|
5 เทรนด์กินดีมีสุขภาพ
เดี๋ยวนี้หันมอง ไปทางไหนก็มีแต่เรื่องของสุขภาพ ที่กลายเป็นเทรนด์ฮิตมาร่วมทศวรรษแล้ว ก็ยังไม่ตกกระป๋อง แม้กระทั่งคนฝั่งอเมริกา ซึ่งเป็นเจ้าตำรับของฟาสต์ฟู้ดอันขึ้นชื่อนักหนาว่า เป็นตัวการก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ กินแล้วจะอ้วน เสียสุขภาพ ฯลฯ ก็ยังหันมาเกาะเทรนด์ใหม่ หันหลังให้อาหารบั่นทอนสุขภาพทั้งหลาย
พื้นที่ของความนิยมในแนวทางอาหารต่างๆ จึงกว้างมากขึ้น อาหารสุขภาพหลายอย่างสอดแทรกเข้ามา เป็นแนวทางให้ทดลองรับประทานกันมากมาย เซ็กชัน “กิน ดื่ม” วันนี้ ขอหยิบเอาเทรนด์ฮอตสุดๆ 5 ประการมาฝากทุกๆ ท่านเป็นเทรนด์อาหารที่ทั้งอร่อย ไม่สุดโต่งเกินไป หารับประทานง่าย และจัดได้ด้วยตัวเอง นั่นจึงทำให้แนวทางทั้ง 5 ได้รับความนิยมสูง
กึ่งมังสวิรัติ
นอกจากวิตามินและไฟเบอร์จากผัก ผลไม้และธัญพืชต่างๆ แล้ว แนวทาง “กึ่งมังสวิรัติ” (Flexitarianism) ยังอนุโลมให้รับประทานเนื้อสัตว์ที่ไร้มัน ปลา ไก่ รวมทั้งผลิตภัณฑ์นมเนยพร่องไขมันอีกด้วย
เมื่อมิได้รับประทานแต่ผัก ผลไม้เพียวๆ แนวทาง “กึ่งมังสวิรัติ” จึงเป็นที่นิยมมาก อย่างน้อยก็ดับอาการอยากรับประทานเนื้อ สำหรับคนที่ไม่เคยรับประทานมังสวิรัติมาก่อนได้ โดยแนวทางคือ ให้งดรับประทานเนื้อสัตว์ใดๆ อย่าง 4 วันต่อสัปดาห์
แนวคิดนี้เริ่มที่อเมริกา ซึ่งมาจากความต้องการหลีกเลี่ยงไขมันประเภททรานส์แฟต หันมารับประทานอาหารที่มีกากใยสูง คำตอบที่ได้ก็คืออาหารมังสวิรัติ ทว่านักโภชนาการหลายคนก็ยังเชื่อว่า เป็นวิถีที่ค่อนข้างสุดโต่งเกินไป รวมทั้งเกรงว่าจะได้รับโปรตีนไม่ครบประเภทที่ร่างกายต้องการ แนวทาง “กึ่งมังสวิรัติ” จึงเกิดขึ้นมา เพื่อที่ให้ผู้ปฏิบัติตามได้มีทางเลือกรับประทานเนื้อสัตว์ได้ด้วย
ผลสำรวจผู้ที่เข้าโปรแกรมรับประทานแบบ “กึ่งมังสวิรัติ” พบว่า นอกจากน้ำหนักจะลดลงแล้ว ความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ก็จะลดลงด้วย (ผลวิจัยทำนาน 19 ปี โดยมหาวิทยาลัยทูเลน ในนิวออร์ลีนส์)
ผักสวนครัวรั้วกินได้
ผัก-ผลไม้สดกลายเป็นที่ต้องการมากขึ้นในยุคนี้ และเนื่องด้วยการผลิตผัก-ผลไม้ในอุตสาหกรรมมักจะปนเปื้อนสารเคมี คนทุกวันนี้จึงเริ่มหันมาทำสวนเล็กๆ เองที่บ้าน หลายๆ แห่งถึงขนาดรวมกลุ่มกันทำเป็นชุมชนปลูกผัก-ผลไม้ รับประทานเอง ซึ่งทำให้สามารถควบคุมผลผลิตที่สดใหม่ไร้สารเคมีที่แปลกปลอมได้
แนวคิด “ฟาร์มท้องถิ่น” (Locally Grown Foods) เป็นรูปเป็นร่างขึ้นในหลายๆ แห่ง บ้างเป็นการรวมกลุ่มกันเองหลวมๆ สบายๆ บ้างก็จริงจังถึงขั้นตั้งเป็นสหกรณ์ โดยนอกเหนือจากผัก-ผลไม้แล้ว ยังเริ่มที่การทำปศุสัตว์ เอาเนื้อและนมโค รวมทั้งสัตว์ที่สามารถปรุงเป็นอาหารอื่นๆ ไปจนถึงการเลี้ยงผึ้งเพื่อเอาน้ำผึ้งเลยทีเดียว
การทำ “ฟาร์มท้องถิ่น” ทำให้เป็นที่แน่ใจได้ชัวร์ๆ เลยว่า จะได้ผัก-ผลไม้ที่สดใหม่ เช่นเดียวกับเนื้อสัตว์และผลิตผลต่างๆ ที่ไม่ผ่านกระบวนการผลิตที่มีสารแปลกปลอมใดๆ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเต็มไปด้วยคุณค่าอาหาร และวิตามินที่พึงมีอย่างครบถ้วน
อาหารเสริมคุณค่า
กลุ่มคนที่เคร่งเครียดจัดๆ เรื่องคุณค่าทางอาหาร อาจจะรู้สึกบ่อยๆ ว่า ร่างกายของตัวเองขาดสารนู่นสารนี่ไปเรื่อย “อาหารเสริมคุณค่า” (Functional Foods) จึงเกิดขึ้นมาตอบสนองเทรนด์ความนิยมนี้ ไม่ว่าจะเป็นนมแคลเซียมสูง ไข่ไก่ใส่โอเมกา 3 น้ำส้มเสริมวิตามินเอและซี แป้งเสริมโปรตีน ฯลฯ
“อาหารเสริมคุณค่า” อาจมีส่วนช่วยเติมเต็มคุณค่าทางอาหารที่ขาดไปของหลายๆ คน
ยกตัวอย่าง คนที่รับประทานนมไม่ได้ อาจเนื่องจากอาการแพ้ อาจจะเลือกรับประทานไข่ไก่เสริมแคลเซียมทดแทนได้ เช่นเดียวกับคนแพ้อาหารทะเล ก็มีไข่หรือขนมปังเสริมโอเมกา 3 เป็นทางเลือก
แนวทาง “อาหารเสริมคุณค่า” ยังช่วยให้แต่ละคนที่ปฏิบัติตาม สามารถสร้างสมดุลในมื้ออาหารได้ โดยที่พฤติกรรมในการบริโภคแต่ละวันไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงใดๆ
อาหารออร์แกนิก
นับว่าเป็นเทรนด์อาหารที่ “โตเร็ว” ที่สุดในตลาดก็ว่าได้ อาจด้วยเพราะภาพลักษณ์ของ “อาหารออร์แกนิก” (Organic Food) นั้นดูสุขภาพจ๋า... จริงๆ
นอกจากนี้ ยังมีผลวิจัยเกี่ยวกับ “อาหารออร์แกนิก” ออกมามากมาย ซึ่งก็น่าจะสืบเนื่องมาจากความนิยมที่พุ่งพรวดนั่นแหละ โดยพบว่าอาหารประเภทนี้มีวิตามินสูงกว่าอาหารทั่วๆ ไป อย่างเช่น ผลวิจัยที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้ความว่า “อาหารออร์แกนิก” มีวิตามินซีสูงกว่าอาหารทั่วไปถึง 27 เปอร์เซ็นต์ มีธาตุเหล็กสูงกว่า 21 เปอร์เซ็นต์ และมีสารแมงกานีสสูงกว่าถึง 29 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม ต้องตั้งข้อสังเกตไว้สำหรับคนที่ต้องหลีกเลี่ยงทรานส์แฟต เพราะมิอาจการันตีได้ว่า “อาหารออร์แกนิก” จะปราศจากสิ่งที่บั่นทอนสุขภาพ 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่มีคุณค่าทางอาหารและกากใยมากกว่าอาหารทั่วไปเท่านั้นเอง
สโลว์ฟู้ด
ถ้าเราเรียกอาหารฟาสต์ฟู้ดว่าอาหารรับประทานด่วน สโลว์ฟู้ดก็คือแนวทางตรงกันข้าม นั่นก็คือค่อยๆ ปรุง ค่อยๆ รับประทาน ซึ่งก็เกิดขึ้นมาจากการต่อต้านอาหารฟาสต์ฟู้ดนั่นแหละ
เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว การ์โล เปตรินี เจ้าของภัตตาคารแห่งหนึ่งในอิตาลีเป็นเจ้าของแนวคิดนี้ โดยการโปรโมตอาหารแนวเมดิเตอร์เรเนียนที่ดีต่อสุขภาพมากๆ และให้คนเราค่อยๆ นั่งลง ละเลียดกิน พินิจอาหารที่ดูออกมาว่าวัตถุดิบที่นำมาปรุงเป็นแต่ละจานนั้น ทำจากอะไรบ้าง แต่ที่เน้นหนักก็คือ ชีวิตของเราไม่ควรจะเร่งรีบเกินไป โดยเฉพาะเรื่องของการรับประทานอาหาร
สำหรับ “สโลว์ฟู้ด” (Slow Food) นั้นค่อนข้างจะเกี่ยวโยงกับแนวทาง “ฟาร์มท้องถิ่น” อยู่ไม่น้อย เนื่องเพราะเป็นแนวทางที่ต้องการวัตถุดิบในการปรุงที่สดใหม่ เพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารสูงสุด นอกจากนี้ “สโลว์ฟู้ด” ยังเน้นแนวคิดในเรื่องอารมณ์ความรู้สึก โดยเฉพาะเมื่อเป็นแนวทางที่เกิดจากประเทศอิตาลี ที่ถือความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นหลัก
จาก “ฟาร์มท้องถิ่น” ผู้ปรุงคัดสรรค์วัตถุดิบที่ดีและสดใหม่ที่สุด แล้วปรุงรับประทานแบบ “สโลว์ฟู้ด” พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นวิถีที่มนุษย์ควรจะปฏิบัติกัน มิใช่คว้าพิซซา 1 ถาด มานั่งรับประทานหน้าทีวีเช่นชีวิตคนส่วนใหญ่ในยุคนี้
เห็นมั้ยล่ะ การเลือกรับประทานดีๆ ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป และยังไม่สายถ้าจะเริ่มในวันนี้
ข้อมูลโดย : //www.posttoday.com ที่มา : //www.dmh.go.th
Create Date : 27 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 27 พฤษภาคม 2553 13:02:44 น. |
|
0 comments
|
Counter : 849 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|