• ข่าวเด่น-ประเด็นร้อน
• เนื้อเพลง
• สุขภาพ
• แม่และเด็ก
• Computer & Technology
• สังคม
• Variety
• บันเทิง
• ความงาม
• สาระน่ารู้
• บ้านและสวน

กิน "ยา" กับ "น้ำอุ่น" อันตราย ... หลายๆคนป่วยจากการกินยาเม็ดแคปซูลกับน้ำอุ่นโดยที่ไม่รู้ ว่ายาจะถึงกระเพาะ ก่อนละลายน้ำหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าคิดว่าคุณควรจะกินยาแบบไหนดี คำแนะนำจากแพทย์ - ยาเม็ดสามารถละลายด้วยน้ำเย็น หลังจากกลืน คุณควรดื่มน้ำตามมาก ๆ - ควรทานยาก่อนนอน 30 นาที ไม่ควรทานยาแล้วนอนเลย ตัวอย่าง ผู้ชายคน หนึ่งทานยาแอนตี้ไบโอติคส์และดื่มน้ำน้อยเกินไป ยาจึงลงไปไม่ถึงกระเพาะ ยา ค้างอยู่ที่หลอดอาหารและเป็นเหตุให้หลอดอาหารอักเสบ หกวันผ่านไปเค้ากิน ได้แค่นมเย็นกับอาหารเหลว และนอนโรงพยายาลอีก 5 วัน แพทย์เตือนว่าอาการ อาจจะแย่ลงและอาจมีผลข้างเคียง เพราะฉะนั้นต้องระวัง เมื่อกินยา เม็ดหรือแคปซูลอย่าดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน น้ำผลไม้ หรือน้ำหวานทุกชนิด ตามยาลงไป ทางที่ดีควรดื่มน้ำเย็นเท่านั้น ถ้าคุณรู้สึกกระหายในลำคอ หลังจากทานยา ให้ดื่มน้ำตามมาก ๆ หรือนมเย็น ควรยืนหรือนั่งตัวตรงๆ เมื่อทานยาอย่านอนททันที ที่มา : สาระแน.คอม   Create Date : 25 เมษายน 2553     Last Update : 25 เมษายน 2553 18:47:19 น. Counter : 610 Pageviews.   0 comment Share Tweet

เลือก "แว่นกันแดด" อย่างไร? ให้เก๋ไก๋รับใบหน้า ปัจจุบันอุณหภูมิกำลังเพิ่ม ดีกรีความสูงขึ้นเรื่อยๆ แถมแสงแดดเปรี้ยงๆ สาดมาทักทายคุณตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากบ้าน ผิวสวยได้รับการปกป้องจากครีมกันแดดพอแล้วก็จริง แล้วดวงตาคู่สวยล่ะมีการป้องกันภัยร้ายจากแสงแดดสู่สายตาดีแค่ไหน ถ้ายังคุณคงต้องหาแว่นกันแดดเหมาะๆ สักอันสองอันติดกระเป๋าไว้ได้แล้ว...แต่ก่อนอื่นไปทำความรู้จักกับวิธีการ เลือก "แว่นกันแดด" ให้เข้ากับรูปหน้ากันก่อนค่ะ... คำนึงถึงวัสดุและราคา สินค้าดีมีคุณภาพย่อมมีราคาสูงตามไปด้วย เพราะหมายถึงความทนทานและการปกป้องที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งคุณภาพของวัสดุที่คุณต้องคำนึงถึง คือ เลนส์ กรอบ และขาแว่น เลนส์ที่ดีต้องใส่แล้วไม่ปวดลูกตา ไม่ว่าจะทำจากกระจก หรือพลาสติกแบบใดก็ตาม ยามเลือกซื้ออย่ารีบลองเกินไปนัก คุณต้องสวมแว่นกันแดดอันนั้นไว้ให้นาน 2-3 นาที คุณก็จะทราบผลลัพธ์แล้วว่ามันดีกับดวงตาคุณหรือไม่ นอกจากคำนึงถึง ภาพความคมชัดผ่านเลนส์ที่เหมาะกับดวงตาแล้ว คุณยังต้องเลือกสีเลนส์ให้ตรงกับจุดประสงค์ที่ใช้งานด้วย ว่าคุณต้องการเพิ่มความสว่างหรือลดแสงแดดให้นุ่มนวลลง แว่นกันแดดไม่จำเป็นต้องมีเลนส์สีดำสนิทเสมอไป และเลนส์สีที่เหมาะกับทุกสีผิว คือเลนส์สีน้ำตาลเข้ม สำหรับกรอบ แว่นในตลาดมีวัสดุหลายประเภทให้เลือก ทางที่ดีควรให้ความสำคัญกับน้ำหนักที่เบาสบาย ขณะเดียวกันก็ยังคงไว้ซึ่งความทนทาน และกรอบแว่นสีเข้มเหมาะกับผิวคนส่วนใหญ่ ถ้าคุณมั่นใจว่าผิวขาวสว่าง คุณก็เหมาะกับแว่นเกือบทุกสี แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวเข้ม คุณควรเลือกกรอบแว่นสีเข้มกว่าสีผิวคุณเล็กน้อย รูปหน้ากับดีไซน์ อย่าเลือกแว่นแบบเดียวกันกับใคร เพราะใบหน้าแต่ละคนมีลักษณะต่างกัน เขาใส่แล้วสวย-หล่อ แต่เมื่อมาอยู่บนสันจมูกคุณมันอาจจะแย่ก็ได้ สิ่งแรกที่คุณต้องรู้คือ ลักษณะของใบหน้าคุณ ทั้งรูปหน้า สันจมูก ความแคบกว้าง ต่อมาคือสีผิว และสีผม และอย่าลืมว่าจุดประสงค์ของคุณ ตัวอย่างเช่น... ใบหน้ากลม เพื่อลดความกลมแป้นของใบหน้า ควรเลือกกรอบแว่นที่เป็นแนวตรงหรือมีเชิงมุมดี กรอบสีเข้ม เช่น สีดำ หรือสีกระ จะช่วยลดความเต็มอิ่มของรูปหน้าได้ ที่สำคัญอย่าเลือกกรอบหนามาก ใบหน้าสามเหลี่ยม กรอบควรเล็กบางและมีรูปทรงในแนวตั้ง นอกจากนั้น กรอบไม่ควรอยู่สูงเกินไป เพราะจะเน้นคางแคบ และหน้าผากกว้างของคุณยิ่งขึ้น ควรเลี่ยงกรอบใหญ่ ทรงสี่เหลี่ยม แกนหนา และสีสด ใบหน้าเหลี่ยม แว่นที่มีกรอบมนเล็กน้อย จะช่วยขับใบหน้าสี่เหลี่ยมกรามกว้างให้ดูดียิ่งขึ้น ควรให้ส่วนบนสุดของขอบแว่น อยู่สูงพอที่จะลดความชัดของแนวขากรรไกร ใบหน้าแคบยาว เลือกกรอบแว่นที่สามารถปิดช่องกลางของใบหน้ามากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดความยาวของใบหน้า ใบหน้ารูปไข่ เป็นความโชคดีทีสุดของคุณที่สามารถใส่แว่นได้แทบทุกทรง แต่ถ้าคุณมีจมูกโตควรเลือกกรอบโต จมูกยาวควรเลือกกรอบที่มีก้าน 2 เส้นบนจมูก และมีขาแว่นสูง หรือสะดุดตาหน่อย จมูกเล็กควรเลือกกรอบที่มีก้านระหว่างจมูกสูงและสีอ่อน เมื่อทราบอย่างนี้แล้วไม่ว่าคุณจะไปเลือกแว่นกันแบบไหนแบรนด์อะไร ซัมเมอร์นี้ก็จะได้ของดีและเหมาะกับคุณอย่างแท้จริง...สวยหล่อพอประมาณ แต่เปรี้ยวเก๋เหมาะกับตัวเองต้องที่สุด เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ กับแว่นกันแดด อย่าเช็ดเลนส์ด้วยกระดาษชำระราคาถูก ใช้ผ้าเนื้อดีไร้ขนเท่านั้น แม้แบรนด์แว่นจะมีประกันให้คุณ ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะบิด หรือดัดทรงมันจนเสียศูนย์อย่างไรก็ได้   Create Date : 25 เมษายน 2553     Last Update : 25 เมษายน 2553 18:36:10 น. Counter : 636 Pageviews.   0 comment Share Tweet

เลือกซื้อ 'โยเกิร์ต' แบบไหนดี? เอ่ยถึง “โยเกิร์ต” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากนมชนิดหนึ่ง คงเป็นที่คุ้นเคยกันดี สำหรับคนยุคนี้ที่ได้ยินได้ฟังโฆษณาโหมกระหน่ำถึง คุณประโยชน์ของอาหารจากผลิตภัณฑ์นมชนิดนี้ว่ามันดีต่อสุขภาพจริงๆนะ โดยเฉพาะสาวๆ ที่ไม่อยากอ้วน ควรตระหนักว่าโยเกิร์ตที่มีจำหน่ายกันอยู่มากมายในท้องตลาดนั้น เป็นแค่ทางเลือกในการบริโภค ไม่ใช่อาหารหลัก และถ้าจะให้ดีต้องรู้จักวิธีเลือกซื้อด้วย นิตยสาร “ฉลาดซื้อ” เดือนมีนาคม 2551 ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนะนำเคล็ดลับเลือกซื้อโยเกิร์ตให้ได้คุณค่า ไว้ว่า - ควรเลือกซื้อโยเกิร์ตที่มีวันผลิตใกล้เคียงกับวันที่ซื้อมากที่สุด หรือให้วันหมดอายุเหลือเวลานานหลายวัน - เลือกซื้อรสธรรมชาติดีกว่าชนิดที่มีการปรุงแต่ง จะได้รับคุณค่าทางโภชนาการมากกว่า - ถ้าอยากได้คุณค่าโปรตีนหรือแคลเซียม ควรเลือกดื่มนมสด (รสจืด) ดีกว่า เพราะราคาถูกและคุณค่าทางโภชนาการดีกว่า - แม้จะเป็นโยเกิร์ตรสธรรมชาติ แต่ทุกยี่ห้อมีน้ำตาล การอ้างว่าไขมันต่ำหรือไม่มีไขมันไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้พลังงานแก่ร่าง กาย โยเกิร์ต 1 ถ้วยที่นำมาทดสอบให้พลังงานระหว่าง 80-150 กิโลแคลอรี ถ้าอยากลดน้ำหนัก ให้กินอาหารหลักในปริมาณพอดีและงดโยเกิร์ตจะดีกว่า - คนที่สุขภาพแข็งแรง และกินอาหารที่ดีมีประโยชน์อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องกินโยเกิร์ตก็ได้ สุดท้าย นมเปรี้ยวชนิดพร้อมดื่ม (UHT) ได้รับความนิยมมากที่สุดเพราะรสชาติอร่อย แต่ไม่แนะนำให้ซื้อ โดยเฉพาะกับเด็กวัยเติบโต เพราะนำนมพร่องมันเนยหรือหาง น้ำนมมาหมักด้วยจุลินทรีย์แล้วแต่งด้วยสี กลิ่น หรือน้ำผลไม้ เพื่อปรุงแต่งรสชาติ ปริมาณโปรตีนจะลดลงเพราะถูกเจือจางด้วยน้ำ และได้รับน้ำตาลทรายเพิ่มขึ้น เพื่อให้รสหวานถูกลิ้นคนไทย รู้ข้อมูลแล้วลองพิจารณากันดูว่าโยเกิร์ต แบบไหนเหมาะกับคุณ ข้อมูลโดย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ   Create Date : 25 เมษายน 2553     Last Update : 25 เมษายน 2553 14:19:53 น. Counter : 494 Pageviews.   0 comment Share Tweet

Let’s Exercise มาออกกำลังกายกันเถอะ .. การออกกำลังกายสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์นั้นเป็นสิ่งที่ดีมาก เกิดประโยชน์ทั้งกับคุณแม่และคุณลูกเลยล่ะค่ะ ยิ่งคุณแม่ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายในช่วงที่ไม่ได้ตั้งท้อง ควรถือโอกาสนี้ในการเริ่มต้นซะเลย แล้วก็คงไม่มีการออกกำลังกายอะไรที่จะเหมาะกับคนท้องไปมากกว่าการเดินอีก แล้ว แต่การออกกำลังกายแบบอื่นก็สามารถทำได้เหมือนกันนะคะ แต่ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการกันนิดหน่อย แต่เหนือสิ่งอื่นใดคุณแม่ต้องได้รับการอนุญาตจากคุณหมอด้วยนะคะ เพราะร่างกายของผู้หญิงแต่ละคนมีสภาวะต่างกัน ออกกำลังกายจะแรงหรือเบา จะออกกำลังได้หรือไม่ได้ อันนี้ต้องให้คุณหมอฟันธงสถานเดียวค่ะ ช่วง 3 เดือนแรก ร่างกายอาจอ่อนเพลียได้ง่ายเพราะต้องปรับ ตัว จากที่เคยเดินคนเดียวสบายๆ ตอนนี้มีอีกหนึ่งชีวิตมาอยู่ในท้อง ฉะนั้นต้องเน้นไปที่การพักผ่อน การออกกำลังกายก็เลยต้องเบาๆ เข้าไว้ แค่ออกเดินสักสัปดาห์ละ 2 ครั้งก็พอแล้ว ส่วนสิ่งที่ต้องห้ามในช่วงนี้ก็คือการเซาว์น่า เพราะการอยู่ในที่ร้อนชื้นมีผลกระทบกับพัฒนาการของลูกน้อยค่ะ ช่วง 4 -6 เดือน คุณแม่สามารถเปลี่ยนโปรแกรมการออกกำลัง กายได้แล้ว อาจเพิ่มความเร็ว หรือเพิ่มเวลาในการเดินให้มากขึ้นค่ะ ช่วง 3 เดือนสุดท้าย ำหนักตัวคุณแม่จะสูงขึ้นมาก อาการเหนื่อยล้าก็มากตามไปด้วย ฉะนั้นการออกกำลังกายก็ได้เวลาเปลี่ยนรูปแบบให้เบาที่สุด อย่างเช่นการเดินช้าๆ หรือยืดตัวเบาๆ แค่นี้ก็เวิร์คแล้วค่ะ เรามาต่อกันที่ข้อควรปฏิบัติสำหรับคุณแม่จอมเอ็กเซอร์ไซส์ 1. งดใส่รองเท้าส้นสูงอย่างเด็ดขาด เก็บใส่ตู้ ล็อกกุญแจได้ยิ่งดี เพราะรองเท้าส้นสูงจะทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดบริเวณเท้าไม่ดี จุดศูนย์ถ่วงร่างกายจะไม่สมดุล พร้อมกับอาการปวดขา ปวดหลังก็จะตามมาด้วย 2. ควรสวมชุดชั้นในผ้าฝ้าย เพราะจะช่วยรองรับสรีระได้ดีขณะออกกำลังกาย 3. ก่อนออกกำลังกายควรรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ มี Glycemic ต่ำก่อนการออกกำลังกาย 1 หรือ 2 ชั่วโมง (Glycemic หมายถึงอาหารที่จะเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลในระดับต่ำ) อย่างเช่น กล้วยหรือแอปเปิล 4. เมื่อคุณแม่เกิดอาการหน้ามืด หรือเวียนศีรษะ ควรหยุดออกกำลังกายและนั่งพักทันที เมื่อหายดีแล้วควรหาของว่างที่เป็นคาร์โบไฮเดรตมารับประทาน และเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน ในครั้งต่อไปควรออกกำลังกายให้เบาลง 5. อย่าลืมอบอุ่นร่างกายและคลายกล้ามเนื้ออย่างช้าๆ และยืดตัวเบาๆ ทุกครั้งที่จะเริ่มออกกำลังกาย 6. คุณแม่ควรหยุดออกกำลังกายทันทีเมื่อมีอาการต่อนี้ ปวดข้อ, ปวดศีรษะ, ปวดท้อง, ปวดหลัง, ตราพร่า, รู้สึกเหมือนจะเป็นลม, หายใจไม่ออก, มีของเหลวไหลออกจากช่องคลอดอย่างเฉียบพลัน, ลูกน้อยในครรภ์เคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ 7. ควรติดต่อคุณหมอทันทีเมื่อรู้สึกวิตกกังวล หรือไม่แน่ใจในข้อปฏิบัติต่างๆ ในการออกกำลังกาย ได้ทิปดีๆ ไปมากมาย อย่าลืมไปออกกำลังกายกันนะคะ ข้อมูลจาก Huggies   Create Date : 24 เมษายน 2553     Last Update : 24 เมษายน 2553 15:47:08 น. Counter : 445 Pageviews.   0 comment Share Tweet

ปั่นจักรยานผลาญแคลอรี อยากฟิตแอนด์เฟิร์มในยุคน้ำมันแพงอย่างนี้ต้องจ้อกกิ้ง หรือวิ่งทน เท่านั้นนะจ๊ะ เพราะไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรเลย เรียกว่า ประหยัดกันสุดๆ ... แต่ถ้ารู้สึกเบื่อ อาจลองมาปั่นจักรยานกันดูบ้างก็ได้นะ  ก็เพราะจักรยานถือว่าเป็นพาหนะที่เหมาะมั่กๆ ในยุคนี้ เพราะมีคุณสมบัติ 3 ส. คือ สะดวก สิ้นเปลืองน้อย และ สุขภาพดี (คุ้ม คุ้ม) แต่ทุกวันนี้ในเมืองไทย ยังไม่ค่อย เห็นใครเอาปั่นจักรยานเพื่อออกกำลังกาย หรือแม้แต่การใช้เป็นพาหนะเดินทางระยะใกล้ๆ กันเลย การปั่นจักรยานน่ะมีประโยชน์มั่กๆ เพราะทำให้กล้ามเนื้อขา โดยเฉพาะกล้ามเนื้อต้นขาหน้าและหลังมีความแข็งแรง เป็นการยืดเส้นยืดสาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณเอว สะโพก ทำให้ป้องกันปัญหาปวดกล้ามเนื้อขาได้ นอกจากนี้ ยังช่วยในการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ทำให้ลดอัตราการสะสมของไขมันที่ผนังหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี และหากเราออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้หัวใจแข็งแรง กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้ดีขึ้น แหมก็แน่ล่ะ เพราะการปั่นจักรยานเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ช่วยอย่างมากต่อการไหล เวียนของเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ซึ่งนั่นก็เท่ากับช่วยให้หัวใจของเราแข็งแรงไปด้วย ที่สำคัญคือตะกรันไขมันที่จับอยู่ตามเส้นเลือดของเราก็พลอยจะถูกกำจัดออกไป ด้วย จึงสามารถป้องกันภาวะเส้นเลือดตีบตันได้อีกทางหนึ่ง ส่วนอวัยวะอื่นๆ ก็ไม่ต้องพูดถึง ย่อมส่งผลดีไปด้วยโดยเฉพาะปอดน่ะแข็งแรงชัวร์ๆ ปั่นจักรยานไป มองดูทิวศ์ทัศน์รอบๆ ตัว ไปท่ามกลางอากาศที่บริสุทธิ์ นอกจากจะทำให้เราผ่อนคลายแล้ว ยังช่วยให้ระบบหายใจแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนเพื่อนำไปสร้างเม็ดเลือดขาวใน กระแสเลือดได้ดีขึ้น และส่งผลให้เราอารมณ์ดีจากการเพิ่มของระดับฮอร์โมนแอนเดอร์ฟินอีกด้วย พูดถึงตรงนี้ หลายๆ คนคงอยากออกไปปั่นจักรยานกันบ้างแล้วใช่ไม๊ แต่เดี๋ยวก่อน คนที่เริ่มปั่นจักรยานใหม่ๆ อย่าลืมเลือกจักรยานที่เหมาะกับสรีระของตัวเอง เลือกที่นั่งที่ไม่นิ่มหรือแข็งจนเกินไป หากเลือกไม่ดีอาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดกล้ามเนื้อขาได้ง่ายๆ แค่ นี้ก็จะได้ออกกำลังกายแบบอารมณ์ดีแล้วล่ะ... เอ้าฟิต แอนด์ เฟิร์ม ++ ที่มา นสพ.มติชน   Create Date : 24 เมษายน 2553     Last Update : 24 เมษายน 2553 15:41:00 น. Counter : 441 Pageviews.   0 comment Share Tweet

• DeWalt
• Webmaster - BlogGang