Group Blog
 
All Blogs
 

สาวๆ ระวัง! รัดผมตึงอาจเป็นโรคเครียดได้


สาวๆ ที่ชอบมัดผมตึง ตกช่วงบ่ายๆ อาจจะเจอกับอาการมึนหัว อึดอัด ปวดตึงบริเวณต้นคอและท้ายทอยอยู่บ่อยๆ ถ้าเป็นแบบนี้ นั่นอาจจะเป็นการส่งสัญญาณเตือนถึงความเครียดภายใต้หนังศีรษะก็เป็นได้

จากการสัมภาษณ์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเส้นผมพบว่า ผู้หญิงไทยที่ชอบมัดผม หรือคาดผมจนตึงแน่นอยู่เป็นประจำ ซึ่งทรงผมสุดเนี้ยบนี้อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่อาการปวดหัวเรื้อรัง และทำให้เกิดโรคเครียดตามมาโดยไม่รู้ตัว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเส้นผม กล่าวว่า การรัดผม คาดผม หรือมัดผมจนตึงแน่นเป็นประจำ จะทำให้หนังศีรษะถูกเหนี่ยวรั้งมากขึ้น นอกจากจะทำให้ความกว้างของหน้าผากมากขึ้น เพราะรากผมถูกทำลายจากแรงดึงแล้ว ยังทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณศีรษะไม่สะดวก นำไปสู่อาการปวดหัวเรื้อรังและโรคเครียด

ซึ่งปกติแล้วผู้หญิงทำงานต้องแบกรับความเครียดอย่าง มากอยู่แล้วในแต่ละวัน ในวันทำงานจึงควรหันมาปล่อยผมสบายๆ แทนที่จะรวบผมตึงดูบ้าง

เพื่อให้เลือดไหลเวียนไป เลี้ยงสมองง่ายขึ้น และทำให้รู้สึกเป็นทางการน้อยลง จะได้ช่วยลดความเครียด และลดอาการปวด ตึง บริเวณศีรษะและท้ายทอยเนื่องจากความเครียด จากการศึกษาความต้องการของผู้ บริโภคโดยบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ โดฟ ครีมแชมพูและคอนดิชั่นเนอร์ พบว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่อยากปล่อยผมให้ผมทิ้งตัวนุ่มสลวย มีชีวิตชีวา แต่ผู้หญิงมักรู้สึกไม่มั่นใจในสุขภาพผมของตัวเอง เพราะมีเส้นผมที่ไม่แข็งแรง แห้ง ชี้ฟู ไม่เป็นทรง จึงเป็นเหตุผลให้สาวๆ หลายคนที่ไม่มีเวลาเข้าร้านเสริมสวย สระ ไดร์ ให้ผมเข้ารูปเป็นทรงสวย แก้ปัญหาด้วยการรัด มัด หรือคาดผม เพราะไม่มั่นใจในสุขภาพผมของตัวเอง

โดฟแนะวิธีดูแลผมสวย สุขภาพดีจนปล่อยผมได้ทุกเวลาไว้ด้วยว่า ทุก เช้าหลังตื่นนอน ใช้ปลายนิ้วมือสางผมออกอย่างอ่อนโยนป้องกันปัญหาผมพันกัน ก่อนสระผมใช้แปรงไม้แปรงผมอย่างเบามือ เพื่อให้สิ่งสกปรกที่ติดผมอยู่หลุดออก เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพผมที่เหมาะกับเส้นผม หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ ซึ่งอาจทำลายสมดุลของสุขภาพผมได้ หมั่นบำรุงผมด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เข้มข้น เพื่อคืนความชุ่มชื้นที่สูญเสียไปให้แก่เส้นผม หลีกเลี่ยงการใส่ครีมนวดบริเวณโคนผม อย่าเกาหนังศีรษะหรือขยี้ผมแรงๆ ระหว่างสระ ควรใช้ปลายนิ้วมือนวดบำรุงหนังศีรษะอย่างอ่อนโยน เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

ขณะผมเปียกจะอ่อนแอเป็นพิเศษ หลังสระจึงไม่ควรขยี้หรือแปรงผมแรงๆ หากมีเวลาควรปล่อยให้ผมแห้งเอง หลีกเลี่ยงการไดร์ หนีบ หรือม้วนผมด้วยความร้อนสูงๆ

วิธีแปรงผมที่ถูกต้อง ให้แบ่งผมเป็นส่วนๆ ค่อยๆ หวีผมทีละส่วนด้วยหวีไม้ซี่ห่าง หลีกเลี่ยงหวีพลาสติกที่จะทำให้เกิดไฟฟ้าสถิต เริ่มแปรงผมจากด้านในมาด้านนอก แปรงผมอย่างอ่อนโยนจากบนลงล่าง กินอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน วิตามินบี 6 แมกนีเซียม สังกะสี เพื่อบำรุงเส้นผม หมั่นเล็มปลายผมทุก 8-10 สัปดาห์ และสุดท้ายหลีกเลี่ยงการรัดผม มัดผม หรือคาดผมตึงแน่น

ที่มา : นสพ.ข่าวสด




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2553    
Last Update : 5 มิถุนายน 2553 23:20:20 น.
Counter : 387 Pageviews.  

เสียงดัง : อันตรายที่มองไม่เห็น

   โดยทั่วไปประสาทหูจะเริ่มเสื่อมลงตั้งแต่อายุ 20 ปี จนสร้างปัญหาเรื่องการได้ยินเมื่ออายุประมาณ 55-65 ปี เมื่อหูเสื่อมแล้วไม่มีทางกลับมาได้ยินชัดเจนเหมือนเดิม ต้องอาศัยเครื่องช่วยฟังไปตลอดชีวิต ที่สำคัญเสียงจากเครื่องช่วยฟังไม่ เสนาะหูเหมือนเสียงตามธรรมชาติ และอาจทำให้ผู้ที่ใช้ในระยะแรกๆ เป็นโรคซึมเศร้าด้วย

หูเสื่อม : โรคฮิตมาแรง (แซงทางโค้ง)  

   ประสาทหูเสื่อมหรือที่เรียกง่ายๆ ว่า "หูเสื่อม" เป็นภาวะที่ได้ยินเสียงลดลง หรือไม่ได้ยินเลย เกิดจากการรับเสียงดังเกินไปและนานเกินไป แต่ปัญหาหูเสื่อมไม่จำเป็นต้องมาจากเสียงรบกวนเสมอไป อาจเกิดขึ้นจากเสียงที่พึงปรารถนาด้วยพฤติกรรมต่างๆ เช่น ติดนิสัยฟัง MP3 ตลอดเวลาโดยเปิดในระดับดังมากๆ การเที่ยวกลางคืนบ่อยๆ ทำให้เซลล์รับเสียงคลื่นในความถี่ 2,000-6,000 เฮิร์ตท์ (Hz) ถูกกระทบกระเทือนจนทำงานไม่ได้ ผู้ป่วยจึงไม่ได้ยินเสียงพูดคุยระดับปกติและ ต้องฟังเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ

   โรคหูเสื่อมแบ่งเป็น



  • โรคหูหนวก หรือหู บอดสนิท 

    สาเหตุ : แก้วหูทะลุและหูอักเสบที่รุนแรง หูหนวกแต่กำเนิด พิษจากยา (สเตรปโตไมซิน, คาน่าไมซิน, เจนตาไมซิน) โรคคางทูม ไข้หวัดใหญ่บางสายพันธุ์ รูปแบบการดำเนินชีวิต  เช่น  การดำน้ำ 

    อาการ - ไม่สามารถได้ยินเสียงใดๆ เลย ต้องอาศัยเครื่องช่วยฟัง หรือผ่าตัด

            - เป็นใบ้ ถ้าหากเกิดขึ้นก่อนสองขวบ ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กกำลังพัฒนาการพูด

  • โรคหูตึง แบ่ง เป็น - หูตึงแบบไม่มีเสียงในหู

    - หูตึงแบบมีเสียงในหู (หูอึง) คือ มีเสียงหวีดก้องในหู โดยหาที่มาของเสียงไม่ได้ มักมีเสียงดังอยู่ตลอด เวลา และมีเสียงดังมากขึ้น เมื่อต้องอยู่ในสถานที่เงียบสงัด เช่น ในห้องนอน

    สาเหตุ : กรรมพันธุ์  เยื่อหูชั้นในฉีกขาด และเซลล์รับเสียงถูกกระทบกระเทือน ไขมันในเลือดสูง การ สูบบุหรี่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง

    อาการ - ความ สามารถในการได้ยินลดลงเรื่อยๆ จนต้องฟังเสียงดังมากขึ้น

             - อาจมีอาการร่วม เช่น เวียนหัว มึนงง รู้สึกบ้านหมุน 



   เสียงดังทำให้หูเสื่อมได้ทั้งหูหนวก และหูตึง ใน 2 ลักษณะ คือ  หูเสื่อมแบบเฉียบพลัน หลังจากฟังเสียง ดังมากๆ แค่ไม่กี่นาที เนื่องจากเยื่อหูชั้นในฉีกขาด เสียน้ำในหูและเซลล์รับเสียงไม่สามารถทำงาน ซึ่งหากแผลไม่ใหญ่เกินไป เนื้อเยื่อกลับมาประสานกันหรือน้ำในหูคืนสู่สภาพเดิม ความสามารถในการได้ยินอาจกลับคืนมาเป็นปกติภายใน 2 สัปดาห์ แต่ถ้าเนื้อเยื่อฉีกขาดมากจนไม่สามารถประสานกันได้จะทำให้หูหนวกถาวร 

    หูเสื่อมแบบค่อยเป็นค่อยไป  เกิด จากฟังเสียงดังเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ แม้จะไม่ต่อเนื่องครั้งละหลายชั่วโมงก็ตาม 

   สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าหูเริ่มเสื่อมได้แก่ ปวดหูเวลาได้ยินเสียงดัง ทั้งๆ ที่เสียงนั้นอาจไม่ดังมากเกินไป ปวดหูมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับความดังของเสียง ทนฟังเสียงรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์วิ่งผ่านไม่ได้ เพราะเกิดอาการปวดหู บาดหู บางครั้งอาจรู้สึกปวดร้าวไปถึงสมอง หรือไม่สามารถแยกแยะคำพูดของคู่สนทนาได้ เป็นต้น


MP3 Player : ความสุขราคาแพงของหู

   เมื่อฟังเพลงจากเครื่องเล่น MP3 คุณอาจรู้สึกว่าเสียงไม่ดังเท่าไหร่ แต่ถ้าวัดอย่างจริงจังจะพบว่าบางคนฟัง เพลงดังมากกว่า 100 เดซิเบลเอ ทำให้หูเสื่อมเช่นเดียวกับการได้ยินเสียงดังรูปแบบอื่นๆ วิธีสังเกตว่าเครื่องเล่นเพลง MP3 ดังเกินไปหรือไม่ดูได้จาก



  • คุณเซ็ตความดังเสียง เครื่องเล่นไว้เกินกว่า 60% ของระดับเสียงสูงสุดหรือไม่

  • เมื่อฟังเพลงจากเครื่องเล่น MP3 ยังสามารถได้ยินเสียงจากสิ่งรอบตัวหรือไม่

  • คนอื่นๆ ได้ยินเสียงจากเครื่องเล่น MP3 ของคุณหรือไม่

  • เมื่อฟัง เครื่องเล่น MP3 คุณต้องตะโกนคุยกับคนอื่นหรือไม่

  • หลังจากฟังเครื่องเล่น MP3 คุณมีอาการหูอื้อหรือไม่



   หากมีพฤติกรรมต่างๆ ข้างต้นแสดงว่าคุณฟังเพลงเสียงดังเกินไป ควรปรับระดับเสียงให้ต่ำลงและลดระยะเวลาฟัง MP3 ลง 

ปัญหาที่มากับเสียงดัง



  • การได้ยิน คือสูญเสียการได้ยิน หูอื้อ หูหนวก หรือหูอึง 

  • ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว มือเท้าเย็น ระบบไหลเวียนโลหิตบกพร่อง จนอาจนำไปสู่โรคหัวใจ และปอดแตกฉับพลัน 

  • สุขภาพจิต รบกวนการทำงาน การพักผ่อน ทำให้เกิดความเครียด หรือการตื่นตระหนก และอาจพัฒนาไปสู่อาการซึมเศร้า และโรคจิตประสาท

  • สมาธิ ความคิด และการเรียนรู้ ทำให้ขาดสมาธิ ประสิทธิภาพการคิดค้น การวิเคราะห์ข้อมูล การเรียนรู้และการรับฟังข้อมูลลดลง

  • ลดประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงาน รบกวนระบบและความต่อเนื่องของการทำงาน ทำให้ทำงานล่าช้า คุณภาพและปริมาณงานลดลง

  • การ ติดต่อสื่อสาร ขัดขวางการได้ยิน ทำให้การสื่อสารบกพร่อง ต้องตะโกนคุยกัน ได้ยินเพี้ยน ในเด็กเล็กทำให้พัฒนาการด้านการฟัง การพูด และการออกเสียงเพี้ยนไป 

  • กระตุ้นพฤติ กรรมก้าวร้าว เสียงดังจะเร้าอารมณ์ให้สร้างความรุนแรง และอาจถึงขั้น "สูญเสียการควบคุมตนเอง" จนทำร้ายผู้อื่นได้ แม้ได้ยินเสียงดังเพียงเล็กน้อย



ป้องกันมลพิษทางเสียง : เรื่องนี้คุณช่วยได้



  • รู้จักความพอดีและมีกาลเทศะ เช่น ไม่พูดโทรศัพท์หรือส่งเสียงดังรบกวนความสงบของผู้อื่นทั้งในบ้านและที่ สาธารณะ

  • หลีกเลี่ยงสถานที่ ที่มีเสียงดัง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรออกจากสถานที่แห่งนั้นให้เร็วที่สุด

  • ใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียงดัง ทุกครั้งที่ต้องอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดัง 

  • ไม่ฟังเพลงหรือเปิดโทรทัศน์ดังเกินไป

  • ใช้หูฟังแบบครอบหูแทนหูฟังแบบเสียบในหู

  • ตรวจความสามารถการได้ยินเป็นประจำทุกปี

  • สังเกตเสียงต่างๆ รอบตัว หากไม่สามารถพูดคุยด้วยระดับเสียงปกติในระยะห่าง 1 ช่วงแขนแสดงว่าเสียงที่นั้นดังเกินไป

  • ช่วยกันดูแลสถานที่ทำงานและสถานที่สาธารณะ ให้ควบคุมเสียงไม่ให้ดังเกินไป

  • ร้องเรียนเหตุเสียงดัง โทร.1555 (กรุงเทพมหานคร) หรือกรมควบคุมมลพิษ โทร. 1650





 

Create Date : 05 มิถุนายน 2553    
Last Update : 5 มิถุนายน 2553 23:13:01 น.
Counter : 515 Pageviews.  

ทำความรู้จักกับโรคหลอดเลือดในสมอง "ตีบ แตก ตัน"




โรคหลอดเลือดในสมอง ตีบ แตก ตัน นับเป็นโรคที่ก่อให้เกิดอัตราการเสียชีวิตของคนไทย มากเป็นอันดับ 3 รองจากโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ

นพ.ชาญพงศ์ ตังคณะกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท และสมอง ศูนย์สมองและระบบประสาทกรุงเทพ กล่าวถึงสาเหตุของโรคว่า โรคหลอดเลือดในสมอง ตีบ แตก ตัน นั้น เกิดจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่น ภาวะเผชิญกับความเครียด และพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ทั้งนี้ มักพบร่วมอาการกับโรคอื่นๆ ด้วย อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือมีประวัติเคยเป็นมาก่อน ในอดีตเชื่อว่าเป็นโรคของผู้สูงอายุ ทว่าในปัจจุบันกลับพบผู้ป่วยที่อยู่ในวัยกลางคนมากขึ้นตามลำดับ

กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง เรียกว่า Big 3 คือ

1.ผู้ที่มีความดันสูง
2.ผู้ที่สูบบุหรี่
3.คนไข้ที่เป็นโรคเบาหวาน

ภัยเงียบ...ที่ไม่ควรละเลย

อาการมักเกิดขึ้นเฉียบพลัน ผู้ป่วยจึงควรสังเกตอาการตนเองอย่างใกล้ชิด
ส่วนหนึ่งที่ทำให้โรคนี้น่ากลัว คือ อาการนำซึ่งผู้ป่วยไม่สามารถล่วงรู้ได้ก่อนว่าจะเกิดขึ้นเวลาใด อันเป็นภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม โรคหลอดเลือดในสมอง ตีบ แตก ตัน จะเกิดจากไขมันหรือลิ่มเลือดอุดตัน คั่งในเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงสมอง ทำให้เส้นเลือด ตีบ ตัน และแตกในที่สุด ส่งผลให้เซลล์สมองถูกทำลายเนื่องจากขาดออกซิเจน ซึ่งอาจถึงแก่ชีวิต หรือทุพพลภาพได้

สัญญาณเตือนภัย

5 หลักสากล ที่ผู้ป่วยควรใช้สังเกตอาการเบื้องต้นก่อนภัยร้ายมาเยือน คือ
Walk เดินไม่ตรง มีอาการเซ
Talk ออกเสียงไม่ชัด พูดไม่ออก
Reach เอื้อมหยิบสิ่งของไม่ได้ ไม่มีแรง ชาบริเวณ มือ แขน ขา
See มองภาพไม่ชัด ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน
Feel มีอาการปวดศีรษะ หรือ เวียนศีรษะอย่างรุนแรง

การรักษา

ระยะที่ 1 มีอาการเส้นเลือดตีบ และตัน จนผู้ป่วยมีอาการนำ เช่น ชาตามร่างกาย หมดสติ ซึ่งภายใน 2-3 ชั่วโมงแรก ญาติควรพาคนไข้มาพบแพทย์ให้เร็วที่สุด ในกรณีนี้หากไม่เกิน 3 ชั่วโมง แพทย์จะให้ยาละลายลิ่มเลือดในสมอง ซึ่งผลการรักษาจะดีกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยา

ระยะที่ 2 เส้นเลือดในสมองแตก พบเลือดออกในสมอง ต้องรักษา ต้องผ่าตัดช่วยเหลือ ซึ่งปัจจุบันมีนวัตกรรมการผ่าตัดที่เรียกว่า Key Hole Surgery หรือการเจาะรูเล็กๆ คล้ายรูกุญแจที่ศีรษะ เพื่อดูดเลือดออกจากสมอง นวัตกรรมนี้มีข้อดีอย่างมาก เพราะมีแผลผ่าตัดที่เล็กมาก และใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นไม่นาน ทว่าคนไข้กลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะทุพพลภาพ หรืออาจฟื้นตัวได้ช้ากว่ากลุ่มแรก

ข้อแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย คือ หากมีอาการนำควรไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดภายใน 3 ชั่วโมง โดยเลือกศูนย์พยาบาลที่มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมีความชำนาญและคอยดูแลรักษา อย่างใกล้ชิด ตลอดจนการทำเวชศาสตร์ฟื้นฟู
โรคหลอดเลือดในสมอง ตีบ แตก ตัน ป้องกันและรักษาได้หากเข้าใจ และสังเกตตนเองอย่างสม่ำเสมอ

ที่มา : นสพ.คมชัดลึก




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2553    
Last Update : 5 มิถุนายน 2553 23:04:33 น.
Counter : 835 Pageviews.  

กิน "มังสวิรัติ" ลดโอกาสเป็นมะเร็งได้เกือบครึ่ง


การรับประทานอาหารมังสวิรัติ หรือประเภทผักผลไม้ ลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลงได้

ศ.ทิม คีย์ จากสถาบันวิจัยมะเร็ง มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ทำการศึกษาชายหญิงจำนวน 61,000 คน อายุระหว่าง 20-89 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ พบว่า บุคคลเหล่านี้มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ลดลง 12% ขณะที่ลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองประเภทNHL ถึง 45%

ศ.คีย์ กล่าวว่า "มนุษย์ 1 ใน 3 คนจะป่วยเป็นโรคมะเร็ง หมายความว่าใน 100 คน จะเป็นมะเร็งเสีย 33 คน ถ้ากินอาหารมังสวิรัติความเสี่ยงที่ลดลง 12% จะทำให้เหลือจำนวนผู้ป่วยเพียง 29 คน"

ที่มา : นสพ.ข่าวสด




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2553    
Last Update : 5 มิถุนายน 2553 22:53:23 น.
Counter : 485 Pageviews.  

สุขภาพดีด้วย "น้ำชา"

"ยูโรเปียน เจอร์นอล ออฟ คลินิคอล นูทรีเชียน"ทำผลสำรวจพบดื่มชาก่อผลดีต่อสุขภาพ อาจดีมากว่าน้ำเปล่า ช่วยป้องกันหลายโรค ทั้งหัวใจ มะเร็ง

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานโดยอ้างผลสำรวจ ของยูโรเปียน เจอร์นอล ออฟ คลินิคอล นูทรีเชียน ในอังกฤษ พบว่า การดื่มชาวันละ 3 แก้ว หรือมากกว่า เป็นผลดีต่อสุขภาพ เท่ากับการดื่มน้ำจำนวนมาก และอาจจะส่งผลพิเศษต่อสุขภาพมากกว่าน้ำด้วย

นอกจากนี้ ยังพบว่า การดื่มชาไม่ได้ทำให้ร่างกายขับน้ำออกจากร่างกายเหมือนที่เชื่อกันแต่แรก ขณะเดียวกัน การดื่มชายังช่วยป้องกันโรคหัวใจ, โรคมะเร็งบางชนิด และป้องกันเซลล์ในร่างกายเสียหายด้วย ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า สารฟลาวานอยด์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในใบชา คือตัวการสำคัญที่ส่งผลดีต่อสุขภาพดังกล่าว

ที่มา : นสพ. มติชน




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2553    
Last Update : 3 มิถุนายน 2553 22:39:32 น.
Counter : 557 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  

quosego
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add quosego's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.