วัดจักรวรรดิ์
ตั้งอยู่หน้าเทศบาลเมืองอโยธยา ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
วัดจักรวรรดิ์หรือวัดเจ้ามอญ เป็นวัดร้าง ไม่ทราบประวัติการก่อสร้าง แต่มีการกล่าวถึงวัดเจ้ามอญว่า
น่าจะสร้างมาก่อนสมัยอยุธยาตอนต้น หลังจากมีการขุดแต่งพื้นที่ของวัดจักรวรรดิ์แล้วพบว่า
สภาพโบราณสถานภายหลังการขุดแต่งแล้วมีเจดีย์ประธาน ๑ องค์ โบสถ์ วิหารและเจดีย์รายทั้งหมด ๒๙ องค์ จากการขุดค้นทำให้ได้ข้อสรุปอายุสมัยของวัดจักรววรรดิ์ได้ถึง ๓ สมัย คือ
สมัยที่ ๑
เป็นสมัยที่สร้างวัดครั้งแรก เจดีย์ประธานมีขนาดเล็กกว่าองค์ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
เมื่อมีการขุดพบพื้นฐานของสมัยแรกอยู่ใต้ฐานของเจดีย์ประธานและพบฐานเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมน่าจะเป็นเจดีย์สมัยแรก
สมัยที่ ๒
ในสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ น่าจะมีการสร้างพร้อมกับวัดกุฎีดาว คือ เจดีย์ประธานถูกสร้างขึ้นใหม่ ขนาดใหญ่กว่าเดิม
ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆังบนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสและมีการสร้างเจดีย์รายเพิ่มเติม ทดแทนของเดิมที่ชำรุดทรุดโทรม
การสร้างโบสถ์มีเสาภายในและเสาอิงผนังคล้ายพระอุโบสถวัดกุฎีดาว แต่มีมุขหน้า-หลัง มีวิหารขนาดเล็กอยู่ทางทิศเหนือของโบสถ์
สมัยที่ ๓
เจดีย์ประธานและอุโบสถมีการปรับปรุงเล็กน้อยและปรับพื้นด้านหลังโบสถ์ให้สูงขึ้น
หลังรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ มีการสร้างเจดีย์รายเพิ่มเติมขึ้น
ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม
แผนที่จากหนังสือ ท่องเที่ยว เรียนรู้ กรุงศรีอยุธยา
๑๖.๑๖ น. ออกจากวัดกุฎีดาว ใกล้กันเลยค่ะ เดินข้ามสะพานนี้มา...
พนักงานต้อนรับ คนละตัวกับที่นอนอยู่บนสะพานภาพบน
เดินกลับ...วัดกุฎีดาว อยู่ฝั่งตรงข้ามค่ะ
ไปไหนก็ต้องผ่านเจดีย์วัดสามปลื้ม
จะไปวัดมหาธาตุ
๑๖.๓๒ น. ถึงแล้วค่ะ
ค่าเข้าชมโบราณสถาน คนไทย ๑๐ บาท / นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ๕๐ บาท
เจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม มีชั้นซ้อนลดหลั่นกัน ๔ ชั้น ชั้นที่ ๑ - ๓ ทำเป็นซุ้ม คาดว่าเดิมแต่ละซุ้มน่าจะประดับปูนปั้นรูปเจดีย์
เนื่องจากมีร่องรอยเหลืออยู่หนึ่งซุ้ม ระหว่างซุ้มประดับด้วยปูนปั้นรูปเทวดา ส่วนชั้นที่ ๔ ทุกด้านมีพระปรางค์จำลองสลับกับพรหม
ส่วนด้านบนสุดเป็นพระปรางค์ขนาดเล็กๆ เจดีย์องค์อาจสื่อถึงสวรรค์ชั้นต่างๆ ก็เป็นได้
ปัจจุบัน ยังไม่ทราบประวัติที่มาของเจดีย์องค์นี้
ไฮไลท์ของวัดมหาธาตุ ที่ใครๆ ก็ต้องมาถ่ายภาพ เป็นอันซีนด้วยค่ะ
วัดมหาธาตุ
หมายถึง วัดอันเป็นที่สถิตของพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า สร้างขึ้นในสมัยขุนหลวงพะงั่ว เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๑๗
แต่เข้าใจว่าการก่อสร้างเสร็จสิ้นในรัชสมัยพระราเมศวร
*** จากหนังสือท่องเที่ยวอยุธยาบอกว่า...
วัดมหาธาตุไม่สามารถยืนยันประวัติการสร้างได้อย่างแน่ชัด เนื่องจากหลักฐานทางเอกสารมีความขัดแย้งกัน
โดยวันวลิตบันทึกว่า พระเจ้าอู่ทองโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ส่วนพงศาวดารกลับระบุว่าสร้างขึ้นในสมัยขุนหลวงพะงั่ว ***
จารีตของการสร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่เอาไว้ในเมือง ซึ่งถือสมมุติว่าพระเจดีย์นั้นเป็นที่สถิตของพระบรมสารีริกธาตุ และวัดนั้นถือว่าเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์
มักจะมีชื่อว่า วัดมหาธาตุ หรือ วัดพระศรีมหาธาตุ หรือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ปรากฏโดยทั่วไปในทุกภูมิภาค
จารีตดังกล่าวนี้จะเริ่มในสมัยใดนั้นไม่ทราบได้ แต่หากจะพิจารณาเฉพาะอาณาจักรอยุธยา จะเห็นได้ว่าธรรมเนียมดังกล่าวเริ่มตั้งแต่สมัยแรกๆ ทีเดียว
วัดมหาธาตุจึงเป็นวัดที่สำคัญที่สุดวัดหนึ่งของอาณาจักร ในฐานะที่เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า
อีกทั้งหากจะพิจารณาดูสถานที่ตั้งก็จะเห็นว่าอยู่ใกล้ชิดกับพระบรมมหาราชวังเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นวัดนี้จึงเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช (ฝ่ายคามวาสี) มาตลอดจนสิ้นกรุงศรีอยุธยา
(ส่วนพระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสีนั้น ประทับอยู่ที่วัดใหญ่ชัยมงคล หรือ สำนักวัดป่าแก้ว)
วัดมหาธาตุนี้ ได้รับการบูรณะอีกหลายครั้ง เช่นในสมัยเจ้าสามพระยาได้ทรงตกแต่งวัดด้วยบรรดาประติมากรรมสำริดที่ขนมาจากพระนครหลวง (นครธม)
ในการมีชัยชนะเหนือเขมร อาทิ รูปราชสีห์ หมี หงส์ นกยูง กินนร โค สุนัขป่า กระบือ สุกร และมังกร โดยเรียงรายอยู่รอบวัดมหาธาตุ
ปรางค์ประธานของวัดได้ทลายลงมาจนถึงชั้นครุฑในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งได้มีการซ่อมใหญ่ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. ๒๑๗๖)
โดยปรับองค์ปรางค์ซึ่งมีลักษณะ ล่ำนัก ให้เพรียวสูงขึ้นจาก ๑๙ วา กลายเป็น ๑ เส้น ๒ วา และมีนภศูลอีก ๓ วา รวมความสูงทั้งสิ้น ๑ เส้น ๕ วา หรือ ๕๐ เมตร
เข้าใจว่าคงจะมีการสร้างอาคารและเจดีย์หลายชนิดเพิ่มเติมอีกในสมัยต่างๆ กัน หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒
วัดนี้จึงได้ร้างและเสื่อมโทรมเรื่อยมา จนกระทั่งปรางค์ประธานวัดได้พังทลายลงมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
กรมศิลปากรได้ทำการขุดแต่งบูรณะวัดมหาธาตุขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ โดยให้ความสำคัญที่ตรงกลางพื้นห้องคูหาเรือนธาตุของปรางค์ประธาน
ตามรอยที่คนร้ายได้ลักลอบขุดไปก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ได้พบปล่องภายใน มีสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ด้วย
การค้นพบนี้ทำให้เรามีความรู้เกี่ยวกับการบูชาพระบรมสารีริกธาตุในสมัยอยุธยาเพิ่มมากขึ้น กล่าวคือ
พระบรมสารีริกธาตุนั้นบรรจุอยู่ในผอบ ๗ ชั้น จากชั้นในสุดออกมาชั้นนอก ดังนี้
พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งเป็นผลึกขนาดประมาณ ๑ ใน ๓ ของเมล็ดข้าวสารนั้น บรรจุในตลับทอง
ชั้นที่ ๒ คือ สถูปแก้วผลึก ซึ่งประดับด้วยทองอัญมณี ได้แก่ โกเมน มรกต และทับทิม ชั้นที่ ๓ เป็นสถูปไม้แดง ชั้นที่ ๔ เป็นสถูปไม้ดำ
ชั้นที่ ๕ สถูปนาก ชั้นที่ ๖ สถูปเงิน ชั้นที่ ๗ สถูปชิน สถูปทั้ง ๗ ชั้นบรรจุในเสาหิน สูง ๓.๒๐ เมตร ภายในกลวงมีฝาปิด
เสาหินนี้อยู่ภายในช่องเป็นปล่องยาวจากตรงกลางห้องคูหาเรือนธาตุจนจรดระดับพื้นดิน
ปัจจุบัน สถูปทั้งหมดพร้อมพระบรมสารีริกธาตุนั้นได้เก็บรักษาและจัดแสดงให้ชมและสักการบูชาที่ห้องมหาธาตุ ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา
การเดินทาง
หากเดินทางมาจากกรุงเทพโดยใช้ถนนสายเอเชีย (ทางหลวงหมายเลข 32) เลี้ยวซ้ายตรงสี่แยกเข้าอยุธยา ตรงเข้ามาผ่านสะพานนเรศวร
ตรงไปจนถึงสี่แยกไฟแดงที่ ๒ เลี้ยวขวาตรงไปไม่ไกลนัก ผ่านบึงพระราม จะเห็นวัดมหาธาตุอยู่ทางซ้ายมือ
ข้อมูลจาก //www.ayutthayastudies.aru.ac.th/content/view/360/116/
มองยากเหมือนกันค่ะ ไม่รู้ภาพไหนก่อน - หลัง
อลังการงานสร้างมาก...
ป้ายสีแดงด้านบนเขียนว่า
เขตกำแพงแก้ววัดมหาธาตุ มีถนนคั่น มองไปฝั่งโน้น
แนวกำแพงแก้ว
ต่อตอนหน้าค่ะ
สมัยก่อนพุทธศาสนาคงเจริญรุ่งเรืองมากนะคะคุณหนู เสียดายที่ทุกสิ่งเสื่อมสลายไปกับกาลเวลานะคะ
ปล.เพิ่งโหวตนาข้าวขั้นบันไดไปค่ะ บล้อกไม่ยอมให้โหวตซ้ำวันเดียวกัน ^__^