* = * * = * * = * รีวิวไหว้พระ 9 วัด ณ เชียงใหม่ วัดที่ห้า วัดเชีียงมั่น* = * * = * * = *
สวัสดีค่ะ
หลังจากพาไปหม่ำๆ และทำสิ่งที่เป็นกุศลรับปีใหม่ด้วยการไหว้พระ 9 วัดไปแล้ว 4 วัดดังนี้
ร้านอาหารร้านแรกของทริปปีใหม่ 2554 ไปแล้วคือ ไก่ถังวังทอง พิษณุโลก (คลิกเพื่ออ่าน)
ตามด้วย ข้าวมันไก่เกียรติโอชา + ร้านหวานละมุน (คลิกเพื่ออ่าน)
รีวิวทริปไหว้พระ 9 วัด วัดแรก ณ วัดลอยเคราะห์ (คลิกเพื่ออ่าน)
วัดที่สอง วัดหมื่นล้าน (คลิกเพื่ออ่าน)
วัดที่สาม วัดดวงดี (คลิกเพื่ออ่าน)
และวัดที่สี่ วัดชัยพระเกียรติ (คลิกเพื่ออ่าน)
วันนี้ก็จะพาไปไหว้พระเป็นวัดที่ ๕ ของทริปนี้กันแล้วนะคะกับวัดเชียงมั่นค่ะ
เว็บไซต์ของวัดนี้ค่ะ
//watchiangman.net78.net/
ประวัติวัดเชียงมั่นค่ะ (เอามาจากเว็บไซต์วัดหละนะคะ)
วัดเชียงมั่นที่ปรากฎในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่และพงศาวดารโยนก มีดังนี้คือ หลังจากที่พญางำเมือง พญาร่วง และพญามังรายทรงสร้างเมืองเชียงใหม่ สำเร็จในปี พ.ศ.๑๘๓๙ แล้ว ทั้งสามพระองค์ทรงโปรดให้สร้างเจดีย์ขึ้นตรงที่หอนอนบ้านเชียงมั่นซึ่งพญามังรายทรงสร้างเป็นที่ประทับชั่วคราวในระหว่างที่ควบคุมการสร้างเมืองใหม่ โดยให้ชื่อที่ประทับแห่งนั้นว่า "เวียงเล็ก" หรือ "เวียงเหล็ก" หมายถึง"ความมั่นคงแข็งแรง"
ต่อมาเมื่อพญามังรายเสด็จแปรพระราชทานไปยังพระราชนิเวศน์มณเฑียรสถานแห่งใหม่ซึ่งเรียกว่า "เวียงแก้ว" (ปัจจุบันคือเรือนจำกลางเชียงใหม่) แล้ว ทรงอุทิศตำหนักคุ้มหลวงเวียงเหล็ก ถวายแด่พระศาสนา โดยตั้งเป็นพระอารามหลวงแห่งแรกและพระราชทานนามอันเป็นมงคลว่า "วัดเชียงมั่น" อันหมายถึงบ้านเมืองที่มีความมั่นคง
จึงนับได้ว่า วัดเชียงมั่นเป็นพระอารามหลวงแห่งแรกในเขตกำแพงเมืองเชียงใหม่ คือสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๑๘๓๙ จากนั้นคาดว่าเจดีย์นี้ได้พังลงมาในสมัยของพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ราชวงค์มังรายลำดับที่ ๑๐ (ครอง ราชย์ พ.ศ.๑๙๘๕ - ๒๐๓๑) พระองค์จึงโปรดให้สร้างขึ้นใหม่ด้วยศิลาแลงในปี พ.ศ.๒๐๑๔
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๐๙๔ เชียงใหม่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า วัดเชียงมั่นจึงถูกทอดทิ้งให้เป็นวัดร้าง ครั้นถึง พ.ศ.๒๑๐๑ เจ้าฟ้ามังทรา (สมเด็จพระมหาธัมมิกะราชาธิราช)แห่งพม่า ทรงมีพระราชศรัทธาในพุทธศาสนา โปรดให้พระยาแสนหลวงสร้างเจดีย์ วิหาร อุโบสถ หอไตร ธัมมเสนาสนะกำแพง และประตูโขงขึ้นที่วัดเชียงมั่น โดยมีพระมหาหินทาทิจจวังสะเป็นเจ้าอาวาส
เมื่อถึงสมัยพระยากาวิละครองเมืองเชียงใหม่(พ.ศ.๒๓๒๔ - ๒๓๕๘) ได้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดเชียงมั่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่วัดนี้ได้ตกอยู่ในสภาพวัดร้างเมื่อครั้งที่ทำสงครามกอบกู้เอกราชคืนมาจากพม่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๑๙
ต่อมาในสมัยของเจ้าอินทวโรรส (พ.ศ.๒๔๔๐ - พ.ศ.๒๔๕๒) พระพุทธศาสนาแบบธรรมยุกนิกายได้เข้ามาเผยแผ่ในอาณาจักรล้านนาเจ้าอินทวโรรสจึงได้นิมนต์พระธรรมยุติมาจำพรรษาอยู่ที่วัดเชียงมั่นเป็นครั้งแรก ภายหลังย้ายไปอยู่วัดหอธรรมและวัดเจดีย์หลวงตามลำดับ
เข้าไปในวัด จะเจอวิหารสองหลังอย่างนี้ค่ะ วิหารด้านขวามือหลังเล็กนี้คือวิหารที่ประดิษฐานของพระแก้วขาวและพระศิลานะคะ

ป้ายประวัติของวัดเชียงมั่น พระเสตังคมณี (พระแก้วขาว) และพระศิลาค่ะ

เราเข้าไปที่วิหารหลังใหญ่ทางซ้ายมือก่อนค่ะ เพื่อสักการะพระประธานของวัดเชียงมั่นค่ะ

จากนั้นก็เข้าไปด้านในค่ะ พระประธานของวัดอยู่หน้าบุษบก (เรียกถูกมั้ยนี่) แบบนี้ค่ะ
พักตร์ท่านอมยิ้มนิดๆ นะคะ


แต่เวลาถ่ายรูปด้านข้าง เหมือนว่าหน้าตรงจะ "ยิ้ม" มากกว่านะคะ

ส่วนรูปจิตรกรรมฝาผนัง เป็นรูปพิธีสรงน้ำและสมโภชพระเสตังคมณี (พระแก้วขาว) หละค่ะ ซึ่งในตำนานกล่าวถึงการสร้างว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานล่วงแล้วได้ 700 ปีในวันเพ็ญเดือน 7 พระสุเทวฤาษีได้เอาดอกจำปา 5 ดอกขึ้นไปบูชาพระจุฬามณียังสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ ได้สนทนากับพระอินทร์ พระอินทร์จึงบอกแก่วสุเทวฤาษีว่าปีนี้ในเดือนวิสาขะเพ็ญที่ละวะรัฏฐะจะสร้างพระด้วยแก้วขาว
ครั้นสุเทวฤาษีกลับจากดาวดึงษ์เทวโลกแล้วจึงไปเมืองละโว้ ขณะนั้นพระยารามราชเจ้าเมืองละโว้กับพระกัสสปเถระได้สร้างพระแก้วขาวซึ่งพระอรหันต์ได้แก้วขาว (แก้วผลึก) บริสุทธิ์มาจากจันทเทวบุตร แล้วขอพระวิศณุกรรมมาเนรมิตรสำเร็จรูปเป็นพระปฏิมากร แล้วก็บรรจุพระบรมธาตุ 4 องค์ไว้ในพระโมลี 1 พระนลาต 1 พระอุระ 1 พระโอษฐ์ 1 รวม 4 แห่ง

นอกจากนั้นก็มีภาพเล่าประวัติวัดพระเจ้าเม็งราย

ภาพการจารึกมังรายศาสตร์และคัมภีร์ใบลาน

ส่วนรูปนี้น่าจะเป็นงานศพของเจ้านายหรือพระสงฆ์ชั้นสูงสักองค์หละค่ะ
เพราะมีนกหัสดีลิงค์เทินบุษบกด้วย

ส่วนภาพนี้เป็นภาพเกี่ยวกับกำเนิดราชวงศ์ลวจังกราช (สะกดตามที่เขียนไว้นะคะ ที่จริงว่าน่าจะเป็นลวจักราชหรือเปล่าน่ะ - ไม่มีงองูน่ะค่ะ)

ด้านหลังวิหารหลังนี้น่าจะเป็นเจดีย์ช้างล้อมนะคะ แต่เราไม่ได้เดินไปดูเลยอะค่ะ
แต่เอาประวัติจากเว็บไซต์วัดมาให้อ่านกันหน่อยแล้วกันนะคะ
ตัวองค์เจดีย์สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1840ครั้งพญามังรายสถาปนาวัดเชียงมั่น และได้รับการบูรณะซ่อมแซมจากผู้ครองนครเชียงใหม่สืบมา กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้วเมื่อ พ.ศ. 2478

จากนั้นเราก็เดินไปยังวิหารหลังเล็กเพื่อไปสักการะพระแก้วขาวและพระศิลาค่ะ

ตรงเหนือประตู มีรูปปูนปั้นเหมือนพระทรงเครื่องด้วยค่ะ (แต่เหมือนจะมีคิ้วด้วยนะคะนี่)

ด้านในมีรูปวาดพระแก้วขาวแบบนี้ด้วยค่ะ (แต่เราจำไม่ได้แล้วว่าอยู่ตรงไหน เหมือนจะอยู่ตรงประตูทางเข้า ซึ่งมีประวัติบอกเล่าอีกทีนะคะ)

เข้าไปด้านในกันค่ะ
ที่อยู่ในบุษบกและโดนล้อมกรงไว้ คือพระแก้วขาวและพระศิลานะคะ (เมืองไทยเรา เศร้าจริงๆ พระต้องอยู่ในกรง เหอๆ )

2 องค์จะอยู่ข้างๆ กันเลยนะคะ ถ้าหันหน้าเข้าบุษบก ทางฝั่งซ้ายจะเป็นพระแก้วขาว ขวาเป็นพระศิลาค่ะ

สำหรับประวัติของพระศิลานะคะ
พระพุทธรูปศิลาปางปราบช้างนาฬาคีรี หรือพระศิลาซึ่งเป็นพระพุทธรูปแกะสลักด้วยหินชนวนดำ (บางตำนานว่าเป็นหินแดง) ฝีมือช่างปาละของอินเดียและสลักตามคติเดิมของอินเดียและแกะสลักตามคติเดิมของอินเดีย ซึ่งเชื่อกันว่าพระเถระชาวสิงหล ๔ รูป ได้นำพระศิลาพร้อมด้วยพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้ามามอบให้พระยามังรายที่เวียงกุมกามเมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๗ ภายหลังจึงได้รับการประดิษฐานไว้ที่วัดเชียงมั่น คู่กับพระพุทธเสตังคมณี
สำหรับพระบรมธาตุได้รับการบรรจุไว้ในพระเจดีย์ของวัดกานโถมองค์หนึ่ง และอีกองค์หนึ่งบรรจุไว้ในพระโมลีของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ทรงสร้างขึ้น
พุทธลักษณะของพระศิลาคือ ประทับยืนเยื้องพระองค์บนฐานบัวภายใต้ซุ้ม พระหัตถ์ขวาทอดลงเหนือหัวช้างซึ่งหมอบอยู่ พระหัตถ์ซ้ายยกในท่าประทานอภัยหรือแสดงธรรม พระอานนท์ยืนถือบาตรอยู่ด้านซ้าย
พระศิลาแบบมองผ่านกรงนะคะ

ต่อไปเป็นประวัติของพระแก้วขาวนะคะ
"พระแก้วขาว” หรือ “พระเสตังคมณี” เป็นพระพุทธรูปที่นับถือกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถคุ้มครองป้องกันอันตรายและอำนวยความสุขสวัสดิ์มงคลแก่ผู้ที่เคารพสักการะและได้
ปรากฏว่าในอดีตกาลเป็นพระพุทธรูปสำหรับบูชาประจำพระองค์ของพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์ผู้ครองนครหริภุญชัย และพระเจ้าเม็งรายมหาราช(หรือพระเจ้ามังราย) ปฐมวงศ์เม็งราย ผู้สถาปนาอาณาจักรล้านนาไทยและกษัตริย์ผู้ครองนครหริภุญชัย และนครเชียงใหม่ ในยุคต่อๆ มาก็นับถือเป็นพระพุทธรูปบูชาประจำพระองค์ทั้งสิ้น
ในตำนานได้กล่าวถึงการสร้างไว้ว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานล่วงแล้วได้ 700 ปี ในวันเพ็ญเดือน 7 พระสุเทวฤๅษีได้เอาดอกจำปา 5 ดอก ขึ้นไปบูชาพระจุฬามณียังดาวดึงษ์สวรรค์ ได้พบปะสนทนาด้วยพระอินทร์ พระอินทร์จึงบอกกล่าวแก่สุเทวฤๅษีว่า ปีนี้ในเดือนวิสาขะเพ็ญที่ลวะรัฏฐะ จะสร้างพระพุทธปฏิมากรด้วยแก้วขาว ครั้งสุเทวฤๅษีกลับจากดาวดึงษ์เทวโลกแล้วจึงไปสู่เมืองละโว้ ขณะนั้นพระยารามราชเจ้าเมืองละโว้กับพระกัสสปเถระเจ้าปรารภการที่จะสร้างพระแก้ว ซึ่งพระอรหันต์ไปได้แก้วขาวบริสุทธิ์บุษยรัตน์มาจากจันทเทวบุตร แล้วขอพระวิศณุกรรมมาเนรมิต สำเร็จรูปเป็นองค์พระพุทธปฏิมากร สุเทวฤๅษีและฤๅษีองค์อื่นๆ ก็ได้ประชุมช่วยในการสร้างองค์พระด้วย ครั้นสำเร็จแล้วก็บรรจุพระบรมธาตุ 4 องค์ ไว้ในพระโมลี(กระหม่อม) พระนลาต(หน้าผาก) พระอุระ (หน้าอก) พระโอษฐ์(ปาก) รวม 4 แห่ง
เมื่อสร้างเสร็จแล้วพระแก้วขาวก็ได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองละโว้สืบมาเป็นเวลานาน ถึงสมัยพระฤๅษีสร้างนครหริภุญชัยขึ้นแล้ว ใช้ให้ควิยะอำมาตย์ ไปเชิญพระนางจามเทวี ราชธิดาของพระเจ้ากรุงละโว้มาครองเมืองหริภุญชัย พระนางจึงขออนุญาตจากพระราชบิดานิมนต์พระภิกษุสงฆ์สามเณร และพระเสตังคมณี(พระแก้วขาว) มาเป็นพระพุทธรูปบูชาประจำพระองค์ พระแก้วจึงได้ประดิษฐาน ณ นครลำพูนแต่นั้นมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี บรรดากษัตริย์ที่ครองเมืองหริภุญชัย(ลำพูน) ทั้งวงศ์เดียวกับพระนางจามเทวีและต่างวงศ์ ต่างได้เคารพบูชาเป็นประจำองค์มาทุกวงศ์ และได้สร้างหอประดิษฐานไว้ในพระราชวัง พระเสตังคมณีประดิษฐานอยู่ ณ เมืองลำพูนตลอดมา
จนกระทั่งรัชสมัยของพระยายีบาเป็นกษัตริย์ครองเมือง ในครั้งนั้นพระเจ้าเม็งรายซึ่งเป็นเจ้าครองนครเงินยวง (เชียงแสน) ได้ยกกองทัพไปปราบบ้านเล็กเมืองน้อยต่างๆ ที่ยังแข็งเมืองอยู่ให้เข้ารวมอยู่ในอำนาจของพระองค์จนหมดสิ้นแล้ว แต่นครหริภุญชัยในครั้งนั้นมีกำลังเข้มแข็งมาก พระองค์จึงคิดกลอุบายให้ขุนอ้ายฟ้า ราชวัลลภคนสนิทไปทำการจารกรรมนานถึง 7 ปี ขุนอ้ายฟ้าเห็นได้โอกาสแล้วจึงส่งข่าวไปให้พระเจ้าเม็งรายให้ยกกองทัพมาตีเมืองหริภุญชัยโดยด่วน พระเจ้าเม็งรายยกกองทัพมาตีเมืองหริภุญชัยในปีพุทธศักราช 1824 ชาวเมืองที่ไม่ยอมทิ้งเมืองเข้าต่อสู้อย่างเข้มแข็งดุเดือด กองทัพเม็งรายต้องใช้ธนูไฟเพลิงยิงเข้าไปทำให้เกิดเพลิงไหม้ทั้งเมือง ในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่กองทัพพระเจ้าเม็งราย
เมื่อยกเข้าเมืองได้แล้ว พระเจ้าเม็งรายจึงเสด็จออกตรวจดูความเสียหาย สิ่งที่ทำให้พระองค์ทรงประหลาดพระทัยที่สุดคือ หอพระซึ่งอยู่ในบริเวณพระราชวังของพระยายีบาหาได้ถูกเพลิงไหม้ แต่บริเวณรอบๆ นั้นถูกเพลิงเผาผลาญพินาศหมด พระองค์จึงเข้าไปทอดพระเนตรดู เห็นพระแก้วขาวสถิตอยู่ ณ ที่นั้น ก็เกิดมีพระราชศรัทธาปสาทะเป็นอันมากจึงอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ ที่ประทับของพระองค์ ทรงเคารพสักการบูชาเป็นพระพุทธรูปประจำพระองค์แต่นั้นมา
ต่อเมื่อพระองค์มาสร้างนครเชียงใหม่เป็นราชธานี เมื่อปีพุทธศักราช 1839 ได้อัญเชิญพระแก้วขาวมาประดิษฐานในพระราชวังจนตลอดรัชกาล แม้ในเวลาเสด็จออกศึกก็ทรงนิมนต์พระแก้วขาวไปด้วยทุกครั้ง พระองค์มิได้ประมาทในพระแก้วขาวเลย เมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว พระแก้วขาวก็ยังคงประดิษฐานอยู่ในเมืองเชียงใหม่ตลอดมาจนกระทั่งถึงรัชกาลของพระเจ้าติโลกราช รัชกาลที่ 11 แห่งราชวงศ์เม็งราย พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง ได้ทำนุบำรุงการพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่ายุคใดๆ ทั้งสิ้น พระองค์โปรดให้หมื่นด้ามพร้าคต ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างถาวรวัตถุในวัดวาต่างๆ และสร้างหอพระแก้วมรกตและพระแก้วขาวไว้ในพระอารามราชกุฏาคารเจดีย์ (คือเจดีย์หลวง) ในปีพุทธศักราช 2022 ในยุคนี้พระพุทธรูปสำคัญหลายองค์ ได้มาประดิษฐานในนครเชียงใหม่พระแก้วขาวได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงในสมัยของพระเจ้าติโลกราช
มาตราบถึงสมัยของพระยอดเชียงราย ราชนัดดา ในสมัยนี้มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระแก้วขาวคือ ในครั้งนั้นมีราชบุตรพระยาเมืองใต้ชื่อสุริยะวังสะบวชเป็นภิกษุขึ้นมาจำพรรษาอยู่วัดเวฬุวัน(กู่เต้า) ในระหว่างปีพ.ศ. 2030 - 2049 ได้มารักใคร่ชอบพอกับนางท้าวเอื้อยหอขวาง ราชธิดาของพระเจ้าติโลกราชเป็นอย่างยิ่ง สุริยะวังสะภิกขุมีความประสงค์อยากได้พระแก้วขาว จึงรบเร้าขอให้นางท้าวเอื้อยหอขวางจัดการให้ นางท้าวเอื้อยฯจึงทำกลอุบายว่าป่วยไข้ ขออาราธนาพระแก้วขาวมาสักการบูชาในที่อยู่ของตนเพื่อหายป่วยไข้ ครั้นนานหลายวันเข้า พันจุฬาผู้รักษาหอพระจึงมาขอเอาพระแก้วคืน นางท้าวเอื้อยฯก็ให้ทองคำพันหนึ่งเป็นสินบนปิดปาก แล้วนางจึงเอาพระแก้วขาวใส่ไว้ในสถูปแล้วใส่ถุงคลุมมิดชิดดีแล้ว ใช้ให้อ้ายกอน ทาสชายนำไปถวายแก่สุริยะวังสะภิกขุ จากนั้นสุริยะวังสะภิกขุจึงเอาไม้เดื่อมาแกะเป็นองค์ แล้วเอาพระแก้วขาวใส่ไว้ภายในแล้วก็พาหนีไปเมืองใต้เสีย
ต่อมาในปีพ.ศ. 2035 พระยอดเชียงรายราชให้ทรงสร้างพระอารามขึ้นในทิศตะวันตกเฉียงใต้เมือง ให้ชื่อว่าวัดตะโปทาราม(วัดรำพึง) ด้วยมีพระประสงค์จะเอาพระแก้วขาวไปประดิษฐานไว้ที่นั้น เมื่อทราบข่าวว่าพระแก้วหายไป จึงสืบสวนได้ความจากอ้ายกอนว่า นางท้าวเอื้อยหอขวางได้ใช้ให้ตนนำไปถวายแก่สุริยะวังสะภิกขุ และได้นำพระหนีไปจากเมืองแล้ว พระยอดเชียงรายได้ใช้ราชทูตเชิญเครื่องราชบรรณาการและราชสาส์น ไปถวายพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาเพื่อขอพระแก้วคืน พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาตอบพระสาส์นมาว่า สืบหาก็ไม่ได้ความ และหาที่ไหนก็ไม่พบ พระยอดเชียงรายราชขัดพระทัย จึงยกกองทัพไปยังกรุงศรีอยุธยา อยู่ได้เดือนหนึ่งจึงได้พระแก้วขาวคืนแล้ว จึงเลิกทัพกลับมา พระแก้วขาวจึงได้ประดิษฐาน ณ เมืองเชียงใหม่ตามเดิม ในปัจจุบันนี้ พระแก้วขาว(เสตังคมณี) ประดิษฐาน ณ วัดเชียงมั่น เมืองเชียงใหม่ เพื่อเป็นมิ่งขวัญของชาวเชียงใหม่เป็นปูชนียวัตถุชิ้นสำคัญของชาวลานนาไทยสืบต่อมา
พระแก้วขาวค่ะ (องค์ซ้ายมือนะคะ)

สำหรับค่าบูชาพระไปที่บ้านก็ตามนี้เลยนะคะ สูงอยู่พอควรค่ะ



บูชามาหนึ่งกล่องกับหนึ่งองค์นี้นะคะ

ก่อนจากไป ปิดท้ายด้วยรูปชาวต่างชาติสองท่านที่ปั่นจักรยานมาเที่ยวค่ะ
น่าทำเหมือนกันนะคะนี่

สำหรับวัดนี้ก็คงจบแต่เพียงเท่านี้นะคะ วัดหน้าจะพาไปไหว้พระต่อที่วัดเชียงยืนค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมานะคะ
880794/6341/573
Create Date : 14 มีนาคม 2554 |
Last Update : 14 มีนาคม 2554 13:22:59 น. |
|
58 comments
|
Counter : 5151 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: d__d (มัชชาร ) วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:8:58:19 น. |
|
|
|
โดย: p_pat_p IP: 202.143.168.35 วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:10:07:05 น. |
|
|
|
โดย: d__d (มัชชาร ) วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:10:13:18 น. |
|
|
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:10:44:35 น. |
|
|
|
โดย: นักล่าน้ำตก IP: 58.8.86.63 วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:11:01:57 น. |
|
|
|
โดย: หัวใจสีชมพู วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:11:11:37 น. |
|
|
|
โดย: Somyachi วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:11:50:15 น. |
|
|
|
โดย: ellie@aggie วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:11:58:50 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:12:32:31 น. |
|
|
|
โดย: ASDK_MK วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:12:44:25 น. |
|
|
|
โดย: Panino วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:13:25:53 น. |
|
|
|
โดย: pragoong วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:13:43:06 น. |
|
|
|
โดย: wicsir วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:14:02:00 น. |
|
|
|
โดย: phunsud วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:14:02:23 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:14:17:35 น. |
|
|
|
โดย: JewNid วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:16:33:52 น. |
|
|
|
โดย: Somyachi วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:17:44:59 น. |
|
|
|
โดย: tifun วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:18:06:58 น. |
|
|
|
โดย: nok_noyly วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:18:19:24 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:18:45:46 น. |
|
|
|
โดย: VET53 วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:21:36:04 น. |
|
|
|
โดย: พ่อระมิงค์ วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:21:47:26 น. |
|
|
|
โดย: panwat วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:22:25:32 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:22:59:53 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:23:13:35 น. |
|
|
|
โดย: ญามี่ วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:23:40:49 น. |
|
|
|
โดย: benz47 วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:6:40:18 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:7:02:10 น. |
|
|
|
โดย: phunsud วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:8:10:13 น. |
|
|
|
โดย: Kavanich96 วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:8:44:40 น. |
|
|
|
โดย: มิลเม วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:10:35:41 น. |
|
|
|
โดย: Somyachi วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:11:13:13 น. |
|
|
|
โดย: แวะมาทักทายค่ะ (น้ำค้างกลางใจ ) วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:11:29:24 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:11:33:58 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:11:46:54 น. |
|
|
|
โดย: nok_noyly วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:12:25:50 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:12:34:25 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:12:34:46 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:13:35:18 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:13:52:16 น. |
|
|
|
โดย: แวะมาตอบคำถาม IP: 125.26.166.122 วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:14:52:03 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:15:57:29 น. |
|
|
|
โดย: oa (rosebay ) วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:16:24:38 น. |
|
|
|
โดย: kirofsky วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:18:45:12 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 203 คน [?]

|
ชอบอ่านหนังสือและดูหนังค่ะ ตอนนี้ทำงานด้านการท่องเที่ยวอยู่ นิสัยดีบ้างร้ายบ้าง แล้วแต่สภาวการณ์และคนที่เจอ
เนื้อหาและรูปภาพทั้งหมดในบล็อกสงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ไม่อนุญาตให้นำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อก
ติดต่อเจ้าของบล็อกได้ที่ theworpor@yahoo.com หรือ https://www.facebook.com/saoguide
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ดี.มาเพลินกับบรรยากาศวัดต่อด้วยค่ะ
จิตรกรรมฝาผนัง ..เป็นเสน่ห์ของแต่ละวัดเลยนะคะ