แนวโน้มของการบริหารค่าตอบแทนในอนาคต

พูดถึงเรื่องค่าตอบแทนแล้ว มีลูกค้าและผู้อ่านสอบถามผมมามากเลยว่า แนวโน้มในการบริหารค่าตอบแทนในอนาคตจะเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งจริงๆ ผมเองก็มีเขียนไปบ้างในบทความเก่าๆ แต่ก็อยากมา update กันอีกสักครั้งว่าการบริหารค่าตอบแทนสำหรับพนักงานในอนาคตหน้าตาจะออกมาเป็นอย่างไรกันบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงต้นปีนี้ ซึ่งมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นมาอีก ทำให้นายจ้างส่วนใหญ่รู้สึกถึงต้นทุนที่สูงขึ้นโดยไม่มีมูลค่าเพิ่มจากพนักงานเลย

ผู้บริหารบริษัทแห่งหนึ่งที่เป็นลูกค้าผม ก็เปรยๆ ให้ฟังว่า บริษัทเขาขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานเป็นประจำทุกปี ตามผลงานอยู่แล้ว ดังนั้นใครที่ผลงานดีก็ขึ้นให้เยอะหน่อย ใครผลงานไม่ดีก็เอาไปน้อยหน่อย ซึ่งพนักงานเองก็รู้สึกดีกับระบบแบบนี้ แต่สิ่งที่ผู้บริหารไม่ชอบก็คือ (เขาบ่นให้ฟัง) รัฐบาลไม่ดูว่าใครบริหารกันอย่างไร กลับเพิ่มภาระให้กับบริษัท และผู้ประกอบการ โดยการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นอีก โดยอ้างว่าค่าครองชีพสูงขึ้น ต้องมีการปรับ ซึ่งบริษัทลูกค้าผมรายนี้ เขาก็มีการปรับค่าจ้างให้กับพนักงาน โดยอาศัยค่าครองชีพในตลาดด้วยเช่นกัน เขาก็เลยรู้สึกว่า จู่ๆ ก็มีต้นทุนในการบริหารค่าจ้างเพิ่มขึ้น โดยที่ไม่มีอะไรตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นผลงาน หรือมูลค่าเพิ่มอื่นๆ จากพนักงาน

ผมนั่งฟังแล้วก็อึ้งไปเหมือนกัน เพราะเชื่อว่าค่าจ้างขั้นต่ำปรับทุกปีแน่นอนครับ และจะทำให้ต้นทุนของบริษัทสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยครับ

ถ้าเป็นแบบนี้แล้วแนวโน้มน่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต ผมก็สรุปจากหลายๆ แหล่ง และก็จากประสบการณ์ของผมเอง ได้ดังนี้ครับ

- สำหรับพนักงานในระดับที่ใช้แรงงานนั้น จะเริ่มมีการว่าจ้างจำนวนน้อยลง เพราะต้องการลดต้นทุนในส่วนนี้ และจะเพิ่มระบบการจ่ายค่าตอบแทนโดยอิงผลงานกับค่าจ้างมากขึ้น ก็คือนำเอาระบบ Incentive ตามผลงานเข้ามาใช้ ซึ่งปัจจุบันก็มีหลายบริษัทใช้กันบ้างแล้ว พนักงานที่อยู่ทำงานในบริษัทจะกลายเป็นพนักงานที่มีทักษะและความสามารถที่สูงขึ้น

- มีการนำเอาเครื่องจักรเข้ามาทดแทนกำลังคนในการผลิต เพื่อลดต้นทุนในส่วนที่เป็นค่าจ้างที่จะสูงขึ้นทุกปีตรงนี้ ดังนั้นอัตราการว่างงานของพนักงานในระดับแรงงานจะมีมากขึ้น เพราะไม่มีใครจ้าง ดังนั้นแรงงานก็ต้องไปพัฒนาฝีมือของตนเองให้ดีขึ้น เพื่อให้มีคนมาจ้าง

- สำหรับพนักงานในระดับวิชาชีพ ลักษณะค่าตอบแทน ก็จะมีสัดส่วนที่เปลี่ยนแปลงไป โดยสัดส่วนของเงินเดือนจะค่อนข้างนิ่งๆ ไม่ปรับอย่างหวือหวามาก แต่จะไปผูกกับผลงานพนักงานโดยตรง และผลงานของบริษัทด้วย ถ้าผลงานบริษัทดี และผลงานพนักงานออกมาดีด้วย ก็จะได้เงินตอบแทนผลงานในปีนั้นมากหน่อย แต่เรื่องของการขึ้นเงินเดือนจะค่อนข้างจะไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนักในแต่ละปี โดยจะยึดเอาค่าครองชีพเป็นเกณฑ์เท่านั้น เพราะนายจ้างไม่อยากรับภาระต้นทุนคงที่ที่สูงขึ้นในระยะยาว

- สวัสดิการจะเริ่มเข้ามามีบทบาทสำหรับพนักงานมากขึ้น เนื่องจากบริษัทจะต้องทำให้พนักงานรู้สึกว่ามาทำงานก็เหมือนอยู่บ้าน มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน เพื่อที่จะทำให้พนักงานไม่ต้องกังวลเรื่องของความเป็นอยู่ในบริษัท และทุ่มเทความคิดเพื่อสร้างผลงานให้กับบริษัท

- อาจจะมีบางวิชาชีพที่ต้องเริ่มจ้างเป็นสัญญาจ้างรายปีไป เพราะจ้างเป็นพนักงานประจำแล้วไม่คุ้ม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือบริษัทจะมีการ outsourcing มากขึ้น ใช้พนักงานน้อยลง แต่ต้องมีคุณภาพมากขึ้น และเงินเดือนก็จะจ่ายให้สูงขึ้นด้วย บวกกับเงินตอบแทนผลงานถ้าทำให้บริษัทได้ผลงานตามเป้าหมายได้

- ค่าตอบแทนสำหรับระดับบริหาร หรือผู้บริหารระดับสูง ก็มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปเน้นที่ Short-term incentive มากขึ้น ก็คือ ถ้าสามารถบริหารให้องค์กรได้ตามเป้า กรรมการบริษัทก็จะมีการตัดเงินผลงานจ่ายให้เพื่อตอบแทนผลงาน ดังนั้นสัดส่วนเงินเดือนก็จะไม่เยอะนัก แต่จะเน้นไปที่เงินตอบแทนผลงานก้อนโตมากขึ้น นอกจากนั้นก็จะเริ่มมีการผูกเอาหุ้นของบริษัทเข้ามาด้วย ก็คืออาจจะมีการให้หุ้นบริษัทกับผู้บริหารระดับสูงเพื่อจะได้ให้เขาสร้างผลงานในระยะยาว ทำให้บริษัทได้กำไรอย่างต่อเนื่อง มูลค่าหุ้นก็จะสูงขึ้น ผู้บริหารคนนั้นก็จะได้ผลตอบแทนที่เรียกกว่าเงินปันผลที่มากขึ้นไปด้วย


สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่รวบรวมมาได้ทั้งจากความเห็นผู้บริหาร และความเห็นของผมเองในฐานะที่ทำงานในแวดวงบริหารค่าตอบแทนมาพอสมควรครับ ดังนั้นเราชาว HR ก็ควรจะหาทางหนีทีไล่ให้กับผู้บริหาร หรือเจ้าของบริษัทเหมือนกัน เผื่อเวลาเขาถามว่าจะมีหนทางอย่างไรที่จะสร้างความคุ้มค่าในการจ่ายค่าตอบแทนให้กับพนักงาน เพื่อให้พนักงานสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทได้คุ้มกับค่าตอบแทนที่บริษัทให้ไป จะได้พอมีไอเดียในการคิดต่อครับ

Create Date : 13 มกราคม 2554		0 comments
Last Update : 13 มกราคม 2554 6:24:30 น.
Counter : 2903 Pageviews.
Share Tweet