เที่ยววัดบนถนนพระปกเกล้า จังหวัดเชียงใหม่ @ วัดพันเตาและวัดเจ็ดลิน
ระหว่างอยู่จังหวัดเชียงใหม่ ช่วงแดดร่มลมตกมักไปเดินสวนสาธารณะหรือไม่ก็ไปวัดค่ะ บนถนนพระปกเกล้ามีวัดสำคัญ ตั้งอยู่หลายแห่ง วันนี้เลือกไปวัดที่ตั้งอยู่บนถนนสายนี้โดยจอดรถริมทางแล้วเดินข้ามสี่แยกที่มีเจดีย์เก่าไปยังวัดแห่งแรก
วัดพันเตา
วัดพันเตาตั้งอยู่เลขที่ 105 ถนนพระปกเกล้า ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ใกล้กับสี่แยกลางเวียง เป็นวัดกลางเมืองที่มีความเก่าแก่ เดิมคนเชียงใหม่เรียกวัดนี้ว่า วัดปันเต้า (พันเท่า) น่าจะหมายถึง การทำบุญเพียงหนึ่งที่จะได้บุญกลับไปพันเท่า แต่ภายหลังได้เพี้ยนเป็น พันเตา เดิมเป็นพื้นที่ในเขตวัดเจดีย์หลวง โดยเป็นเขตสังฆาวาส รวมทั้งเป็นพื้นที่ตั้งเตาหลอมในการหล่อพระพุทธรูปที่ประดิษฐานในวัดเจดีย์หลวงแต่โบราณ ต่อมาภายหลังได้สร้างเป็นวัดพันเตา โดยอยู่ในยุคใกล้เคียงกับวัดเจดีย์หลวง ในรัชสมัย พระเจ้าอินทวิชยานนท์ (องค์ที่ 7) ปี พ.ศ. 2418 ได้มีพระราชศรัทธาในการสร้างพระวิหารโดยการรื้อหอคำ (ที่ประทับ) ของพระเจ้ามโหตรประเทศ (องค์ที่ 5) ซึ่งเป็นเรือนไม้สักทั้งหลัง ถวายให้แก่วัดพันเตา เพื่อเป็นพระวิหารหอคำหลวง
ผ่านประตูวัดเข้ามา ด้านขวามือคือ
พระวิหารหอคำหลวง
เป็นวิหารไม้เก่าแก่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ตัวอาคารเป็นเรือนไม้สักทั้งหลังตามศิลปะแบบเชียงแสน วัสดุหลักมีโครงสร้างแบบกรอบยึดมุม เสาและฝา ทุกส่วนเป็นไม้โดยเฉพาะฝามีแบบวิธีการสร้างพิเศษคล้ายกับฝาปะกนของศิลปะสมัยอยุธยา แต่มีขนาดตัวไม้ที่แน่นหนาแข็งแรงกว่า มีประตูเข้าออกทั้งหมด 3 ทาง คือประตูใหญ่ทางด้านหน้า ประตูด้านข้างทางทิศเหนืออยู่ค่อนมาทางประตูหน้า ส่วนประตูทางทิศใต้อยู่ค่อนไปทางด้านหลัง
ประตูที่สำคัญคือประตูหน้า ซึ่งประกอบด้วยซุ้มประตูไม้แกะสลักประดับกระจกเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ ได้แก่ นกยูง นาค ลิง หงส์ ประกอบลวดลายที่กรอบประตูส่วนบนเป็นโก่งคิ้วไม้แกะสลักลายดอกไม้ใบไม้ บานประตูเป็นไม้แผ่นเรียบ
โมเดลพระวิหารหอคำหลวง วัดพันเตา เครดิต //www.lanna-arch.net/
ใกล้กับพระวิหารหอคำหลวง เป็นศาลา สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
สะดุดตาทางเดินไม้ไผ่สานที่ให้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ จากบริเวณด้านหน้าวัดเข้าสู่ด้านใน
ด้านหลังพระวิหารหอคำหลวงคือเจดีย์องค์ประธานของวัดสีแดงทรงระฆังบนฐานแปดเหลี่ยม รายล้อมด้วยเหล่าเจดีย์ราย
พระพุทธรูปสีทองประดิษฐานใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ บริเวณลานธรรม
โรงเรียนธรรมเมธีศึกษา วัดพันเตา
ตรงข้ามโรงเรียนธรรมเมธีศึกษาเป็นกุฏิเจ้าอาวาส โดยหลังคาของกุฏิ มุงด้วยใบตองตึงแทนกระเบื้อง
จากบริเวณหน้ากุฏิเจ้าอาวาส เดินกลับมายังพระวิหารหอคำหลวง
ไม้ไผ่จักสานขัดแตะทำเป็นองค์เจดีย์ทรายเตรียมให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ใช้ปักตุงล้านนา เพื่อความเป็นสิริมงคลในประเพณีสงกรานต์
เข้ามาภายในพระวิหารหอคำหลวงเพื่อกราบพระพุทธรูป พระเจ้าปันเต้า
กราบพระเจ้าทันใจและชมธรรมมาสน์ยกพื้นสูงแบบโบราณ
รูปภาพประดับผนังด้านหลังพระวิหาร
ออกจากวัดพันเตา เดินเลี้ยวขวาราว 50 เมตร ไปยังวัดเจดีย์หลวง
ป้าย "ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง" ตรงประตูวัดเจดีย์หลวงด้านใน
ประเพณีปี๋ใหม่เมือง หรือ ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง วันสงกรานต์ล้านนาในภาคเหนือ
เริ่มในวันที่ 13 เมษายน เรียกว่า"วันสังขานต์ล่อง"วันนี้ถือเป็นวันสิ้นสุดศักราชเก่าของชาวภาคเหนือ มีการจุดประทัดในช่วงเช้า เพราะมีความเชื่อแต่โบราณว่าเป็นการขับไล่สิ่งเลวร้ายในปีก่อนให้พ้นไป และในช่วงเย็นจะมีงานบุญขนาดใหญ่นั่นคือ การแห่พระพุทธรูปสำคัญประจำเมือง ในช่วงนี้จะมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติร่วมชม ได้ทั้งบุญและความสนุกสนาน
วันที่ 14 เมษายน ที่เรียกกันว่า "วันเนา"หรือ"วันเน่า"จะเป็นวันที่ห้ามด่าทอว่าร้ายผู้อื่น ไม่เช่นนั้นจะทำให้โชคร้ายไปตลอดทั้งปี
วันที่ 15 เมษายน"วันพญาวัน"หรือ"วันเถลิงศก"เป็นวันที่ชาวบ้านไปทำบุญตักบาตรเข้าวัด ฟังธรรม จากนั้นจะมีการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ในช่วงบ่าย
วันที่ 16เมษายน"วันปากปี" ทุกคนก็จะพากันไปรดน้ำเจ้าอาวาสตามวัดต่างๆและรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่เพื่อขอขมา
วันที่ 17 เมษายน "วันปากเดือน" ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์ ชาวบ้านจะทำการปัดตัว เพื่อส่งเคราะห์ต่างๆออกไป เป็นประเพณีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะทางภาคเหนือหรือแผ่นดินล้านนาเท่านั้น
จากวัดเจดีย์หลวงเดินต่อไปยังวัดช่างแต้ม อยู่บนถนนฝั่งเดียวกันค่ะ
ออกจากวัดช่างแต้ม เห็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ขี่จักรยานเป็นแถวผ่านมา
ยอดเจดีย์สีทองๆในภาพซ้ายมือนี้ เดินเข้าไปใกล้ๆพบว่าเป็นเจดีย์ของวัดหมื่นตูมที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม เป็นพื้นที่ปิดระหว่างการก่อสร้าง
เดินต่อมาถึงเขตกำแพงวัดเจ็ดลินยืนตรงฟุตบาทมองผ่านกำแพงวัดเห็นพระพุทธรูปที่ประดิษฐานในวิหาร
วัดเจ็ดลิน หรือวัดหนองจริน ตั้งอยู่ถนนพระปกเกล้า อ.เมือง จ.เชียงใหม่ สร้างขึ้นก่อนปีพุทธศักราช 2060 (สมัยพระเมืองแก้ว หรือ พระเจ้าดิลกปนัดดาธิราช) และไม่ปรากฎชัดว่ากษัตริย์ในราชวงศ์มังรายพระองค์ใด เป็นผู้สร้าง และสร้างในปี พ.ศ. ใด
มีเนื้อที่ปรากฎตามหลักฐานโฉนดที่ดินออกในปี พ.ศ. 2482 จำนวน 7 ไร่เศษ เป็นวัดที่เคยรุ่งเรืองมาในอดีตแต่ต่อมาวัดเจ็ดลินตกอยู่ในสภาพวัดร้าง ประมาณปี พ.ศ. 2509 สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ ได้ขอเช่าเนื้อที่ด้านหน้าติดกับถนนพระปกเกล้า เป็นบ้านพักเจ้าหน้าที่และได้ย้ายออกไปภายหลัง
ในวันที่ 30 มกราคม 2546 พระญาณสมโพธิ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ ได้รับมอบหมาย จากคณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ให้เป็นประธานพัฒนาฟื้นฟูวัดเจ็ดลิน และขอยกเป็นวัดที่มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษา และพัฒนาหนองน้ำ ภายในวัดให้เป็นหนองน้ำที่ใสสะอาดสวยงาม เป็นหนองน้ำแห่งประวัติศาสตร์คู่เมืองเชียงใหม่
ด้านหลังวิหารมีเจดีย์ที่มีรูปทรงมณฑป ผสมทรงกลมอิทธิพลสุโขทัย มีซุ้มพระประดับ 4 ทิศ อยู่ในยุคหลังพระเจ้าติโลกราช เป็นลักษณะเจดีย์ที่สร้างในสมัยพระยายอดเมืองเชียงรายและสร้างต่อโดยพระเมืองเกษเกล้า
มีจุดร่วมทำบุญกระเบื้องมุงหลังคาศาลา
ประมาณกลางทางเดินในภาพล่าง เป็นทางออกยังศาลาริมน้ำ ป้ายระบุชื่อ
ศาลาพุทธชยันตี
ร่วมฉลอง 2,600 ปี แห่งชัยชนะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บรรยากาศสงบริมหนองน้ำ
จากข้อมูลพบว่าที่เรียกว่า วัดเจ็ดลิน นั้นเนื่องจากภายในวัดมีหนองน้ำแห่งนี้ค่ะ ตามประวัติกล่าวว่า ในอดีตกษัตริย์ในราชวงศ์มังราย พระองค์ใด ก่อนจะขึ้นเสวยราชย์จะต้องไปทรงผ้าชุดขาว (นุ่งขาวห่มขาว) ณ วัดผ้าขาว จากนั้นจะเสด็จไปสะเดาะเคราะห์ ณ วัดหมื่นตูม และจะเสด็จไปประกอบพิธีสรงน้ำพุทธาภิเษก ณ หนองน้ำวัดเจ็ดลิน ในการประกอบพิธีราชาภิเษกนั้น จะทำรางน้ำหรือที่ทางเหนือเรียกว่า "ลิน" ทำด้วยคำไว้ 7 ลิน แล้วนำน้ำพุทธาภิเษกใส่สุวรรณหอยสังข์ หล่อลงรางลินทั้ง 7 เพื่อสรงพระวรกาย จากนั้นจึงเปลี่ยนเครื่องทรงกษัตริย์ขึ้นเสวยราชย์ต่อไป
ดังปรากฎในสมัย เจ้าแม่ฟ้ากุ (พระเมกุฎิวิสุทธิวงศ์ กษัตริย์ผู้ครองนครเชียงใหม่ ลำดับที่ 20 พ.ศ. 2094 - 2107) ก่อนขึ้นเสวยราชย์ได้ทำพิธีราชาภิเษก โดยเสด็จไปสรงน้ำพระที่วัดเจ็ดลิน "คำเชิญกษัตริย์เจ้า ไปลอยเคราะห์นอนหั้นแล 3 วัน แล้วไปอุสสาราช หล่อน้ำพุทธาภิเษกสุคนธาด้วยสุวรรณหอยสังข์ที่วัด 7 ลินคำ หั้นแล
.."
เครดิต //www.tripchiangmai.com/
อีกมุมหนึ่งของหนองน้ำเห็นศาลาที่เพิ่งเดินจากมา
จุดที่ยืนนี้มีอาคารหลังหนึ่งกำลังก่อสร้าง เสาสองต้นบริเวณหน้าประตูทางเข้าอาคารทำจากไม้ขนาดใหญ่
ขณะเดินกลับมายังด้านหน้าวัด เห็นภาพที่ติดบริเวณผนังหลังอาคารชั้นเดียวภาพหนึ่ง มีคำบรรยายภาพว่า "เจดีย์ทรายสุดส้าว"
เจดีย์ทรายสุดส้าว
เจดีย์ทรายสุดส้าวนั้น ภาษาเหนือแปลว่าสุดไม้สอย ผู้ที่ได้ก่อเจดีย์ทรายจะถือว่าเป็นการทำกุศลที่ยิ่งใหญ่โดยจะทำกันในช่วง เทศกาลสงกรานต์ โดยก่อขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อสืบสานประเพณีความเชื่อของชาวล้านนา
ประวัติของการก่อเจดีย์ทรายมีเรื่องเล่าว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จไปยังเมืองสาวัตถีพร้อมบริวาร ได้เห็นหาดทรายขาวบริสุทธิ์ก็เกิดจิตศรัทธาก่อทรายเป็นเจดีย์ 8 หมื่น 4 พันองค์ แล้วอุทิศเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา เมื่อพระองค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ได้ทูลถามถึงอานิสงส์การก่อเจดีย์ทรายดังกล่าว พระพุทธเจ้าตรัสว่า การที่มีจิตเลื่อมใสศรัทธาก่อเจดีย์ทรายถึง 8 หมื่น 4 พันองค์หรือเพียงองค์เดียวก็ได้อานิสงส์มาก คือ จะไมตกนรกหลายร้อยชาติ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเพียบพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ มีบริวารและเกียรติยศชื่อเสียง หากตายก็จะได้ขึ้นสวรรค์ พรั่งพร้อมด้วยสมบัติและมีนางฟ้าเป็นบริวาร ด้วยอานิสงส์ดังกล่าวจึงทำให้คนโบราณนิยมก่อเจดีย์ทรายเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้
โดยองค์เจดีย์นั้นมีฐานกว้าง 14 เมตร สูง 15เมตร หรือ สูงเท่าตึก 5 ชั้น ใช้ทรายจากชาวบ้านที่ขนเข้าวัดมาทำบุญ มากถึง 250 คิว
โดยทางวัดจะก่อเจดีย์ทรายไปจนถึงวันที่ 15 เมษายนหลังจากนั้นก็จะนำทรายทั้งหมดไปใช้ในการบูรณะวัดต่อไป
วัดทั้งห้าแห่งคือวัดพันเตา วัดเจดีย์หลวง วัดช่างแต้ม วัดหมื่นตูม และวัดเจ็ดลิน บนถนนพระปกเกล้านี้ตั้งอยู่ใกล้ๆกัน แม้มีเวลาไม่มาก ยังสามารถชมวัดเก่าแก่คู่เมืองเชียงใหม่ได้นะคะ สำหรับวัดเจดีย์หลวง วัดเก่าแก่ซึ่งมีความสำคัญ คงได้บันทึกในบล๊อกต่อไปค่ะ
กำหนดการจัดงานประเพณีสงกรานต์เชียงใหม่ (ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมืองเจียงใหม่ ประจำปี 2560)
รณรงค์การเล่นน้ำสงกรานต์เพื่อสืบสานวัฒนธรรมประเพณีปี๋ใหม่เมือง
เครดิต //www.cm108.com/
สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ
ขอบคุณเพื่อนๆที่แวะมานะคะ ขอบคุณคุณป้าเก๋าและคุณพีชสำหรับของแต่งบล๊อกค่ะ
| |
Create Date : 12 เมษายน 2560 |
Last Update : 2 กรกฎาคม 2560 1:05:59 น. |
|
52 comments
|
Counter : 4399 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณTui Laksi, คุณอุ้มสี, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณmambymam, คุณpraewa cute, คุณClose To Heaven, คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน, คุณเรียวรุ้ง, คุณMaeboon, คุณหอมกร, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณmoresaw, คุณคนผ่านทางมาเจอ, คุณmcayenne94, คุณMitsubachi, คุณhaiku, คุณmariabamboo, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณข้ามขอบฟ้า, คุณnewyorknurse, คุณปรัซซี่, คุณรัชต์สารินท์, คุณสองแผ่นดิน, คุณกะว่าก๋า, คุณThe Kop Civil, คุณเกศสุริยง, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณQuel, คุณบ้านต้นคูน, คุณสาวไกด์ใจซื่อ, คุณพันคม, คุณเนินน้ำ, คุณauau_py, คุณtuk-tuk@korat, คุณชมพร, คุณALDI, คุณsecreate |
โดย: Tui Laksi วันที่: 12 เมษายน 2560 เวลา:9:15:27 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 12 เมษายน 2560 เวลา:9:31:56 น. |
|
|
|
โดย: praewa cute วันที่: 12 เมษายน 2560 เวลา:10:49:09 น. |
|
|
|
โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 12 เมษายน 2560 เวลา:13:01:52 น. |
|
|
|
โดย: Maeboon วันที่: 12 เมษายน 2560 เวลา:13:28:46 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 12 เมษายน 2560 เวลา:13:43:36 น. |
|
|
|
โดย: moresaw วันที่: 12 เมษายน 2560 เวลา:15:56:16 น. |
|
|
|
โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 12 เมษายน 2560 เวลา:17:02:24 น. |
|
|
|
โดย: Mitsubachi วันที่: 12 เมษายน 2560 เวลา:20:57:39 น. |
|
|
|
โดย: Kavanich96 วันที่: 13 เมษายน 2560 เวลา:3:38:49 น. |
|
|
|
โดย: mariabamboo วันที่: 13 เมษายน 2560 เวลา:11:35:11 น. |
|
|
|
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 13 เมษายน 2560 เวลา:22:09:11 น. |
|
|
|
โดย: ปรัซซี่ วันที่: 14 เมษายน 2560 เวลา:19:50:24 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 14 เมษายน 2560 เวลา:23:44:29 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 เมษายน 2560 เวลา:6:34:31 น. |
|
|
|
โดย: moresaw วันที่: 15 เมษายน 2560 เวลา:9:41:50 น. |
|
|
|
โดย: ชมพร วันที่: 15 เมษายน 2560 เวลา:10:07:29 น. |
|
|
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 15 เมษายน 2560 เวลา:14:38:54 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 15 เมษายน 2560 เวลา:20:35:43 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 15 เมษายน 2560 เวลา:21:07:19 น. |
|
|
|
โดย: Quel วันที่: 16 เมษายน 2560 เวลา:1:32:29 น. |
|
|
|
โดย: จี๊ดจ๊าด (บ้านต้นคูน ) วันที่: 16 เมษายน 2560 เวลา:9:20:49 น. |
|
|
|
โดย: พันคม วันที่: 16 เมษายน 2560 เวลา:16:56:11 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 16 เมษายน 2560 เวลา:19:49:40 น. |
|
|
|
โดย: auau_py วันที่: 17 เมษายน 2560 เวลา:7:31:50 น. |
|
|
|
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 17 เมษายน 2560 เวลา:22:57:42 น. |
|
|
|
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 18 เมษายน 2560 เวลา:1:02:23 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 เมษายน 2560 เวลา:6:17:00 น. |
|
|
|
โดย: moresaw วันที่: 18 เมษายน 2560 เวลา:7:53:51 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 18 เมษายน 2560 เวลา:8:15:53 น. |
|
|
|
โดย: mariabamboo วันที่: 18 เมษายน 2560 เวลา:8:33:21 น. |
|
|
|
โดย: ชมพร วันที่: 18 เมษายน 2560 เวลา:9:38:39 น. |
|
|
|
โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 18 เมษายน 2560 เวลา:10:46:41 น. |
|
|
|
โดย: ALDI วันที่: 18 เมษายน 2560 เวลา:13:03:26 น. |
|
|
|
โดย: secreate วันที่: 18 เมษายน 2560 เวลา:17:42:27 น. |
|
|
|
โดย: ไอฟายน้อย (Ces ) วันที่: 2 พฤษภาคม 2560 เวลา:21:03:42 น. |
|
|
|
|
|
เป็นอีกมุมที่น่าสนใจและน่าไปเที่ยวมากคะ
ไป ชม. ก็ยังไม่เคยไปเที่ยวชมวัดที่นี่เลย
ความสวยงามของวัดทางเหนือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเลยนะคะ
ชอบจังที่กุฎิท่านเจ้าอาวาส ใช้วัสดุในท้องถิ่น แม้กระทั้งการสร้างเจดีย์
กลมกลืนไปกับวิถีชีวิตคนเหนือที่ช่วยอนุรักษ์ไว้...ชอบมากๆ
ขอบคุณนะคะ
Sweet_pills Topical Blog