เที่ยวสุดสัปดาห์ที่ลพบุรี #1
เที่ยวลพบุรี #2...พระนารายณ์ราชนิเวศน์
เที่ยวลพบุรีตอนที่ 3 นี้ ต่อเนื่องจากตอนที่ 2 ที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์ค่ะ
จากพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาทเข้าชมภายในพระที่นั่งองค์หนึ่งซึ่งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นกลางคือ
พระที่นั่งจันทรพิศาล
พระที่นั่งองค์นี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2208 เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่สร้างทับลงไปบนรากฐานเดิมของพระที่นั่งซึ่งพระราเมศวรโอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าอู่ทองได้ทรงสร้างเมื่อครั้งครองเมืองลพบุรี
เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยแท้ ด้านหน้ามีมุขเด็จ ภายหลังเมื่อได้สร้างพระที่นั่ง สุทธาสวรรย์ขึ้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงย้ายไปประทับที่พระที่นั่งองค์ใหม่ และโปรดให้ใช้พระที่นั่งจันทรพิศาลเป็นที่ออกขุนนาง ซึ่งตรงกับบันทึกของชาวฝรั่งเศสว่าเป็นหอประชุมองคมนตรี
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงบูรณะพระที่นั่งองค์นี้ตามแบบของเดิม ปัจจุบันใช้จัดแสดงเรื่องราวพระราชประวัติของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและงานประณีตศิลป์สมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ เข้าชมภายในพระที่นั่งค่ะ
กราบสักการะพระบรมรูปหล่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชบริเวณ มุขเด็จ (ภาพบน) ส่วนผนังตรงข้ามกับประตูทางเข้าแขวนภาพสีน้ำมันเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่งทางประวัติศาสตร์ คือการถวายพระราชสาสน์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ต่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่พระบรมมหาราชวัง พระนครศรีอยุธยา
นายจำรัส เกียรติก้อง จิตรกรผู้มีชื่อเสียงของกรมศิลปากรวาดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2509 โดยใช้ต้นฉบับภาพพิมพ์ลายเส้นของ Jean-Baptiste Nolin (1657-1725)
แผนที่แสดงเส้นทางการเดินทางไปและกลับจากฝรั่งเศสสู่สยามของราชทูตจากราชสำนักพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งอาณาจักรฝรั่งเศส ราชทูตฝรั่งเศสชื่อ เชอวาเลีย เดอ โชมอง ออกเดินทางโดยเรือกำปั่นใบจากเมืองแบรสต์ อาณาจักรฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2228 เดินทางถึงสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยา อาณาจักรสยามเมื่อวันที่ 22 กันยายนในปีเดียวกัน ขากลับ ได้ออกเดินทางจากสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2228 เดินทางถึงเมืองแบรสต์ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2229 จุดประสงค์ของการเดินทางมายังอาณาจักรสยามครั้งนี้ก็เพื่อชักชวนให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งอาณาจักรสยามเข้ารีตนับถือคริสต์ศาสนาแต่ไม่สำเร็จ เป็นแผนที่สำรวจและวาดโดยบาทหลวงโคโรเนลลิ เมื่อ ค.ศ. 1687 ต้นฉบับ เป็นสมบัติของหอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศส
เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)
เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เป็นบุตรของเจ้าแม่วัดดุสิต พระนมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและเป็นน้องชายของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ได้บรรดาศักดิ์ ออกพระวิสุทธิสุนทร และได้รับแต่งตั้งเป็นทูตออกไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส
ในสมัยดังกล่าวฝรั่งเศสมีอิทธิพลในราชสำนักของสมเด็จพระนารายณ์มาก จุดประสงค์ของฝรั่งเศสคือเผยแพร่คริสต์ศาสนาและพยายามให้สมเด็จพระนารายณ์เข้ารีตเป็นคริสตชน รวมทั้งพยายามมีอำนาจทางการเมืองในอยุธยาด้วยการเจรจาขอตั้งกำลังทหารของตนที่เมืองบางกอกและเมืองมะริด
คณะทูตไปฝรั่งเศสดังกล่าวประกอบด้วย ออกพระวิสุทธสุนทร (โกษาปาน) เป็นราชทูต ออกหลวงกัลยาราชไมตรีเป็นอุปทูต และออกขุนศรีวิสารวาจาเป็นตรีทูต พร้อมทั้งบาทหลวงเดอ ลีออง และผู้ติดตาม รวมกว่า 40 คน ออกเดินทางจากกรุงศรีอยุธยาในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2229 ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2229 ณ พระราชวังแวร์ซายและเดินทางกลับเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2230
ภาพพิมพ์เหตุการณ์สำคัญครั้งคณะราชทูตสยามเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่พระราชวังแวร์ซาย์เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2229
เหรียญที่ระลึกทำด้วยเงิน ทำขึ้นในโอกาสราชทูตสยามเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ด้านหน้าพิมพ์ภาพพระพักตร์เสี้ยวพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ด้านหลังพิมพ์ภาพคณะราชทูตสยาม สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสมอบให้เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2530 ในโอกาสฉลองความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศสครบ 100 ปี
ชมภาพประวัติศาสตร์สำคัญในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ชาวต่างชาติได้วาดไว้และโบราณวัตถุที่มีอายุในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเช่นเครื่องประดับ เงินตรา วรรณกรรม ทำนองเพลง รวมไปถึงประวัติการติดต่อกับชาติตะวันตกและเอเชียแล้ว ในพระที่นั่งจันทรพิศาลนี้ยังจัดแสดงเรื่องศาสนวัตถุต่างๆ ในพุทธศตวรรษที่ 19 - 24 (สมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์) อาทิตู้พระธรรม ธรรมาสน์โกษาปานจากวัดเสาธงทอง พระพุทธรูปปางมารวิชัย วิหารจำลอง และเสลี่ยง
ภาพขนาดใหญ๋อยู่บนผนังนอกห้องจัดแสดงศาสนวัตถุคือภาพบ้านออกญาวิชาเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) พร้อมประวัติค่ะ
ออกญาวิชาเยนทร์เป็นชาวกรีก ชื่อ คอนสแตนติโน เยรากี เกิดเมื่อ พ.ศ. 2190 ที่เกาะเซฟาโลเนีย อายุได้ 13 ปี ได้ออกเผชิญโชคในโลกกว้างด้วยการเป็นเด็กรับใช้ในเรือสินค้าอังกฤษ ต่อมาได้ทำงานกับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษที่เมืองบันดัมในเกาะชวา พ.ศ. 2223 ลาออกจากบริษัทเข้ารับราขการในกรมพระคลังสินค้าสยาม มีความสามารถทำงานหลายชนิดจนเป็นที่พอใจแก่ราชการ ออกญาวิชาเยนทร์มีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและกราบบังคมทูลเรื่องวิทยาการและความเจริญของโลกตะวันตกแก่พระองค์...
เมื่อ พ.ศ. 2530 กรมศิลปากรได้ทำการขุดค้นในบริเวณบ้านออกญาวิชาเยนทร์พบวัตถุโบราณจำนวนหนึ่ง ซึ่งนำมาจัดแสดงให้ชมในพระที่นั่งแห่งนี้ได้แก่ กุญแจสัมฤทธิ์ ฝาตลับสัมฤทธิ์ กล้องยาสูบดินขาวจากฮอลันดา ขวากดินเผา มีดโกน หินชนวนและดินสอชนวน หม้อใส่ปูน เชิงเทียน และเหรียญอีแปะ รวมทั้งมีผู้พบชิ้นส่วนจารึกภาษาละตินและภาษาไทยบนแท่งหินอ่อน
โบราณวัตถุดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นของใช้และคงมีอายุครั้งรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเมื่อประทับ ณ เมืองลพบุรี (พ.ศ. 2209 - 2231) คือตรงกับสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ภายในพระที่นั่งจันทรพิศาลยังมีเรื่องราวและสิ่งของทางประวัติศาสตร์ให้ชมอีกจำนวนหนึ่งเช่นประติมากรรมเพื่อความเชื่อ ข้อมูลโครงการพลังน้ำ เทคโนโลยีโลหะวิทยา การแพทย์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภาพวาดสีน้ำเหตุการณ์ครั้งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทอดพระเนตรสุริยุปราคา หรือภาพแผนที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์โดยวิศกรชาวฝรั่งเศสแสดงตึกเลี้ยงต้อนรับแขกเมืองมีคูน้ำและน้ำพุล้อมรอบ ตั้งอยู่ในอุทยานไม้ดอก (ภาพซ้าย)
ออกจากพระที่นั่งจันทรพิศาลแล้วไปชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์บางแห่งที่ยังเหลือร่องรอยในปัจจุบันค่ะ
ตึกเลี้ยงต้อนรับแขกเมือง (ภาพล่าง) ตั้งอยู่กลางอุทยานทางตอนใต้ของหมู่ตึกพระคลัง ผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ลักษณะเป็นตึกชั้นเดียวก่ออิฐถือปูน ผนังเจาะเป็นช่องประตูและหน้าต่างลายโค้งแหลม ล้อมรอบด้วยสระน้ำขนาดใหญ่ 3 สระ ตรงกลางสระน้ำมีน้ำพุมากกว่า 20 จุด สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้พระราชทานเลี้ยงแก่คณะราชทูตจากประเทศฝรั่งเศส ณ สถานที่นี้ ในปี ค.ศ. 2228 และ พ.ศ. 2230
ตึกพระเจ้าเหา เป็นอีกอาคารทางประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญ ตั้งอยู่ทางด้านใต้ของเขตพระราชฐานชั้นนอก แสดงให้เห็นถึงลักษณะสถาปัตยกรรมสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯได้อย่างชัดเจน เป็นตึกที่สร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 10 เมตร ยาว 20 เมตร ยกพื้นสูงขึ้นไปประมาณ 1 เมตร รูปทรงไทย ฐานก่อด้วยศิลาแลงแล้วจึงก่ออิฐขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ปัจจุบันเหลือแต่ผนังประตูหน้าต่าง ทำเป็นซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์ ภายในตึกมีฐานชุกชีปรากฏอยู่และคงปรากฏลายให้เห็น ชาวฝรั่งเศสได้ระบุว่าเป็น "วัด" จึงสันนิษฐานว่าเป็น "หอพระประจำพระราชวัง" ตึกพระเจ้าเหาหรือ พระเจ้าหาว (หาวเป็นภาษาไทยโบราณหมายถึงท้องฟ้า) ในตอนปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระเพทราชาและขุนหลวงสรศักดิ์ใช้ตึกพระเจ้าเหาเป็นที่ประชุมขุนนางและทหารเพื่อแย่งชิงราชสมบัติขณะที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงพระประชวรหนัก
พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เป็นพระที่นั่งสำคัญองค์หนึ่งในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นพระที่นั่งขนาดเล็กที่เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและเสด็จประทับในช่วงปลายรัชกาลจนสิ้นพระชนม์ ณ พระที่นั่งองค์นี้
พระที่นั่งองค์นี้เป็นอาคารทรงตึกแบบยุโรป ฐานด้านหน้าพระที่นั่งมีท่อน้ำดินเผาขนาดเล็กฝังอยู่ สำหรับระบายน้ำที่ขังอยู่ออกจากพื้นที่พระที่นั่ง ทางด้านทิศเหนือของพระที่นั่งมีภูเขาทำเป็นน้ำตกจำลอง ก่อด้วยอิฐฉาบปูนลักษณะเป็นฐานกว้างยอดแหลมสูงลดหลั่นกันลงมา ใต้ฐานยังคงมีท่อประปาดินเผาฝังอยู่ สันนิษฐานว่าคงเป็นท่อส่งน้ำเพื่อทำเป็นน้ำตกไหลจากยอดมาสู่แอ่งน้ำด้านล่างให้ความร่มรื่น สวยงาม เย็นสบายแก่พระที่นั่งองค์นี้
จากบันทึกของ นิโกลาส แชร์แวส ชาวฝรั่งเศสได้บรรยายไว้ว่า หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลืองคล้ายทองคำเมื่อยามต้องแสงตะวัน พระที่นั่งองค์นี้มีกำแพงแก้วล้อมรอบ ตรงมุมมีสระน้ำใหญ่ 4 สระ บรรจุน้ำบริสุทธิ์เป็นที่สรงสนานของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชภายใต้กระโจมซึ่งคลุมกั้น สระน้ำทางขวามือตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาจำลองซึ่งปกคลุมด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มและดอกไม้ซึ่งส่งกลิ่นหอมตลอดเวลา มีน้ำพุใสจ่ายแจกให้แก่ธารน้ำทั้ง 4 ในบริเวณพระที่นั่ง
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงปลูกพันธ์ุไม้ดอกด้วยพระหัตถ์เอง ตรงหน้าพระที่นั่งปลูกต้นส้ม มะนาวและพันธ์ุไม้ในประเทศอย่างอื่นมีใบดกหนาทึบแม้ยามแดดร้อนตะวันเที่ยงก็ร่มรื่นอยู่เสมอ
(เครดิตข้อมูล https://lmf-lopburi.com และ https://th.wikipedia.org)
สถานที่จริงยังคงเหลือร่องรอยเพียงเล็กน้อย มีอาจารย์และนักศึกษากลุ่มหนึ่งกำลังดูงานและฟังคำบรรยายอยู่
สำหรับบ้านออกญาวิชาเยนทร์ ไปสถานที่จริงเป็นช่วงเวลาปิดการเข้าชมแล้วจึงได้ชมเพียงร่องร่อยที่ยังหลงเหลือในปัจจุบันจากนอกรั้วนะคะ
(การสะกดชื่อ : พระที่นั่งจันทรพิศาลใช้ "ออกญาวิไชเยนทร์" บ้านพักสะกด "บ้านวิชาเยนทร์" และจากวิกิพีเดียสะกด "เจ้าพระยาวิชเยนทร์" ในเอนทรี่นี้สะกดคำตามข้อมูลบ้านพักค่ะ)
บ้านวิชาเยนทร์ หรือบ้านหลวงรับราชทูต สร้างขึ้นเพื่อใช้ต้อนรับคณะทูตจากประเทศฝรั่งเศสชุดแรกที่เข้ามาในกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ.2228 ในสมัยแผ่นดินของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อีกทั้งยังเป็นบ้านพักที่เมืองลพบุรีของท้าวทองกีบม้ากับสามี เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ หรือ หลวงสุรสาคร (คอนสแตนติน ฟอลคอน) สมุหนายกชาวกรีก
คอนสแตนติน ฟอลคอน รับราชการกระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็น เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ด้วยเพราะทำความดีความชอบไว้มากและได้รับพระราชทานที่พักอาศัยให้อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของบ้านหลวงรับราชทูตจึงเป็นที่มาของชื่อบ้านวิชาเยนทร์
ในปัจจุบันบ้านวิชาเยนทร์เหลือเพียงซากปรักหักพังซึ่งอยู่ในรั้วรอบขอบชิด มีประตูเปิด-ปิด ภายในยังมองเห็นโครงสร้าง ที่แบ่งได้เป็นสามส่วนคือ ส่วนทิศตะวันตก ส่วนกลาง และส่วนทางทิศตะวันออก
ส่วนทิศตะวันตก สันนิษฐานว่าเป็น บ้านพักของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์และท้าวทองกีบม้า เป็นกลุ่มอาคารได้แก่ ตึก 2 ชั้นหลังใหญ่ ก่อด้วยอิฐ และอาคารชั้นเดียว แคบยาว ซุ้มประตูทางเข้าเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลม ส่วนกลาง สันนิษฐานว่าเป็นหอระฆัง และ โบสถ์ศาสนาคริสต์ ซึ่งถือเป็นโบสถ์หลังแรกของโลก ที่ตกแต่งด้วยลักษณะของโบสถ์ทางพระพุทธศาสนา ผสมผสานสถาปัตยกรรมยุโรปยุคเรเนซองส์
ส่วนทิศตะวันออก สันนิษฐานว่าเป็นบ้านพักรับรองเหล่าคณะทูต ประกอบด้วย กลุ่มอาคารใหญ่ 2 ชั้น มีบันไดขึ้นทางด้านหน้าเป็นรูปครึ่งวงกลม แสดงให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมแบบยุโรป โดยเฉพาะหน้าต่างและซุ้มประตู เป็นศิลปะแบบเรอเนสซองส์
ที่ตั้ง : บนถนนวิชาเยนทร์ ห่างจากเทวสถานปรางค์แขกประมาณ 200 เมตร
วันและเวลาเปิดให้บริการ : เปิดบริการทุกวัน เว้นวันจันทร์-อังคาร เวลา 8.30 17.00 น.
ชมพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาทในตอนที่ 2 พระที่นั่งจันทรพิศาลและบ้านวิชาเยนทร์ในตอนนี้แล้ว สำหรับหมู่พระที่นั่งพิมานพิมานมงกุฏจะบันทึกในตอนต่อไปค่ะ
ขอบคุณเพื่อนๆที่แวะมานะคะ ขอบคุณคุณป้าเก๋าสำหรับของแต่งบล็อกค่ะ
|
บ้านวิชาเยนทร์ ใหญ่โตมโหฬารถึงเพียงนี้ บอกอะไรได้หลายอย่างนะคะ
จุดจบของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ... ในที่สุดก็คงไม่แตกต่างจากบ้านที่เห็นตอนนี้
คืนนี้อย่าลืมดูตอนจบด้วยนะเจ้าคะ อิอิ