* = * * = * * = * รีวิวพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ตอนที่ ๑ * = * * = * * = *
สวัสดีค่ะ
วันนี้จะพาทุกท่านไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กันบ้างนะคะ ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เรารู้จักเป็นครั้งแรกจากบล็อกพี่หนู (สายหมอกและก้อนเมฆ) ก็เลยทำให้หมายมาดว่าจะไปในสักวันหนึ่งให้ได้ แล้วเผอิญว่ามีพี่ที่ทำงานทำโครงการไปที่นี่ ก็เลยได้ติดสอยห้อยตามเค้าไปด้วยค่ะ (ซึ่งโชคดีมาก เพราะทำให้มีวิทยากรในการบรรยายให้ข้อมูลเราด้วยค่ะ)
เว็บไซต์ของที่นี่นะคะ //www.kingprajadhipokmuseum.org/home/
สำหรับที่ตั้งของที่นี่อยู่ที่ถนนราชดำเนิน ถ้ามาจากทางหลานหลวงก็จะอยู่ทางด้านซ้ายมือตรงหัวมุมก่อนข้ามสะพานผ่านฟ้าค่ะ ซึ่งจะมีสองส่วน จะผ่านส่วนตรงนี้ก่อนนะคะ เป็นอาคารเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยค่ะ

ซึ่งอาคารนี้จะเรียกว่าอาคารรำไพพรรณี มีรายละเอียดตามป้ายเลยค่ะ

แต่เราวนมาที่ด้านหน้ากันก่อนค่ะ ยังไม่เข้าไปในอาคารด้านหลัง โดยจอดรถได้ตรงทางขวามือนะคะ (เมื่อหันหน้าเข้าพิพิธภัณฑ์ค่ะ)

เป็นอาคารสามชั้นค่ะ ที่จริงมีเหมือนหอกระโจมที่ด้านบนสุดด้วย แต่ไม่ได้ขึ้นไปค่ะ

ที่นี่ปิดวันจันทร์นะคะ เปิด 09.00-16.00 น.ค่ะ


เข้าประตูไปปุ๊บก็ต้องเลี้ยวขวาไปก่อนค่ะ
จะเห็นว่ามีที่จำหน่ายบัตรเข้าชมแล้วก็ล็อกเกอร์สำหรับฝากของด้วยนะคะ
ที่นี่ให้ถ่ายรูปได้ แต่ห้ามขาตั้งกล้องและห้ามใช้แฟลชค่ะ


แต่ช่วงที่เราไปยังอยู่ในช่วงโปรโมชั่น เข้าฟรีอยู่ค่ะ ฮี่ๆ

ตรงด้านหน้าเคาน์เตอร์ขายบัตรมีโบรชัวร์ภาษาต่างๆ ให้หยิบด้วยค่ะ


นอกจากนั้นที่นี่ยังมีภาพยนตร์ฉายให้ดูโดยมีตารางบอกด้วยค่ะว่าเดือนไหนมีอะไรฉายในวันไหนบ้างนะคะ

โอ้ มีกระทั่งภาพเหตุการณ์ 14 ตุลาด้วยค่ะ ไม่ธรรมดานะนี่

วิทยากรพาเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองก่อนค่ะ ถ้าเลี้ยวซ้ายขึ้นไปก็จะไปยังที่ฉายภาพยนตร์
แต่วิทยากรพาเลี้ยวขวาขึ้นไปค่ะ

ตรงบันไดที่แยกซ้ายขวานี่จะมีพระบรมฉายาลักษณ์ (หรือสาทิสลักษณ์? จำไม่ได้แล้วว่ารูปถ่ายหรือวาดค่ะ) ของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๗ ด้วยค่ะ

เอาหละค่ะ เลี้ยวขวาขึ้นบันไดไปก็เลี้ยวซ้ายเข้าห้องไปเล้ยยยย ก็จะเจอพระบรมฉายาลักษณ์ค่ะ วิทยากรให้ดูรูปนี้แล้วถามว่า ทราบมั้ยว่าองค์ไหนคือรัชกาลที่ ๗ (ทายกันถูกมั้ยคะ? ) คือองค์ที่ทรงพระเยาว์ที่สุดน่ะค่ะ
จากนั้นวิทยากรก็ให้ข้อมูลว่า พระนามของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๗ คือศักดิเดช เกิดเมื่อปีพ.ศ. 2436 เป็นพระราชโอรสองค์สุดท้องของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ค่ะ ลำดับที่ 76 จาก 77 พระองค์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ามีภรรยา (ขอใช้ศัพท์สามัญนะคะ) ทั้งสิ้น 153 คนนะคะ


หลังจากเล่าประวัติเริ่มต้นคร่าวๆ แล้ว จากนั้นก็เดินตรงไปเลี้ยวขวาเพื่อดูรายละเอียดในแต่ละช่วงชีวิตของท่านค่ะ

ก็จะขยายความจากรูปรวมๆ เมื่อกี๊น่ะนะคะ นับตั้งแต่พระราชสมภพเลยค่ะ

นอกจากภาพและข้อมูลแล้วก็จะมีของจริงอย่างพวกชุดของพระองค์ท่านให้ดูด้วยค่ะ

นอกจากนั้นก็มีรูปตอนท่านศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยวุลวิชด้วยนะคะ
จะเห็นว่าพระองค์ท่านจะมีพระวรกายเล็กกว่าเพื่อนร่วมรุ่นอย่างเห็นได้ชัด
วิทยากรถามว่าทราบมั้ยว่าเพราะอะไร ก็ตอบกันไปว่ากรรมพันธุ์ของคนเอเชียบ้าง เรื่องอาหารบ้าง
วิทยากรบอกว่า นอกจากที่ตอบมาแล้ว ส่วนหนึ่งคือการแต่งงานกันภายในเชื้อพระวงศ์ด้วยกันเอง ทำให้มีผลต่อความแข็งแรงของร่างกายด้วยเช่นกัน (ซึ่งเราก็งงเล็กน้อยว่า เตี้ย แปลว่า ร่างกายอ่อนแอเหรอ ใช่ปะเนี่ย )


นอกจากนั้นท่านก็ศึกษาที่วิทยาลัยอีตันด้วยค่ะ (ที่เดียวกับคุณอภิสิทธิ์ อดีตนายกฯ อะค่ะ)
วิทยากรบอกว่าวิทยาลัยนี้ถือว่าเป็นวิทยาลัยของเจ้านายหรือชนชั้นสูงค่ะ
ซึ่งของไทยเองก็ประมาณโรงเรียนวชิราวุธอะค่ะ

แล้วก็มีข้อมูลตอนที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ เสด็จสวรรคตด้วยค่ะ

วิทยากรก็ยังได้เล่าว่ารัชกาลที่ ๗ บวชที่วัดพระแก้ว แล้วก็ไปจำพรรษาที่วัดบวรฯ ค่ะ เพราะเจ้า (พระบรมวงศานุวงศ์) ต้องบวชในวัดพระแ้ก้วเสมอ แต่จะจำพรรษาวัดไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะคะ

ส่วนนี่จะเป็นรูปของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสค่ะ
ซึ่งที่เกี่ยวกันกับล้นเกล้ารัชกาลที่ ๗ ก็คือ ท่านได้ขอให้รัชกาลที่ ๗ อยู่ผนวชเสียเพราะเป็นน้องคนเล็ก ยังไงก็คงไม่ได้ตำแหน่งสำคัญ แต่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๗ ท่านบอกว่าไม่ได้ เพราะตอนนั้นท่านติดหญิงซะแล้วค่ะ ตามรูปที่ถ่ายมาเลย 


และนี่หละค่ะ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี งามนะคะ
มีเอกสารที่น่าจะเป็นใบทะเบียนสมรสด้วยค่ะ เก๋เนาะ
ถ้าจำไม่ผิด วิทยากรบอกว่า เป็นการจดทะเบียนสมรสครั้งแรกของไทยด้วยค่ะ
โดยมีพยานในการจดทะเบียนทั้งสิ้น 13 ท่านนะคะ (ถ้าตามกฎหมายจริงๆ ใช้แค่ 2 คนค่ะ)


ซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่ ๗ ทรงแต่งงานกับพระนางเจ้ารำไพพรรณีหลังจากลาผนวชไม่นานนะคะ
ตอนท่านแต่งท่านอายุ 25 ขณะที่พระนางเจ้ารำไพพรรณีนั้นมีอายุ 14 ปีค่ะ
แล้วก็ตอนแต่งงานนี่ ปกติจะหลั่งน้ำพระพุทธมนตร์อย่างเดียว แต่ในครั้งนั้นมีการเพิ่มการสาบานตนแบบคริสต์ประมาณว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตน่ะค่ะ
ส่วนนี่ก็คือวังศุโขทัยค่ะ เป็นการสะกดแบบชื่อเฉพาะนะคะ (วิทยากรเค้าว่างั้นนะคะ แหะๆ)


ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๗ ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 เวลา 01.01 น.ค่ะ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ สวรรคตตอน 01.00 น.) กล่าวคือ เมื่อกษัตริย์องค์ก่อนหน้าสวรรคตปุ๊บ องค์ที่ถูกวางตัวไว้ก็จะขึ้นครองราชย์ทันทีค่ะ
ส่วนการที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๗ ขึ้นครองราชย์ได้อย่างไรนั้น ก็เนื่องด้วยพินัยกรรมตามรูปข้างล่างนะคะ ซึ่งเป็นเหมือนคำสั่งที่ทำให้ท่านปฏิเสธไม่ได้นั่นแหละค่ะ

จากนั้นเราก็เดินขึ้นไปชั้นสามกันค่ะ ที่จริงที่นี่มีลิฟท์ด้วยนะคะ สำหรับให้คนพิการได้ใ้ช้บริการค่ะ
ชั้นสามจะเป็นตอนที่ท่านเสด็จเถลิงราชสมบัติค่ะ


ในการขึ้นครองราชย์จะมีเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์นะคะซึ่งได้แก่
1. พระมหาพิชัยมงกุฎ (หนัก 7.5 กก.ค่ะ ไม่อยากจะคิดว่าอยู่บนศีรษะแล้วจะหนักแค่ไหน ) 2. พระแสงขรรค์ชัยศรี - พระราชภาระในทางทหารเพื่อปกป้องประเทศ 3. ธารพระกร - แสดงอำนาจทางพลเรือน 4. ฉลองพระบาทเชิงงอน - สัญลักษณ์ทางพระบารมี (แต่วิทยากรบอกว่าแสดงถึงความหนักแน่นค่ะ) 5. วาลวิชนี - ความร่มเย็น








นอกจากนั้นก็มีภาพของอภิรัฐมนตรีด้วยค่ะ ประกอบด้วยล้นเกล้ารัชกาลที่ ๗ และพระวรราชชายา
กรมพระจันทบุรี - จะดูแลเรื่องเศรษฐกิจ ภาษา เป็นตาของพระนางเจ้ารำไพพรรณีค่ะ
กรมพระนริศฯ - ดูแลเรื่องสถาปัตย์ฯ การก่อสร้างต่างๆ
กรมหลวงนครสวรรค์ - ดูแลทหารสี่เหล่าทัพ แล้วก็สนใจเรื่องกล้วยไม้
กรมพระยาภานุพันธ์ - ดูแลเรื่องการสื่อสาร ไปรษณีย์ โทรเลข


หลังจากนั้นก็เดินตามวิทยากรไปยังห้องถัดไปค่ะ
จะเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองบ้างแล้วนะคะ


ในส่วนของการปกครองระบอบประชาธิปไตยนะคะ วิทยากรก็ให้ข้อมูลว่า เป็นการปกครองที่อำนาจมาจากประชาชน แล้วก็บอกว่า ไทยเองก็มีลักษณะนี้มาตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ ในช่วงร.ศ.127 ที่ให้มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน ส่วนในสมัยรัชกาลที่ ๖ ก็มีการตั้งโครงการดุสิตธานีที่พระราชวังพญาไท ซึ่งมีดำริว่า หากสำเร็จก็จะไปตั้งที่จังหวัดหนึ่งคือ จังหวัดสมุทรสาครค่ะ ทั้งนี้เพราะ
1. เป็นจังหวัดที่เล็กที่สุดในประเทศไทย (จขบ. - น่าจะทำให้เริ่มได้ง่ายค่ะ)
2. ติดกรุงเทพฯ
3. มีการตั้งสุขาภิบาลขึ้นแล้ว น่าจะพอรู้เรื่องได้ง่าย
ซึ่งที่จริงแล้วการจะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยนั้น จะต้องให้การศึกษาก่อน แต่เนนื่องจากโครงการดุสิตธานีไม่เวิร์ค ซึ่งการที่ประเทศของเราเองรีบเปลี่ยนในตอนนั้นอันตรายด้วยความใจร้อนและรีบทำเกินไปค่ะ
วิทยากรให้ข้อมูลต่อว่า เมื่อปี พ.ศ. 2475 ประชากรในประเทศมี 7 ล้าน มีแค่ 1 ล้านคนที่อ่านออกเขียนได้ และมี 1 พันคนที่เรียนที่ต่างประเทศ ดังนั้นความพร้อมถือว่ายังไม่เพียงพอต่อการที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองค่ะ
นอกจากนั้นในสมัยนั้นก็ได้มีการเริ่มในส่วนของกิจกรรมสหกรณ์ด้วยนะคะ โดยเริ่มที่จังหวัดพิษณุโลก เรียกว่า สหกรณ์วัดจันทร์ไม่จำกัดสินใช้ โดยตั้งเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2459 ค่ะ โดยมาตราที่ 50 กรรมการสหกรณ์จะต้องมี 15 คน ให้ 1 คนเป็นประธานและ 14 คนเป็นกรมการค่ะ และทั้ง 15 คนต้องมาจากการเลือกตั้งของสมาชิก ซึ่งจะเห็นว่าตรงกับระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันค่ะ
นอกจากนั้นตรงโซนนี้จะมีร่างรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับให้ดูด้วยนะคะ ฉบับที่ 1 โดยพระยากัลยาณไมตรี ฉบับที่ 2 เป็นฉบับของเรมอนด์ บี สตีเวนส์และพระยาศรีวิสารวาจา แต่ไม่ได้พระราชทานเพราะทรงเห็นว่าประชาชนยังไม่พร้อม กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็คัดค้านด้วยค่ะ
ใกล้ๆ กันจะมีตัวสะพานพุทธจำลองให้ดูด้วย รูปลูกศร (ดูออกมั้ยคะ?) มีความหมายว่าจะนำความเจริญทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจจากพระนครไปยังฝั่งธนฯ ค่ะ แล้วก็เป็นการเฉลิมพระนามของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๗ ด้วยค่ะ ทั้งนี้เพราพระนามของท่าน ศักดิเดช วิทยากรบอกว่าเดชแปลว่าลูกศรค่ะ

นอกจากนั้นวิทยากรก็เล่าเพิ่มเติมด้วยค่ะว่า ในเรื่องรามเกียรติ์ มีตอนที่หนุมานขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์พระรามแล้วเก้าอี้ร้อน (ประมาณว่าบารมีไม่ึถึง - ฮา) หนุมานทนไม่ไหว ก็เลยไปปรึกษาพระราม ท่านก็เลยยิงศรไป แล้วบอกว่าหากลูกศรไปตก ณ ที่ไหน ก็ให้เป็นเมืองของหนุมานค่ะ (น่าจะเป็นการให้รางวัลที่รบชนะหรือเปล่าเนี่ย?) ซึ่งเรื่องนี้เราก็คุ้นๆ ว่า คล้ายๆ กับตำนานการเกิดเมืองลพบุรีนะคะ แล้วก็ยังบอกว่า ลูกศรได้ทำให้พื้นดินไหม้ ทำให้ลพบุรีมีดินสอพองเยอะน่ะค่ะ 555
จากนั้นวิทยากรก็ถามว่า แล้วรู้ไหมว่า สะพานข้ามแม่น้ำแห่งแรกของไทยคือที่ไหน อันนี้หลายๆ คนน่าจะรู้นะคะ นั่นก็คือสะพานพระราม ๖ นั่นเองค่ะ ซึ่งเดิมเป็นสะพานให้รถไฟข้ามและถนน แต่ ณ ปัจจุบันเป็นสะพานข้ามสำหรับรถไฟสายใต้อย่างเดียวแล้วค่ะ
แล้ววิทยากรก็บอกว่าพระองค์ท่านได้สร้างสิ่งที่เป็นของขวัญให้กับประชาชนทั้งสิ้นสามสิ่ง ได้แก่
1. สะพานพุทธ
2. อนุเสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
3. โรงภาพยนตร์เฉลิมกรุง (รัชกาลที่ ๗ ทรงโปรดภาพยนตร์อย่างมากค่ะ สร้างโรงภาพยนตร์ติดแอร์แห่งแรกของเอเชียเลยทีเดียว)
นอกจากนั้นวิทยากรยังเล่าเพิ่มด้วยว่า แหล่งผับสมัยก่อนก็ืคือแถวๆ วังบูรพานั่นเองหละค่ะ (เกิดไม่ทัน ได้แต่ฟังไว้เป็นข้อมูลค่ะ แหะๆ)
นอกจากนั้นก็ยังมีในส่วนของพระราชลัญจกร และบันทึกลับต่างๆ ในช่วงนั้นมาให้อ่านกันด้วยค่ะ
ดูตามภาพไปเลยแล้วกันนะคะ




ในส่วนของบันทึกลับของเจ้าพระยามหิธรนี่ ขอเอาลงบางส่วนแล้วกันนะคะ
อยากอ่านเต็มๆ ก็ไปเที่ยวที่นี่แล้วกันนะคะ แฮ่.. (ไม่ใช่อะไร รูปเยอะมากๆ สงสารคนเน็ตเต่าอะค่ะ)




วิทยากรเล่าสภาพการณ์ ณ ขณะนั้นให้ฟังว่า เนื่องจากสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ ๗ นั้น เศรษฐกิจแย่มาก ทำให้ต้องปลดคนจำนวนมาก คณะราษฎร์ไม่พอใจ จึงทำการปฏิบัติค่ะ ซึ่งตอนที่ทำการปฏิวัตินั้น พระองค์ท่านอยู่ที่วังไกลกังวล แต่ก็ตัดสินใจกลับพระนคร (ซึ่งจะลี้ภัยหรือสู้ก็ได้) และเลือกที่จะกลับโดยรถไฟ ไม่กลับกับเรือที่ทางคณะราษฎร์ส่งมาค่ะ
และถ้อยคำ ความคิดของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวค่ะ อ่านแล้ว...สะท้อนใจเหมือนกันนะคะ


นอกจากนั้นวิทยากรได้ให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับคำว่า ปฏิัวัติ รัฐประหาร และขบถค่ะ นั่นก็คือ ปฏิวัติคือการเปลี่ยนทั้งหมด ทั้งระบอบเลย ขณะที่รัฐประหาร คือ รูปแบบปกครองเดิม แต่รัฐเปลี่ยน (อย่างกรณี กันยา 49) ขณะที่ขบถนั่นก็คือการที่จะทำ แต่ทำไม่สำเร็จน่ะค่ะ
ภาพตอนพระองค์ท่านพระราชทานรัฐธรรมนูญค่ะ
วิทยากรบอกว่าจะเห็นว่าท่านแต่งเต็มยศนะคะ
เป็นการลาออกจากการเป็นกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นกษัตริย์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยค่ะ

เอาหละค่ะ บล็อกนี้ยาวมากๆ แล้ว โหลดรูปกันแย่แล้ว เดี๋ยวบล็อกหน้าจะพาไปชมต่อนะคะ (คาดว่า พิพิธภัณฑ์แห่งนี้น่าจะรีวิวทั้งหมด 3 เอนทรี่อย่างต่ำ เพราะมีสองตึกค่ะ นี่ตึกแรกยังไม่หมดเล้ยยยยย เหอๆ)
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ
925385+53617+17431+5188+58016=1,059,637/6746/623
Create Date : 22 กันยายน 2554 |
Last Update : 22 กันยายน 2554 7:12:22 น. |
|
51 comments
|
Counter : 5258 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 22 กันยายน 2554 เวลา:7:47:00 น. |
|
|
|
โดย: JewNid วันที่: 22 กันยายน 2554 เวลา:9:51:52 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 22 กันยายน 2554 เวลา:9:54:15 น. |
|
|
|
โดย: pragoong วันที่: 22 กันยายน 2554 เวลา:10:50:43 น. |
|
|
|
โดย: devilmanb วันที่: 22 กันยายน 2554 เวลา:10:51:51 น. |
|
|
|
โดย: chenyuye วันที่: 22 กันยายน 2554 เวลา:11:10:16 น. |
|
|
|
โดย: วนารักษ์ วันที่: 22 กันยายน 2554 เวลา:11:49:07 น. |
|
|
|
โดย: babooloo วันที่: 22 กันยายน 2554 เวลา:12:46:12 น. |
|
|
|
โดย: oa (rosebay ) วันที่: 22 กันยายน 2554 เวลา:13:34:23 น. |
|
|
|
โดย: pantawan วันที่: 22 กันยายน 2554 เวลา:15:55:08 น. |
|
|
|
โดย: kochpon วันที่: 22 กันยายน 2554 เวลา:15:59:50 น. |
|
|
|
โดย: hellojaae (hellojaae ) วันที่: 22 กันยายน 2554 เวลา:16:34:16 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 22 กันยายน 2554 เวลา:16:57:07 น. |
|
|
|
โดย: phunsud วันที่: 22 กันยายน 2554 เวลา:18:44:25 น. |
|
|
|
โดย: pantawan วันที่: 23 กันยายน 2554 เวลา:0:45:41 น. |
|
|
|
โดย: ญามี่ วันที่: 23 กันยายน 2554 เวลา:1:23:53 น. |
|
|
|
โดย: Kavanich96 วันที่: 23 กันยายน 2554 เวลา:7:50:35 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 23 กันยายน 2554 เวลา:10:34:08 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 23 กันยายน 2554 เวลา:11:26:17 น. |
|
|
|
โดย: pantawan วันที่: 23 กันยายน 2554 เวลา:14:19:20 น. |
|
|
|
โดย: วนารักษ์ วันที่: 23 กันยายน 2554 เวลา:16:35:27 น. |
|
|
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 23 กันยายน 2554 เวลา:20:01:34 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 23 กันยายน 2554 เวลา:21:04:46 น. |
|
|
|
โดย: JinnyTent วันที่: 23 กันยายน 2554 เวลา:21:12:24 น. |
|
|
|
โดย: ญามี่ วันที่: 24 กันยายน 2554 เวลา:0:12:22 น. |
|
|
|
โดย: pantawan วันที่: 24 กันยายน 2554 เวลา:0:24:22 น. |
|
|
|
โดย: pantawan วันที่: 24 กันยายน 2554 เวลา:11:31:50 น. |
|
|
|
โดย: :D keigo :D วันที่: 24 กันยายน 2554 เวลา:12:09:34 น. |
|
|
|
โดย: โสมรัศมี วันที่: 24 กันยายน 2554 เวลา:19:46:55 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 24 กันยายน 2554 เวลา:21:03:45 น. |
|
|
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 24 กันยายน 2554 เวลา:22:18:26 น. |
|
|
|
โดย: pantawan วันที่: 25 กันยายน 2554 เวลา:1:38:33 น. |
|
|
|
โดย: pantawan วันที่: 25 กันยายน 2554 เวลา:12:21:05 น. |
|
|
|
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 25 กันยายน 2554 เวลา:22:50:47 น. |
|
|
|
โดย: pantawan วันที่: 26 กันยายน 2554 เวลา:0:14:09 น. |
|
|
|
โดย: NaPa IP: 124.122.26.8 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2555 เวลา:17:16:11 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 203 คน [?]

|
ชอบอ่านหนังสือและดูหนังค่ะ ตอนนี้ทำงานด้านการท่องเที่ยวอยู่ นิสัยดีบ้างร้ายบ้าง แล้วแต่สภาวการณ์และคนที่เจอ
เนื้อหาและรูปภาพทั้งหมดในบล็อกสงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ไม่อนุญาตให้นำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อก
ติดต่อเจ้าของบล็อกได้ที่ theworpor@yahoo.com หรือ https://www.facebook.com/saoguide
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|