียรติ จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ ๙ พฤษภาคมนี้ ภายในโรงภาพยนตร์เมเจอร์ เอสพลานาด แคราย- งามวงศ์วาน เวลา ๑๓.๓o-๑๗.oo น. นิสิต นักศึกษา ประชาชน และช่างภาพที่สนใจรับฟังเรื่องราวทรงคุณค่าสามารถเข้าร่วมงานได้ฟรี







ภาพและข้อมูลจาก
komchadluek.net









แรงบันดาลใจจากเพลงของพ่อ



พระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถทางดนตรีของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งไม่เพียงจรรโลงใจให้รู้สึกรื่นรมย์ หากในอีกมิติยังสร้างแรงบันดาลใจจากเนื้อหาของเพลงอันลึกซึ้งนำไปเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตได้ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด จึงจัดแถลงข่าวเปิดตัวโครงการภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “คีตราชนิพนธ์ บทเพลงในดวงใจราษฎร์” เผยแพร่ ๔ ผลงานของ ๔ ผู้กำกับจากบทเพลงพระราชนิพนธฺ์ทรงคุณค่า ที่พารากอน ซินิเพล็กซ์ สยามพารากอน วันก่อน






ณัฐวรรณ ทีปสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทจัดทำสื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลากหลายรูปแบบเพื่อเทิดพระเกียรติที่ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านดนตรี อย่างสารคดีเฉลิมพระเกียรติและแคมป์สำหรับเยาวชน จนมาถึงโครงการล่าสุดมีการเตรียมการมาร่วม ๒ ปี เชื่อว่าสื่อภาพยนตร์เป็นศิลปะที่สามารถถ่ายทอดเพลงพระราชนิพนธ์ได้อีกมิติหนึ่ง โดยเฉพาะการสร้างแรงบันดาลใจ โดยเลือกเพลงพระราชนิพนธ์มา ๔ เพลง จากกว่า ๕o เพลง มาสร้างเป็นภาพยนตร์ ซึ่งนอกจากจะสื่อความหมายได้ลึกซึ้งแล้ว ก็ยังมีเพลงเพราะ ๆ ประกอบ ได้แก่ เพลงสายฝน, ความหวังอันสูงสุด, ชะตาชีวิต และยิ้มสู้






ภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ ๔ เรื่อง ความยาว ๑๓o นาที ชุดนี้ ส่วนใหญ่สร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคม ได้แก่ เรื่อง “เดอะ ซิงเกอร์” กำกับโดย นนทรีย์ นิมิบุตร ได้แรงบันดาลใจจากเพลงพระราชนิพนธ์ชื่อ “ชะตาชีวิต” ขับร้องโดย นีรนุช ปัทมสูต และ ธนิดา ธรรมวิมล หรือ “ดา เอ็นโดรฟิน” ซึ่งผู้กำกับร้อยล้านเล่าว่า คุ้นเคยกับเพลงพระราชนิพนธ์ชะตาชีวิตมาตั้งแต่เด็ก เพลงนี้ดนตรีเป็นแนวบลู พอมาใส่เนื้อร้องภาษาไทยก็มีความหมายลึกซึ้งกินใจ ท่อนจบของเพลงสื่อถึงความหวัง ทางออกชีวิต เนื้อเรื่องเป็นการหยิบเอาข่าวสารที่เกิดขึ้นรอบตัวมาผูกเข้ากับเนื้อหาของเพลง ถ่ายทอดผ่านชีวิตของผู้สูงอายุคนหนึ่งที่บางครั้งรู้สึกโดดเดี่ยว การนำเสนอเรื่องของคนวัยนี้ทำให้ได้แง่คิดหลายอย่างที่บางครั้งคาดไม่ถึ






เรื่อง “อมยิ้ม” กำกับโดย วัลลภ ประสพผล ได้แรงบันดาลใจจากเพลงพระราชนิพนธ์ “ยิ้มสู้” ขับร้องโดยปราการ ไรวา เจ้าตัวเปิดเผยว่า ได้ยินคำว่ายิ้มสู้แล้วรู้สึกมีความหมายบวก เป็นการมองโลกแบบเฟ้อฝันแต่เป็นความจริงและสง่างาม ทุกคนมีความทุกข์ การจะสู้ที่ว่ายากแล้ว แต่สู้แล้วยิ้มนี่สิยิ่งใหญ่มาก นำเสนอเรื่องราวของวัยรุ่นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าโลกอยู่ยาก จึงต้องใช้ความพยายามและยิ้มสู้ หลายคนไม่เคยเห็นเขาแสดงอารมณ์อะไรเลย ทว่า ความจริงเขาต้องฟันฝ่าต้องเจอสิ่งต่าง ๆ มามากมาย ขณะที่เรื่อง “ฝนตกที่ห้วยขาแข้ง” กำกับโดย ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ได้แรงบันดาลใจจากเพลงพระราชนิพนธ์ “สายฝน” ขับร้องโดย อัญชลี จงคดีกิจ ผู้กำกับคิวทองบอกว่า ชอบโจทย์เพลงนี้จึงทำให้สามารถคิดโครงเรื่องออกมาได้อย่างรวดเร็ว ถ่ายทอดเรื่องราวของวีรบุรุษแห่งผืนป่าห้วยขาแข้ง สืบ นาคะเสถียร สอดคล้องกับพระราชดำรัสของในหลวงที่ทรงสอนให้ทำงานอย่างจริง ทำเพื่อส่วนรวมโดยไม่คำนึงถึงตัวเอง อยากให้สังคมได้รับรู้สิ่งนี้แล้วเกิดแรงบันดาลใจที่จะดำเนินชีวิตแบบนี้






และเรื่อง “ดาว” กำกับโดย ยงยุทธ ทองกองทุน ได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด” ขับร้องโดย สหรัถ สังคปรีชา และ กรณิศ เล้าสุบินประเสริฐ ซึ่งยงยุทธ บอกว่าเพลงนี้บางมุมไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดออกมาให้หึกเหิม เฉพาะเหตุการณ์เสียเลือดเนื้อใหญ่โตแบบที่สันติ ลุนเผ่ ขับร้อง แต่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันทั่ว ๆ ไปก็ได้


“ผมอยากถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กที่ตั้งใจทำดีให้พ่อเห็น โดยมองเรื่องการเชิญธงชาติหน้าเสาธงในตอนเช้าเป็นเรื่องน่ายิ่งใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่คนที่จะได้รับคัดเลือกมักเป็นเด็กเรียนดีหรือสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียน แต่เด็กคนนี้เรียนไม่เก่งแต่ก็อยากเป็นผู้เชิญธงสักครั้งให้พ่อภูมิใจในตัวเขา เป็นฝันเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนธรรมดาคนหนึ่ง” ยงยุทธ กล่าว






ร่วมสร้างแรงบันดาลใจจากบทเพลงของพ่อ โดยรอบปฐมทัศน์จะมีขึ้นวันที่ ๖ พฤษภาคม และระหว่างวันที่ ๗-๑o พฤษภาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์เครือเมเจอร์ ๑o สาขา อาทิ สาขาปิ่นเกล้า, รัชโยธิน, เชียงใหม่, โคราช, ขอนแก่น เป็นต้น รับบัตรชมฟรี //www.คีตราชนิพนธ์.com



ภาพและข้อมูลจาก
naewna.com
komchadluek.net














๑oo ปี แก้วฟ้า รัตนศิลปิน



วันที่ ๑๕ พฤษภาคมนี้ก็จะเป็นวันครบ รอบ ๑oo ปี ชาตกาล "ครูแก้ว อัจฉริยะกุล" ศิลปินผู้มีอัจฉริยภาพทางด้านคีตกวีอย่างเอกอุ และเป็นครูเพลงที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์บทเพลง "สุนทราภรณ์" โดยทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับครูเอื้อ สุนทรสนาน ดังคำกล่าวที่ว่า "ทำนองเอื้อ เนื้อแก้ว"


ผลงานประพันธ์ของครูแก้วได้รับคำยกย่องว่า มีสำนวนไพเราะ มีสัมผัสเหมือนบทกวี เลือกใช้เสียงสูงต่ำของวรรณยุกต์สัมพันธ์กับทำนองเพลง จนมีผู้ยกย่องว่า "คำร้องของครูแก้วเป็นบทกวี"


เนื่องในโอกาส ๑oo ปี "แก้วฟ้า รัตนศิลปิน" สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมนักร้องแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ฯ และกรมประชาสัมพันธ์ จัดงานคอนเสิร์ต "ขุนพลอักษร ละคร เพลง" ในวันที่ ๒๓-๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๓.๓o-๑๗.๓o น. ที่หอประชุมกรมประชาสัมพันธ์ ซอยอารีสัมพันธ์ เพื่อรำลึกถึงคุณูปการของศิลปินท่านนี้ และยังเผยแพร่ผลงานให้คนรุ่นหลังได้เห็นถึงคุณค่าความสำคัญและร่วมกันสืบทอดต่อไปการจัดคอนเสิร์ตแบ่งเป็น ๒ รูปแบบ คือ วันเสาร์ที่ ๒๓ พฤษภาคมนี้ มีชื่อตอน จากชีวิตสู่บทเพลง "แก้ว อัจฉริยะกุล" พบกับสุนทรียรสในบทเพลงครูแก้ว นำโดย สุเทพ วงศ์กำแหง ศิลปินแห่งชาติ โฉมฉาย อรุณฉาน และนักร้องวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ ร่วมด้วยการขับร้องประสานเสียงวงสวนพลู อำนวยเพลงโดย อาจารย์ดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล ศิลปินแห่งชาติ สำรองบัตรได้ที่ ม.ล.ปราลี ประสมทรัพย์ โทร. o๘-๑๘o๖-๑๔๕๖ แต่ทราบข่าวว่าบัตรคอนเสิร์ตในวันนี้ค่อนข้างเป็นที่สนใจจากแฟนเพลงจำนวนมาก


ส่วนวันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤษภาคม มีชื่อว่าตอนว่า จากหนัง ละคร ย้อนมาเป็นเพลง "แก้ว อัจฉริยะกุล" พบกับเพลงดังหนัง ละคร ผลงานครูแก้ว นำโดย ๓ ศิลปินแห่งชาติ สุเทพ วงศ์กำแหง, สวลี ผกาพันธุ์ และชรินทร์ นันทนาคร ร่วมด้วย วินัย พันธุรักษ์, จิตติมา เจือใจ, ทิพวัลย์ ปิ่นภิบาล และสุเทพ จูเนียร์ นำโดย ชรัมภ์ เทพชัย และพรหมเทพ เทพรัตน์ วงดนตรีกาญจนะผลิน ควบคุมโดย จิรวุฒิ กาญจนะผลิน และยังมีพิธีมอบรางวัลการประกวดบทละครวิทยุ และการแสดงละครวิท ยุที่ชนะการประกวดอีกด้วย


ติดต่อซื้อบัตรได้ที่ ม.ล.ปราลี ประสมทรัพย์ โทร. o๘-๑๘o๖-๑๔๕๖, คุณวนิดา โทร. o๘-๑๘๑๒- และคุณชัชชวลี โทร. o๘-๗๕๙๖-๗๕๘๙ บัตรราคา ๓oo/๕oo/๑,ooo/๑,๕oo และ ๒,ooo บาท


ถ้าเป็นไปได้ หากใครมีเวลาว่างทั้งสองวันก็ขอเชิญชวนให้เหมาดูทั้งสองงาน เพราะรูปแบบงานคอนเสิร์ตไม่เหมือนกัน อรรถรสก็จะแตกต่างกัน แต่ความบันเทิงเต็มอิ่มแน่นอน ใครที่เป็นแฟนเพลงครูแก้วก็ไม่ควรพลาด.



ภาพและข้อมูลจาก
ryt9.com
บล็อกคุณก๋งแก่(หง่อมจริงๆ)
คอลัมน์ "วิสามัญบันเทิง"นสพ.ไทยโพสต์ ๒๙ เม.ย. ๒๕๕๘














ดิน น้ำ ลม ไฟ 'กมล ทัศนาญชลี' สู่งานเวนิซ เบียนนาเล ครั้งที่ ๕๖



นายชาย นครชัย ผอ.สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) กล่าวว่า ตามที่ สศร.ได้คัดเลือก ดร.กมล ทัศนาญชลี ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมงานเทศกาลศิลปะนานาชาติ เวนิสเบียนนาเล่ ประเทศอิตาลี โดยขณะนี้คณะศิลปินได้เดินทางไปติดตั้งผลงานที่เมืองเวนิสแล้ว นับเป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทย ที่ได้มีพื้นที่แสดงผลงานศิลปะระดับโลก ส่งผลดีต่อการแสดงเอกลักษณ์ และภาพลักษณ์ของไทย สร้างชื่อเสียงให้กับศิลปิน และทำให้ชาวต่างชาติรู้จักประเทศไทยมากขึ้น


ดร.กมล กล่าวว่า ตนได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะใหม่ล่าสุดไปจัดแสดง ๒๕ ชิ้น โดยมีแนวคิดหลัก คือ โลกแห่งอนาคต ที่เป็นผลงานชุดเชื่อมโยงกันในความหมายของปรัชญาธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มีไฮไลต์สำคัญเป็นประติมากรรมลูกกลิ้งสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ ใช้วัสดุ โลหะ สเตนเลส ทองแดง ทองเหลือง ฉลุทะลุด้วยเรเซอร์ เทคโนโลยีสมัยใหม่ และแรงน้ำ ฉลุทะลุวัสดุ เกิดแสงเงาตกทอด ลงบนผนัง สื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์เชิงปรัชญาพุทธศาสนา นอกจากนี้ ยังมีผลงานภาพพิมพ์ขาวดำสื่อผสม และจิตรกรรมแบบจัดวาง ติดตั้งบนฝาผนังไล่ไปจนถึงเพดานด้วย.



ภาพและข้อมูลจาก
thairath.co.th














ศิลปินอาวุโสรับรางวัล 'ศิลปินคึกฤทธิ์'



สืบเนื่องจาก สถาบันคึกฤทธิ์ ได้ถือเอาวันที่ ๒o เมษายน ของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของ ศาสตราจารย์ พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จัดงานวันคึกฤทธิ์ พร้อมมอบรางวัลคึกฤทธิ์และประกาศเกียรติคุณให้แก่ศิลปินที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในทุกปีโดยรางวัลศิลปินคึกฤทธิ์เริ่มต้นขึ้นในปี ๒๕๓๗ ในรูปแบบของโครงการอนุเคราะห์ศิลปิน และปรับเปลี่ยนมาเป็นรางวัลคึกฤทธิ์ในปี ๒๕๕๓ จนมาถึงปัจจุบันและในปีนี้ทางมูลนิธิฯ ได้คัดเลือกศิลปินในสาขาต่าง ๆ ขึ้นรับ “รางวัลศิลปินคึกฤทธิ์ ประจำปี ๒๕๕๘ ดังต่อไปนี้ สาขานาฏศิลป์ ได้แก่ “ครูสมบัติ ภู่กาญจน์” และ “ครูอติวรรณ รัตนวราหะ” สาขาดุริยางค์ไทย ได้แก่ “ครูสุวัฒน์ อรรถกฤษณ์”





พลตรีหญิง ท่านผู้หญิงนิออน สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
พร้อมด้วยศิลปินที่ได้รับรางวัลครูสมบัติ ภู่กาญจน์,
ครูอติวรรณ รัตนวราหะ และ ครูสุวัฒน์ อรรถกฤษณ์



พลตรีหญิง ท่านผู้หญิงนิออน สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รองประธานกรรมการมูลนิธิคึกฤทธิ์ ๘๐ฯ กล่าวถึงรางวัลศิลปินคึกฤทธิ์และศิลปินที่ได้รับรางวัลในปีนี้ว่า


“ทุกปีทางมูลนิธิฯ จะมีคณะกรรมการในการสรรหาและยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินอาวุโสผู้มีผลงานด้านนาฏศิลป์–การละคร ดุริยางคศิลป์ คีตศิลป์ และศิลปะการแสดงแขนงอื่น ๆ ทั้งที่เคยร่วมงานสร้างสรรค์กับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หรือ มีผลงานศิลปะการแสดงแบบดั้งเดิมตามแนวนิยมของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และในปี ๒๕๕๘ นี้มีศิลปินที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์จนได้รับรางวัลในครั้งนี้ ๓ ท่าน ในสาขานาฏศิลป์ คือ ครูสมบัติ ภู่กาญจน์ ซึ่งท่านเป็นศิลปินที่เชี่ยวชาญด้านโขน โดยเป็นหัวหน้าคณะโขนธรรมศาสตร์ในยุคแรกๆ และต่อมายังเป็นผู้ก่อตั้งโขนรามคำแหง ปีนี้สาขานาฏศิลป์มี ๒ คนอีกคนคือ ครูอติวรรณ รัตนวราหะ สายเลือดศิลปินเพราะเป็นลูกสาวของครูต้อย จตุพร รัตนวราหะศิลปินแห่งชาติปี ๒๕๕๒ และศิลปินคึกฤทธิ์ ครูอติวรรณเป็นรุ่นลูกซึ่งเดินตามรอยพ่อด้วยการแสดงนาฏศิลป์อย่างน่าชื่นชม ส่วนในสาขาดุริยางค์ไทยปีนี้เรามอบให้กับครูสุวัฒน์ อรรถกฤษณ์ ศิลปินที่โดดเด่นเรื่องเครื่องเป่าคนหนึ่งของเมืองไทย”






ซึ่งภายในงานคึกฤทธิ์ปีนี้ มีสิ่งที่น่าภูมิใจสำหรับวงการศิลปะการแสดงของชาติไทย คือ ความสำเร็จของการส่งต่อศิลปะการแสดงจากบรมครูสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน ด้วยภาพความงดงามของการแสดงรวมกันของศิลปินใหญ่ชั้นครูและศิลปินรุ่นเด็กรุ่นใหม่ที่ส่งรับได้อย่างน่าชื่นชม อาทิ การแสดงเมดเล่ย์ ๓ ช่า วงตีถ้วย เป่าขลุ่ย คณะเดียวของเมืองไทย ที่มีลูกเล่นเรียกเสียงหัวเราะและความสนุกจากผู้ชมได้อย่างมากมาย มาถึงการแสดงเดี่ยวปี่ใน เพลงเชิดนอก ประกอบการแสดง ชุดหนุมานจับเบญกาย โดยครูสุวัฒน์ อรรถกฤษณ์ ที่ประทับใจคนดูในพลังของลมเป่าและท่วงทำนองของเสียงปี่ที่ไพเราะตลอดเพลง และการแสดง ชุดนวจักรี อศิรวาท โดยครูศูนย์ศิลปะการแสดงสถาบันคึกฤทธิ์ ซึ่งเคยแสดงให้อาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์ชมเมื่อ ๓o ปีก่อน และถูกนำมาแสดงในวันนี้อีกครั้ง และปิดท้ายด้วย การแสดงโขน ตอน ท้าวสหัสเดชะผู้หยิ่งยศ การแสดงของครูโขนรุ่นใหญ่ที่เป็นถึงศิลปินแห่งชาติกับลูกศิษย์ที่เป็นเด็กไทยรุ่นใหม่ที่ร่วมกันทำให้โขนตอนนี้เกิดขึ้นและจบลงอย่างน่าประทับใจ


ผู้ที่สนใจหรือต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการฝึกอบรมการแสดงโขน, การเยี่ยมชมห้องสมุด, ห้องชมนิทรรศการ, คณะโขนสถาบันคึกฤทธิ์ ฯลฯ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ kukrit-pramoj.org หรือโทร. o๒-๒๘๖-๕๓๘๕-๖



ภาพและข้อมูลจาก
artbangkok.com














งานเสวนา "ศิลปะบนเส้นทางชีวิตเขมานันทะ"



อาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ และ พระอาจารย์มหาดิเรก พุทธยานันโท เป็นประธานเปิดงานเสวนาเพื่อทำการเปิดนิทรรศการด้านงานศิลปะของท่านอาจารย์เขมานันทะ ภายใต้หัวข้อ ‘ศิลปะบนเส้นทางชีวิตเขมานันทะ’ และเปิดตัวหนังสือ ‘ก่อนฤดูกาลเก็บเกี่ยวมาถึง : บทบันทึกจากใจสู่ใจ’ ผลงานด้านศิลปะซึ่งมีมุมมองพิเศษและลุ่มลึกในทางจิตวิญญาณ จากรากฐาน ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมไทย เพื่อกระตุ้นเตือนมนุษย์ให้ตระหนักรู้ถึงการร่วมชะตากรรมอยู่ในโลกเดียวกัน ด้วยความรัก ความปรานี บนเส้นทางสู่ความรู้แจ้งแห่งตนเปิดกว้างสู่ความเป็นสากล ทำให้มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ หลากหลายรุ่นชน หลากหลายอาชีพ สนใจในงานเขียนและทัศนะทุกด้านของท่านมาโดยตลอด พร้อมกับเพลิดเพลินไปกับการขับร้องประสานเสียงจาก คณะสานใจ คอรัส ในวันเสาร์ที่ ๙ พฤษภาคม ศกนี้ ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ สวนวชิรเบญจทัศ จตุจักร กรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา ๙.oo น. เป็นต้นไป







ภาพและข้อมูลจาก
thaipr.net
dhammajak.net/














เล่าเรื่อง 'ยางรัก' ผ่านงานศิลป์



“ภูมิปัญญา” เป็นการถ่ายทอดทักษะความรู้ ความสามารถสืบสานต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น ทำกันมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานจนกลายเป็นวัฒนธรรมประเพณี แถมยังเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมระหว่างชาติอีกด้วย อย่างเรื่องของการใช้ยางจาก “ต้นรัก” มาทำงานหัตถศิลป์ เครื่องมือใช้สอยต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของคนโบราณ หรือแม้แต่สิ่งของที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ รวมไปถึงการ “ลงรักปิดทอง” ที่เคยได้ยินกัน แต่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้เลยว่าเป็นเช่นไร


เราได้มีโอกาสเยี่ยมชมนิทรรศการที่จัดแสดงของสวยงามเก่าแก่ล้ำค่า ที่จัดขึ้นโดยมิวเซียมสยามพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ ภายใต้สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) ภายใต้ชื่อ “ห ลง รัก” ที่ว่าด้วยเรื่องราวของวัฒนธรรมรัก ที่ได้จากต้นรัก โดยนิทรรศการนี้จัดแสดงงานหัตศิลป์ของชาติต่าง ๆ ที่เคลือบจากน้ำยางรัก ข้าวของเครื่องใช้ของภาคต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการเคลือบยางรัก ภาพวาดจากยางรัก เป็นต้น โดยจะจัดแสดงจนถึงวันที่ ๒๘ มิถุนายนนี้


ชุตินันท์ กฤชนาวิน นักวิชาการช่างศิลป์ปฏิบัติการ สังกัดศูนย์ศิลปะการช่างไทย สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ผู้ที่ใช้น้ำยางรักในการสร้างสรรค์ผลงานเล่าให้ฟังว่า ต้นรักเป็นไม้ยืนต้น ตระกูลเดียวกับพวก มะม่วง มะปราง มะกอกป่า ปัจจุบันยางรักที่เป็นของแท้ ๑oo เปอร์เซ็นต์นั้น หาซื้อยากมาก เพราะว่ามีราคาแพง ส่วนมากจะเจอแต่รักปลอม


“การจะเก็บน้ำยางรักจะทำได้เพียงแค่ในช่วงฤดูของยางเท่านั้น ในช่วงของเดือนพฤศจิกายน และมีระยะเวลาเก็บได้เพียงแค่ ๓ เดือนเท่านั้น คือในช่วงหน้าหนาวถึงจะได้น้ำยางรักที่ดี ปริมาณมาก การกรีดน้ำยางรักจะต้องกรีดต้นรักเรียกกันว่าแผล ต้นหนึ่งจะมีแผลได้ประมาน ๓ ครั้งเท่านั้น โดยการกรีดจะไม่ทำในบริเวณใกล้กัน เพราะจะได้น้ำยางน้อย เป็นลักษณะพันธุศาสตร์ของต้นรักและในประเทศไทยจะกรีดในลักษณะเป็นรูปตัววี แล้วใช้อุปกรณ์กระทุ้งเข้าถึงเนื้อแก่นไม้เพื่อที่จะให้ได้ยางรักแล้วใช้กระบอกไม้ไผ่เล็ก ๆ เจาะเข้าไป จะทิ้งไว้ ๗ วัน ถึงจะเก็บน้ำรักได้ ยางรักเริ่มแรกที่ได้จะมีสีขาวขุ่นเหมือนสีน้ำนม ไม่ได้เป็นสีดำอย่างที่เห็น แต่ที่เป็นสีดำเพราะว่าสภาพอากาศกับเวลาที่ผ่านไปทำให้น้ำยางรักเปลี่ยนสภาพจนเป็นสีดำ ต้นรักถึงแม้จะมีประโยชน์ แต่ก็ให้โทษได้เช่นกัน สำหรับคนที่แพ้รักจะมีอาการเป็นผื่นแพ้มีตุ่มพุพองเป็นหนองใส ทำให้ผิวหนังอักเสบปวดแสบปวดร้อน คัน ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสโดนยางรักโดยตรง เข้าใกล้ต้น โดนละอองเกสร หรือแม้แต่สูดดม ก็อาจเกิดอาการแพ้รักได้” ผู้เชี่ยวชาญอธิบาย


ภายในนิทรรศการจัดแสดงสิ่งของต่าง ๆ อาทิ “รัก” ของคนบนดอย ผู้คนที่อาศัยอยู่บนภูเขามีข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่ได้ประณีตสวยงามเหมือนกับคนเมือง หากแต่ละชิ้นนั้นมีประโยชน์ใช้สอยครบถ้วน ภาชนะส่วนใหญ่จึงทำมาจากการสานไม้ไผ่แล้วเคลือบด้วยยางรัก ชิ้นสำคัญก็อย่าง กะเบื๊อ หรือขวดจักสานที่ทำด้วยน้ำยางรัก เพื่อเป็นการอุดรอยรั่วไหล ทำให้ภาชนะดังกล่าวใส่ของเหลวได้ ชาวกะเหรี่ยงนิยมนำมาใส่เหล้าต้ม แต่ก่อนชาวกะเหรี่ยงพกกะเบื๊อติดตัวกันแทบทุกคน แต่ในปัจจุบันหันมาใช้ขวดพลาสติกกันหมดแล้ว ชิ้นต่อมาคือ ก่องข้าวกันความชื้น วัตถุรูปทรงแปลกตาสานด้วยไม้ไผ่เคลือบด้วยยางรักทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันความชื้นจากไอน้ำเข้าสู่เนื้อไม้ทำให้ลดการผุกร่อนและขึ้นรา ก่องข้าวจึงเป็นของคู่กายใช้ใส่ข้าวไปไร่นาได้ยาวนาน


โซนต่อมา “รัก” ของชาวสยาม สำหรับชาวสยามแล้ว ยางรักเป็นทั้งสินค้าและส่วย สมัยก่อนลุ่มน้ำเจ้าพระยาไม่มีต้นรัก ยางรักจึงเป็นสินค้านำเข้า อย่างฝาตู้พระธรรมใบใหญ่ตั้งโชว์สง่าอยู่ตรงหน้า ลวดลายแลเลือนหายไปบางส่วน บ่งบอกว่าอายุของสิ่งนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว ฝาตู้พระธรรมลายรดน้ำ สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือของช่างสมัยพระเพทราชา เป็นสมบัติเก่าแก่ของวัดโพธาราม เป็นฝีมือการลงรักปิดทองเขียนลายร็อกโกโกแบบฝรั่ง ถัดมาเรื่องของ “รัก” กับกระจก ของชาวอุษาคเนย์ใช้ยางรักในเชิงประโยชน์ของการใช้สอยเป็นหลัก นอกจากยางรักจะช่วยเคลือบไม้ให้มีอายุคงทนยาวนานแล้ว ยังมีคุณสมบัติเป็นกาวใช้เชื่อมต่อวัสดุต่างเนื้อได้ดี คนโบราณใช้เชื่อมวัสดุหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นกระดูกสัตว์ เปลือกไข่ รวมไปถึงกระจก โดยทางประเพณีแล้ว งานลงรักประดับกระจกเป็นงานที่สงวนไว้สำหรับสถาปัตยกรรมของวัดและวังเป็นส่วนใหญ่ อย่างเช่น หางหงส์ เครื่องไม้ประดับหลังคาวัดขนาดใหญ่ ที่ตั้งโชว์ไว้ให้ผู้มาเยี่ยมชมได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด


“รัก” ของคนญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งชาติที่มีวัฒนธรรมการใช้เครื่องยางรักมายาวนาน ชาวอาทิตย์อุทัยเรียกยางรักนี้ว่า อุรุชิ ภาชนะส่วนใหญ่ของชาวญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็น ชาม ถ้วย ล้วนเป็นเครื่องเขินที่ทำมาจากไม้กลึง ก็ไม่ไกลตัวเรามากนัก อย่างที่ใกล้ตัวเลยก็มีพวก ถาดซูชิ ถาดใส่ปลาดิบ ถ้วยน้ำชา ซึ่งจะมีศาสตร์การทำอย่างละเอียดซับซ้อน อย่างการเคลือบยางรักก็มีหลายวิธีให้เลือกแตกต่างกันออกไปตามชนิดของเนื้อไม้







ภาพและข้อมูลจาก
komchadluek.net














crossover : The Unveiled Collection



crossover : The Unveiled Collection
โดย ฝ่ายนิทรรศการ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
๒o กุมภาพันธ์ - ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๘
ณ ห้องนิทรรศการหลัก ชั้น ๗


เกี่ยวกับงานสะสม

ผลงานวาดเส้นขนาดเล็กทั้งห้าภาพของ ถวัลย์ ดัชนี (๒๔๘๒ - ๒๕๕๗) ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ที่ได้รับการอนุเคราะห์มาจัดแสดงในครั้งนี้ แม้จะเป็นผลงานชิ้นขนาดเล็ก แต่ในทางประวัติศาสตร์แล้วนับว่าเป็นชุดผลงานสำคัญชุดหนึ่งของถวัลย์ ซึ่งศิลปินสร้างผลงานชุดนี้ขึ้นขณะพำนักที่ปราสาทคอร์ททอร์ฟ ตามคำเชิญของเจ้าชายเฮอร์มัน กราฟ ฟัน ฮาร์ดเฟลด์ แห่งเยอรมัน ให้ไปเขียนภาพถวาย รูปร่างวงกลมที่ใช้นั้นเป็นการแทนค่าจักรวาลและเป็นผลงานชุดแรก ๆ ที่ถวัลย์เริ่มนำคติตำนานทางพุทธศาสนาเข้ามาผสานบรรจบกับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่พูดถึงอนุภาคของอะตอม ที่ประกอบไปด้วยนิวเคลียสและอิเล็กตรอน เป็นจุดเริ่มต้นของการนำศาสตร์ความรู้เรื่องการกำเนิดจักรวาลมาสร้างผลงานศิลปะ ซึ่งหนึ่งในผลงานชุดนี้ยังเป็นต้นแบบเพื่อนำมาสร้างเหรียญ “สุริยะภูมิจักรวาล" ที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน



ภาพและข้อมูลจาก
FB หอศิลป์กทม.














เยี่ยมครูไพบูลย์ ยิ้มกับสมศรี



สิ้นเดือนเมษายนไปอีกหนึ่งเดือน พรุ่งนี้เข้าสู่เดือนพฤษภาคม ผมมีกิจกรรมดี ๆ ที่ไม่อยากให้พลาดกันเลย นั่นคือกิจกรรม โครงการ “เยี่ยมชุมชน ณ บ้านคีตกวีลูกทุ่งไพบูลย์ บุตรขัน ปราชญ์ชุมชน ครูภูมิปัญญา สาขาเพลงลูกทุ่งไทย ในวิชาวิถีไทยสู่สังคมโลก” ที่จะจัดในวันอาทิตย์ที่ ๑o พฤษภาคม ซึ่งบ้านครูไพบูลย์ที่สามโคก เปิดให้ชมเดือนละครั้งเท่านั้น


งานนี้จะเริ่มเวลา ๑๒.๓o น. ลงทะเบียน ณ บ้านคีตกวีลูกทุ่ง ครูไพบูลย์ บุตรขัน คุ้งน้ำเจ้าพระยา วัดสำแล อ.สามโคก จ.ปทุมธานี หลังจากนั้นเวลาบ่ายโมง สุริยะ บุตรขัน หลานชายครูไพบูลย์ มาทำพิธีกล่าวต้อนรับ ดร.ณกมล ปุญชเขตต์ทิกุล นักวิชาการอาวุโสโครงการศูนย์ยุทธศาสตร์อาเซียนศึกษาเพื่อการพัฒนา (ประเทศไทย) และอาจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร กล่าววัตถุประสงค์การลงพื้นทีและเปิดเวทีการเสวนาปราชญ์ชุมชน ครูภูมิปัญญาลูกทุ่ง


โดยมีวิทยากรรับเชิญ ได้แก่ สุริยา ฟ้าปทุม ศิลปินลูกทุ่งเจ้าของเสียงเพลง “กิ่งฟ้า” “หนุ่ม นปข.” “เผลอจูบ” ฯลฯ ลูกศิษย์คนสุดท้ายของครูไพบูลย์ บุตรขัน ดร.ธีรเดช หรือครูโจ้ อาจารย์สาขาดนตรีตะวันออก และเป็นผู้จัดการวงกาสะลอง ซึ่งเป็นวงดนตรีลูกทุ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร นายอนุกูล คนเดิม รองแชมป์แฟนพันธุ์แท้ลูกทุ่งไทย รายการ "แฟนพันธุ์แท้” ปี ๒๕๕o นักเก็บสะสมเพลง แผ่นเสียงและวัสดุอุปรณ์เกี่ยวคนลูกทุ่งตัวยง ร่วมด้วย ดีเจพิมพ์ปาริชาติ ตีสวัสดิ์ และผู้แทนจาก อบจ.จังหวัดปทุมธานี ผู้แทนชาวบ้านสำแลคุ้งน้ำเจ้าพระยาอย่างละ ๑ ท่าน ดำเนินรายการโดย ดร.ณกมล ปุญชเขตต์ทิกุล


หลังจากนั้นบ่ายสามโมงคณะจะศึกษาชุมชนเก็บภาพสวยริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถ่ายภาพร่วมกัน และเดินทางกลับ ซึ่งเชื่อว่าหลายคนไม่อยากกลับ เพราะผมเองนั่งดูตะวันตกดินทุกครั้งที่ไปที่นี่ คุ้งน้ำจุดนี้สวยมากตอนผีตากผ้าอ้อม สงบร่มเย็น ท้องฟ้าเหมือนจิตรกรเอาสีน้ำมาละเลงแต้มแต่ง ไม่ซ้ำสี


อีกกิจกรรมหนึ่งของคนรุ่นอมตะที่อยากจะแนะนำไว้เนิ่น ๆ คือ คอนเสิร์ตของร้อยเอกหญิง สมศรี ม่วงศรเขียว นักร้องอมตะวัย ๘๑ ปี เจ้าของเสียงเพลง "เสียงครวญจากอารีดัง” ซึ่งปีที่แล้วป้าสมศรีได้จัดคอนเสิร์ต “ประดู่ไม่รู้โรย” ซึ่งเลื่อนมาหลายครั้ง แต่พอถึงวันงานคนล้นหลาม ประสบความสำเร็จมาก ๆ จริง ๆ แล้วเพราะเธอตั้งใจจัดเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อนำเงินส่วนหนึ่งไปทำบุญที่วัดชากมันเทศ ต.แม่น้ำคู้ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ซึ่งทำสำเร็จลุล่วงไปแล้ว


แต่หลังจากคอนเสิร์ตครั้งนั้นก็มีแฟนๆ และผู้จัดงานวิงวอนให้เธอจัดใหม่อีกครั้ง จึงเป็นที่มาของคอนเสิร์ต “นาวีศรีประดู่” ในวันอาทิตย์ที่ ๑๔ มิถุนายนนี้ ที่หอประชุมกรมประชาสัมพันธ์ ซอยอารีย์ กรุงเทพฯ


ศิลปินรับเชิญที่มาร่วมกันบนเวทีเช่นเคย อาทิ ศิลปินแห่งชาติ สุเทพ วงศ์กําแหง และ แม่ขวัญจิตร ศรีประจันต์ พร้อมด้วยศิลปินนักร้อง อาทิ โฉมฉาย อรุณฉาน, วงจันทร์ ไพโรจน์, เพชร พนมรุ้ง, อุไรวรรณ ทรงงาม, นฤพนธ์ ดุริยพันธ์, ศรีสุดา เริงใจ, วิภารัตน์ เปรื่องสุวรรณ ฯลฯ พิธีกร โดย แดน บุรีรัมย์


ระดับสมศรีทำแล้วไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร ปีนี้เธอจะมีรีวิวประกอบเพลง ทั้งนาฏศิลป์อินเดีย ระบำเกาหลี ระบำชาวใต้ เมดเล่ย์ลูกประดู่ และรำวงแบบโบราณ ซึ่งทุกอย่างทีมงานมีการซ้อมกันมาอย่างดี ไม่ใช่มานัดกันสด ๆ บนเวที เล่นเงอะ ๆ งะ ๆ เป็นที่น่าอับอายเสียดายเงินเหมือนอย่างบางงาน


คอนเสิร์ตครั้งนี้ สมศรี ม่วงศรเขียว จะนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะนำไปซ่อมแซมโบสถ์วัดเพลง จรัญสนิทวงศ์ ๗ สำหรับบัตรราคา ๕oo, ๘oo, ๑,ooo, ๑,๕oo, ๒,ooo บาท สนใจก็จองโทรศัพท์ไปที่ คุณสมศรี o๘-๙-๕o-๖๓o๓ รับรองว่า สนุกสานและซาบซึ้งแถมได้กุศลด้วย















ภาพและข้อมูลจาก
komchadluek.net














แต้มสีสันวันสบาย...สบาย



เตรียมพบกับการแสดงผลงานภาพวาดกว่า ๑oo ชิ้น จากปลายพู่กันของกลุ่มผู้มีใจรักศิลปะ ๓๖ ท่าน ที่ฝึกฝนวาดภาพเป็นงานอดิเรกจนมีความชำนาญ หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีแนวคิดที่อยากสนับสนุนผู้ที่สนใจศิลปะการวาดภาพเป็นงานอดิเรก ให้มีโอกาสนำผลงานที่สร้างสรรค์ไว้มาจัดแสดง เพื่อให้ประชาชนทั่วไปหันมาสนใจในงานศิลปะมากขึ้น


จึงจัดให้มีนิทรรศการ “แต้มสีสันวันสบาย...สบาย” ประกอบด้วยผลงานจากกลุ่มบุคคลหลากหลายสาขาอาชีพ ร่วมกันนำผลงานภาพวาดที่ผ่านการคัดเลือกโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๑o๙ ชิ้น จาก ๑๘๕ ชิ้น มาจัดแสดง


ผลงานส่วนใหญ่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อการผ่อนคลายจากความเคร่งเครียดกับภารกิจประจำวัน จึงหยิบยกเอาเนื้อหาเรื่องราวที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน อาทิ ภาพทัศนียภาพอันสวยสดงดงามของธรรมชาติ ภาพมวลดอกไม้หลากสีสันในฤดูกาลต่าง ๆ และภาพบุคคลที่มีความประทับใจ ผ่านเทคนิคสีน้ำ สีอะคริลิค และอื่น ๆ ตามความถนัดของแต่ละคน เพื่อแสดงทักษะทางด้านศิลปะการวาดภาพ และจุดประกายให้ผู้ชมทั่วไปเกิดความสนใจและอาจมีแนวโน้มอยากฝึกฝนเรียนรู้ในอนาคตต่อไปด้วย


นิทรรศการ “แต้มสีสันวันสบาย...สบาย” วันที่ ๘ พฤษภาคม - ๓o มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ ระหว่างวันที่ ๘ พฤษภาคม - ๓o มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ (ทุกวัน ยกเว้นวันพุธ) เวลา ๑o.oo - ๑๙.oo น. ณ หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ถนนราชดำเนินกลาง กรุงเทพฯ โทร.o-๒๒๘๑-๕๓๖o-๑



























ภาพและข้อมูลจาก
manager.co.th














ศิลปะสนทนา 2558 : BACC Art Talk 2015


กิจกรรมครั้งที่ ๑ : “ศิลปะสร้างเมือง เล่าเรื่องเมืองสร้างสรรค์”

ในวันเสาร์ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๔.oo-๑๖.oo น.

ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น ๑ หอศิลปกรุงเทพฯ

วิทยากร : สมลักษณ์ ปันติบุญ, วินัย ปราบริปู และ วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์

*ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมกิจกรรม

*บรรยายเป็นภาษาไทย

สำรองที่นั่งและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :
ฝ่ายการศึกษา o๒-๒๑๔-๖๖๓o-๘ ต่อ ๕๑๙ Email. education@bacc.or.th



ภาพและข้อมูลจาก
FB หอศิลป์กทม.














Song without words



เป็นการรวมตัวของศิลปินนามธรรมจากคณะศิลปะกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จิระพัฒน์ พิตรปรีชา, กฤษณะ ชัยกิจวัฒนะ และ อดิวิศว์ อังศธรรมรัตน์ซึ่งแต่ละบุคคลล้วนมีแนวทางการสร้างสรรค์เฉพาะตนอย่างชัดเจน แนวควมคิดและรูปแบบที่มีปฎิสัมพันธ์ต่อโลกภายนอก และโลกภายใจเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ การมองและรับรู้ของปัจเจกออกมาโดยผ่านศิลปะรูปแบบนามธรรม


พิธีเปิดนิทรรศการ วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๘ เวลา ๑๘.oo น. โดย คุณวรายุ ประทีปเสน ณ Artery Post Modern Gallery


Exhibition : Song without words
Artist : jirapat Pitpreecha, Kritsana Chaikitwattana, Adiwit Ansathammarat
Date : June 4-30, 2015
Venue : Artery Post Modern Gallery
Tel : 094-453-6298



ภาพและข้อมูลจาก
artbangkok.com














Shape of Remembrance



มนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถมีความรู้สึกต่อประสบการณ์จากการดำเนินชีวิต บางครั้งเป็นความทรงจำที่สร้างความรู้สึกดี ฝังลึกไว้ในจิต แต่บางครั้งก็เป็นความทรงจำที่ทำให้ระลึกถึงข้อผิดพลาดในชีวิต สร้างบาดแผลในใจ หากระลึกถึงความรู้สึกและประสบการณ์นั้น แม้จะเป็นความทรงจำที่ดีหรือไม่ก็ตาม ควรคิดคำนึงและมองให้เป็นประโยชน์ เปลี่ยนความรู้สึกนั้น ให้เกิดเป็นแรงผลักดัน กระตุ้นเตือนสามัญสำนึกด้วยสติสัมปชัญญะ เพื่อให้ก่อเกิดพลังใจ เกิดปัญญา อันจะนำไปสู่การดำเนินชีวิตได้อย่างมีสติ รอบคอบ สมดุล


PSG Art Gallery คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ขอเชิญชมนิทรรศการ “Shape of Remembrance” โดย “วารี แสงสุวอ” พิธีเปิดนิทรรศการ วันเสาร์ที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๗.oo น. ณ PSG Art Gallery คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กรุงเทพฯ


Exhibition : Shape of Remembrance
Artist : Wari Saengsuwo
Date : 7– 27 May 2015
Venue : PSG Art Gallery
Tel : 02-221-0820







ภาพและข้อมูลจาก
artbangkok.com














Project #3: ACCIDENT



ซีรียส์กิจกรรมทดลองทางด้านเสียงนำเสนอผ่านแนวคิด “Drift” หรือการไหลรื่นในความหมายเชิงเทคนิคของการแข่งรถในการเคลื่อนตัวอย่างลื่นไหลทางกายภาพ


จากแนวคิดนี้เชื่อมโยงถึงการไหลผ่าน ทางจิตวิทยาทางการรับรู้เกี่ยวกับเสียงจากแหล่งหนึ่งเข้าสู่อีกแหล่ง สื่อสารเนื้อหาเชิงเทคนิค และความคิดสร้างสรรค์ ด้วยหลากหลายวิธีการนำเสนอของศิลปิน จุดประสงค์ของงานคือเพื่อให้ผู้ชม มองเห็นองค์ประกอบของดนตรีทดลอง และเสียงในฐานะรูปแบบงานศิลปะ เปิดกว้างต่อสถานการณ์ ที่เอื้อต่อการรับรู้แบบต่าง ๆ ผ่านการแสดงดนตรีสด ศิลปะการจัดวางทางเสียง การแสดงเสียงอิมโพรไวส์ต่อเนื่อง รวมถึงปฏิบัติการและการบรรยายทั้งจากศิลปินไทย และนานาชาติ ทั้งหมดนำเสนอด้วยรูปแบบ ที่แตกต่างแต่สร้างสรรค์ร่วมกันบนฐานของแนวคิดเชิงทดลอง ซีรี่ยส์กิจกรรม โดยครั้งนี้นำเสนอด้วยโครงการสุดท้าย Project #3 : ACCIDENT


Project #3: ACCIDENT

อุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ไม่ได้ตั้งใจ สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นช่องทางให้เกิดสถานการณ์ ทางเสียงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เหนือการควบคุมใด ๆ ภายใต้แนวคิดที่กระตุ้นให้ศิลปินสร้างสรรค์ ผลงานเชิงทดลองด้านเสียงจากแหล่งที่มาหลากหลาย ทั้งในเชิงวัตถุ และรูปแบบ การกระทำต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากการคาดการณ์ และการเปลี่ยนแปลงที่อยู่เหนือการควบคุมของผู้สร้าง นำมาซึ่งสิ่งที่เรียกว่า อุบัติการณ์ทางเสียง “Accident” คือการแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างศิลปินผ่านการเพอร์ฟอร์ม และงานซาวน์อินสตอลเลชั่น โดยมีความบังเอิญเป็นวัตถุดิบสำคัญที่เปิดโอกาส ให้ศิลปินมองหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในความปกติของชีวิตประจำวัน ซึ่งผู้ชมจะได้เห็นถึงกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานตั้งแต่แรกเริ่ม ได้ยิน ได้เห็น และเป็นส่วนหนึ่ง ตลอดจนรับรู้ผลลัพธ์ที่ปรากฏไปพร้อม ๆ กัน ทำให้เราต้องหันมาทบทวนและตั้งคำถาม อีกครั้งถึงสุนทรียะและความหมายของเสียงจากความสามัญในความเป็นจริง


ภัณฑารักษ์: โคอิชิ ชิมิสึ / พิชญา ศุภวานิช
ศิลปิน: บานี่ เฮคาล, อุเมดะ เท็ตสึยะ, ฌ็อง-ดาวิด ไกยูเอ็ท, หลิว นิยมการ, ศิวนัส บุญศรีพรชัย, มาฆะ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา
การบรรยายพิเศษ : โดย ภัณฑารักษ์รับเชิญ: คาร์สเทิน ไซฟ์ฝาร์ท


DRIFT ซีรียส์กิจกรรมทดลองทางด้านเสียง Project #3 ACCIDENT
โดย : ฝ่ายนิทรรศการ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ร่วมกับ SO::ON Dry FLOWER
วันที่ : ๒๘ เมษายน – ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘
สถานที่ : ห้องสตูดิโอ ชั้น ๔ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : ฝ่ายนิทรรศการ : exhibition@bacc.or.th
SO::ON Dry FLOWER : eastablishrec@yahoo.com
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ ฝ่ายสื่อสารและประชาสัมพันธ์
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
เบอร์โทร : o๒-๒๑๔-๖๖๓o – ๘ ต่อ ๕o๑
อีเมล : //www.bacc.or.th



ภาพและข้อมูลจาก
artbangkok.com














An Original by the Originals



เดอะ แจม แฟคตอรี่ ร่วมกับกลุ่มศิลปินอิสระ The Archivist (ดิ อาร์คะวิสท์) จัดงานนิทรรศการแสดงภาพพิมพ์ร่วมสมัย “An Original by the Originals” พร้อมเวิร์คช็อปศิลปะตลอดเดือนพฤษภาคมเปิดพื้นที่ให้ผู้รักงานศิลปะภาพพิมพ์ได้มาชื่นชมงานศิลป์ให้เพลิดเพลินใจ เดอะ แจม แฟคตอรี่ จัดงานนิทรรศการแสดงภาพพิมพ์ร่วมสมัย “An Original by the Originals” ร่วมกับกลุ่ม The Archivist (ดิ อาร์คะวิสท์) & สตูดิโอ STH. TO PRINT (เอสทีเอช ทู ปริ้นท์) จัดงานนิทรรศการแสดงภาพพิมพ์ร่วมสมัย “An Original by the Originals” (แอน ออริจินัล บาย เดอะ ออริจินัลส์) ผลงานของ ๑๒ ศิลปินอิสระ นักวาดภาพประกอบ และกราฟิก ดีไซเนอร์ ที่มีแนวทางในการทำงานเฉพาะตน ทดลองสร้างสรรค์ผลงานภาพพิมพ์ด้วยเทคนิคสกรีน พริ้นติ้ง จำนวน ๒๕ ผลงาน ระหว่างวันที่ ๗ พฤษภาคม – ๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ โดยจะจัดงานเปิดตัวนิทรรศการดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ ๗ พฤษภาคมนี้ ที่เดอะ แจม แฟคตอรี่


นอกจากนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีใจรักในศิลปะภาพพิมพ์ได้ทดลองสร้างสรรค์ผลงานด้วยตัวเอง ศิลปินที่มาร่วมจัดแสดงผลงานในนิทรรศการครั้งนี้ จึงได้ร่วมกันจัดเวิร์คช็อปศิลปะภาพพิมพ์แบบทำมือ ที่มีให้เลือกเรียนรู้ ๔ รูปแบบ ในทุกวันเสาร์ ตลอดเดือนพฤษภาคม สอบถามเพิ่มเติม และสำรองที่นั่งสำหรับกิจกรรมเวิร์คช็อปได้ที่ โทร o๘๔-o๖๖-๔๙๖o (วุ้น) หรือ อีเมล : workshop@thearchivist.co หรือติดตามรายละเอียดได้ทางเว็บไซท์ //www.thearchivist.co และช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค Facebook: archivistproject / instagram @thearchivistproject



ภาพและข้อมูลจาก
artbangkok.com














Combodge, après l’adieu



สมาคมฝรั่งเศสกรุงเทพจัดนิทรรศการรำลึกถึงการเข้าสู่ยุคครอบงำของเขมรแดง พร้อมทั้งจัดฉายภาพยนตร์รอบพิเศษเรื่อง “Combodge, après l’adieu” (Cambodia After Farewell) เนื่องในโอกาสครบรอบ ๔o ปีของการยึดครองกรุงพนมเปญโดยเขมรแดง ถือเป็นโอกาสอันดีในนำเสนอเรื่องราวความเป็นไปที่เกิดขึ้นจากการโจมตีของเขมรแดงผ่านหนังสือ “La Chute de Phnom Penh” ของ Roland Neveu ช่างภาพผู้สื่อข่าวมืออาชีพชาวฝรั่งเศสที่ประจำอยู่ในประเทศในแถบเอเชีย ผู้บันทึกเหตุการณ์และความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นในกรุงพนมเปญตลอดช่วงสองเดือนก่อนการบุกยึดครั้งสุดท้ายโดยกลุ่มเขมรแดง


ภาพถ่ายเหล่านี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นบันทึกความเศร้าสลดแห่งประวัติศาสตร์กัมพูชา ในขณะเดียวกัน Iv Charbonneau – Ching ผู้อยู่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์วันที่ ๑๗ เมษายน ๑๙๗๕ วันสุดท้ายของการถูกบุกยึด ครอบครัวชาวกัมพูชาตกอยู่ในการโจมตี ภาพการดำเนินไปของเหตุการณ์ บนถนนของการเนรเทศ เรื่องราวเหล่านี้ถูกบันทึกผ่านกล้องวีดีโอและถูกถ่ายออกมาเป็นภาพยนตร์เรื่อง “Cambodge, après l’adieu” ทั้งสองเหตุการณ์ที่มาบรรจบกันนี้จะถูกนำมาจัดแสดงและถ่ายทอดให้ชมกันในรูปแบบของนิทรรศการภาพถ่ายระหว่างวันที่ ๗ – ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และการฉายภาพยนตร์รอบพิเศษในวันพฤหัสบดีที่ ๗ พฤษภาคม เวลา ๑๙.๔๕ น. ที่สมาคมฝรั่งเศสกรุงเทพ


งานเปิดนิทรรศการและแจกลายเซ็น: วันพฤหัสบดีที่ ๗ พฤษภาคม เวลา ๑๘.๓o น. (ไม่เสียค่าบัตรผ่านประตู)
การฉายภาพยนตร์ : วันพฤหัสบดีที่ ๗ พฤษภาคม เวลา ๑๙.๔๕ น. (บัตรราคา ๑oo บาท)
งานนิทรรศการ : วันที่ ๗ – ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘
สถานที่ : สมาคมฝรั่งเศสกรุงเทพ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : o๒-๖๗o-๔๒๒๒
อีเมล : culture@afthailande.org



ภาพและข้อมูลจาก
artbangkok.com














'สุรินทร์ ภาคศิริ' แปลงร่างเขียนหนังสือ 'มนุษย์ ๓ มิติ'



สุรินทร์ ภาคศิริ ครูเพลงดังผู้แต่งเพลงลูกทุ่งดังมากมายอาทิ “ หนาวลมที่เรณู” ทหารเกณฑ์ผลัดสอง “ ฯลฯ นำประสบการณ์ทำงานของตัวเอง ๓ ยุค ๓ แบบตั้งแต่สมัยรับราชการ นักแต่งเพลง ดีเจ แบบหมดเปลือกเขียนหนังสือ”มนุษย์ ๓ มิติ”


“ตอนนี้ก็มีหนังสือเล่มล่าสุดของผมเป็นประวัติชีวิตโดยละเอียดชื่อ”มนุษย์ ๓ มิติ สุรินทร์ ภาคศิริ ทิดโส สุดสะแนน” พิมพ์โดยสำนักพิมพ์สุขภาพใจ ที่เรียกมนุษย์ ๓ มิติเพราะผมมีอาชีพที่ทำอยู่ ๓ อาชีพคือรับราชการ แต่งเพลง และก็เป็นนักจัดรายการวิทยุ เล่มนี้ผมรวบรวมประวัติชีวิตการทำงานทุกมิติที่กล่าวมาเลยมีเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยนอกจากยังมีผลงานเพลงต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินชีวิตมาฟันฝ่าอุปสรรคมาขนาดไหนแบบไหนให้เป็นแง่คิดของท่านที่อ่านนำไปปรับใจกับตัวเองในการทำงานก็ได้”


ผู้สื่อข่าวถามว่าทั้งสามเรื่องที่เขียนลงไปเน้นเรื่องใดเป็นพิเศษไหมครูเพลงวัย ๗๓ บอกว่า


“ ไม่เน้นเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเท่ากันหมด การรับราชการต้องเจอกับอะไรบ้าง ความสำเร็จเกิดจากอะไรบ้าง การเป็นนักแต่งเพลงทำอย่างไรถึงสำเร็จ การเป็นนักจัดรายการวิทยุทำอย่างไรที่ประสบความสำเร็จมันมีเรื่องราวแง่คิด การแก้ไข้ปัญหาที่ปฎิบัติได้คือเอาของจริงมาบอกกันเลย ที่ทำหนังสือนี้ขึ้นมาเพราะส่วนมากนักข่าวจะสัมภาษณ์ผมในเรื่องการเป็นนักแต่งเพลงมากกว่าเพราะมันดังกว่า และอาชีพนักจัดรายการวิทยุส่วนงานราชการในช่วงที่เป็นผู้คุมอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพไม่ค่อยมีใคร รู้พอดีคุณบุญเลิศ ช้างใหญ่เขาให้แง่คิดว่า3ชีวิตของครูน่าจะนำมาเขียนให้คนรุ่นหลัง ๆ ได้ลองอ่านให้ละเอียดเลย การแก้ไข้ปัญหาในชีวิตประจำวันทำอะไรบ้าง ผมเลยรื้อฟื้นทุกอย่างขึ้นมา”


เมื่อถามว่าช่วงนี้สุขภาพยังไม่เข้าที่การเขียนหนังสือเล่มนี้มีใครมาช่วยรวบรวมข้อมูลหรือเขียนให้เหมือนที่คนดัง ๆ มักใช้กันครูสุรินทร์หัวเราะก่อนเล่าว่า


“ ผมใช้เวลาประมาณ ๒ เดือนเขียนเรื่องราวเหล่านี้ เพราะเราจำได้ ก่อนหน้านี้เคยคิดจะแยกประวัติการทำงานของตัวเองเป็นแขนงๆออกมา ตอนนี้ร่างกายผมยังไม่เต็มร้อยเพราะเพิ่งผ่าตัดมาพอมาเริ่มรวบรวมจากข้อมูลที่ได้จดบันทึกไว้ทั้งรูป ข้อมูล หลักฐานรูปถ่ายไว้เปิดดูแล้วมาลำดับชีวิตของเราก็ได้มาเป็นหนังสือเล่มนี้ ซึ่งผมลงมือเขียนเองทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ”


ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าในมุมที่เป็นนักเขียนเพลงจะสอนอะไรให้กับคนที่อ่านได้บ้างครูสุรินทร์พลิกหนังสือให้ดูก่อนอธิบายว่า


“ ในส่วนของเพลงเล่มนี้จะบอกถึงงานการเขียนเพลง ว่าเพลงไหนที่ประสบความสำเร็จ เพราะอะไร แล้วเพลงไหนที่ไม่ประสบความสำเร็จมันเป็นเพราะอะไรชีวิตการเป็นนักแต่งเพลงผ่านอุปสรรคอะไรมาบ้าง เจอกับใคร แม้กระทั่งถูกโกงไม่จ่ายค่าเพลง ถูกเอาเปรียบต่าง ๆ ผมเล่าหมด แต่สิ่งเหล่านี้ผมมองผ่านมันไปหมดแล้วไม่โทษไม่โกรธใคร อยากเขียนออกมาให้คนได้อ่านเพื่อเตือนใจผู้ที่จะดำเนินชีวิต เกล็ดเล็ก ๆ เหล่านี้จะมีประโยนช์เป็นอย่างดี “


นอกจากการเปิดตัวหนังสือ”มนุษย์ ๓ มิติ สุรินทร์ ภาคศิริ ทิดโส สุดสะแนน”ครั้งนี้แล้ว ก่อนการเปิดตัวได้มีมินิคอนเสิร์ตโดยการนำนักร้องชื่อดังในอดีตที่ได้ร้องเพลงของครูสุรินทร์ ภาคศิริ อาทิ บรรจบ เจริญพร สุริยา ฟ้าปทุม สัญญา พรนารายณ์ มาขับร้องบทเพลงดัง ก่อนจะต่อด้วยการเสวนาบทเพลงลูกทุ่ง ประวัติของครูสุรินทร์ โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนา อาทิ บุญเลิศ ช้างใหญ่ สัมพันธ์ พัทลุง กรรมการบริหารจากสมาคมนักแต่งเพลงแห่งประเทศไทย และ แดง เจดีย์ ก่อนจะปิดท้ายด้วยรำวงกันอย่างเป็นกันเอง











ภาพและข้อมูลจาก
FB อู๊ด คมชัดลึก















Castle Museum เมือง Linz



นักท่องเที่ยวที่มาเมือง Linz สถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งที่ต้องไปให้ได้ไม่เช่นนั้นเสมือนหนึ่งมาไม่ถึงเมืองนี้เลยก็คือ Castle Museum ทั้งนี้เพราะไม่เพียงมิวเซียมจะอยู่ในสมรภูมิที่สวยงามบนเขาทางตอนใต้ของแม่น้ำดานูบที่มองไปเห็นทิวทัศน์ทั้งเมือง รวมทั้งมีสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นที่ผสมผสานระหว่างยุคเก่าและยุคใหม่ได้อย่างน่าทึ่งแล้ว ที่นี่ยังมีของสะสมทั้งทางวิทยาศาสตร์และศิลปะของออสเตรียตอนเหนือจำนวนมากตั้งแต่ยุคกลางจนถึงปัจจุบัน เช่น จิตรกรรมยุคโกธิค งานคหกรรม เครื่องดนตรีโบราณ วัตถุโบราณและเหรียญโบราณต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับวัฒนธรรมอันเป็นมรดกโลกได้อย่างถึงแก่น





isplay old master





Castle Museum



ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้น ณ ตำแหน่งป้อมเก่าโรมันในปี ๗๙๙ สมัยจักรพรรดิ Frederick ที่สาม และถูกสร้างใหม่อีกครั้งในปี ๑๔๗๗ เพื่อไว้เป็นที่ประทับโดยมีการสร้างประตู Friedrichstor หรือประตูทางทิศตะวันตกที่มีการจารึกอักษรว่า A.E.I.O.U. ที่ย่อมาจาก All the earth pays tribute to Austria ด้วย ในช่วงเวลานั้นถือเป็นยุคทองของเมืองเพราะจักรพรรดิหลายพระองค์เสด็จมาประทับ เมืองนี้จึงกลายเป็นเมืองหลวงของออสเตรียด้วย ต่อมาในปี ๑๖oo จักรพรรดิ Rudolph II ได้มีพระดำริที่จะสร้างปราสาทใหม่อีกโดยเพิ่มอาคาร ๔ ชั้นและสนามหญ้า รวมทั้งประตู Rudolfstor หรือประตูกลางจึงทรงมีบัญชาให้สถาปนิก Anton Muys เป็นผู้ออกแบบ





Model ของใช้ในอดีต





ถ่ายจากปราสาทไปฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำดานูบ



ในช่วงที่ออสเตรียถูกยึดโดยชาวบาวาเรีย ปราสาทแห่งนี้ก็กลายเป็นที่พำนักของ Graf von Herbstorff ผู้ปกครองชาวบาวาเรีย แต่เพียงไม่นานชาวบ้านก็ยึดปราสาทคืนได้ ในช่วงสงครามนโปเลียน ปราสาทแห่งนี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลสนาม ต่อมาในปี ๑๘oo ปราสาทประสบอุบัติเหตุอัคคีภัยโดยต้นเพลิงเริ่มที่ส่วนปีกตอนใต้และลามไปยังด้านข้าง ในปี ๑๘๑๑ ปราสาทเปลี่ยนหน้าที่ไปอีกครั้งเป็นคุก และกลายเป็นค่ายทหารในปี ๑๘๕๑-๑๙๔๕ ในปี ๑๙๕๓-๖๓ เทศบาลเมืองได้ทำการขยายปราสาทและปรับปรุงอาคารใหม่โดยเปลี่ยนให้เป็นมิวเซียมมาจนถึงปัจจุบัน





โมเดลเมือง





บันไดจากในเมือง



มิวเซียมเปิดทำการครั้งแรกในปี ๑๙๕๓ โดยมีของจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และเรื่องเกี่ยวกับชาติพันธุ์ เช่น อาวุธโบราณ เครื่องดนตรีโบราณ และเหรียญเก่า ส่วนกลางแจ้งก็จะมีการจัดนิทรรศการชั่วคราวอย่างสม่ำเสมอ ของสะสมที่สำคัญที่สุดทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมของมิวเซียมจัดแสดงอยู่ ณ ตึก Renaissance โดยเน้นงานจิตกรรมและศิลปะยุคโกธิคจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ เช่น เสื้อผ้าพื้นเมือง หมวกทอง อาวุธและเสื้อเกราะ นอกจากของจัดแสดงด้านศิลปะแล้ว ที่นี่ยังมีส่วน Techno-History และธรรมชาติวิทยาที่หาดูได้ยากจากมิวเซียมอื่น ๆ ในออสเตรียอีกด้วย



ภาพและข้อมูลจาก
naewna.com














“ฮีโร่” ศิลปะยกย่องและเชิดชู “ผู้ใช้แรงงาน” ของ “สุรพงศ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา”



“ฮีโร่” ไม่ได้อยู่ที่เครื่องแบบภายนอก ฐานะ ชนชั้น ชาติกำเนิด แต่ความแข็งแกร่งไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออุปสรรคคือต้นกำเนิดของนิยามนี้ กลุ่มคนใช้แรงงาน พลเมืองที่มักถูกมองให้อยู่ในฐานนันดรชั้นล่างของสังคม สิทธิ์ของการเป็นฮีโร่ เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น กลุ่มคนเหล่านี้มักถูกมองข้ามผ่าน เพียงเปลือกผิวนอก ที่ทำให้เขาและเธอเหล่านั้นถูกตัดสินให้ไร้คุณค่า


ทว่าในสายตาศิลปิน สุรพงศ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา เขากลับมองเห็นความงดงาม ความสำคัญของความเป็นคนต้นแบบ และได้กำลังใจจากกลุ่มคนเหล่านี้ให้เผชิญหน้ากับปัญหาชีวิต เขาสร้างงานศิลปะในครั้งนี้ เพื่ออุทิศให้ความเป็น “ฮีโร่” จากกลุ่มคนทำงานหนักที่มีคุณค่าความเป็นคนไม่ต่างกัน


สุรพงศ์ กล่าวถึงแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะของเขาที่ต้องการยกย่องและเชิดชูกลุ่มผู้ใช้แรงงานว่า“ทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกล้วนต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด รวมถึงตัวผมเองบ่อยครั้งที่ต้องพบกับปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ นานา มีทั้งบีบคั้นกดดันจนบางครั้งเกิดความคิดในด้านมืด เกิดความท้อถอย จนกระทั่งผมสัมผัสกับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มคนที่พวกเราต่างก็เคยพบเห็นอยู่บ่อย ๆ ตามเขตพื้นที่ก่อสร้าง ผมสังเกตและมองลึกเข้าไปในตัวของพวกเขาผมค้นพบสิ่งงดงามถูกแฝงเร้นอยู่ภายในนั้น คือพลังใจที่แรงกล้า การต่อสู้กับการงานที่หนักอึ้ง การไม่ย่อท้อต่อปัญหาทั้งภายนอกและภายในจิตใจ คราบน้ำมันฝุ่นควันที่เปื้อนเปรอะอยู่บนใบหน้าที่ยิ้ม การทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง การเล่นหยอกล้อและเสียงหัวเราะ ทุกสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นบนชีวิตที่กดดันบีบคั้นมากมายหลายเท่าถ้าเทียบกับผม


ผมจึงยกย่องและเชิดชูกลุ่มคนเหล่านี้เป็นตัวอย่างในการต่อสู้กับอุปสรรคและปัญหา ถือเป็นฮีโร่ที่มีเลือดเนื้อจริง เป็นฮีโร่ที่ทำงานเพื่อส่งเงินให้ลูกเรียน เป็นฮีโร่ที่ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา เป็นฮีโร่ที่ต่อสู้กับปัญหาไม่หลบหนี เป็นฮีโร่ที่แท้จริงของผม”


ชมผลงานศิลปะ ๑๘ ชิ้น เพื่อยกยกย่องและเชิดชูเกียรติผู้ใช้แรงงานเนื่องใน “วันแรงงาน ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘”


นิทรรศการ ฮีโร่ (HERO) โดย สุรพงศ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา ระหว่างวันที่ ๑๔ พฤษภาคม - ๓o มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ ณ หอศิลป์ ศุภโชค ดิ อาร์ท เซ็นเตอร์ สุขุมวิท ๓๙



















ภาพและข้อมูลจาก
manager.co.th














๒ งานเสวนาว่าด้วยเรื่อง “เมือง” กับ “การสร้างสรรค์”



๒ งานที่น่าสนใจว่าด้วยเรื่อง “เมือง” กับ “การสร้างสรรค์” ใครที่มีข้อสงสัย ว่าพวกเขาเหล่านี้กำลังขับเคลื่อนอย่างไร และพบปัญหาอะไรบ้าง กับความพยายามในการผลักดันให้เมืองที่พวกเขารักเป็นเมืองสร้างสรรค์ เชิญไปฟัง ตลอดจนซักถามและร่วมแสดงความเห็น


ศิลปะสร้างเมือง เล่าเรื่องเมืองสร้างสรรค์


สมลักษณ์ ปันติบุญ ศิลปินเซรามิค ผู้บุกเบิกเครื่องปั้นดินเผาดอยดินแดง และเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ก่อตั้ง "ขัวศิลปะ" จ.เชียงราย


วินัย ปราบริปู ศิลปินอิสระชาว อ.ท่าวังผา จ.น่าน ผู้ก่อตั้งหอศิลป์ริมน่าน และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมผลักดันเทศกาลศิลปะ "น่านเนิบ ๆ" จ. น่าน


และวศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ศิลปินรางวัล ศิลปาธร เจ้าของโรงงานเครื่องปั้นดินเผา เถ้า ฮง ไถ่ รุ่นที่ ๓ ผู้บุกเบิกหอศิลป์ d Kunst (ดี คุนส์) และ เทศกาลศิลปะ "ปกติศิลป์" จ.ราชบุรี


พวกเขาทั้ง ๓ คน จะมาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองอย่างสร้างสรรค์ ด้วยฐานของศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นในกิจกรรม ศิลปะสนทนา (ART TALK) ครั้งที่ ๑ ประจำปี ๒๕๕๘ ในหัวข้อ "ศิลปะสร้างเมือง เล่าเรื่องเมืองสร้างสรรค์"


วันเสาร์ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๔.oo - ๑๖.oo น. ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น ๑ ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมกิจกรรม) สำรองที่นั่งและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. o-๒๒๑๔- ๖๖๓o - ๘ ต่อ ๕๑๙






ภาพเมืองที่อยากเห็น



นอกจาก ได้รับเชิญให้เข้าร่วมจัดนิทรรศการแสดงผลงานด้านวิชาชีพใน “งานสถาปนิก’๕๘” ที่ปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “เมืองต่อจากนี้ : คนมีชีวิต เมืองมีชีวา” (City Next : Living Urban Space and Form) ระหว่างวันที่ ๒๘ เมษายน-๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ณ อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ ศูนย์แสดงนิทรรศการอิมแพค เมืองทองธานี


สมาคมสถาปนิกผังเมืองไทย-สสผ. (Thai Urban Designers Association) ยังจัดเสวนา “ภาพเมืองที่อยากเห็น” เรื่อง “คน-จักรยาน-เมือง” และ “เจ้าพระยา-คลอง-เมือง” เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้มาแสดงความคิดเห็นร่วมกัน และนำข้อสรุปเสนอต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป


วันอาทิตย์ที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลา ๙.๓o-๑๘.oo น. ณ ห้องจูปีเตอร์ ๑๒-๑๓ ศูนย์แสดงนิทรรศการอิมแพค เมืองทองธานี



ภาพและข้อมูลจาก
manager.co.th




บล็อกนี้อยู่ในหมวดศิลปะ



บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor





Create Date : 30 เมษายน 2558
Last Update : 30 เมษายน 2558 23:24:04 น. 0 comments
Counter : 4618 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.