จากตอนที่แล้ว ตั้งใจไปกราบหลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตร
เราปักหมุดไปวัดพระแก้วต่อ... ลองดูจาก google map ประมาณ 3 กม.
ใช้เวลาเดิน 38 นาที ระหว่างทางก็เดินถ่ายรูปไป แวะตามรายทางไป

13.48 น. วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2565 วัดราชบพิธค่ะ ช่วงโควิด-19 หลายสถานที่ จำกัดการเข้า-ออก เหลือประตูเดียว



เดินอ้อมไปค่ะ ส่วนมากเราเข้าทางสุสานหลวง



สะพานปีกุน เป็นสะพานสำหรับคนเดินข้ามคลองคูเมืองเดิมเดิม เชื่อมระหว่างถนนอัษฏางค์และถนนราชินี ตรงหน้าวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามและกระทรวงมหาดไทย ฝั่งถนนอัษฎางค์ และหน้าวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ฝั่งถนนราชินี โดยมีอนุสาวรีย์หมูอยู่บนฝั่งคลองด้านตะวันตกใกล้เชิงสะพาน เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก ราวสะพานมีลักษณะเป็นเหล็กกลมทอดไปตามยาว คั่นด้วยเสาคอนกรีตเป็นระยะ ลักษณะที่น่าสนใจ คือ เสาที่เชิงสะพานทั้งสองฝั่ง มีทั้งหมด 4 ต้น เป็นเสาคอนกรีตเซาะร่องหัวเสาเป็นรูปถ้วยประดับช่อมาลามีวงรูปไข่ 4 วงทุกเสา มีความหมายถึง ต้นเสา หมายถึง เทียนประทีปพระชันษาเป็นตะเกียงไม่มีแสง จะได้หมายความถึง 4 รอบพรรษานี้ เมื่อขาดพระราชสวามีไปก็คล้ายดวงชวาลาที่อับแสง ขาดความรุ่งโรจน์


 

อนุสาวรีย์หมู หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า อนุสาวรีย์สหชาติ เป็นอนุสาวรีย์รูปหมู ตั้งอยู่ริมคลองคูเมืองเดิม ในส่วนของคลองหลอด อยู่ที่เชิงสะพานปีกุน ฝั่งตรงข้ามวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ริมถนนราชินี แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร ออกแบบโดยสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์

สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2456 เมื่อสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระชนมายุครบ 50 พรรษา ซึ่งพระองค์พระราชสมภพในปีกุน ในวันเฉลิมพระชนมายุของพระองค์ในปีนั้น สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงร่วมกับพระยาพิพัฒน์โกษา (เศเลสติโน ซาเวียร์) และพระยาราชสงคราม (กร หงสกุล) ซึ่งเกิดปีเดียวกันกับพระองค์ ร่วมกันจัดสร้างสะพานปีกุน และ อนุสาวรีย์สหชาติขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ของพวกท่าน

เมื่อแรกสร้างนั้นใช้แท่งศิลาขนาดใหญ่มาซ้อนกันเป็นฐาน ตัวหมูที่ตั้งอยู่ด้านบนแท่งศิลา หล่อด้วยโลหะ ในปัจจุบันฐานศิลาถูกเปลี่ยนมาเป็นปูนซีเมนต์ และก่อยกให้สูงขึ้นกว่าเดิมลักษณะเป็นภูเขา



วัดราชประดิษฐ อยู่ฝั่งตรงข้ามค่ะ / เข้าประตูฝั่งสุสานหลวง

สุสานหลวง สถานที่บรรจุพระศพ พระอัฐิ พระอังคาร ของสมาชิกราชสกุลในมหาสาขา รัชกาลที่ 5 







มากี่รอบ ก็เงียบ ๆ แบบนี้ล่ะค่ะ 



พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงประจำรัชกาลที่ 5



เมื่อครั้ง ขบวนพยุหยาตราทางสถลมารค ในหลวง รัชกาลที่ 10  เสด็จฯ ถึงวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เทียบพระราชยานพุดตานทองที่เกยข้างวัดราชบพิธฯ ตรงนี้ล่ะค่ะ











ปัจจุบันวัดนี้เป็นหนึ่งในวัดที่อยู่ใน “โครงการอนุรักษ์และทำนุบำรุงศาสนสถานอันเกี่ยวเนื่องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และการส่งเสริมการเผยแผ่ศาสนา” ที่ดำเนินการโดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์





เดี๋ยวเดินข้ามสะพานปีกุน ไปวัดราชประดิษฐกันค่ะ



มองกลับไปฝั่งวัดราชบพิธ



ข้ามคลองคูเมืองเดิม







13.32 น.  วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม



ประตูทางเข้า สองชั้น มองตรงไปมีอีกประตู





13.34 น.



มองกลับไป ทางที่เราเดินมา



ปาสาณเจดีย์ พระเจดีย์ประดับหินอ่อนทั้งองค์



 เป็นพระเจดีย์ทรงลังกา ประดับด้วยหินอ่อนทั้งองค์ ยกเว้นช่วงปลียอดที่เป็นกะไหล่ทอง องค์พระเจดีย์สร้างเป็นซุ้ม ซุ้มด้านทิศเหนือประดิษฐานพระรูปหล่อสัมฤทธิ์ปิดทองของสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในองค์พระเจดีย์เมื่อ พ.ศ. 2410



ปราสาทพระไตรปิฎก อยู่ด้านข้างพระวิหารหลวงทางทิศตะวันออก เป็นปราสาทยอดปรางค์ศิลปะเขมรเช่นเดียวกัน เป็นสถานที่เก็บรักษาพระไตรปิฎกและคัมภีร์ต่าง ๆ



มุมแคบมาก ถ่ายรูปยากมากค่ะ



ปราสาทพระบรมรูป  หรือ ปราสาทพระจอม ลักษณะคล้ายกับปราสาทพระไตรปิฎกเกือบทุกประการ เพียงแต่ใช้กลีบขนุนประดับรูปเทพนมแทนนาคปัก เปลี่ยนยอดปราสาทตรงบัญชรชั้นแรกเป็นรูปหน้าบุรุษสวมกะบังพักตร์แบบเขมร ทั้ง 4 ด้าน รวมเป็นยอดจตุรพักตร์ หรือที่นิยมเรียกว่า “พรหมพักตร์”



ปราสาทพระจอม หรือ ปราสาทพระบรมรูป อยู่ด้านข้างพระวิหารหลวงทางทิศตะวันตก เป็นปราสาทยอดปรางค์ตามแบบศิลปะเขมร เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขนาดเท่าพระองค์จริง





วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร เป็นพระอารามประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว



พระบรมราชสัญลักษณ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เป็นรูปพระมหามงกุฎ เพราะพระนามเดิมของพระองค์คือ “เจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติเทวาวงศ์” จึงใช้ตรามงกุฎเป็นพระบรมราชสัญลักษณ์ และพระบรมราชลัญจกรประจำรัชกาล แต่รูปมงกุฎผิดแผกกับมงกุฎรัชกาลที่ 1 ด้วยเป็นพระมงกุฎที่มีพระจอนประกอบด้วย







ซุ้มประตูและหน้าต่างพระวิหารหลวงเป็น “ซุ้มมงกุฎจอมแห”





พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงอาราธนา พระสาสนโสภณ (สา ปุสฺสเทโว ต่อมาคือ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช) หรือสามเณรสา ผู้สอบเปรียญ 9 ประโยคได้ขณะเป็นสามเณร เป็นรูปแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ จากวัดบวรนิเวศวิหาร มาเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก เมื่อ พ.ศ. 2408 ทรงกระทำการสมโภชทั้งเจ้าอาวาสและวัดใหม่เป็นเวลา 3 วัน และทรงรับเข้าอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์สืบมาจนปัจจุบัน















เราเคยมีภาพถ่ายภายในพระวิหาร แต่จำไม่ได้ว่าเอาไว้ที่ไหนค่ะ ย้อนหลังไปดูบล็อกเก่า ๆ หาไม่เจอซะงั้น





วันนี้พระวิหารไม่เปิดค่ะ



ด้านหน้าทางเข้าอีกฝั่ง ถนนสราญรมย์



พระราชวังสราญรมย์ เคยใช้เป็นที่ทำการกระทรวงการต่างประเทศ



พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาท



พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ ขณะ เสด็จออก ณ สีหบัญชร พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อให้ประชาชนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล และชื่นชมพระบารมี เนื่องในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ๒๕๖๒



พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ที่หน้าพระราชวังสราญรมย์ หรือกระทรวงการต่างประเทศเก่า
เนื่องด้วยวังสราญรมย์สร้างขึ้นตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 4 ที่สร้างเพื่อเป็นที่ประทับ หลังจากสละราชสมบัติให้พระราชโอรสองค์ใหญ่ที่บรรลุนิติภาวะขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แทน แต่พระองค์มาด่วนสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2411 ก่อนที่วังจะสร้างเสร็จ



กำแพงแก้วฝั่งด้านนี้มองเห็นพระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง



ป้อมสิงขรขันฑ์  ประตูเทวาพิทักษ์  พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาท ประตูศักดิ์ไชยสิทธิ์



ป้อมสัญจรใจวิง



อาคารที่ทำการกระทรวงกลาโหม ออกแบบโดย นายโยคิม แกรซี เป็นอาคาร 3 ชั้น งดงามด้วยสถาปัตยกรรมโอคลาสิคแบบนีโอปัลลาเดียน ลักษณะเด่นทางสถาปัตยกรรม คือผังมีลักษณะเกือบสี่เหลี่ยม บริเวณมุขชั้นที่ 2 มีระเบียงขนาดใหญ่ต่อยื่นมาจากตัวตึก รองรับด้วยเสากลมขนาดใหญ่ หัวเสาแบบโรมัน รองรับเป็นระยะ ๆ แถวละ 6 ต้น มีทั้งสิ้น 2 แถว ด้านหน้าของระเบียงใหญ่ประดับด้วยสัญลักษณ์สามเหล่าทัพ คือ กงจักร สมอ และปีก อยู่บนพื้นรูปสี่เหลี่ยมสีทอง ทางด้านซ้ายและขวาของรูปสัญลักษณ์มีอักษณคำโคลงสยามานุสติ ด้านหน้าอาคารเป็นสนามหญ้ากว้างตกแต่งด้วยปืนใหญ่โบราณหลายกระบอกกึ่งกลางสนามเป็นเสาธงขนาดใหญ่













ศาลหลักเมือง เข้าได้ประตูเดียว อยู่อีกฝั่งค่ะ 





ป้อมเผด็จดัสกร - พระบรมมหาราชวัง ฝั่งตรงข้ามศาลหลักเมือง





....ในปีพุทธศักราช 2525 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนิน ณ ศาลหลักเมือง ในพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี เพื่อเป็นสิริมงคลแก่มหานครตามโบราณราชประเพณี และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการดำเนินการปรับปรุงศาลหลักเมืองให้มีความงดงามบริบูรณ์สมกับเป็นที่สถิตแห่งองค์พระหลักเมือง และให้เชิญเสาหลักเมืองต้นเดิมไปประดิษฐานไว้คู่กับเสาหลักเมืองต้นปัจจุบัน



เสาหลักเมือง



ศาลเทพารักษ์ เป็นที่สถิตแห่งเทพารักษ์ทั้ง 5 ได้แก่ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรี เจ้าเจตคุปต์ และเจ้าหอกลอง



เราไปเมื่อวันที่ 4 มกราคม  พ.ศ. 2565 คนเยอะมากค่ะ













รำแก้บน ที่ศาลหลักเมือง ช่วงโรคระบาดโควิด-19



หมุดหมายต่อไป...วัดพระแก้วค่ะ





อุโมงค์ทางเดินลอดถนนมหาราช เปิดให้เยี่ยมชมแล้วบางส่วน เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา 



คาดว่าอุโมงค์ทางเดินลอดหน้าพระลาน จะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2565