Group Blog
 
All Blogs
 

วิธีรับมือกับอาการอาหารเป็นพิษ


          หลายท่านคงเคยป่วยกับอาการของ  "อาหารเป็นพิษ"  เล่นเอานอนซมไปเป็นวันเลย ก็มี โดยเฉพาะช่วงที่อากาศร้อนมากๆ ด้วยแล้ว ส่วนเรื่องอาหารการกินก็ยิ่งต้องระวังให้มากด้วยเช่นกัน ก่อนที่จะมาเตรียมตัวรับมือกับเจ้าโรคนี้ มารู้จักกันก่อนว่าอย่างไหนถึงจะเรียกได้ว่า อาหารเป็นพิษ

          "อาหารเป็นพิษ" คืออาการท้องเดินเนื่องจากการกินอาหารที่มีสารพิษปน เปื้อนเข้าไป อาจเป็นสารพิษที่มาจาก เชื้อโรค สารเคมี หรือพืชพิษ รวมถึงอาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ จาก เนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อ อาหารกระป๋อง อาหารทะเล หรืออาหารค้างคืนที่ไม่ได้อุ่น ก็ทำให้เป็นโรคนี้ได้เช่นกันค่ะ 

          อาการที่สังเกตเห็นอย่างเด่นชัดก็คือ จะมีอาการท้องร่วง คลื่นไส้ และอาการปวดท้องอันเนื่องมาจากเชื้อโรค ทำให้เกิดการอักเสบของลำไส้ อาจมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวตามมาด้วย แต่ถ้าคุณมีอาการท้องเสียมากๆ ร่างกายจะเกิดอาการขาดน้ำและเกลือแร่ บางคนอาจมีอาการรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากมีการติดเชื้อและเกิดการอักเสบที่ อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย และเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตก็ทำให้เกิดโลหิตเป็นพิษได้ แต่ถ้าพิษนั้นเกิดจากสารเคมีหรือพืชพิษบางชนิด จะมีผลต่อระบบประสาท เช่น ชัก หมดสติ และร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย

          เมื่อเป็นแล้วควรทำอย่างไร?

          รักษาแบบอาการท้องเดินทั่วๆ ไป เช่น ถ้าคุณท้องเสียมากเกินไป ควรดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำของร่างกาย  ถ้ามีอาการทางระบบประสาท (เช่น ชัก หมดสติ) หรือสงสัยว่าจะเกิดจากยาฆ่าแมลงหรือสารพิษอื่นๆ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ถ้าท้องเสีย อย่ากินยาหยุดถ่ายนะคะ อาการท้องร่วงส่วนใหญ่มักจะหายได้เอง เพราะการขับถ่ายเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายที่จะต้องขับของเสียออกจากร่าง กายอยู่แล้วค่ะ

          5 วิธี รับมืออาหารเป็นพิษ

          วิธีที่ง่ายที่สุดเลยก็คือ การล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงและกินอาหาร ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุกทุกครั้ง อย่านึกเสียดายอาหารที่เหลือจากเมื่อวานเลยค่ะ ยิ่งเป็นพวกที่มีกะทิด้วยแล้ว ยิ่งเสียง่ายมาก ล้างผักและผลไม้ด้วยน้ำไหล ถ้าแช่ด่างทับทิมได้จะดีมากเลย (ควรแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง)  ไม่ควรทิ้งเนื้อสดๆ ไว้นอกตู้เย็น เพราะอุณหภูมิที่ร้อนจะเร่งให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว


          วิธีง่ายๆ เพียงเท่านี้ ก็ทำให้คุณสามารถรับมือกับอาหารเป็นพิษได้อย่างสบายๆ แล้วล่ะค่ะ หรือถ้าคนรักคนสนิทกำลังเจออาการป่วย อาหารเป็นพิษ ก็แนะนำต่อได้นะคะ

ที่มา : mcot.net




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2553    
Last Update : 10 มิถุนายน 2553 18:36:39 น.
Counter : 537 Pageviews.  

ทำไมถึงปวดปัสสาวะบ่อยจัง?


ผู้ที่มีอาการปวดปัสสาวะบ่อยๆ ทุกชั่วโมง เวลาปวดจะรุนแรงมากจนต้องรีบเข้าห้องน้ำทันที

มักจะตื่นขึ้นมากลางดึกเกินกว่า 1 ครั้งเพราะปวดปัสสาวะจนทนไม่ไหว เวลาทำงานต้องลุกเข้าห้องน้ำบ่อยมากจนรู้สึกรำคาญ เวลาเดินทางไปไหนไกล ๆ หรือรถติดบนท้องถนนก็มักจะรู้สึกปวดปัสสาวะกลางทาง สร้างความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก

นพ.บุญเลิศ สุขวัฒนาสินิทธิ์ ศัลยแพทย์ระบบทาง เดินปัสสาวะ โรงพยาบาลเวชธานี เปิดเผยว่า

อาการต่างๆ เหล่านี้เป็นอาการผิดปกติของระบบขับถ่ายปัสสาวะ ซึ่งมักพบได้จากหลายสาเหตุ แต่โรคหนึ่งที่พบบ่อยแต่ประชาชนทั่วไปยังอาจรู้จักน้อย คือ โรคกระเพาะปัสสาวะไวเกิน  หรือ Over Active Bladder, OAB

โรคกระเพาะปัสสาวะไวเกิน เป็นกลุ่มอาการของความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง

เป็นภาวะที่กระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินไป  ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ บาง คนเป็นมากต้องปัสสาวะ 2-3 ครั้งต่อชั่วโมง ยิ่งอยู่ในห้องแอร์เย็น ๆ จะปัสสาวะบ่อยมากขึ้น และรู้สึกปวดปัสสาวะอย่างรุนแรง เวลาปวดจะกลั้นไม่ค่อยได้ต้องรีบเข้าห้องน้ำอย่างเร่งด่วน รวมทั้งต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อย ๆ จนรบกวนการนอนหลับ บางครั้งอาจมีปัสสาวะเล็ด หรืออาจมีอาการเจ็บท้องน้อยร่วมด้วย อาการจะคล้าย ๆ กับเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบธรรมดา แต่จะเป็นค่อนข้างเรื้อรังเป็นเวลานาน

ก่อนหน้านี้เคยเข้าใจกันว่าภาวะปัสสาวะไวเกินมักเกิดใน ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่ปัจจุบันพบว่าในผู้ชายก็เป็นโรคนี้มากขึ้น

โดยมักพบร่วมกับภาวะต่อมลูกหมากโต และพบได้ในคน ทุกวัย แต่ไม่ค่อยพบโรคนี้ในเด็ก ซึ่งคนที่เป็นโรคนี้ ผลกระทบส่วนใหญ่จะเกิดกับคุณภาพชีวิตโดยรวม  เพราะอาการที่เป็นจะเป็นมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละคน  มีปัญหาเวลาที่ต้องอยู่ในรถที่ติดขัด ทำให้ผู้ป่วยเกิดความรำคาญ มีผลต่อความสะอาดของบริเวณช่องคลอด และขาหนีบ ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ ไม่กล้าเข้าสังคม ผู้ป่วยจะไม่อยากไปไหน เนื่องจากไม่มั่นใจว่าจะมีห้องน้ำอยู่ใกล้ ๆ บริเวณที่จะไป

อะไรคือสาเหตุ?

สาเหตุส่วนใหญ่ของอาการกระเพาะปัสสาวะไวเกินยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าเกิดจากระบบประสาทที่บริเวณกล้ามเนื้อของกระเพาะ ปัสสาวะผิดปกติ ทำให้กล้ามเนื้อบีบตัวบ่อยและไวกว่ากำหนด โดยที่ยังมีปริมาณปัสสาวะไม่มากพอที่จะทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะ สาเหตุอีกส่วนหนึ่ง คือ พบร่วมกับภาวะการอักเสบ ติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ ภาวะหมดประจำเดือนและโรคทางระบบประสาทบางชนิด




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2553    
Last Update : 10 มิถุนายน 2553 18:28:39 น.
Counter : 792 Pageviews.  

หลับสบายๆ ด้วย 8 วิธี


          คุณมีอาการแบบนี้หรือไม่? ระหว่างนอนรู้สึกว่าสมองยังคงคิดเรื่องต่างๆ อยู่ หลับไม่สนิท ตื่นเป็นระยะ บ่อยครั้งตื่นในตอนเช้าด้วยความงัวเงีย และรู้สึกไม่แจ่มใสไปทั้งวัน นั่นเป็นเพราะคุณกำลังเข้าใกล้วงจรของอาการนอนไม่หลับ

          "นอนไม่หลับ" นับเป็นอาการยอดฮิตของหลายๆ คน ที่ส่วนมากเกิดจากความเครียด โดยเฉพาะวัยเรียนและวัยทำงาน ที่กังวลเกี่ยวกับงานและเรื่องต่างๆ มากเกินไป จนกลายเป็นความคิดมาก เครียด และนอนไม่หลับ

          บ่อยครั้งในระหว่างวันจะรู้สึกง่วงนอนและอ่อนเพลีย ส่งผลให้การเรียนการทำงานขาดประสิทธิภาพ "เกร็ดน่ารู้" สัปดาห์นี้มี Tips ง่ายๆ ช่วยให้หลับสบายมาฝากกัน

          1. ตื่นและนอนให้เป็นเวลา โดยใน 1 วัน ควรนอนให้ได้ 8 ชั่วโมง และทำให้เป็นประจำทุกวัน

          2. ฝึกนั่งสมาธิก่อนนอน เพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่าน

          3. วางแผนงานที่จะสะสางในวันพรุ่งนี้ให้เป็นระบบ เพื่อลดการคิดซ้ำซาก

          4. อย่ากังวลกับงานจนเกินไป เมื่อถึงเวลานอนก็ควรนอนให้หลับสนิท เพื่อพักสมอง และเตรียมลุยงานในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นผลดีกับประสิทธิภาพของงาน

          5. หากลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำมันหอมระเหยวางในห้อง จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและหลับง่ายขึ้น

          6. ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน จะช่วยคลายเครียด ผ่อนคลายประสาท

          7. หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เนื่องจากมีคาเฟอีนมากระตุ้นทำให้นอนไม่หลับ

          8. เปิดเพลงเบาๆ ฟังสบายๆ จะให้ความรู้สึกสงบ

          เพราะการหลับสนิทเป็นการพักผ่อนที่ช่วยชาร์จพลังที่ดีที่สุด ดังนั้น การสร้างสุขลักษณะการนอนที่ดี รู้จักผ่อนคลายเรื่องเครียดกังวล จะส่งผลดีต่อร่างกาย สติปัญญา และช่วยบอกลาอาการนอนไม่หลับได้




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2553    
Last Update : 10 มิถุนายน 2553 18:19:44 น.
Counter : 526 Pageviews.  

สลายพุงด้วยอาหาร


           ด้วยวัฒนธรรมการกิน ที่เปลี่ยนไป ทำให้หนุ่มสาววัยใสที่กินไม่ระวังเริ่มตุ้ยนุ้ยก่อนวัยอันควร ใครกำลังหนักใจ เรามีอาหารที่มีการศึกษาว่าช่วยสลายไขมัน โดยเฉพาะไขมันรอบเอวได้อย่างมีประสิทธิภาพมาฝาก ลองกินตามสูตรนี้ดูนะคะ

          
 1. อะโวคาโด อะ โวคาโดอุดมไปด้วยสารเบตาซิสโตสเตอรอล ซึ่งช่วยในการดูดซึมคอเลสเตอรอล มีเส้นใยอาหาร ทั้งชนิดที่ละลายน้ำ ซึ่งช่วยขจัดคอเลสเตอรอลส่วนเกินออกจากร่างกาย และชนิดที่ไม่ละลายน้ำซึ่งช่วยป้องกันอาการท้องผูก ปริมาณแนะนำต่อวัน: ¼ ถ้วย

           2. บรอกโคลี่ นัก วิจัยระบุว่าสารอาหารอย่างแคลเซียมช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีที่จะสะสมไว้ เป็นไขมันส่วนเกินได้ และบร็อกโคลี่ก็มีดีที่เป็นแหล่งแคลเซียมซึ่งไม่มีไขมัน ปริมาณแนะนำ: 1 1/2 ถึง 2 ถ้วย

           3. ถั่วและเมล็ดพืชต่างๆ มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนักได้ โดยเฉพาะถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดพืชต่างๆ เช่น อัลมอนด์ มะม่วงหิมพานต์ ถั่วลิสง เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดฟักทอง พิสทาชิโอ ปริมาณแนะนำต่อวัน: 2 ช้อนโต๊ะ

           4. น้ำมัน เลือกกินน้ำมันที่มีประโยชน์ช่วยลดน้ำหนักได้ น้ำมันพืชต่างๆ เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันชา น้ำมันถั่วเหลือง ปริมาณแนะนำต่อวัน: 1 ช้อนโต๊ะ

          นอกจากดูแลเรื่องอาหาร การกินแล้ว ก็ต้องออกกำลังกายเป็นประจำด้วยนะคะ




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2553    
Last Update : 10 มิถุนายน 2553 19:30:21 น.
Counter : 405 Pageviews.  

นม Hi-Calcium สำคัญไฉน?

ศ.กิตติคุณ นพ.เสก อักษรานุเคราะห์ ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู สภากาชาดไทย และประธานมูลนิธิโรคกระดูกพรุนในพระอุปถัมภ์ฯ

กล่าวถึงการดื่มนมไฮแคลเซียมว่าไม่มีประโยชน์ต่อการเสริมสร้างกระดูกมากกว่านม ธรรมดาเท่าใดนัก ทั้งนี้เพราะการดื่มนมไฮแคลเซียม ขณะท้องว่าง ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมผงที่ผสมในนมได้ เพราะไม่มีน้ำกรดช่วยในการดูดซึม แต่ถ้าดื่ม ขณะกินอาหารน้ำกรดที่หลั่งออกมาก็จะถูกนมที่เป็นด่างทำให้เจือจาง ลดประสิทธิภาพของกระบวนการย่อย ดูดซึม และละลายแคลเซียมผงในนม การดื่มนมแคลเซียมสูงจึงไม่ได้ประโยชน์อย่างที่คิด

นักโภชนาการจากโรงพยาบาลฉางไห่ ประเทศจีน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า การกินอาหารที่อุดมด้วยไขมันเป็นปัจจัยทำให้ลำไส้ดูดซับแคลเซียมได้ยากขึ้น

และความเชื่อที่ว่าน้ำต้มกระดูกช่วยเสริมแคลเซียมนั้นไม่เป็นความ จริง เพราะในน้ำต้มกระดูกมีโปรตีนกับไขมัน เป็นหลัก แต่มีแคลเซียมน้อยมาก วิธี เสริมแคลเซียมอย่างง่ายๆ ทำได้ด้วยการรับประทานอาหาร เช่น ถั่ว เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ นอกจากมีแคลเซียมสูง ยังมีแมกนีเซียมที่ช่วยดูดซึมแคลเซียมด้วย ประกอบกับการดื่มนมวันละ 250 – 500 ซีซีก็ทำให้ได้รับแคลเซียมเพียงพออยู่แล้ว คุณจึงไม่จำเป็นต้อง เสียเงินซื้อนมแคลเซียมสูงมาดื่มก็ได้ค่ะ

ที่มา : Thai Slim Club




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2553    
Last Update : 9 มิถุนายน 2553 0:06:57 น.
Counter : 463 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  

quosego
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add quosego's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.