มัสยิดกรือเซะ (มลายู : Masjid Kerisek) หรือ มัสยิดสุลต่านมูซัฟฟาร์ชาห์ เป็นมัสยิดเก่าแก่อายุกว่า 200 ปีในจังหวัดปัตตานี สันนิษฐานได้ว่าเป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 22 ร่วมสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มัสยิดปิตูกรือบัน ชื่อนี้เรียกตามรูปทรงของประตูมัสยิด ซึ่งมีลักษณะเป็นวงโค้งแหลมแบบกอทิกของชาวยุโรป และแบบสถาปัตยกรรมของชาวตะวันออกกลาง (คำว่า ปิตู แปลว่า ประตู กรือบัน แปลว่า ช่องประตูที่มีรูปโค้ง)
ช่วงเวลาที่มัสยิดกรือเซะถูกสร้างนั้นยังเป็นที่ถกเถียง บ้างว่าสร้างในรัชสมัยสุลต่านมูซัฟฟาร์ชาห์ บ้างก็ว่าสร้างในรัชสมัยรายาบีรู ส่วนกรณีที่มัสยิดสร้างไม่สำเร็จนั้น ก็มีการยึดโยงกับตำนานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวซึ่งมีสุสานอยู่ใกล้กับมัสยิดกรือเซะ ที่ถูกเล่าต่อเติมภายหลังว่าเจ้าแม่ได้สาปให้มัสยิดนี้สร้างไม่สำเร็จ จนกลายเป็นปัญหากินแหนงแคลงใจระหว่างชาวไทยเชื้อสายมลายูและชาวไทยเชื้อสายจีนในพื้นที่ แต่จากการสำรวจและบูรณะของกรมศิลปากร พบว่าโครงสร้างโดมนั้นมีลักษณะไม่แข็งแรงและขาดความสมดุล จึงทำให้พังทลาย ทั้งยังไม่พบร่องรอยถูกเผาหรือถูกฟ้าผ่าตามตำนานที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด เพราะหลังราชวงศ์กลันตันปกครองปัตตานีถัดจากราชวงศ์ศรีวังสา ได้ย้ายศูนย์กลางเมืองไปยังบานาและจะบังติกอตามลำดับ มัสยิดกรือเซะจึงถูกทิ้งให้โรยราไป
เป็นความตั้งใจเลยค่ะ ว่าถ้าได้มาปัตตานีจะมาที่นี่แน่นอนถอดรองเท้าก่อนขึ้นมัสยิดค่ะขออนุญาตถ่ายภาพแล้วนะคะส่วนละหมาดของผู้หญิงค่ะบ่อน้ำด้านข้างมัสยิด แต่น่าจะไม่ได้ใช้แล้วล่ะค่ะเดินไปต่อที่สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว07.44 น. ถนนด้านหลังมัสยิด
ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นน้องสาวคนเดียวของลิ้มโต๊ะเคี่ยม นางได้ขออนุญาตมารดาเพื่อตามหาพี่ชายที่ลี้ภัยการเมืองจากเมืองจีน
นางพร้อมด้วยบรรดาญาติมิตรได้นำเรือออกเดินทางรอนแรมเป็นเวลาหลายเดือน จนกระทั่งถึงเขตเมืองปตานี นางได้แวะสอบถามชาวบ้าน ทำให้ทราบว่าพี่ชายชื่อลิ้มโต๊ะเคี่ยม (ลิ้มเต้าเคียน) ยังมีชีวิตอยู่ มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่สำคัญ นางได้ขอเข้าพบพี่ชายพร้อมกับเชิญชวนพี่ชายให้กลับไปเยี่ยมมารดาซึ่งกำลังป่วยหนักอยู่ที่เมืองจีน
ลิ้มโต๊ะเคี่ยม กล่าวกับน้องสาวว่าตัวเองไม่สามารถกลับเมืองจีนได้ เพราะยังติดคดีการเมืองกับทางการจีน ประกอบกับขณะนี้ตนและพรรคพวกผู้ติดตามได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามแล้ว ทำให้ลิ้มกอเหนี่ยวผู้เป็นน้องสาวผิดหวังและเสียใจมาก
ต่อมาได้เกิดเหตุการณ์นองเลือดในพระราชวัง มีการแย่งชิงอำนาจ ลิ้มโต๊ะเคี่ยมเข้าร่วมต่อสู้เพื่อปกป้องราชบัลลังก์ของปตานี ด้วยความเป็นห่วงพี่ชายเกรงว่าจะได้รับอันตราย ลิ้มกอเหนี่ยวจึงเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยรบกับฝ่ายกบฏอย่างห้าวหาญ แต่ด้วยกำลังฝ่ายตรงข้ามที่มีมากกว่าทำให้นางสละชีวิตตัวเองด้วยการใช้ดาบกระทำอัตวินิบาตกรรมเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นอีกตำนานหนึ่ง กล่าวว่า ลิ้มกอเหนี่ยวน้อยใจพี่ชายที่ไม่ยอมทำตามที่ตนขอร้อง คือขอให้พี่ชายกลับไปหามารดาที่เมืองจีน จึงคิดจบชีวิตตนเองด้วยการผูกคอใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์
ลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้นำศพน้องสาวไปฝังที่ฮวงซุ้ยชาวจีน ริมชายหาดตันหยงลุโละ ชาวบ้านเรียก “แญระจีนอโต๊ะกงแมะ” [หมู่ 2 (กือบงโต๊ะนะแด) ต. ตันหยงลุโละ อ. เมือง จ. ปัตตานี]
เรื่องราวของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวจึงเป็นที่กล่าวขานกันอย่างแพร่หลายในหมู่สังคมชาวจีนในปตานี และเป็นที่มาของการเฉลิมฉลองงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นประจำ หลังวันตรุษจีน 15 วันของทุกปี (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือนอ้าย ตามจันทรคติของจีน หรือตรงกับวันเพ็ญ เดือน 3 ตามจันทรคติของไทย)
ปัจจุบัน ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวหรือศาลเจ้าเล่งจูเกียง ตั้งอยู่ที่ถนนอาเนาะรู อ.เมือง จ. ปัตตานี https://www.matichon.co.th/prachachuen/prachachuen-scoop/news_1195343
จุดไหว้มีหลายจุด แต่มีเจ้าหน้าที่แนะนำค่ะตรงนี้จุดประทัด แต่เราไม่ได้จุดค่ะ08.15 น. ฝั่งตรงข้ามศาล มีอัฒจรรย์ แบคกราวด์เป็นภาพวาดเรือกอและ อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของปัตตานี ไปสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวแล้ว ก็ต้องมาศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวด้วยค่ะรูปปั้นปี่เซียะ ไม่มีรูทวาร เพื่อกักเก็บทรัพย์สินไม่ให้รั่วไหลเช้า ๆ คนไม่ค่อยมี ข้ามฝั่งไปเลยค่ะ ถัดจากศาลฯ - พิพิธภัณฑ์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ไม่ได้แวะค่ะถัดไปอีก ติดกันก็จะเป็นย่านเมืองเก่าปัตตานี เมื่อวานเราแวะแล้วเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นเทพเจ้าแห่งความเมตตา โชคลาภ ค้าขาย เป็นที่นิยมมากราบไหว้ของพรเพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิต
ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จะมีขั้นตอนในการไหว้ โดยจะมีคนเฝ้าศาลคอยแนะนำขั้นตอนต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่ซื้อชุดไหว้ แบบชุดเล็ก และชุดใหญ่ โดยต้องไหว้ฟ้าดินก่อนโดยใช้ธูป 7 ดอกและเทียน 2 เล่ม จะมีกระถางอันใหญ่อยู่หน้าศาล จากนั้นเข้าไปไหว้ข้างในศาล โดยเริ่มจากไหว้พระจีน จากนั้นไปไหว้โต๊ะที่ 3 ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จากนั้นก็ไหว้โต๊ะที่ 4 ซึ่งอยู่อีกฝั่งใกล้กับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เสร็จแล้วเดินไปทางประตูขวาจะมีที่ตั้งของรูปปั้นองค์เทพเจ้าต่าง ๆมากมาย เมื่อไหว้ครบแล้วเอาขวดน้ำมั้นไปเติมไปจุดต่าง ๆ หลังจากนั้นนำกระดาษไปเผาในอุโมงค์ ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามเพื่อเป็นการขจัดสิ่งไม่ดีออกไปและกลับเข้ามาที่ศาลเพื่อตีระฆัง 3 ครั้งเป็นสิริมงคลกับชีวิต “ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” สามารถมาสักการะได้ทั้งปี แต่หากจะมาร่วมงานประเพณีแห่เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวนั้นจะจัดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 ของทุกปี หรือประมาณเดือนกุมภาพันธ์
ในหลวง พระราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่เคยเสด็จมาศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเราไหว้ครบทุกจุดแล้ว ค่อยเดินถ่ายรูป (กล้องโทรศัพท์) อีกรอบ
อีกหนึ่งความศรัทธาที่เรียกว่าเป็นประเพณี คือ ยืมเงินขวัญถุงกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นความเชื่ออย่างหนึ่งที่ว่าจะช่วยให้ทำมาค้าขายขึ้น โดยมีให้ยืมเริ่มต้นที่ 30 บาท 50 บาท 100 บาท ยืมไปเท่าไหร่หากทำมาค้าขายหรือได้เงินมาให้นำมาคืนเป็นจำนวน 2 เท่าของยืม เช่น มาขอยืม ไป 50 บาท ก็เอาเงินมาคืนหรือทำบุญ 100 บาท โดยจะมีซองสีแดงใส่เงินของเราที่ยืมเพื่อเก็บไว้ในกระเป๋าเงินเป็นเงินขวัญถุง
ทำบุญด้วย ยืมเงินเจ้าแม่ด้วย08.49 น. เรียบร้อยแล้วค่ะลูกหยีแม่เลื่อน อร่อยจริง ๆ ค่ะ ความเดิม ปัตตานี : วัดช้างให้ วังยะหริ่งปัตตานี : หาดตะโละสะมิแล ชุมชมตลาดจีน ย่านเมืองเก่าปัตตานีปัตตานี : ริมน้ำปัตตานี สกายวอล์คปัตตานีปัตตานี : สะพานไม้บานา การท่องเที่ยวเชิงนิเวศในชุมชน จ.ปัตตานี